บทที่ ๒๔

กฤตอุ้มลูกเดินตามดิฉันกับแม่มาถึงรถ เขาเปิดประตูรถพลางพูดกับแม่ “แม่ขับรถไปนะครับ เจ้านี่มันโหนคอผมไว้เรื่อย ๆ”

แม่ดูเหมือนจะพอใจที่ลูกเขยเห็นว่าแม่ยังเป็นคนที่คล่องแคล่ว ขอร้องให้ขับรถให้ลูกสาวและตัวเขาได้ ดิฉันก็ยินดีที่แม่ขึ้นรถตอนหน้า เดินเครื่องและขับรถออกจากที่จอดอยู่หน้าบ้านเชี่ยวโดยไม่เกี่ยงงอน ดิฉันนั่งมาเคียงแม่ในรถ กฤตนั่งอุ้มลูกมาตอนหลัง ตลอดทางกลับบ้าน ในสมองดิฉันก็มีคำถามซ้ำ ๆ วนเวียนกันไป

“ถามเขา ไม่ถาม ถามซิ พูดกันให้รู้เรื่อง รู้แล้วจะได้อะไร เรื่องแล้วไปแล้ว จะแล้วไปแล้วจริงรึ มีห่วงสัมพันธ์ อาทรเขารู้ว่าเขาทำอะไร เขาทำด้วยตาสว่าง ไม่ใช่ตาบอด อาทรบอกว่าอย่าเรียกร้องให้คนดีเกินมนุษย์ แต่ก็ควรถาม ควรฟังซิว่าเขาจะอธิบายอย่างไร พูดกับอาทรดีกว่า เขาทำไปเพราะรักเราหรือ เป็นไปได้หรือ เขารักช้องเพ็ชรนั่นเอง แล้วเขามาพูดกับเราทำไมวันนั้น สามวันต่อมาเขาก็ไปหมั้นกับช้องเพ็ชร ถามอาทรสักที ถามแล้วจะได้อะไร สู้นิ่งไปไม่ดีกว่าหรือ ลองถามกฤตดู ต้องถามให้ได้ ไปเที่ยวกันที่ไหน ไปพบกันกี่หน แล้วทำไมให้เพื่อนของตัวรับบาปไป ตอนนี้เป็นคนสำคัญในราชการแล้ว ไม่ต้องการคุณหญิงอีกแล้ว ทำกับผู้หญิงเขาอย่างนั้น เผื่ออาทรไม่แต่งงานกับเขา เขาจะเป็นยังไง หรือว่าจะต้องแต่งกับเขา แต่ไม่มีเงิน ไม่มีหนทาง ขอร้องให้เพื่อนช่วยตัว ทำไมอาทรช่วยเพื่อนถึงแค่นั้น เขารักช้องเพ็ชรละซิ ก็ดีแล้วนี่ เรื่องก็เรียบร้อยแล้ว แต่ใจเราไม่เรียบร้อยนี่นา ถาม ถาม ถาม ไม่ถาม ไม่ถาม รู้แล้วจะได้อะไร”

ตลอดคืนนั้น ดิฉันก็ทำศึกอยู่ในสมอง คุณพ่อสนใจกับชาวต่างประเทศที่อยากพบนายเฉลียวช่างไม้ ผู้ซึ่งคุณพ่ออยากสนับสนุน คุณพ่อชวนแม่กับดิฉันคุยอยู่จนถึงเวลาเข้านอน คุณพ่อมีความคิดเกิดขึ้นหลายอย่างหลายประการ

“ออกแบบให้แกทำอะไรดีล่ะ เรือนไทย เอาให้ครบรูปเลยนะ เหมือนเรือนของคุณย่าของพ่อ ฮื้อ มีเงินมากไหม ออกแบบเรือนขุนช้างเชียวนะ เอาให้เหมือนในหนังสือเลย ทำต้นตะโกดัด ทำอ่างปลา ให้ได้ส่วนทุกอย่าง ขอเงินคนที่ถูกหวยไปจากพระภูมิได้ก็จะดีหรอก”

“ทำบ้านไทยสมัยนี้ เอาเหมือนอย่างบ้านเรานี่ได้ไหม” แม่ถามเพื่อเอาใจคุณพ่อให้มีเรื่องคุย

“ไม่ได้ใช้ฝีมือช่างไม้นี่นะ” คุณพ่อแย้ง “แล้วฝรั่งเขาคงไม่ต้องการ”

กฤตลุกไปก่อน เขาใช้ตัวเลขสถิติเป็นที่พึ่งตามเคย “เขาอยากให้เราถามไหม เขาจะให้เราเข้าใจอะไรให้ถูกต้องหรือเปล่า” คำถามวิ่งเข้าวิ่งออกสมองดิฉันระหว่างที่ฝืนตัวฟังคุณพ่อคุย นานครั้งที่คุณพ่อพูดถึงความฝันของคุณพ่อให้ลูกเมียฟังอย่างรื่นเริงเช่นคืนวันนั้น แม่ก็รื่นเริงด้วย และอยากให้ดิฉันร่วมรื่นเริงกับแม่

“ดูซิ พ่อแม่รักลูกเป็นชีวิต สนุกก็นึกถึงลูก ทุกข์ก็คิดถึงลูก สุขก็อยากมีลูกร่วมอยู่ด้วย” ดิฉันคิด “แล้วนี่ลูกสองคน จะต้องอยู่คนละทาง วันหนึ่งเขาก็ทนไม่ได้”

จนกระทั่งได้จังหวะ ดิฉันลามายังห้องดิฉัน กฤตเข้านอนแล้ว ดิฉันแปลเอาว่า เขาไม่อยากให้ถาม ดิฉันบอกแก่ตนเอง “เราสบายมาหลายเดือนแล้ว เขาก็เหน็ดเหนื่อย ให้เขามีเวลาหาคำตอบ บางทีเขาจะตอบกับตัวเองก็ยังไม่ได้ วันนี้เขาเพิ่งรู้ เขาตกใจมากเหมือนกัน” ดิฉันหาข้อแก้ตัวให้สามีเพื่อปลอบตัวเอง

วันรุ่งขึ้น กฤตไปทำงานพร้อมกับดิฉันเช่นเคย เขาต้องขับรถฝ่าจราจรหนาแน่นในถนนของพระนครหลวง ดิฉันมักจะไม่รบกวนเขาระหว่างที่เขาขับรถ เย็นนั้น เขาก็ไม่กลับบ้านตามปรกติ เขาโทรศัพท์มาว่าอย่าให้คอยรับประทานอาหาร เขาหาโอกาสไปพบกับช้องเพ็ชรหรือ เหมือนเมื่อคืนหนึ่งก่อนที่จะได้ข่าวช้องเพ็ชรแต่งงาน เขาหาโอกาสไปพบกัน ดิฉันแน่ใจเช่นนั้น แล้วเขาพูดโทรศัพท์กัน เมื่อดิฉันเข้ามาในบ้าน เขาก็วางโทรศัพท์ เขาอาจไปต่อว่าช้องเพ็ชรว่าไม่บอกความจริงว่า ช้องเพ็ชรมีลูกของเขาอยู่ในห้อง เวลานี้เขาเสียดายเด็กน่ารักคนนั้น อากรรณบอกว่า ใครอยู่ใกล้จะไม่หลงรักไม่ได้

ดิฉันนั่งคุยกับคุณพ่อเรื่องการออกแบบให้นายเฉลียวต่อจากวันก่อน คุณพ่อมีความคิดฟุ้งเฟื่องต่อไป และยังสนุกต่อการพูดถึงความฝันดัง ๆ ให้มีผู้รับฟัง ประมาณ ๒๑.๓๐ นาฬิกา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดิฉันไปรับ มีเสียงของคุณลุงวัชรพูดมาทางโทรศัพท์

ลูกแก้วเรอะ ดีทีเดียว ลุงขอโทษนะ จำเป็นจริงๆ ลุงเรียกกฤตมาตั้งใจจะทำงานกันสองชั่วโมง แต่มันติดค้างเรื่อยมา คนทำงานมันก็งี้แหละหลาน ถึงจะทำงานอะไร มันก็ต้องนอกเวลามั่ง มีลูกมีเต้าแล้วไม่ใช่ฮันนิมูนนะ กฤตเขาทำเสียงออดแอดว่าลูกแก้วคงห่วงว่าหายไปนาน ลุงรำคาญ เขากำลังคิดเลขอยู่ ลุงเลยมาพูดเอง” ซึ่งดิฉันไม่ขันเลย แต่ก็โล่งใจไปบ้าง

วันรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง กฤตก็ไปทำราชการที่บ้านคุณลุงวัชรอีก เย็นวันนั้นดิฉันได้รับโทรศัพท์จากอากรรณ

“นี่ ลูกแก้ว อามันคนมีกรรม” อากรรณประดับเริ่มด้วยการปริเทวนา “อาตั้งใจไว้จะไม่รักใครตอนเลิกกับกงจื๊อ แล้วอามาดีกับเขา ก็เห็นว่าดีกว่าอยู่ไปวัน ๆ เขาทำดีมาเราก็ดีไป ทีนี้อาเกิดมาหลงรักเจ้าอาเต๊า นี่จะต้องจากกันเสียแล้ว อาทรเขาตัดสินใจจะไปอยู่ญี่ปุ่น จะไปอยู่ธนาคารที่พ่อเขาค้าขายกันอยู่ แล้วเขาให้อาเลี้ยงส่งเขา เขาบอกว่าไม่ให้เลี้ยงคนมาก ให้เอาที่สนิท ๆ กับเขา พวกที่เคยคุยกันผ้อกันก่อนเขาแต่งงานน่ะ”

“เขาจะไปเมื่อไหร่คะ แล้วอากรรณจะเลี้ยงส่งเขาเมื่อไหร่” ดิฉันถาม

“เขาบอกให้ถามลูกแก้ว เขาอยากให้ลูกแก้วมาให้ได้” อากรรณตอบมาแล้วลดเสียงให้เบาลง “ผู้ชายคนนี้มันแปลก นี่ อาอยากคุยกับลูกแก้ว ลูกแก้วจะมาได้วันไหนล่ะ”

“ไปคุยกับอากรรณหรือไปเลี้ยงส่งอาทรคะ”

“เขาจะไปเร็ว ๆ นี่แล้ว” อากรรณตอบมา “อย่าให้เลยอาทิตย์หน้า ประเดี๋ยวจะถึงเวลาพ่อเขายุ่งงานประชุมกรรมการอะไรของเขา คุณเธียรน่ะ เรื่องเลี้ยงละชอบนัก เอ่ยถึงเรื่องเลี้ยงเป็นต้องมีแขกของตัวขึ้นมามั่งเชียว”

ดิฉันรอจนกระทั่งเวลาค่ำมาก เมื่อกฤตกลับมาแล้ว ดิฉันก็บอกข่าวที่ทราบมาจากอากรรณ ดิฉันพยายามจับตาดูสีหน้าเขาโดยไม่ให้เขารู้สึกตัว เมื่อเขารับทราบแล้ว สีหน้าของเขาเต็มด้วยอาการตรึกตรอง

“เอ ถ้าวันสองวันนี้คงปลีกไปได้สักวันกระมัง เอาวันศุกร์เป็นไง คุณลุงวัชรมักแพ้ถึงวันศุกร์ ไม่งั้นท่านฟิตเรื่อย ทำงานคนหนุ่ม ๆ สู้ไม่ได้”

ดิฉันบอกอากรรณไปว่ากฤตว่างวันศุกร์ แต่อากรรณบอกว่าวันศุกรอาเธียรไม่ชอบมีงานที่บ้าน ชอบพักผ่อนและมักชอบออกไปนอกเมืองปลายสัปดาห์ อากรรณแนะว่าให้กำหนดวันพฤหัสบดีต่อไป

พอเลยสัปดาห์นั้น กฤตกับคุณลุงวัชรก็เดินทางไปมาเลเซีย อากรรณเร่งมาให้ดิฉันรับเชิญไปวันพฤหัสภายในสัปดาห์นั้น เพราะอาทรไม่อยากคอยต่อไป ดิฉันติดต่อกับพัฒนะให้ติดต่อรับส่งจันทร์ฉวีและรับส่งอินทิรา เพื่อนอื่น ๆ ก็มีคนบอกกล่าวต่อ ๆ กันไป อินทิราโทรศัพท์มาถึงดิฉันหลังจากที่ทราบวันนัด

“ดูไม่ค่อยจะมีลักษณะของคุณหญิงเขานะ แต่ก่อนนี้ถ้าเขาจะเชิญเราไปไหนสักที ต้องเป็นพิธีรีตรอง”

วันพฤหัสฯ นั้น งานของดิฉันเข้าจังหวะไม่ชุกนัก ดิฉันขออนุญาตผู้อำนวยการออกจากสำนักงานก่อนเวลาหยุดประมาณสักครึ่งชั่วโมง รีบกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็ไปบ้านอากรรณ เพราะอากรรณบอกว่าอยากให้ไปช่วยจัดผลไม้และขนมใส่จานให้สวย ๆ ดิฉันไปบ้านอากรรณก่อนเวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกาไม่กี่นาที พอหาที่รถจอดได้แล้ว ก็ไปเที่ยวดูว่าอากรรณอยู่ที่ไหน ดิฉันไปถามที่ด้านหลังของตึกในครัว ดูในสวน ไม่พบแล้วจึงขึ้นไปชั้นบน ได้ยินเสียงคนหัวเราะอยู่ใกล้ๆ ดิฉันเข้าไปใกล้ประตูห้องของอากรรณซึ่งปิดอยู่ เคาะประตูแล้วก็ได้ยินเสียงบอกให้เข้าไป เมื่อเปิดประตูแล้วจึงเห็นอากรรณนอนคว่ำอยู่บนที่นอนอันใหญ่กว้างบนเตียง หยอกล้ออาเต๊าอยู่

“ไอ้หน้าทะเล้น” อากรรณพูดพลางใช้นิ้วนางคลึงตามท้องของเด็ก “ดูซิ เขาจะมาพรากไปเสียจากย่าแล้ว ลูกแก้วเข้ามาซิ มาดูเด็กคนนี้”

เด็กคนนั้น หน้าและทีท่าเหมือนดิฉันเมื่ออายุเท่า ๆ กันนี้เกือบจะเป็นเด็กคนเดียวกัน มีผิดกันก็ดูเหมือนผิวจะขาวกว่ากันสักเล็กน้อย ที่ทำให้แน่ใจว่าลูกของดิฉันร่วมเลือดเนื้อกับเด็กคนนี้ก็คือดวงตา เป็นดวงตาเด็กฉลาด เด็กรู้คิด ตั้งแต่อายุน้อย ๆ เหมือนกัน และมีผมปรกลงมาที่หน้าผากฟายมือหนึ่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าปอยหนึ่งเหมือนกัน มีสองขวัญเหมือนกัน วิธีหัวเราะ วิธียกมือขึ้นคว้าไขว่สิ่งที่ต้องใจก็เหมือนกัน

ดิฉันยืนดูเด็กคนนั้นแล้วก็ใจหาย หรือจะเป็นเด็กมีบุญ ถ้าอาทรรักจริง เด็กนั้นก็จะเป็นทายาทกองมรดกค่านับล้าน ดิฉันภาวนาในใจ “ขอให้มีบุญเถิด อาเต๊าเอ๋ย แต่อาเต๊าในสามก๊กก็มีบุญและมีกรรม จนขงเบ้งต้องช้ำใจตาย หรือว่าทุกคนก็มีบุญและมีกรรมต่างๆกัน”

“พี่เลี้ยงมันชอบไปคุยเวลาอาเอามาเล่น พอเราจะทำอะไรก็ต้องตามหามัน” อากรรณขยับตัวจากที่นอน และทำทีว่าอยากจะเข้าห้องน้ำ “ลูกแก้วลงไปดูซิ กดกริ่งก็ไม่ได้ มันไม่เคยกับเสียงกริ่งที่นี่”

ดิฉันออกจากห้องเดินลงบันไดไป แต่ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นพี่เลี้ยงของอาเต๊า ดิฉันไม่ค่อยจะมาที่บ้านของอากรรณบ่อยนัก เพราะชีวิตไปคนละแบบ ระหว่างที่กำลังถามหาพี่เลี้ยงอยู่ ก็เห็นอาทรเดินจากที่ใดที่หนึ่งในบ้านเข้ามาหา ขณะนั้นดิฉันยืนอยู่ใกล้บันได ดิฉันเห็นเขา ทักเขาแล้วก็บอกว่ากำลังมีธุระอะไรอยู่

เขาพยักหน้ากับดิฉัน แล้วก็ออกหน้าเดินขึ้นบันได ดิฉันตามเขาไปจนถึงห้องอากรรณ

“ว่าไง อาเต๊า ทำยุ่งอะไร ฉี่ออกมาให้ที่นอนคุณย่าเปียกอีกซิ” อาทรทักเด็กที่นอนชูหัวแม่เท้าอยู่บนที่นอน

“เด็กอะไร้” อากรรณทำมือโค้ง ๆ แล้วก็ตบเข้าที่ก้นของอาเต๊า “ดูยังหัวเราะอีก ดูไม่มีความทุกข์เสียเลย แหม คนเราเป็นเหมือนเด็กตลอดไปก็จะดี”

“คุณอาจะไปทำอะไรไหมครับ” อาทรถาม

“อาเล่นกับมันจนร้อนแล้ว อยากอาบน้ำ” อากรรณว่า “พี่เลี้ยงเขาไปไหนล่ะ”

“เขาช่วยทำอะไรอยู่ในครัว ช่างเขาเถอะครับ ปล่อยให้สนุกมั่ง น่าเห็นใจคนเลี้ยงเด็ก” อาทรพูดแล้วก็ยกตัวอาเต๊าขึ้นจากที่นอน เขาเอาตัวเด็กวางบนบ่า แล้วลูบคลำผมเด็กเบา ๆ

“ถ้ามีคนช่วยอุ้มให้หายเมื่อยบ้างอะไรบ้างนะ อาอยู่กับมันได้เป็นชั่วโมง ๆ คุณปู่เดี๋ยวนี้ชักจะติดใจเหมือนกัน ถ้าได้อยู่บ้านเย็นวันไหน เป็นสั่งคนรถเอารถออกไปรับเจ้านี่มา เออ อาทรจำได้ไหม เมื่อเราเป็นเด็ก คุณพ่อรู้จักเล่นด้วยไหม” อากรรณถามลูกเลี้ยง

“ผมจำได้ว่าเล่นครับ ผมเคยเล่นใส่บาตร ไปธนาคาร พ่อหัดให้ไปฝากเงินตั้งแต่เริ่มพูดได้ แต่เล็กแค่นี้ไม่ทราบ” อาทรตอบ

อากรรณถอยหลังไปยืนพิงขอบหน้าต่าง มองดูอาทรกับอาเต๊าแล้วพูด “นี่แน่ะ อาทร อาอยากพูดอะไร พูดเสียเดี๋ยวนี้ละ ขีนรอไปคงพูดไม่ได้อีก อาเป็นคนพูดไม่ค่อยเป็น เกินไปหรือขาดไปเสมอ” อากรรณทำหน้าเก้อ ๆ แล้วพูดต่อ “อารักอาเต๊าตั้งแต่มันยังไม่เกิดมา อาภาวนาขอให้เป็นผู้ชาย เพราะจะได้สมใจคุณย่า อาอยากจะ เอ้อ ไม่ถึงกับไถ่บาป เพราะอาทำบาปกับตัวอาเองเท่านั้น แต่ก็อยากทำตัวให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นมาแล้ว อาเป็นคนไม่ค่อยมีสติหรอก เรื่องที่โกรธกันกับคุณพ่อถึงอย่าร้างกัน ก็ไม่น่าจะถึงแค่นั้น ถ้ามีผู้ใหญ่ปรึกษาหารือได้ ก็คงไม่แตกร้าวกัน อารู้ว่าคุณพ่อมีอาทรตั้งนานแล้วถึงได้โกรธกัน รู้ไหม”

อาทรมองหน้าดูอากรรณด้วยสายตาสงบ รอฟังอย่างสนใจ แต่ไม่เร่งเร้า มือเขาเล่นอยู่กับผมอาเต๊า และเขย่าตัวเด็กไม่ให้เบื่อการที่จะอยู่ในอริยาบถเดียวโดยไม่เปลี่ยน อากรรณหัวเราะแก้เก้ออีกแล้วก็พูดต่อ

“อายังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องที่อาออกไปจากบ้านเฉย ๆ อาอาย ทะเลาะกันเหมือนเด็ก ๆ แท้ ๆ คืออามีลูกผู้หญิง คุณปู่ท่านผิดหวังมาก ไม่รู้เป็นไง ท่านแต่งงานให้ลูกผู้ชายตั้งสามคน ไม่มีลูกผู้ชาย แล้วลูกอาก็ตายตั้งแต่ยังอ่อนๆ คุณพ่อก็มาเคี่ยวเข็ญให้รีบมีลูกใหม่ อาโมโหขึ้นมา อาก็ว่ามีกี่คนก็เป็นลูกผู้หญิง เด็กที่เกิดในบ้านนี้น่ะ เพราะว่าบาปหนา แล้วอาก็ว่าเขาว่าขี้ขลาดอะไรไม่รู้จักจบจักสิ้น ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิด ดูถูกอาด้วย เห็นอาใจไม้ไส้ระกำยังไง ทำไมอาจะไม่รู้ว่ามีลูก จนมันโตเข้าโรงเรียนมากี่ปี นึกว่าอาจะงมอยู่ไม่รู้อะไรมั่งเชียวเรอะ เขาว่าไงรู้ไหม เขาว่า ช่างสืบยังงี้แหละนา คุณแม่ไม่ยอมให้ไปปลูกบ้านอยู่ต่างหาก ก็เพราะกลัวจะไปรู้เรื่องเด็กคนนี้ แหม พอเขาพูดยังงั้น อาโกรธจี๊ด ด่าตั้งแต่เจ้าสัวต้นตระกูลจนถึงตัวเขา รู้ไหม อาต้องอายพี่ๆผู้ชายเขายังไง เขาไม่เต็มใจให้อาไปอยู่กับแม่ผัว เขาว่ารายไหนก็รายนั้น ไปไม่ตลอดสักราย อารักเขาเป็นบ้า เขาไม่เหมือนกับอาทรเลยรู้ไหม ช่างพูดช่างออเซาะเป็นที่หนึ่ง แต่ที่จริงน่ะ เขาเป็นพ่อที่ดีนะ เพราะเขาเป็นพ่อดีอาถึงรู้ว่าเขามีอาทร เขาไม่เคยทอดทิ้งเลย ไปหาทุกสองวันสามวัน อาแต่งงานเข้าไปอยู่ในบ้าน นึกว่าเขาเป็นลูกที่ดี อยากอยู่กับพ่อแม่ตามธรรมเนียมจีน กลายเป็นมีลูกแล้วปิดพ่อของตัว อาว่าเขางกสมบัติ กลัวจะถูกตัดจากกองมรดก อาว่าสันดานเจ๊กงกเงิน เขาเลยโกรธไม่พูดกันไปตั้งนาน อาทนอยู่เงียบ ๆ เพราะอายพี่น้องเขา”

อากรรณเข้ามารับอาเต๊าอุ้มไว้อีก ทีท่าของอากรรณอยากพูดอะไรให้อาทรฟังและให้ดิฉันฟังด้วย ชำเลืองดูหน้าดิฉันโดยคิดว่าดิฉันไม่รู้ตัว ดิฉันก็คอยจับดูสีหน้าของอาทร แต่อากรรณเป็นคนพูดยาวไม่ค่อยได้ ดิฉันต้องยั่วให้พูด “แล้วถึงจุดระเบิดขึ้นเมื่อไหร่คะ ที่อากรรณขึ้นรถกลับบ้าน”

“อยู่ ๆ กันไปไม่พูดกัน มันก็น่ารำคาญ วันหนึ่งกงจื๊อเขาก็มาง้อ เขาผัวเมียกันมันต้องให้อภัยกัน อาว่าผัวเมียกันมีอะไรก็ต้องพูดกัน เขาก็ว่า อาน่ะโกรธเป็นเจ๊กตื่นไฟ ทีคนอื่นด่าเขาว่าไอ้เจ๊ก ตัวเองทำเหมือนเจ๊กชั้นต่ำ อาโมโหเต็มที่คราวนี้ ก็เลยเก็บข้าวของออกจากบ้านไป นี่แหละ อาว่า” อากรรณหยุดไปอีก คงจะนึกหาคำพูดให้เหมาะใจไม่ได้ แต่แล้วก็พูดต่อ ตาจับอยู่ที่อาเต๊า “อาทรตัดสินใจไปอยู่ต่างประเทศคราวนี้ คงไม่ใช่เพราะอยากไปจริง ๆ เพราะคุณย่ากับคุณพ่ออยากให้อาทรทำราชการ แล้วอาทรก็เคยพูดว่าอาทรไม่มีหัวทางค้าขาย แต่ที่ไปก็คงเป็นเพราะอยากไปอยู่กันตามลำพังผัวเมีย ไม่ให้มีญาติมายุ่งเกี่ยว มันก็ดีไปอย่างหนึ่ง แต่อาก็คิดอีกทางนึงนะ ถ้ามีญาติผู้ใหญ่ให้สติบ้าง ช่วยรั้งไว้บ้าง มันก็ดีไปอีกทาง” อากรรณมองดูหน้าอาเต๊าอีก “อาว่า อามาคิดได้ทีหลังนะ ตอนที่อย่ากับคุณพ่ออาทรแล้ว อาว่า ผัวเมียอยู่ด้วยกัน มันต้องประนีประนอมกัน ถ้าอามีลูก อาคงไม่วู่วามเพราะคิดถึงลูก นี่มีอาเต๊า อาก็คิดว่า ผัวเมียจะทะเลาะอะไรกัน ก็อย่าให้ถึงแตกหักเลย แล้วก็ แล้วก็ ถ้าให้อาช่วยได้บ้างก็ดี แต่แรกอารักอาเต๊า เพราะมันเป็นหลานผู้ชาย สมใจคุณพ่อสมใจคุณย่าของอาทร แต่เดี๋ยวนี้อารักตัวเด็กมันเอง ที่จริงอาทรผ่านชีวิตมามาก อาว่าอาทรเป็นคนมีสติ แต่ก็จะไปอยู่ไกล”

“คุณอาครับ” อาทรแซงขึ้นเหมือนว่าเขาทนฟังต่อไปอีกไม่ได้ “คุณอาไม่ต้องห่วงอาเต๊า ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้นครับ แม่อาเต๊ากับผมเราพูดกันหมดทุกอย่าง ไม่ได้ปกปิดอะไรกัน”

อากรรณนิ่งไป การที่อาทรแซงขึ้น ดูเหมือนจะทำให้อากรรณเกิดกระดากที่จะพูดต่อไป จึงส่งตัวอาเต๊าให้อาทรแล้วว่า “อาจะอาบน้ำละ ลงไปข้างล่างกันก่อนเถอะ คงไม่มีอะไรจะดูกี่มากน้อย แขกไม่กี่คน” แล้วอากรรณขยับตัวไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง

ดิฉันถามขึ้น “คุณอาคะ ลูกแก้วได้ยินแต่เรื่องให้อภัยกัน ให้อภัยกัน ตกลงไม่ต้องถืออะไรกันเรอะคะ ในโลกนี้ ไม่มีอะไรผิดอะไรถูก

อากรรณกำลังจับหวีขึ้นจะหวีก่อนเข้าห้องน้ำ พอดิฉันพูดจบอากรรณก็สับหวีลงบนแปรงอย่างแรง “อย่างงี้ละนา อามันพูดให้คนเข้าใจไม่ค่อยได้ ถือซิ ทำไมจะไม่ถือ อาน่ะทำไม่ถูก แต่งงานกับเขาแล้วไปเที่ยวด่าเขาตั้งแต่บรรพบุรุษมาจะใช้ได้หรือ อาว่าเราคิดไม่ตลอด อาว่าทำอะไรให้คิดให้ตลอด ถ้าคิดตอนแรกไม่ตลอดก็ต้องช่วยกันไปให้ตลอด อาเธียรตอนเขาขอให้อาดีกับเขา อาถามเขาว่า แน่ใจรึว่าอยากให้อากลับมาเป็นเมียเขา เขาบอกว่าตั้งแต่อย่ากันแล้วก็ไม่มีความสุขเลย อาก็ไม่สบายใจเลย แต่อาดีใจที่อาทรโตขึ้นดีจริงๆ นะอาทร เพราะอย่างงั้นอาอยากให้อาทรดีเรื่อยไป แล้วก็ แล้วก็ มีอะไรให้อาช่วยได้ อาจะช่วย อานึกอาทรละก็ อามักคิดว่าเด็กมันไม่รู้อะไรด้วย ผู้ใหญ่ทำให้มันเกิดมา”

อาทรอุ้มอาเต๊าให้ถนัดมือขึ้นพลางว่า “เราไปข้างล่างกันเถอะ ให้คุณอาอาบน้ำ ผมจะพาอาเต๊าไปนั่งเล่นในสวนประเดี๋ยวแล้วจะให้พี่เลี้ยงเขาเอากลับบ้าน”

พอเขาพูดจบ เว้นระยะพอไม่ให้เป็นการรีบร้อน ออกจากห้องแล้วเขาก็พยักหน้าทำทีให้ดิฉันตามเขาไป เขาลงบันไดอย่างคนแน่ใจว่าจะไปทางไหน ออกจากตึกทางด้านข้างเดินตรงไปยังสระว่ายน้ำ พาดิฉันไปนั่งที่กลุ่มโต๊ะเก้าอี้หลังพุ่มไม้ใบหนา บังสายตาคนบนตึกและคนที่เดินอยู่บนสนามหรือในสวน นอกเสียจากจะเยี่ยมหน้าเข้ามาเลยขอบเขตของไม้ประดับที่รายรอบบริเวณสระ

พอดิฉันนั่งลงอาทรก็พูดทันที “คุณอากรรณทำให้ผมพูดกับคุณง่ายขึ้นมาก ทีแรกผมคิดกลับไปกลับมาหลายเที่ยวว่าจะขึ้นต้นพูดกับคุณยังไงดี ผมอยากถามอะไรคุณ ผมมีสิทธิ์ที่จะถามไหมก็ไม่รู้ แต่ผมขอถามก็แล้วกัน คุณได้พูดอะไรกับกฤตบ้างภายในสองสามวันนี้”

“ยังไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ” ดิฉันตอบ ประสาทของดิฉันรัวไปทั่วร่าง บังคับตัวให้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ให้เหมาะกับสีหน้าขรึมของอาทร

“ผมขอว่าคุณไม่พูดได้ไหม คุณให้เขาลืมเสียให้หมดได้ไหม”

“ลืมได้หรือคะ” ดิฉันถาม เสียงสั่นขึ้นทุกขณะ

“ได้ซี คุณน่ะแหละทำลืม แล้วเขาก็จะเลือนไป”

“คุณทำอะไรคะ คุณอาทร คุณทำเหมือนกับคุณจะไถ่บาป แต่คุณไม่ได้ทำบาปอะไรนี่”

“ผมจะต่อบุญ ไม่มีใครรู้ว่าเด็กที่พ่อแม่เขาไม่ตั้งใจจะให้เราเกิดน่ะมันเป็นยังไง ผมรักษาตัวผมมาได้แค่นี้ ผมว่าผมมีบุญ นั่นแหละ ผมเคยบอกคุณแล้วว่าพ่อผมก็เป็นคนดี แม่ผมก็ดี คุณอากรรณเธอก็ดี คุณย่าก็เป็นคนดี คุณว่ากฤตอยู่กับคุณจะมีโอกาสเป็นคนดีตามที่คุณหวัง ผมว่าอาเต๊าอยู่กับผมนี่มีโอกาสเป็นคนดีกว่าอยู่กับคนอื่น คุณจะไม่ร่วมทำบุญกับผมหรือ คุณเชื่อบุญเชื่อบาปไม่ใช่เรอะ”

ดิฉันรู้สึกตื้นตัน รับปากด้วยเสียงเบาเกือบเป็นเสียงกระซิบ “ดิฉันโมทนาค่ะ”

“เรื่องลือกันว่าอะไรเป็นอะไรไม่สำคัญ คนหัวขี้เลื่อยมีเรื่องอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ต่อให้ยาว มันแต่งเรื่องเป็นนิทานนิยายไม่เป็น ก็แต่งเรื่องคนที่รู้จัก ๆ กันไป” เขานิ่งไป แล้วเห็นว่าอาเต๊าเบื่อที่จะต้องอยู่ในอิริยาบถเดียว เขาจึงวางเด็กให้คว่ำลงบนหญ้า เด็กค่อย ๆ ทำอาการเหมือนจะคืบ ซึ่งทำให้ดิฉันคิดถึงคำพูดของอินทิราเรื่องอายุของเด็ก ดิฉันเหลือบตาดูหน้าอาทร รู้สึกว่าเขามีอะไรอยากพูดกับดิฉัน แต่จะเป็นเพราะความกระดากหรือความไม่แน่ใจ จึงยังไม่พูด ดิฉันมองดูอาเต๊าอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกเหมือนลูกของตนเองคว่ำอยู่กับหญ้า ดิฉันลุกขึ้นไปอุ้มอาเต๊ามาไว้บนตัก เนื้อนุ่มของเด็กยิ่งทำให้เกิดความสังเวช คำพูดออกจากปากโดยไม่ได้เจตนา

“อากรรณเป็นห่วงอาเต๊า”

อาทรยิ้มออกมานิดหนึ่ง “ตั้งแต่วันที่เธอโวยวายออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจวันนั้น เธอห่วงอาเต๊า เธอพูดทีเล่นทีจริงกับแม่เขาว่าถ้าเธอขอจะได้หรือไม่ แม่เขาตอบว่าเขาไม่ห่วง แต่ผมสวนขึ้นไปว่าผมหวง เธอก็เลยงง ผมว่าแม่ทุกคนรักลูก แม่อาเต๊าก็คงรักลูก เขาถึงไปหาผมวันที่คุณไปเยี่ยมเขานั่นแหละ ผมนับถือเขานะ ผู้หญิงคนนี้ คนทั่ว ๆ ไปคงว่าเขาสุนัขจนตรอก แต่ผมเปรียบเขากับนางราชสีห์จนขอบเหว” อาทรพูดมาถึงตอนนี้แล้วดูเหมือนเขาจะเกิดอยากเล่าให้ใครฟังสักคนหนึ่ง เขาเล่าต่อไปอย่างคล่องปาก “เขาไปหาผมแล้วถามว่า ผมไม่สนใจกับเงินรับไหว้ที่คุณย่าสัญญาจะให้ถ้าแต่งงานกับคนที่ท่านหาให้เลยรึ เขาถามผมว่าผมรออะไร ผมน่ะช้าไปแล้ว ตัวเขาก็ช้าไปแล้ว จะมาเล่นกีฬาเส้นทะแยงมุมกันกันอยู่ทำไม คนอย่างเขากับผมน่าจะคิดถึงเงิน”

อาเต๊าเอนศีรษะมาพิงหน้าอกดิฉันแล้วหลับตา ดิฉันจึงพยายามเอนตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้เด็กสบาย แล้วจะได้หลับไป อาทรมองดูเด็กกับดิฉันแล้วยิ้มเศร้า ๆ แล้วก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ ในขณะต่อไป “ถ้าคุณปู่ได้รู้เรื่องอาเต๊า จะมีอารมณ์ขันไหมนะ หลานแท้ ๆ ไม่ได้เป็นหลาน เพราะคุณพ่อกลัวความจริง แล้วท่านก็มีเหลน เพราะแม่เขาพูดความจริง แม่เขาบอกผมว่า เขากำลังต้องการเงินเหลือกำลัง อยากแต่งงานกับคนมีเงิน คนที่คุณพ่อเขาจะพอใจ แม่ของเขาน่ะถูกเจ้าหนี้เร่ง ตอนที่คุณพ่อเขาให้บอกหนี้ให้หมด จะใช้หนี้แลกกับหนังสือหย่า เพื่อว่าคุณทรงจะได้เป็นเมียหลวง แม่ของเขาปิดหนี้ไว้รายนึง ชอบทำโง่ ๆ อย่างนั้นเสมอ เขาว่า ถ้าคุณพ่อรู้คราวนี้ คงจะตัดเงินที่เคยให้เหลือประทังชีวิตเท่านั้น เขาทนไม่ได้ เคยใช้เงินสบาย ๆ มาเสียนานแล้ว เพราะยังงั้นเขากับผมน่ะควรจะแต่งงานกัน เขาต้องการเงินด้วยแล้วต้องการพ่อให้เด็กที่อยู่ในท้อง เพราะไม่ยังงั้นเขาจะต้องแย่งพ่อของเด็กอีกคนหนึ่งมา”

เขาหยุดพูดลงไปทันทีทันใด เหมือนกลไกที่มีลานไขแล้วหมดลงไปเฉย ๆ โดยไม่รู้ตัว

มือเท้าดิฉันเย็นเฉียบ แต่คำพูดหลุดออกจากปากด้วยความพิศวงเป็นล้นพ้น

“มันยังไงกันนะ ก็เขาก็หาผู้ชายมั่งมีเรื่อยมา”

“คุณน่าจะเห็นใจเขา เขาก็รักคนมีเสน่ห์ แต่คุณบวกความคิดฝันสวยงามเข้าไปด้วย คุณปั้นรูปนิมิต คุณเห็นภาพลูกทุ่ง รากหญ้า คุณรู้จักผมมาตั้งนาน พบกันงานศพงานอะไรต่ออะไร คุณจำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ก็ถูกละ ผมก็ไม่ได้เข้าไปสนิทสนม เพราะคุณเป็น แก้วเกลา กอกรี มีข่ายกั้นหลายชั้น

ดิฉันเผยอปากไม่ขึ้นเมื่อพูดกันมาถึงตรงนี้ อาทรกำลังทำอะไรกับชีวิตของเขา นอกเหนือจากการสงสารเด็กที่คล้ายกับเขา ภรรยาของเขาจะรักเขารึ เจ้าหล่อนรักคนได้จริงรึ ถ้าไม่มีแรงกระตุ้นว่าได้สามารถทำให้คนหลงเสน่ห์ของเจ้าหล่อนได้ เจ้าหล่อนรักคนมีเสน่ห์ หรืออยากพิสูจน์เสน่ห์ของตัวเอง พอคิดถึงอาทร คำพูดออกจากปากได้ “ดิฉันห่วงคุณอาทร”

เขากำลังทอดสายตาไปข้างหน้า พอได้ยินคำพูดของดิฉันก็หันมามองดูนิดหนึ่งแล้วก็มองไปข้างหน้าใหม่ “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมอยากพบกับคุณ ไม่ใช่เพราะอยากให้คุณห่วงผม ผมอยากนัดกับคุณว่าให้ช่วยกันเท่านั้นแหละ คนอย่างผมไม่ต้องห่วง ผมเคยรักษาตัวผมมาได้”

มีเสียงคนเข้ามาใกล้ อาทรรับอาเต๊าไปอุ้มไว้เอง เสียงคนใกล้เข้ามาทุกที จนจำได้ว่าเป็นเสียงของอาเธียรพูดกับแขกคนหนึ่ง ภายในสองนาที เลือดเนื้อของอาเธียรก็แหวกพุ่มไม้พาเชื้อสายของอาเธียรออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเสียงของอาเธียร

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ