บทที่ ๑๕

ดิฉันดำเนินชีวิตเรื่อย ๆ ไปอยู่ประมาณสองเดือน กฤตกับดิฉันมีความสัมพันธ์กันเป็นปรกติ แต่ขาดความดูดดื่มซึ่งดิฉันรู้สึกดี จะว่าเขาจืดจางก็ไม่เชิง แต่ก็มีอะไรเป็นใยๆมาบังตาเรา ทำให้มองดูกันและกันอย่างไม่แจ่มใส เขาไม่พูดถึงเรื่องการออกจากราชการอีก จนกระทั่งดิฉันถามขึ้นเมื่อเวลาล่วงไปแล้วประมาณสามสัปดาห์

“เออ เรื่องงานใหม่ของกฤตว่าไง”

“เรื่องพรรณอย่างงี้ มัวชักช้าไม่ได้เหรอ คนอื่นเขาก็คว้าไปเสียซิ”

ดิฉันเกือบจะพูดว่า “เขาคงไม่ได้ต้องการเราจริงๆ น่ะซี” แต่ยั้งไว้ทันและกล่าวว่า “อ้าว เขาไม่รอสักหน่อยหรอกเรอะ”

“ใครเขาจะมารอ” กฤตพูดมีสำเนียงขมขื่นแต่ไม่แรงนัก แต่ดิฉันก็จับได้ว่า เขากระเทือนใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และคงจะกระเทือนใจเรื่องดิฉันไม่ได้รีบช่วยเหลือเขา

ดิฉันอยากรู้ว่าญาติทางฝ่ายกฤตเห็นอย่างไร คิดจะให้น้ารวงสืบจากการุณ แล้วตำหนิตัวเองว่าถ้าหากเรื่องชนิดนี้ผัวเมียพูดกันไม่ได้ ชีวิตสมรสก็ไม่มีความหมายอย่างใด จึงถาม “พ่อกิจว่ายังไงมั่ง”

“พ่อบอกว่ากำลังไม่มีเงิน ลงทุนเรื่องสวนองุ่นไปแยะ แล้วก็จะแต่งงานน้อง จะต้องกองทุนกองสิน เราได้ดีแล้วจะเอายังไงอีก”

เป็นอันว่าพ่อของกฤตไม่ยินดีจะช่วยเหลือ แต่ไม่ใช่เฉพาะเหตุผลเดียวกันกับของดิฉัน เป็นแต่ไม่สะดวกเท่านั้น

คืนนั้นดิฉันพยายามเอาใจกฤตเป็นพิเศษ ดิฉันชวนให้เขาพาดิฉันไปกินอาหารนอกบ้าน แล้วก็ไปหาความสำราญที่มีดนตรีไพเราะ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า นครหลวงของเราขณะนี้ การไปหาความสำราญของผัวหนุ่มเมียสาวกลายเป็นความลำบาก ไม่ว่าในที่ใดที่เราอยากเข้าไปสนุกตามประสาผัวเมีย เราก็พบแต่ความยั่วเย้ากิเลสที่เราไม่ต้องการ กฤตพูดขึ้น “ในกรุงเทพ ฯ เราจะหาความสำราญต้องไปกับเพื่อนฝูงฐานะดี ๆ ไปเต้นรำ ก็ต้องไปเต้นตามบ้านเขา ถ้าบ้านเราเองจัดไม่ได้ ไม่มีสถานที่ไหนที่จะไปหาได้หรอก”

น้ำเสียงของกฤตเป็นน้ำเสียงแสดงความน้อยใจนิด ๆ แต่ก็ฟังไม่ชัดนัก ดิฉันบอกแก่ตัวเองว่า ไม่ควรระแวงไปทุกสิ่งทุกอย่าง จะหาความสุขไม่ได้

แต่เมื่อไปคุยกับน้ารวงรัตน์ตามธรรมดาที่เคยทำ ก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมจากการุณ “น้าคุยกับตาการุณเรื่องการกลับไปทำงานบ้านนอก แกเล่าว่ากฤตไปหาพ่อ ขอให้ช่วยหาเงินให้แปดหมื่น จะได้ใช้หนี้รัฐบาลแล้วจะได้ทำงานเงินเดือนแพงขึ้นไปอีก พ่อเขาว่า เงินเท่านั้นไม่ใช่หาได้ง่าย ๆ แล้วลุงกำนันก็ยังสั่งไว้อีกว่า ลูกหลานคนไหนมันไม่คิดกลับบ้านเราแล้ว ไม่ต้องไปขวนขวายอะไรให้อีกเป็นอันขาด”

เหตุผลของลุงกำนันก็ไปอีกรูปหนึ่ง เป็นรูปที่เกิดขึ้นจากความผิดหวังและน้อยใจ ระหว่างที่ดิฉันคิดน้ารวงก็ถาม

“ทำไม ลูกแก้ว คนที่จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาตินี่จำเป็นต้องทำราชการรึ”

“แล้วแต่คน ๆ” ดิฉันตอบ “น้าโรจน์เคยพูดเสมอว่าถ้าคนไทยไม่เรียนธุรกิจเสียมั่ง ก็ไม่มีวันรู้จักทำ น้าโรจน์พูดก็ถูก น้าโรจน์ก็อยากหาเหตุผลดีเข้ากับตัวในการที่ไม่ทำราชการด้วย พวกเราไม่ทำราชการกันเวลานี้ก็มีเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เราไม่ต้องการพินอบพิเทาหัวหน้างานที่ไม่มีความรู้ ไม่มีรสนิยมอย่างเรา แต่สำหรับกฤต ไม่มีเหตุผลอะไร ทำไมจะต้องกระเสือกกระสนหาเงินเดือนแพง ๆ เวลานี้เราไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย”

“เขาอาจมีอะไรเดือดร้อนที่พูดออกมาเป็นถ้อยคำไม่ได้” น้ารวงรัตน์เตือนสติ “อย่ายึดถืออะไรให้แรงนัก”

“ไม่ยึดถือ ไม่ยึดถือ” ดิฉันขึ้นเสียงเอากับน้ารวง “ไม่ใช่เพราะไม่ยึดถือรึถึงเป็นอย่างทุกวันนี้ คนโกงก็อย่าไปยึดถือ คนดีก็ไม่ต้องยึดถือเหมือนกัน อย่างนั้นเรอะน้า”

น้ารวงรัตน์ทำท่าเหมือนจนต่อถ้อยคำ ดิฉันจึงคิดไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรต่อไป ที่จริงดิฉันคิดเต็มสมอง แต่ความคิดเหล่านั้น ถ้าพูดออกมาตรง ๆ ก็จะเป็นการยกตนข่มท่าน และคงจะไม่เป็นประโยชน์ เพราะในส่วนลึกของใจ ดิฉันกลัวว่าดิฉันจะเสื่อมความนิยมในตัวกฤต แล้วก็จะหมดความรัก นั่นเป็นสิ่งที่ดีฉันกลัวยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น จึงไม่อยากคิดให้ไกลเกินไปนัก

ศาลพระภูมิที่คุณพ่อออกแบบให้เชี่ยว ได้รับใช้เป็นเชื้อต่อไปถึงการที่อาเธียรกับอากรรณประดับได้คืนดีกัน อาเธียรจะปลูกบ้านใหม่ ได้บอกแม่ว่าอยากให้คุณพ่อออกแบบให้ แต่คุณพ่อมีความเห็นว่าบ้านอาเธียรจะปลูกเป็นบ้านขนาดใหญ่ ผู้รับเหมาที่คุณพ่อเคยใช้นั้น เคยทำแต่บ้านเล็กๆ จำเป็นต้องมีสถาปนิกควบคุมงานอย่างจริงจัง และต้องใช้คนที่รู้จักใช้อุปกรณ์ความสะดวกสบายทันสมัย จึงไม่รับออกแบบ แต่เสนอความเห็นบางอย่างให้ วันหนึ่งอาเธียรกับอากรรณที่งานศพเพื่อนคนหนึ่ง อาเธียรก็เข้าไปถามว่า อากรรณชอบศาลพระภูมิที่ใช้ฝีมืองาม ๆ หรือไม่ เช่นแบบที่บ้านเชี่ยว อากรรณได้พบกับอาเธียรหลายครั้งแล้ว เริ่มจะพูดจาด้วยเหมือนคนรู้จักคนหนึ่งอย่างปรกติ ก็ออกความเห็นว่าเป็นของดี คนมีเงินควรสนับสนุนช่างฝีมือด้วยวิธีจ้างให้ทำของเหล่านี้ อาเธียรจึงขอให้คุณพ่อออกแบบและควบคุมให้ช่างไม้ฝีมือดีทำศาลพระภูมิด้วยไม้งามชนิดหนึ่งให้อาเธียร แล้วอาเธียรก็เลือกที่ดินแปลงที่ใกล้กับที่อยู่ของอาทร และไม่ห่างจากบ้านของเชี่ยวเป็นที่ปลูกบ้านใหม่ของอาเธียร

วันหนึ่งดิฉันชวนการุณให้มากินอาหารด้วย โดยมีน้ารวงรัตน์มาเป็นผู้กำกับการแสดง และโดยเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกชองน้ารื่น แม่กลับมาถึงบ้านค่ำกว่าปรกติมาก เมื่อมาถึงโต๊ะอาหารเห็นคนนั่งรออยู่ ก็เลยถือโอกาสเล่าเรื่องที่ทำให้แม่ช้าและให้ข่าวแก่ครอบครัว

“วันนี้ ฉันถูกคุณแม่คุณเกลาเรียกไปเอาคำมั่นสัญญาซึ่งให้ไม่ได้” แม่ตั้งต้นและทันทีคุณพ่อก็ขัดขึ้น

“เรื่องแม่กรรณประดับละซี”

แม่พยักหน้า “ท่านเล่นถามว่าฉันจะเป็นคนรับประกันเรอะว่าจะไม่เกิดเรื่องแตกร้าวกันอีก”

“ฮี่ นึกอยู่แล้ว อยากทำเป็นแม่สื่อแม่ชักดีนัก” คุณพ่อว่าโดยหัวเราะไปด้วย “แล้วรับรองกับคุณหญิงท่านไหมล่ะ”

ดิฉันนึกขำในใจว่า เมื่อใครจะเรียกสตรีมีบรรดาศักดิ์โดยประชดประชันนิดหน่อย มักใช้คำอย่างที่คุณพ่อใช้ นึกไปถึงวิธีกล่าวถึงช้องเพชรของจันทร์ฉวีแล้วก็หัวเราะอยู่ในใจ

“ไปรับรองยังไงกันนะ” แม่ค้อนนิดๆ “ฉันบอกท่านว่า เมื่อตอนกรรณประดับจะแต่งงานกับคุณเธียร ฉันก็ไม่ได้มีส่วนอะไรด้วย คราวนี้ถ้าเขาจะดีกัน ก็เพราะกรรณประดับเขาเห็นดีของเขาเอง ดิฉันไม่เคยพูดว่าให้เขาคิดดีกับคุณเธียรเลย”

“แล้วคุณหญิงท่านเชื่อไหม”

“ท่านว่า ใคร ๆ เขาก็รู้กันว่าแม่ใจแก้วเป็นคนชักนำให้มาติดต่อกันใหม่ เดี๋ยวนี้แม่กรรณก็โอนเอียงไปจนจะคว่ำแล้ว ถ้าเกิดแตกร้าวกันอีกมิอายเขาแย่ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว”

“ฮื่อ พูดกันตรง ๆ ดีกว่า” น้ารวงขัด “ท่านคงอยากให้กรรณประดับอยู่บ้านกับท่าน ที่จริงน่าสงสารท่าน พี่ใจแก้วกำลังเป็นต่ออยู่ ช่วยพูดกับคุณเธียรให้พาท่านไปอยู่ด้วย หรือคุณเธียรเข้าไปอยู่ในบ้านที่เพชรบุรีเสีย”

“แหม ปัญหามนุษย์นี่ดูมีอะไรขัดข้องไปหมดนะ” แม่ทำเสียงท้อใจ “ตอนคุณเธียรเขามาติดต่อ ไม่มีใครคิดไปถึงคุณแม่เลย คิดแต่ความสุขของกรรณประดับ ทีนี้จะทำยังไงกันต่อไป”

จากที่หารือกันวันนั้น อาเธียรจึงคิดหาโอกาสทำบุญขึ้นที่บ้านซึ่งก่อนหน้านั้นอาเธียรได้ให้ชาวต่างประเทศเช่า แล้วเมื่อผู้เช่าออกไป อาเธียรได้เข้าไปอยู่เพื่อแยกตัวออกมาจากครอบครัวใหญ่ ในงานทำบุญอาเธียร ได้เชิญคุณลุงกาจและคุณลุงกล้า มาเลี้ยงอาหารกลางวัน แล้วในเวลากลางคืนนั้น ก็มีการเลี้ยงแขกจำนวนมาก ล้วนเป็นคนฐานะเดียวกันกับอาเธียร น้ารวงรัตน์เกิดมีความคิดว่าน่าจะให้การุณได้ไปเห็นชีวิตหลาย ๆ อย่างไว้บ้าง เพราะคนเป็นครูที่มาจากครอบครัวชนิดหนึ่ง ไม่ได้เคยเห็นภาพของชีวิตของศิษย์ของตัวที่ฐานะดีมีอยู่มาก ไม่ควรให้การุณเสียโอกาสไป การุณไม่เคยมีเสื้อชั้นนอก จะตัดเสื้อใหม่ก็ไม่ทัน จะขอยืมกฤตก็มีขนาดตัวไม่พอดีกัน แต่เสื้อของน้าเรืองการุณสวมได้พอดี ตัวยาวไปบ้างแต่ไม่ถึงกับเป็นที่สังเกต แต่ที่ดิฉันสังเกตก็คือสีหน้าของกฤต เขามีแววตาที่อ่านไม่ออกตลอดเวลาที่มีการหาเสื้อชั้นนอกให้การุณขอยืมสำหรับคืนนั้น

และในงานนั้น ซึ่งญาติชั้นผู้ใหญ่ครึกครื้นใจกันมาก เพราะเป็นที่เข้าใจกันว่า งานนั้นคืองานประกาศหมั้นใหม่ของอากรรณกับอาเธียร เละอาเธียรได้จงใจให้อากรรณเป็นนางเอก เพราะได้ซื้อต่างหูเพ็ชรระย้าให้อากรรณสำหรับใช้ในวันนั้น เป็นเครื่องเพ็ชรชิ้นงามมากทั้งในด้านฝีมือและราคาเพ็ชร แต่ครั้นถึงเวลาคืนวันนั้น ระหว่างที่ฝ่ายเจ้าภาพกำลังรับแขก มีตัวอาเธียร พี่ชายและน้องชายของอาเธียร รวมทั้งอาทร ก็มีนางเอกเข้ามาประชันกับอากรรณ ไม่มีปัญหา คนนั้น คือ ช้องเพ็ชร ธาณินทร์ สวามิภักดิ์ นามสกุลนี้เคยเป็นราชทินนามมาก่อน คุณพ่อของช้องเพ็ชรได้นำมาใช้เมื่อสมัยรัฐบาลให้ข้าราชการสละบรรดาศักดิ์

ในเวลากลางวัน ตอนที่มีการเลี้ยงพระและเลี้ยงอาหารกลางวัน ช้องเพ็ชรไม่ได้เยี่ยมกรายมา ดิฉันก็ลืมเขาไปสนิท ใจของดิฉันจดจ่ออยู่สามเรื่อง เรื่องที่หนึ่งคือการุณ เป็นห่วงว่าจะเก้อเขิน แต่เห็นกฤตเรียกใช้เกี่ยวกับพิธีสงฆ์ซึ่งกฤตได้ถูกขอร้องให้เป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ ก็รู้สึกสบายใจ ถึงเวลารับประทานอาหาร น้าเรืองกับน้ารวงรัตน์ก็เรียกการุณไปร่วมโต๊ะด้วย เรื่องกังวลของดิฉันอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มีความสงสารคุณย่า อาเธียรได้เชิญท่านมาในงานทำบุญ ท่านไม่มา ท่านบอกว่าขอให้คุณลุงกาจกับคุณลุงกล้ามาให้ได้ ซึ่งแปลว่าท่านมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งที่แสดงความกังวลของท่านในกับการที่อากรรณจะคืนดีกับอาเธียร ดิฉันคอยดูคุณลุงทั้งสองว่าจะมีทีท่าห่วงใยไปถึงมารดาหรือไม่ จะพูดถึงท่านอย่างไรหรือไม่ แล้วยินดีที่ท่านปรึกษากับคุณพ่อ ผู้ซึ่งอาเธียรได้เอาใจใส่ส่งรถคันใหญ่ไปรับ และกำชับอาทรกับเชี่ยวให้คอยช่วยเหลือดูแล คุณลุงทั้งสองรับว่า จะต้องไปมาเยี่ยมเยียนคุณย่ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน และเรียกดิฉันไปให้ช่วยรับภาระด้วย “หาเวลาได้ละก็ เอาเหลนไปหาบ่อย ๆ ซิ แล้วทิ้งไว้กับน้ารื่นที่นั่น ตัวลูกแก้วจะไปไหน ๆ ก็ได้” ดิฉันรับจะทำตามด้วยความเบาใจ เพราะได้เห็นน้ำใจของลูกที่มีต่อแม่ชรา อีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันจดจ่อกังวล ก็คือเรื่องความปรารถนาของกฤต เมื่อเขาได้เห็นความมั่งคั่งของอาเธียร ซึ่งเป็นพ่ออาทรเพื่อนของเขา เขามีความรู้สึกอย่างไร

ตอนบ่ายค่อนไปเวลาเย็น เรากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปทำงานในเวลากลางคืน ดิฉันชวนให้กฤตนอนเล่นในห้องซึ่งมีฝาเป็นกระจกบานใหญ่ ติดม่านบังแสงอาทิตย์ได้ เมื่อเปิดม่านขึ้นก็ทำให้เรามองลงไปในสวน ที่ระเบียงด้านที่อยู่ของเรานั้นไม่ค่อยเย็นนักเวลาบ่าย ดิฉันจึงติดเครื่องปรับอากาศในห้อง สำหรับนั่งเล่นชมสวนภายในตึกได้ เรียกว่าเรามีชีวิตที่อยู่ในขั้นชั้นพอมีพอใช้อย่างสบาย

ดิฉันชวนกฤตพูตเรื่องทั่ว ๆ ไป แล้วจึงลองว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรต่อชีวิตของเศรษฐีขั้นอาเธียร

“กฤตจ๋า กฤตเคยคิดวาดภาพไปบ้างไหมว่าถ้ามีเงินอย่างอาเธียรมันจะสุขจะทุกข์อย่างไรนะ” เมื่อนิ่งกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วดิฉันจึงอธิบายความหมายของตนเอง “ลูกแก้วคิดไปไม่ออกเลย นึกถึงว่าจะไปรอบโลกเมื่อไหร่ก็ไป จะซื้อเครื่องเพ็ชรก็ซื้อ เวลาเดินไปเห็นเข็มกลัดเห็นสายสร้อยที่เขาเอามาโชว์ ลูกแก้วคิดทุกทีว่าถ้าเรามีเงินจะไปซื้อทุกชิ้นที่เราอยากได้ไหม”

“ลุกแก้วหมายความว่ากฤตคิดอยากเป็นคนรวยมากๆ ไหมอย่างนั้นรึ” เขาย้อนถาม

“ลูกแก้วคิดถึงว่า ตัวลูกแก้ววาดภาพไปไม่ได้เลยถึงชีวิตภายใน ความรู้สึกของคนรวยมาก ๆ เพราะไม่เคย” ดิฉันพยายามชี้แจง ใจหวาดหวั่นพิกล “แต่ถ้าดูจากชีวิตอากรรณ คงไม่ใช่จะมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่ค่อยรวย แต่งงานกันได้ไม่ถึง ๗ ปีก็ขนของกลับบ้าน”

“แต่ก็ความรวยของอาเธียรนั่นแหละ ทำให้อากรรณตัดสินไปหาอาเธียรได้อีก” เขาแย้ง

“งั้นรึ ลูกแก้วว่าจะเป็นเพราะว้าเหว่มากกว่า หรือจะยังรักอยู่ด้วยซ้ำ อากรรณรู้เรื่องของอาเธียรดี แม้แต่ไม่มีเมียที่ไหน ไปหาแต่แม่อาทรก็ยังรู้”

“แต่ถ้าจน ก็อาจไม่สนใจจะรู้” กฤตแย้งอีก

“จริงรึ กฤตว่าคนเราเป็นอย่างงั้นรึ” ดิฉันย้อนถามเขา น้ำเสียงแสดงให้เห็นว่าดิฉันไม่เห็นด้วย

“นอกจากคนมีอุคมคติมาก ๆ อย่างลูกแก้วก็อาจไม่เป็นยังงั้น” เขาพูดเสียงเรียบ ๆ แต่ทำให้ดิฉันเสียววาบ เพราะถ้าเขาไม่มีความหมายไปในทางที่จะแกล้งให้กระเทือนใจ วิธีการที่พูดจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาคงเอาหัวของเขามาชนกับดิฉันหรือขยี้ผมหรืออะไรทำนองนั้น

“ลูกแก้วไม่ใช่คนที่มีอุคมคติสูงส่งอะไรหรอก” ดิฉันแกล้งทำเสียงเรียบ ๆ บ้าง แล้วดิฉันก็ทำเป็นง่วง และหลับตาพักผ่อน ต่อมาอีกสักสองนาที ดิฉันลืมตาขึ้นชำเลืองตาดูกฤต เห็นเขาหลับตาเหมือนกัน และดูเหมือนจะหลับจริง ๆ แต่ดิฉันไม่หลับเลย รู้สึกใจระทึก กลัวอะไรอยู่

ค่ำวันนั้นแขกทยอยกันมายังบ้านอาเธียร แสงเพ็ชรวูบวาบไปตามศีรษะ ตามข้อมือ นิ้ว และใบหู ของแขกผู้หญิง และที่นิ้วของแขกผู้ชายก็มีเพ็ชรหรือพลอยราคาสูง เม็ดขนาดเล็บหัวแม่มือของดิฉันประดับอยู่เป็นจำนวนมากเหมือน กัน วัสดุที่ใช้ประกอบเสื้อผ้าของผู้หญิงแต่ละเมตรก็คิดเทียบค่าอาหารของครอบครัวอย่างของดิฉันหลายวันได้ ญาติของอาเธียรดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดประดับอาภรณ์รวมราคาต่ำกว่าแสนบาท คิดถึงหัวอกของกฤต ต้องการเงินหนึ่งแสนบาทเพื่อซื้ออิสระภาพ เขาคงนึกอิจฉาบุคคลเหล่านี้ แต่เขาต้องการอิสระภาพไปทำไม ต้องการไปเป็นคนสามารถซื้อเพ็ชรประดับนิ้วบ้าง ซื้อบ้านใหญ่ ๆ อีกหลาย ๆ หลัง เงินทำอะไรได้อีกบ้าง ถ้าหากเรารักกัน เขากับดิฉัน แล้วต้องแยกกันอยู่ เงินจะมีความหมายไหม คิดฟุ้งซ่านไปถึงตอนนี้แล้วก็มีอาการขนลุกซู่ไปทั่วร่างกาย

ดิฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะสำหรับเลี้ยงอาหารจีนตัวหนึ่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าตึก ที่โต๊ะนั้นมีน้ารวง พัฒนะ และภรรยาน้าเรืองนั่งคุยกันอยู่ กฤตเดินไปหาผู้บังคับบัญชาซึ่งมาในงานนั้นด้วย แลไปทางประตูจึงเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง รูปร่างค่อนข้างผอม เดินมากับหญิงสาวที่ดูมีขนาดเขื่อง เมื่อเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าคือ ช้องเพ็ชร กับ อาทร

ช้องเพ็ชรแต่งกายแบบตะวันตกนำสมัย สวมกางเกงขาบานใหญ่ ทำด้วยผ้าต่วนชนิดดีที่สุด ความมันของต่วนความทอดตัวทิ้งเนื้อของต่วนนั้น ทำให้กางเกงซึ่งน่ามองดูเปนเครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะแก่โอกาส กลายเป็นสิ่งที่ชวนมองอย่างยิ่ง เจ้าหล่อนสวมเสื้อทำด้วยแพรต่วนสีขาว ยาวลงมาเลยสะโพก เนื้อดีวิเศษเช่นกางเกง ที่หน้าอกและแขนปักดิ้นทองเป็นช่อดอกไม้อย่างอาหรับหรือเปอร์เซีย ที่หูมีต่างหูห้อยเป็นระย้า ไม่ดูแพรวพราวเหมือนของอากรรณ เพราะทำด้วยทองประดับเพ็ชร ผมของช้องเพ็ชรรวบไว้แลดูเหมือนช้องที่นางละครสวม เมื่อใช้เครื่องประดับที่เรียกว่ารัดเกล้า มีพวงมาลัยทำด้วยทองกับเพ็ชรรัดผม ทิ้งชายผมให้เป็นพวงน้อยๆ ลงไประเนื้อที่ผัดไว้เนียนน่าสัมผัสระหว่างใต้ต้นคอกับริมคอเสื้อ ซึ่งตัดเป็นรูปกลม ไม่ลึกนัก และไม่ตื้น จนกระทั่งผู้ใส่ไม่อาจอวดผิวสาวทางเบื้องหลังได้

ช้องเพ็ชรเดินคู่มากับอาทร ใกล้เข้ามายังที่ดิฉันนั่งอยู่ แต่แล้วก็หยุด มองขวาแล้วแลไปทางซ้ายเป็นทีว่าชมสถานที่ ขณะนั้นกฤตก็เดินมาจากที่ผู้บังคับบัญชานั่งอยู่ พอเข้ามาในระยะที่พูดกันได้ ช้องเพ็ชรก็หันตัวให้กฤตดูข้างหนึ่ง แล้วก็อีกข้างหนึ่ง ปากก็ทักทาย ดิฉันไม่ได้ยินคำพูดแต่เดาได้จากทีท่าของช้องเพ็ชรว่าพูดเกี่ยวกับตัวเอง

อาทรละจากคนทั้งสอง มานั่งข้างน้ารวงและอยู่ในมุมมืด ดิฉันไม่สามารถจะเห็นหน้าได้ ดิฉันคิดขึ้นมาถึงคำลือที่อากรรณเล่าให้ฟัง แล้วก็หัวเราะอยู่ในใจ ใครหนอช่างคิดลือขึ้นมาได้ ดิฉันก็นึกไปไม่ถึงว่าผู้ชายคนไหนจะมาเอาใจใส่กับคนที่แต่งงานมีลูกแล้ว และคิดจะแย่งไปจากสามี กำลังเทียบกับตัวอาทรไม่ได้เลย แล้วคิดไปถึงคำพูดของจันทร์ฉวีที่เตือนดิฉันเมื่อกฤตจะเดินทางไปไทเปก็คิดขบขันอีก ช้องเพ็ชร์ต้องการคนอย่างกฤตไปทำไม กฤตจะไม่มีทางหาเครื่องแต่งตัวให้ช้องเพ็ชรได้อย่างที่สวมในคืนนั้น และครอบครัวของช้องเพ็ชรก็จะไม่เห็นว่ากฤตคู่ควรกับเจ้าหล่อนเป็นอันขาด

ดิฉันพูดออกมาดัง ๆ โดยสติลอย “ถ้าคนไม่นินทากัน โลกก็คงเหงาพิลึก”

“อะไร” น้ารวงถามอย่างตกใจ “ใครนินทาใครว่ายังไง”

พอดีมีชายหนุ่มสองคนเดินผ่านมา ดิฉันนึกชื่อเขาไม่ออก จำได้คลับคล้ายคลับคลา สองคนนี้ได้รับเลี้ยงเครื่องดื่มของเจ้าภาพเข้าไปมากเกินเวลาไป เขาเดินเข้ามาใกล้โต๊ะนั้น หยุดดูช้องเพ็ชรเดินเข้ามาเคียงกับกฤต แล้วเขาเห็นอาทร ก็เดินใกล้เข้ามาและพูด

“ว่าไง เสี่ยสำรอง ทำไมไม่ดูแลคู่หมายของตัวให้ดี ปล่อยให้เดินกับคนรูปโปร่งผมโศรกได้เหรอ”

อาทรทำเหมือนไม่เข้าใจว่าชายสองคนนั้นพูดกับตน คนหนึ่งจึงเข้ามาจับหัวไหล่เขาเขย่าอย่างสนุก แล้วทั้งสองก็เดินไป พอดีกฤตกับช้องเพ็ชรเข้ามาถึงในระยะที่จะได้ยินคำพูดได้ชัดเจน

ช้องเพ็ชรกล่าวขณะเดียวที่มือทำความเคารพน้ารวงรัตน์ “คนขี้เมาที่ไหนนั้น แต่หัวค่ำ” แล้วโดยไม่ต้องมีใครเชิญ ช้องเพ็ชรก็ลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยทีท่าของผู้ที่แน่ใจว่าจะต้องได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

“เครื่องแต่งตัวสวย” น้ารวงรัตน์ทัก “เขาว่าในยุโรปเดี๋ยวนี้แต่งกันอย่างงี้ทั่วไปหมดใช่ไหม”

“ค่ะ คุณน้าชอบหรือคะ” ช้องเพ็ชรตอบแล้วถาม

“ฮื่อ น้าเสียดาย อยากแต่งมั่ง” น้ารวงรัตน์ว่า

“แล้วใครจะห้ามคะ” ช้องเพ็ชรถาม

“ตัวเราเอง ถ้าน้าแต่งคงไม่สวยแน่ วางท่าไม่เป็น” น้ารวงรัตน์ตอบด้วยน้ำเสียงสนุก

ช้องเพ็ชรหัวเราะชอบใจ “ไม่เห็นต้องวางท่าอะไรนี่คะ มันสบายกว่านุ่งกระโปรงเสียอีก จะลุกจะนั่งสบาย” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “คนเราสำคัญที่ต้องการจะทำอะไรหรือไม่ต้องการ ถ้าต้องการอะไรจริง มันต้องได้ค่ะ”

“อือ สมมุติน้าอยากสวยเหมือนช้องเพ็ชร จะสวยขึ้นมาได้ไหม” น้ารวงถาม

ช้องเพ็ชรหันไปดูหน้ากฤตเหมือนมีความเข้าใจระหว่างกัน “ดิฉันว่าได้ สวยสำหรับบางคน จริงไหมจ๊ะ กฤต”

สายตากฤตไม่ได้ละไปจากช้องเพ็ชรเลยตั้งแต่พบกัน ดิฉันนึกสงสารเขาขึ้นมานิดหน่อย คิดในใจว่า “อย่าหลงเสน่ห์คุณหญิงท่านเลย ไปเที่ยวคืนเดียวก็เงินเดือนหมดแล้ว” แล้วทันทีดิฉันก็คิดขึ้นมาได้ กฤตจะอยากได้เงินเดือนแพงเพราะอยากได้สนุกกับคนอย่างช้องเพ็ชรบ้างอย่างนั้นหรือ

ค่ำวันนั้น ดิฉันสนใจ จับตาดูกฤตทุกอริยาบถ หลังการเลี้ยงแล้วก็มีเต้นรำและรำวง มีลูกสาวเศรษฐีมาร้องเพลงและเดี่ยวเปียนโน และมีการแสดงต่างๆการเต้นรำมีทั้งแบบใหมม่และแบบเก่า ดิฉันเข้าไปอยู่ใกล้แท่นที่ทำไว้สำหรับให้แขกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เต้นรำ เพื่อจะดูว่าช้องเพ็ชรเต้นกับใครบ้าง ได้เห็นช้องเพ็ชรเปลี่ยนคู่เต้นรำทุกเที่ยว แม้ระหว่างที่ดนตรีเล่นเพลงเดียวกันอยู่ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเต้นกับช้องเพ็ชรอยู่แล้ว ก็ยังมีอีกคนหนึ่งขอเข้ามาแบ่งเวลาไป แบบที่อเมริกันสมัยเก่านิยมกัน ช้องเพ็ชรไม่ค่อยเต้นแบบใหม่ ชนิดที่ทำตัวโยกไปมา ดิฉันเดาว่าเพราะตัวเองคงเห็นว่าไม่เข้ากับเครื่องแต่งตัว ดิฉันเที่ยวมองหากฤตเวลาที่เขาไม่อยู่บนแท่นเต้นรำ ทุกครั้งที่ดิฉันสามารถจะมองเห็นหน้า ก็เห็นสายตาเขาจับอยู่ที่ช้องเพ็ชร

งานเลิกแต่หัวค่ำ เกินสองยามไปไม่ถึงชั่วโมง เพราะคนหนุ่มสาวมีจำนวนน้อยกว่าคนรุ่นใหญ่ เมื่อเสร็จพิธีอำลาแล้ว เราก็ขึ้นรถกลับบ้าน กฤตทำหน้าที่ขับให้ดิฉันนั่งมากับเขา ข้างหลังมีแม่กับน้ารวงรัตน์ ครั้นถึงบ้านดิฉันก็รีบผลัดเสื้อผ้า ตาสว่างไม่รู้สึกง่วงเลย รีบเข้าห้องน้ำก่อนกฤต เพราะกลัวว่าเขาอาจหลับก่อนดิฉันอาบน้ำเสร็จ ดิฉันใส่น้ำหอมที่กฤตชอบ ผัดหน้านวลน้อย ๆ หวีผมเรียบร้อย นอนคอยกฤตอยู่บนเตียง จนเขาแต่งตัวสำหรับเข้านอนเสร็จ ดิฉันก็เข้าไปนอนแนบข้างบนเตียงของเขา แล้วดิฉันก็ลุกมายังเตียงของดิฉัน ตลอดเวลาที่ดิฉันจูบเขาตามที่ต่าง ๆ ใจของดิฉันก็คิดปลอบไปด้วย

“กฤตจ๋า กฤตหลงเสน่ห์คนสวยหรือจ๊ะ โถ กฤต เขาจะเล่นกับกฤตไปกี่วันกี่เดือน ไว้กฤตหายหลงแล้ว ลูกแก้วจะรักษาแผลให้กฤต กฤตอยากมีเงินเดือนแพง ๆ เพราะอยากหาของขวัญแพง ๆ ให้เขามั่งใช่ไหม ไม่ใช่เพราะกฤศลืมพี่น้องชาวสวนของกฤต ลืมพี่น้องตาสีตาสาที่กฤตเอาน้ำพักน้ำแรงเขาไปหาวิชาหรอกนะจ๊ะ”

พอดิฉันกลับมาถึงเตียงนอนดิฉันแล้ว กฤตดูเหมือนตื่ืนจากฝัน เขาลุกจากเตียงของเขามาแนบข้างดิฉันบนเตียงของดิฉัน เขาจูบกอดดิฉันแล้วเรียกชื่อ “ลูกแก้ว ลูกแก้ว” แล้วเขาก็จะพยายามชื่นชมตัวดิฉัน แต่เขาทำได้ไม่แนบเนียนนัก เหมือนคนทำไปเพราะมีใครบังคับให้ทำมากกว่า ดิฉันสกดกั้นความน้อยใจไว้ คิดในใจว่า “เอาเถิด กฤต เอาเถิด แล้วกฤตก็จะรู้ว่า ผู้หญิงอื่นนั้นสู้เมียของกฤตไม่ได้ดอก”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ