บทที่ ๖

ไม่ต้องสงสัยว่าในค่ำวันนั้น ญาติผู้ใหญ่ของดิฉันจะไม่เบิดการอภิปรายเรื่องสภาพที่ได้ไปประสบพบเห็นมา เมื่อพวกที่ไปเที่ยวกลับไปถึงบ้านที่ซอยของถนนอโศกเป็นเวลาเย็นแล้ว พบคุณพ่อกับคุณป้านั่งคุยกันอยู่บนเนินหญ้าระหว่างตึกของแม่และตึกคุณป้า แม่รีบอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าแล้วก็ลงไปหา ดิฉันตามเข้าไปติดๆ กัน ใคร่จะได้ยินคำพูดของคุณป้าด้วยความอยากรู้ พอดีกับคุณพ่อตอบข้อสังเกตอะไรอย่างหนึ่ง

“ที่จริงแล้วลูกแก้วไม่ใช่คนหัวดื้อหรอกครับ แต่ผมเองไม่รู้จะอ้างอะไรไปห้ามเขา”

สีหน้าคุณป้าเปลี่ยนไปทันทีที่ดิฉันเข้าไปถึง ท่านถาม “ได้ยินว่าสนุกมากรึ”

“สนุกค่ะ นานๆได้ไปเห็นชนบท” ดิฉันตอบ

คุณป้าอึกอักไม่กล้าถามสิ่งที่ควรถามต่อไป คุณพ่อเป็นคนช่วยให้คุณป้าสมปรารถนา “เล่าไปซิ อะไรที่ลูกแก้วว่ามันแปลกตาแปลกใจ”

“จะว่าไม่แปลกสักอย่างก็ได้ หรือว่าแปลกหมดทุกอย่างก็ได้” ดิฉันตอบ

“เป็นต้นว่าอย่างไรคุณพ่อซัก”

“เป็นต้นว่าเดี๋ยวนี้คนไทยเราเลิกกางมุ้งกันแล้ว เป็นต้องมุ้งลวดกันหมด แล้วก็ต้องมีหน้าต่างเส้นเหล็กขดเป็นรูปต่างๆ อีกชั้นหนึ่ง เพราะเมืองไทยมีขโมย” ดิฉันเล่า

เออ ประเทศอื่นๆมันไม่มีขโมยกันหรือไง แล้วมันระวังบ้านกันยังไง” คุณป้าถามอย่างต้องการความรู้ด้วยใจจริง

ถ้าเป็นประเทศฝรั่ง ไอ้ที่มีวิทยาศาสตร์มาก ๆ มันมีกระดิ่งอะไรไปเรียกถึงโรงตำรวจก็มีค่ะ คุณป้า” ดิฉันเล่า

“เออ แล้วทำไมบ้านเราแถวนี้ไม่ทำหน้าต่างอย่างนั้นละ หมายถึงไอ้ที่เขาชอบทำกันเป็นลวดลายต่าง ๆ ใช่ไหม” คุณป้าพะวงต่อไป

“บ้านเรานี่ก็เสี่ยงเอา” คุณพ่อตอบ “อย่างบ้านคุณพี่มีข้าวของมีค่าพอใช้ ถ้าขโมยมันงัดประตูเมื่อไหร่ ไอ้ชามสวยๆ แจกันสวย ๆ ในห้องรับแขกก็อุทิศไปได้”

“นอกจากหน้าต่างเหล็กขด แล้วมีอะไรสนุกอีก” คุณป้าถามดิฉันอีกต่อไป

“มีอาพัด เป็นอุบาสิกา หรืออะไรยังงั้น ท่าทางหน้าตาคุณหญิงคุณนายในกรุงเทพฯสู้ไม่ได้” ดิฉันเสนอต่อไป

“อือ จริง” แม่รับรอง แต่แม่เคยเห็นมาหลายคนแบบนี้ ตามบ้านนอกต้องมีคนสองคนเสมอ ถ้าอยู่ในกรุงก็เป็นนายกสมาคมอะไรต่ออะไรแน่”

“แล้วก็พ่อ อา ลุง ของนายกฤตเขาล่ะ” คุณป้าอดอยู่ไม่ไหว ต้องสารภาพความสนใจที่แท้จริงออกมา

“มีแต่ลุง กับพ่อ ไม่มีอา” แม่ตอบ แม่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่จะเอาใจคุณป้า “ไม่ได้พบลุงเขาสองคน พบแต่พ่อ บ้านที่ริมน้ำนั่นแหละ บ้านลุงเขาคนที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน รู้ไหมลูกแก้ว” แม่หันมาบอกดิฉัน

“เขาเป็นเศรษฐีสามพราน ว่างั้นเถอะ น้ำเสียงคุณป้าบอกไม่ได้ว่าประชดหรือสันนิษฐาน”

“ไม่รู้” แม่ชักเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง “ใครจะไปรู้เรื่องเป็นเศรษฐีไม่เศรษฐี เขาไม่ได้เอาบัญชีธนาคารประจำเดือนมาเปิดให้เราดู”

คุณพ่อทำเป็นไม่รู้เท่าคุณป้าและแม่ ถามต่อไปอย่างคนอยากรู้อย่างธรรมดา “ท่าทางเป็นไง พ่อของกฤต พูดจาเป็นคนรู้หนังสือพอสมควร หรือไปอีกอย่างเลย”

“เราไปพบเขาในถิ่นของเขา ดูมันก็ดี” แม่ตอบ “แต่ถ้ามาพบในถิ่นของเรา ยังพยากรณ์ไม่ได้”

“เขาคงไม่เข้ามาในถิ่นของเรากี่มะน้อยหรอกค่ะ” ดิฉันแซงขึ้น

“ตามธรรมดาเจ้าของสวนองุ่นนี่มักรวยเรอะ” คุณพ่อถามเสียงเรียบ ๆ

“ตามที่ได้ยิน ว่าคนที่ปลูกก่อน ๆ รวย แต่คนที่ปลูกหลัง ๆ นี่ไม่รวย” แม่ตอบน้ำเสียงเรียบเหมือนคุณพ่อ

คุณป้าพยายามพูดเสียงเรียบบ้าง แต่ไม่ค่อยได้ผลนัก ท่านกล่าวอย่างคนรู้จักโลก “เรื่องคนราวบ้านนอกกับในกรุงมันคนละเรื่องนะ คนบ้านนอกได้เป็นจำนวนหมื่นเขาก็เรียกว่ารวย แล้วก็รวยจริง รวยเงินเก็บ แต่ไม่รวยเงินใช้ เพราะเขาไม่ค่อยมีทางใช้ รวยอย่างบ้านนอกพอมาอย่กรุง ไม่เท่าไหร่ก็จะเห็นว่าใช้ประเดี๋ยวเดียว ไอ้ที่รวยเก็บไว้มันก็หมด”

ดิฉันรู้สึกรำคาญมาก สำหรับดิฉันความรวยความจนไม่สำคัญ สำคัญว่ากฤตเขารักดิฉันมากน้อยแค่ไหน และญาติของเขานั้น ดิฉันจะต้องทนรำคาญมากน้อยแค่ไหนเมื่อได้มาใกล้ชิดกัน ที่ดิฉันได้ไปพบมาวันนั้นเป็นที่พอใจแล้ว พ่อของกฤตคงไม่ต้องมาร่วมงานเลี้ยงแขกที่มีหน้ามีตาในพระนครที่บ้านคุณป้า ถ้ามาที่บ้านดิฉัน ดิฉันก็รู้ว่าจะรับรองได้อย่างไร รวมทั้งอาลำใยและน้องลำดวนด้วย ดิฉันว่าลุงกำนันและลุงผู้ใหญ่บ้านก็คงไม่ผิดไปจากพ่อนัก

แล้วคุณพ่อถามว่ามีใครอีกบ้างที่รวมไปเที่ยวกับเรา แม่เล่าถึงพัฒนะกับอาทร

“มีเพื่อนกฤตเขาไปด้วยสองคน ตาพัฒนะทำงานอีคาเฟ รู้สึกว่าจะเป็นคนสนุก อีกคนหนึ่งชื่ออาทร คนนั้นเงียบมาก ตั้งแต่ไปจนกลับ จำไม่ได้เลยว่าแกพูดว่าอะไรบ้าง”

คุณพ่อซักถามเรื่องอื่นๆ ต่อไป แล้วก็ถึงเวลารับประทานอาหาร คุณป้าก็ลาไป พอคุณป้าบอกลากลับไปเรือน อากรรณประดับน้องชายคุณพ่อก็เข้าประตูมา

แม่ชวนอากรรณให้กินอาหารร่วมกันกับเรา อากรรณก็รับเชิญ ซึ่งตามปรกติอากรรณไม่ชอบกินอาหารที่บ้านสะใภ้ จะเป็นเพราะเหตุใดแต่ก่อนดิฉันไม่เคยสังเกตหรือสนใจ ในค่ำวันนั้น ดิฉันทราบเหตุที่อากรรณรับเชิญภายในเวลาไม่นาน คือพอรับประทานอาหารคาวกันเสร็จแล้ว น้าทั้งสามคนก็มาที่เรือนของเรา พอทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว น้าโรจน์ก็พูดขึ้น

“วันนี้คุณกรรณกินข้าวที่นี่ ดูเหมือนจะไม่ค่อยบ่อยนักใช่ไหม”

“ฉันสวนกับรถมีลูกแก้วนั่งไปกับดอกเตอร์กฤต แล้วเห็นนายอาทรเป็นคนขับ ตอนบ่ายโทรศัพท์มาถึงรื่น มีธุระนิดหน่อยเลยรู้ว่าไปเที่ยวสามพรานกัน เกิดยากรู้ว่าไปกันทำไม ไปกับใครมั่ง เลยมาหารื่นเสียวันนี้เลย ไม่ต้องรออาศัยรถใครๆ เอารถที่บ้านมาเพราะรถว่างอยู่”

ความสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับกฤต เป็นเรื่องที่แม้อากรรณก็สนใจด้วยหรือ ดิฉันนึก แต่แล้วอากรรณพูดต่อไป

“นายอาทรเขาไปทำไมเขาไปเที่ยวกับพี่ใจแก้วเรอะ” น้ำเสียงเหมือนเชื่อไม่ได้

“คุณกรรณรู้จักนายอาทรด้วยรึ เรากำลังพูดกันเมื่อตะกี้ว่าแกไม่พูดจาอะไรเลย ตั้งแต่ไปจนกลับ” แม่ถาม

“ก็ฉันเคยเปนแม่เลี้ยงมันนี่นา นายอาทรคนนี้” อากรรณตอบ “มันเป็นลูกเมียซ่อนของกงจื๊อเขาไงล่ะ“ กงจื๊อคือสามีของอากรรณที่ได้หย่ากันไปแล้ว เป็นคำเรียกลูกชายขุนนางในนิยายเกร็ดพงศาวดารจีน

“งั้นเรอะ” หลายเสียงอุทานพร้อมกัน แล้วน้ารวงว่า “อุปาทานแล้วมัง ฉันว่าหน้าตาเหมือนใคร คิดอยู่แล้วก็เลิกคิดไป เพราะแกไม่เห็นว่าอะไร”

“ตกลงฉันก็ไม่รู้ว่านายอาทรไปกับพี่ใจแก้วทำไม” อากรรณว่าอย่างผิดหวังเล็กน้อย “ฉันคิดว่าอาจจะมาติดต่อกับลูกแก้วก็เลยอยากรู้ไว้”

“อากรรณเล่าไปซิคะ ลูกแก้วอยากรู้ประวัติเขาไว้บ้างเหมือนกัน เผื่อจะไปพูดห้าแต้มอะไรเข้าเวลาพบกัน” ดิฉันขอร้อง “คงต้องพบกันอีก เขาเป็นเพื่อนสนิทกับพัฒนะ”

“ก็ไม่รู้อะไรเขานักหรอก” อากรรณว่า แต่รู้ว่าพวกนี้เขาชอบหาเมียผู้ดี”

“ผู้ดีผู้เดอนี่มันแปลว่าอะไรสมัยนี้” น้าเรืองถาม

“สำหรับพวกนี้เขาหมายถึงคนมียศที่ไม่จนเกินไป ฉันน่ะกลัวนายอาทรจะมาติดต่อกับลูกแก้ว ฉันคงอดกลุ้มไม่ได้ละ ฉันอยากไกลๆ พวกนั้นไว้ นี่จะมาใกล้กันเข้าอีก”

“แล้วที่ว่ามียศน่ะ มียังไรกันล่ะ” น้ารวงถามบ้าง

“นี่แกล้งซ้อมอะไรฉันกันนะ” อากรรณถาม น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“เปล่า อยากรู้จริงๆ” น้ารวงตอบ น้ำเสียงออกสนุก “สมัยนี้ฉันไม่ค่อยรู้ว่าอะไรแปลว่าอะไร จริง ๆ นะ”

“อย่างเรานี่เขาก็ถือว่ามียศ” อากรรณว่า

“เฮ้ มียังไงกัน” น้าโรจน์ทำเสียงค้าน

“ก็พวกเขาอย่างงั้นนี่ ลูกหลานพระยา เขาก็ถือว่ามียศละ” อากรรณยืนยัน

“อู หมุนสมองไม่ทันสมัยเสียเลย” น้าเรืองเข้าสำทับ “ถ้าเป็นลูกรัฐมนตรี อะไรอย่างนั้นพอเข้าใจ นี่อะไรเปลี่ยนการปกครองมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ยังมาถือพระยาพระเยออะไรกัน คุณกรรณไปหาเรื่องเขามากไปมั้ง”

“เออ อากรรณโกรธเกี่ยวกับเรื่องอาทรด้วยหรือเปล่าคะ แล้วเดี๋ยวนี้ฐานะในบ้านเขาเป็นยังไง กับคุณปู่คุณย่าอาทรเขานับเป็นหลานหรือเปล่า”

“ไม่รู้ ตั้งแต่ออกจากบ้านเขาแล้ว ก็ไม่ค่อยได้เอาใจใส่นัก” อากรรณตอบ เป็นเชิงปัดความรับผิดชอบ แต่เสริมว่า “แต่เมื่อตอนมันได้ทุนไปเมืองนอก ฉันอดหัวเราะไม่ได้ อุส่าห์ซ่อนไม่บอกใครว่ามีลูกกับบ่าว แต่พอมันได้ดี ก็เข้ามารับรองมันเป็นลูกเป็นเต้า อาเบื่อหลายอย่าง แต่หมั่นไส้ตาอาทรนี่ด้วย ปกปิดไว้ทำไมไม่รู้ จนเด็กโต ให้เรารู้เสียก่อนเราก็จะไม่ค่อยโมโห จะว่าธรรมเนียมเจ๊กหรือไทยก็ไม่รู้ ฉันว่าเจ๊กเขาไม่ปิดนี่ลูกผู้ชาย”

“กรรมของเด็กมัน แต่นั่นแหละ ถ้าเขาไม่มารับรองตอนมันได้ทุน ก็คงจะว่าเขาโหดร้ายเกินไปก็ได้ ” แม่ตัดความ “แต่ฉันไม่ค่อยชอบคนอย่างอาทร คนเงียบได้ตั้งแต่เช้าไปจนบ่าย ฉันว่ามันพิกล”

“พวกเรามันพวกนกกระจอกเข้ารังกันทั้งนั้นนี่” น้าโรจน์ว่า “แต่ว่าอยากฟังเรื่องสวนองุ่น เขาปลูกกันยังไง ราคามันดีเลวอย่างไร ไปขายที่ไหน”

แม่ลอบค้อนน้าโรจน์แสดงถึงความรู้เท่า ทำให้ดิฉันต้องซ่อนยิ้ม “ให้รวงรัตน์เขาเล่าซิ เขาเป็นคนช่างจดจำพี่ฟังแล้วลืมหมด”

“แม่รวงเล่าแต่อาลำใยกับย่าพัด” น้าโรจน์ว่า

ดิฉันคิดจะแกล้งขัดคอผู้ใหญ่โดยนั่งอยู่ไม่ลุกไปไหน เพื่อว่าจะได้ต้องใช้หัวคิดหาคำถามไปทางโน้นบ้างนั้นบ้างสำหรับจะดูปฏิกิริยาแม่ต่อครอบครัวคนที่จะมาเป็นลูกเขย แต่แล้วเปลี่ยนความคิดเห็นว่าถ้าดิฉันเลี่ยงไปเสีย น้าๆ คงออกความเห็นตรง ๆ กับแม่ แล้วดิฉันจะซักเอากับแม่ภายหลังจะดีกว่า

น้าๆ กับอากรรณคุยอยู่กับคุณพ่อและแม่ไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็แยกย้ายลาไป แม่บอกว่าแม่เพลียและง่วงนอน ดิฉันออกไปอำลาญาติผู้ใหญ่เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเป็นทีจะลากลับ และเห็นว่าแม่เพลียจริงๆ จึงไม่อยากรบกวน ดิฉันเชื่อว่าแม่จะไม่เป็นอุปสรรค สำคัญอยู่ที่ตัวกฤตมากที่สุด การที่ได้ให้โอกาสญาติเห็นสภาพทางครอบครัวของเขานั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่เกิดความตระหนกตกใจกันในตอนหลัง

วันรุ่งขึ้นเปนวันอาทิตย์ ประมาณ ๙ นาฬิกา กฤตก็โทรศัพท์มา

“ผมไปหาลูกแก้วได้ ใช่ไหม” เขาถาม “แล้วอยู่กินอาหารกลางวันด้วย” เขามีน้ำเสียงแสดงความมั่นใจในตน

ดิฉันเชิญเขาด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แล้วก็ไปทางระเบียงด้านตะวันตก ซึ่งเป็นที่สำหรับคุณพ่อนั่งเล่นในเวลาเช้าพบคุณพ่อนอนเอนๆ ตัวอยู่บนเก้าอี้ยาว รถล้อเข็นประจำอยู่ใกล้ๆ กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ประจำวัน ดิฉันบอกได้เชิญกฤตรับประทานอาหารมื้อกลางวันแล้วก็เลยถาม

“สภาภิปรายแล้วลงมติว่ายังไงคะ เมื่อคืนนี้”

คุณพ่อหัวเราะหึ ๆ “สำคัญที่ตัวลูก แต่ว่าพ่อเกิดสนใจเรื่องอากรรณ ไม่เคยรู้ว่าที่โกรธกับสามีเขาน่ะ มีเรื่องลูกเรื่องเต้าอยู่ด้วย นึกว่าโกรธกันเรื่องที่ต้องอยู่ร่วมกับพี่ๆ น้องๆ กับแม่ผัว ทนไม่ได้ขึ้นมาก็กลับบ้านตาม”

“อาเธียรของอากรรณนี่เป็นคนยังไงคะ คุณพ่อ” ดิฉันเกิดความอยากรู้ขึ้นมา “เขารวยมากหรือว่าไม่รวยอะไรนัก”

“บ้านนี้เขาคงรวยมากกระมัง เห็นมีโฮเต็ล มีตึกให้ฝรั่งเช่าหลังใหญ่ ๆ” คุณพ่อตอบ “ตอนเขาเป็นน้องเขย พ่อก็ไม่เห็นเขาผิดสังเกตยังไง พ่อนึกว่ากรรณไปแต่งงานเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นคงลำบากมาตั้งแต่แรก เขายังถือธรรมเนียมจีนกันอยู่หลายอย่าง ทรัพย์สมบัติของพี่น้องผู้ชายเขาไม่แบ่งกัน เขาช่วยกันทำแล้วพี่ชายใหญ่เป็นคนแบ่งรายได้ให้ใช้ หรืออะไรอย่างงี้แหละ อะไรที่เขาไม่อยากให้เมีย เขาก็ว่ายังอยู่ในกงสี ไม่ได้แบ่งออกมา พ่อก็ไม่ค่อยถาม กลัวจะเป็นการยุ่ง แล้วพออากรรณบอกว่าจะเลิกกับสามีละ พ่อก็ว่าเมื่อจะเลิกกันแล้วจะไปตอแยถามทำไมอีก”

“ลูกว่าแปลกนะ อากรรณน่ะ ได้ยินน้ารื่นเล่าว่าเมื่อจะแต่งงาน คุณปู่คุณย่าก็ไม่ค่อยพอใจให้ไปอยู่ในบ้านผู้ชายนัก แต่อากรรณเต็มใจจะเข้าไปเอง”

“เวลานั้นอากรรณหลงพ่อเธียรมาก รูปร่างเขาหล่อเหลาเอาการนะ คนเชื้อจีนนี่ถ้ามีเค้าสวยละก็ ได้เปรียบที่ผิวกับใบหน้า แล้วพ่อเธียรนี่ยังส่งภาษาฝรั่งฟ้อไปอีก แต่ก็ไม่แปลกนัก อากรรณของลูกน่ะ ไม่ว่าอะไร ไปได้พักเดียว นี่เคราะห์ดีมีพ่อมีแม่เลี้ยงได้ ไม่งั้นต้องลำบาก นานไปพ่อก็คิดห่วงเหมือนกัน จะรักษาทรัพย์สมบัติของตัวเองได้หรือ เมื่อเลิกกับพ่อเธียรมาน่ะ เดินออกจากบ้านมาแต่ตัวแท้ ๆ เรากองทุนกองสินไปกับเขาพอใช้เหมือนกัน ไม่รู้เจ้าหล่อนจัดการยังไง” คุณพ่อหยุดไปประเดี๋ยวหนึ่งแล้วต่อ “แล้วตาอาทรเขาสนิทกับกฤตแค่ไหน”

“ประเดี๋ยวกฤตมาจะต้องถาม” ดิฉันตอบ “อยากให้คุณพ่อรู้จักกับพัฒนะ คงคุยกันถูกคอ แกพูดอะไรมันน่าสนุกไปหมด พวกเดียวกับน้าโรจน์น้าเรือง” แล้วดิฉันต่อ “อดอยากรู้ไม่ได้ คุณป้าว่าอะไรอีกมั่ง แล้วน้าเรืองล่ะ”

“น้าเรืองเขาคนหัวสมัยใหม่ เขารู้จักว่าหนุ่มสาวสมัยนี้ เขาจะเลือกใครเราก็ทำอะไรไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ แล้วก็คนรุ่นเราเองก็ร่ำร้องอย่างนั้น แล้วมาถึงลูก จะเข้าจัดการก็ยังไงๆอยู่”

“คุณป้าท่านว่าท่านจัดการให้ลูกท่านได้” ดิฉันว่า

“คุณป้าท่านคงมีความสามารถอะไรกระมัง แล้วท่านก็ได้สมใจไปแล้วสองคน” คุณพ่อว่า

“แต่น้าเรืองคงมีสำนวนอะไรแปลก ๆ มั่งหรอกค่ะ ลูกแก้วอยากฟัง เมื่อคืนลูกเลี่ยงออกไปเผื่อจะเกรงใจไม่พูดกัน”

“น้าเรืองออกจะเห็นดีเห็นชอบเอามากทีเดียวแหละ” คุณพ่อว่า “เขาถึงกับบอกว่า พี่เกลาวางใจได้แล้ว ไม่เขว่อวหรอก”

“ถ้าใครถามคุณพ่อว่าคำนี้แปลว่าอะไร คุณพ่อจะแปลยังไงคะ”

คุณพ่อหัวเราะในคอตามเคย “มันเปลี่ยนไปตามกาละเทศะเสียด้วย แต่รวมแล้วจะแปลได้ว่า ไม่เห่อและไม่ตื่น”

ดิฉันได้เล่าถึงญาติของดิฉันและญาติของกฤตมาแล้ว แต่ยังไม่ได้เล่าถึงเพื่อน ๆ ของดิฉันเลย

เพื่อนๆของดิฉันไม่มีลักษณะแปลกไปจากเพื่อนๆของคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน คือเพื่อนที่อยู่โรงเรียนมัธยมซึ่งเป็นโรงเรียนราษฎร์ก็มักเป็นคนที่มีฐานะทางการเงินใกล้ๆกัน มีบางคนก็ถึงขั้นลูกเศรษฐี และมีบางคนที่ฐานะฝืดเคืองกว่าคนอื่นอยู่บ้าง แล้วก็มีเพื่อนที่ได้เรียนพร้อมกันในมหาวิทยาลัย ซึ่งย่อมมาจากครอบครัวทุกชั้นทั้งในทางการเงินและสิ่งแวดล้อม มีสองคนที่มีเบื้องหลังเหมือนน้ารื่น ซึ่งทำให้ดิฉันสนใจ จนกลายเป็นเพื่อนกันสนิท ในบรรดาเพื่อนๆของดิฉัน มีบางคนชอบพอถูกอัธยาศัยกัน และมีบางคนที่มีดิฉันเป็นตัวกลาง เป็นเพื่อนกับเขาหลายๆคน โดยที่คนเหล่านั้นรู้จักกันแต่อย่างผิวเผิน และบางคนไม่ยอมเดินร่วมทางกันเลยก็มี

สัปดาห์ต่อจากที่ดิฉันไปเยี่ยมบ้านกฤต วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากจันทร์ฉวี ซึ่งเป็นข้าราชการในส่วนราชการหนึ่งในสำนักนายกรัฐมนตรีเหมือนกฤต เขาพูดมาว่า

“ลูกแก้ว กลางวันนี้ไปกินข้าวกันให้ได้นะ พบกันย่านกลางๆ ที่ห้องน้ำชาเอราวัณจะได้ไม่เสียเปรียบกัน วันนี้นัดอี๊ดกับนายเหลิงได้”

ตั้งแต่กฤตไปกินอาหารที่บ้านเมื่อวันอาทิตย์แล้ว เรายังไม่ได้พบกันอีกเลยเพราะเขาติดราชการและดิฉันก็มีธุระทางครอบครัว ในวันนั้นคิดว่าจะให้กฤตพยายามไปพบกับเพื่อนๆ ด้วย พอดีจันทร์ฉวีพูดต่อไป

“คุณหญิงเพชรธาณินท่านจะกลับมาจากเที่ยวรอบโลกอาทิตย์หน้า เขาต้องรีบจองตัวเธอแน่ ฉันต้องรอคอยคิวไปนาน อาทิตย์นี้ขอจับตัวก่อน”

ชื่อที่เขาเอ่ยมานั้นเป็นสมญาของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งดิฉันไม่จำเป็นต้องบรรยายคุณสมบัติในขณะนี้ ดิฉันสงสัยว่าจันทร์ฉวีกับเพื่อนที่เขานัดอีกสองคนจะมีเรื่องปรึกษาหารืออย่างไร จึงบอกรับจะไปกินอาหารกลางวันด้วยโดยไม่นัดกฤต

ดิฉันไปพบกับเพื่อนหญิงสองชายหนึ่งตามที่นัดกันไว้ เมื่อเลือกหาที่นั่งได้เหมาะแล้ว จันทร์ฉวีก็เริ่มคุยซึ่งทำให้ดิฉันสนใจเต็มที่

“นี่ เราเห็นแม่ตัวนั่งรถโฟล์กของคุณแม่ตัวคันนี้ละเข้าไปในทำเนียบ แล้วชายรูประหงคนหนึ่งซึ่งกำลังหอมมากก็เดินออกมาขึ้นรถคู่ไปด้วย มีอะไรไม่บอกกันมั่ง เขาลือกันทั้งทำเนียบไปแล้ว”

ดิฉันรู้สึกร้อนที่หน้า ทำให้อี๊ดหรือ อินทิรา ตบมือเบาๆด้วยความพอใจ

“นายเหลิง เราหมดหวังแล้ว” เขาหันไปพูดกับเพื่อนผู้ชาย “โถ น่าสงสาร” แล้วเพื่อนผู้หญิงสองคนก็หัวเราะกันคิกคัก

ดิฉันเหลือบตาดูหน้าเถลิง เห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วก็กลับเป็นปรกติ รู้สึกใจสบายขึ้น แล้วเถลิงว่า

“แสดงความยินดีได้หรือยัง เห็นจันทร์ฉวีว่าเป็นถึงดอกเตอร์”

“เฮ้อ มีอัศวินประจำตัวทั้งที ไม่ได้นั่งรถใหม่ ไม่มันเลย” อินทิราออกความเห็น

“เฮอ” เถลิงถอนใจ “ผู้หญิงของเราสมัยนี้วัตถุนิยมจมไปเลย”

“อ๋อ เป็นแต่ผู้หญิงเท่านั้นซี” จันทร์ฉวีว่า “ผู้ชายที่เขานั่งรถผู้หญิงก็มี พ่อดอกเตอร์คนนี้แกคงไม่ค่อยขมังธนูยิงทั้งทีได้รถโฟล์กแล้วก็ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ด้วย”

“ที่จริงคนเป็นดอกเตอร์นี่เขาก็มักหอมใช่ไหม” เถลิงถาม “สังคมสูง ๆ เขาก็ชำเลืองเหมือนกัน” เถลิงถาม

“ว่าไง ลูกแก้ว ลองขยับไป” อินทิราสั่ง

“ฉันจะไปเที่ยวรู้ได้ไง ฉันไม่ใช่นักสังคมวิทยา ใครเขายังไงกับดอกเตอร์” ดิฉันตอบ

“ก็ที่บ้านตัวล่ะ” ใครคนหนึ่งซัก ทำให้ดิฉันตกใจจนไม่รู้ว่าออกจากปากใคร

“ก็เป็นธรรมดา คนหนึ่งก็มีความคิดเห็นไปอย่างหนึ่ง ๆ ดิฉันจงใจเลี่ยง

“เอ โกรธนา” อินทิราว่า “ถามกันเท่านี้ก็ไม่ได้เชียวเรอะ เขาว่าเศรษฐีสวนองุ่นเรอะ”

“ถ้างั้นของขวัญแต่งงาน ก็รถอัลฟาโรเมโอได้” จันทร์ฉวีพยากรณ์

“แสดงความยินดี” เถลิงว่า

“โธ่ อย่าบ้าตามไปหน่อยเลยน่า” ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจ พลางก็อดขบขันไม่ได้ “เขายังไม่ทันอะไรกับเราเลย คนก็ชอบโจษกันง่าย ๆ”

“นี่แปลว่าเขายังไม่ไว้ใจพวกเรา” อินทิราพูดเป็นเชิงพ้อ “เรากินกันเถอะ อย่าไปเอาอะไรกับเขาเลย”

“เอ้อ” เถลิงอุทานขึ้น “ใครจะเล่าเรื่องคุณหญิงเพชรธาณิน เขามีบอดีการ์ดมาใหม่อีกแล้วใช่ไหม”

“ใครการ์ดใคร” อินทิราหัวเราะเสียงแหลม “ฉันว่าผู้ชายต้องการ์ดตัวให้ดีถ้าคบกับคุณหญิงท่าน”

“เถอะน่า อยากรู้เรื่องเพื่อนฝูงมั่ง” เถลิงพูดอย่างรำคาญ

“ฉันไม่เห็นจะมีอะไรเล่า ก็เรื่องเก่า สองสามปีเขาก็ไปยุโรปบ้าง ญี่ ปุ่นบ้าง ออสเตรเลียบ้าง คุณลุง คุณอา คุณพี่เขา เดี๋ยวก็เป็นทูตอยู่เมืองนั้นเมืองนี้ เกิดเป็นช้องเพรชคงเกิดมากินบุญเก่า”

“อะไรนะ” เถลิงถาม

“ฮู้ย เท่านี้ก็ไม่เข้าใจ ก็ชาตินี้ทำอะไรมั่งล่ะ แต่ว่าเขามีพร้อม รูปก็สวยทรัพย์ก็รวย” อินทิราว่า

“ขาดไปอย่าง น้ำใจ” จันทร์ฉวีต่อ ทำน้ำเสียงไม่เป็นการค้าน

“ฉันว่าถ้าถูกใจเขา เขาก็เป็นคนวิ่งช่วยเหลือคนไม่เลวเชียวนะ” อินทิราออกความเห็น

“ขออย่ามาช่วยฉัน ฉันกลัวท่าน” จันทร์ฉวีทำเสียงเฉียบขาด

“เธอมันเอกซตรีมเสมอแหละ” อินทิราว่า

“อิจฉาเขามั้ง” เถลิงแหย่

“อ๋อ แน่นอน” จันทร์ฉวีลอยหน้าพลางรับคำกล่าวหา “เพราะยังงั้นฉันถึงเร่งพวกตัวมาวันนี้ พอเขากลับมาแล้วรู้ว่าลูกแก้วมีท่วงมีทางจะหมั้น มีดอกเตอร์ดอกแต้ละก็ คอยดูไม่ปล่อยให้ห่างสักวัน หรืออย่างน้อยสองวันเอ้า”

“ฮือ เรามันเกิน ๆ เสมอ” เถลิงว่า “ทำไมดอกเตอร์ฉันไม่เห็นจะวิเศษสำหรับคนอย่างช้องเพ็ชร เขาจะเอาพระองค์เจ้าก็ได้”

“พระองค์เจ้าเดี๋ยวนี้มันหายากแล้วนี่ยะ” จันทร์ฉวีเถียง “แต่ไม่รู้ละ เขาชอบลูกแก้ว แต่ฉันไม่ชอบเขา ไงไม่รู้ ใครจะว่าอิจฉาว่าอะไรก็ยอม แต่เวลามานั่งคุยทำเป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน ฉันไม่สนิทใจ ถ้าฉันไม่ต้องคลุกคลีด้วย ฉันก็ไม่ว่าอะไร”

“จริงนะ ฉันสังเกตดู ฉันว่าช้องเพ็ชรชอบลูกแก้วด้วยใจจริง เพื่อนคนอื่น ๆ เขาต้องมีตินิดติหน่อย ขบขันมั่งอะไรมั่ง นอกจากคนตกอับ ถ้าคนตกอับละก็เขาไม่ซ้ำเติม” อินทิราปรารภ

“ก็ลูกแก้วมีอะไรจะให้คุณหญิงท่านติได้ละ” จันทร์ฉวีแย้ง “เขาก็มีพงศ์เผ่าเหล่ากอ มีคุณลุงนั่นเป็นทูต คุณอานั่นเป็นปลัดกระทรวง แล้วเขาก็ไปเมืองนอก พูดฝรั่งเข้าสังคมฝรั่งไทย เจ้าหล่อนจะติเขาว่ายังไง”

“คนจะติกันมันหาเรื่องจนได้ละน่า หวี” อินทิราออกความเห็น “แต่ฉันว่าเขาออกจะชอบลูกแก้วจริงๆ นะ แล้วคนๆนี้ไม่พูดอะไรที่ไม่จริง สังเกตซี เวลาเขาติใครหัวเราะใคร มันจริงของเขา”

“นั่นแหละย่ะ ฉันนึกกลัว พอเขาว่าใคร คนมักเชื่อตามเขาว่า” จันทร์ฉวีทำท่าตัวสั่นประกอบทั้งที่เคี้ยวอาหารยังไม่หมดปากดี

เถลิงหัวเราะท่าทางของจันทร์ฉวี “เล่าเรื่องบอดีการ์ดใหม่ของเขาไปซิ” เขาว่า

“นี่อย่าเรียกคำนี้หน่อยเลย ฟังราวกับนักเลงหัวไม้ เมื่อกี้อี๊ดเรียกอัศวิน โก้กว่าเป็นกอง คนนี้เขาจะเล่นหรือจะจริง” ดิฉันถามขึ้นด้วยความอยากรู้

“ใครจะตอบให้ได้ล่ะ” อินทิราว่า “แต่ฉันได้ยินมานะ เขาว่าที่เหลว ๆ ไปน่ะ ผู้ชายเขาเป็นฝ่ายผละนะ”

“มีคนเขาบอกฉันว่าผู้หญิงคุยเรื่องผู้หญิงละก็ เนื้อมักจะเหลือไม่กี่ชิ้น” เถลิงว่าพลางหัวเราะ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ