บทที่ ๑๘

จากพฤติการณ์ในคืนที่เล่ามานั้น ดิฉันเกิดความรู้สึกใหม่ขึ้น จะเกิดจากสัญชาตญาณหรือจากความขี้หึงตัวเองก็ไม่แน่ใจ ดิฉันอดไม่ได้ที่จะเชื่อว่ากฤตได้เคยลิ้มรสที่หวานมัน หรือเปรี้ยวเค็มอย่างใดอย่างหนึ่งจากที่อื่น นอกไปจากภรรยาของตัว ทำให้ดิฉันอยากรู้มากขึ้น ว่าช้องเพ็ชรไปนัดพบกับกฤตที่ไหน และอยากรู้อย่างยิ่งด้วยว่า ตัวของตัวเองนั้นเป็นคนระแวงมากเกินไป ขึ้หึงมากเกินไป และชอบอำนาจจริงเหมือนที่ช้องเพ็ชรกล่าวหาหรือไม่ ส่วนกฤตเล่า เขาอยากออกจากวงญาติของดิฉันไปมีชีวิตอิสระ เพราะเขามีปมด้อย เขาเป็นคน “จ๋อง” อยู่ในบ้านฉัพพรรณสิริ หรือเพราะเขาใจเบา อยากได้อะไรไปตามที่เพื่อนฝูงมีและได้ หรือว่าเขาหลงเสน่ห์ผู้หญิงที่มีรสจัดกว่าเมีย หรือว่าเมียเขาจืดชืด เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ชายย่อมเบื่อหน่าย

คำถามทั้งหมดนี้ไม่ได้นำความสุขมาให้คนถามเป็นแน่ ระหว่างนั้น ดิฉันจึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่ให้คนที่แวดล้อมมองดูว่าดิฉันเป็นสุข

วิธีที่จะทำให้ตัวเป็นสุขขึ้นบ้าง และให้คนอื่นเห็นว่าตัวเป็นสุข ก็คือทำความสุขให้คนอื่น คนที่เราทำความสุขให้ได้ง่ายก็คือคนชรา คนที่หนึ่งก็คือคุณย่า เพราะได้ให้ความสุขแก่คนสองต่อ คือคุณพ่อ เมื่อทราบว่าดิฉันจะพาเหลนไปหาคุณย่าก็ยินดีมาก บอกว่า “ลูกแก้วได้ทำบุญให้พ่อด้วย พ่อไม่ได้ทำอะไรให้คุณย่าเลย ลูกแก้วไปหาท่านก็เหมือนพ่อได้ไปด้วย” ดิฉันทดลองชวนกฤตให้ไปด้วยกันในเวลาเช้าวันเสาร์ต่อจากที่ได้เจรจากันนั้น

กฤตชะงักอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังคำชวน แล้วก็รับคำ เมื่อถึงเวลาก็ไปเลื่อนรถมาคอยท่าลูกกับน้ารื่นและดิฉัน

ไปถึงบ้านคุณย่า พบอากรรณแต่งตัวทันสมัยเต็มที นุ่งกางเกงขายาวทำให้รูปทรงของอากรรณซึ่งยังสวยอยู่ได้เห็นเด่นชัดขึ้นอีก พอดิฉันพาลูกขึ้นไปหาคุณย่าที่มุขหน้าตึก คุณย่าก็พยักหน้าชี้ให้ดิฉันดูอากรรณ

“อาเขาแต่งตัวสวยไหมล่ะ อีกาคาบพริก” อากรรณนุ่งกางเกงดำสรวมเสื้อลายดำ น้ำเสียงของคุณย่ามีประชดนิดๆ และน้อยใจแทรกอยู่ “ประเดี๋ยวคุณเธียรเขาจะมารับไปเที่ยวกัน ก็ดีนะโกรธกันแล้วดีกันนี่เหมือนกับว่าได้เป็นหนุ่มเป็นสาวสองหน”

คุณย่ามีชื่อว่าเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งในวัยสาว แต่ในวัยชราท่านก็สวยตามวัยของท่าน ท่านแต่งกายพอดีกับอายุและสมัย ชอบสีนกพิราปมาก และชอบพลอยสีน้ำเงินแก่ ท่านเล่าว่า คุณปู่หมั้นท่านด้วยแหวนประดับพลอยสีน้ำเงิน “ฝรั่งเขาตั้งชื่อตามพระนามควีนของเขา ชื่ออาเล็กซานดรา พลอยน้ำเงินนี่คนไทยไม่ใช้หมั้น แต่คุณชอบอะไรสมัยใหม่ เอามาหมั้นฉันโก้ไปทีเดียว” คุณย่าจึงมีเข็มกลัดประดับพลอยสีน้ำเงิน ดุมเสื้อประดับพลอยจันทบูรสีน้ำเงินอมเทา ที่ฝรั่งตื่นเต้นกันนัก และเครื่องประดับต่างๆของท่านก็มักใช้พลอยประดับที่เป็นสีสรรในกลุ่มน้ำเงินหรือฟ้าหรือเทา

ดิฉันให้ลูกแต่งตัวสีฟ้าเวลาไปหาท่านบ่อยๆ เพราะท่านมักชมว่าสวย “ลูกคนนี้เหมือนพ่อนิดแม่หน่อย เหมือนปู่เหมือนย่า แววฉลาดน่าเอ็นดู” ท่านชมเหลนคนนี้เสมอ ท่านมีเหลนอื่นอีกสองคน แต่ลูกพี่ของดิฉันเขาไม่ค่อยจะมีเวลา หรือสนใจกับญาติชราพอที่จะพาเหลนไปหาท่านบ่อยๆ

วันนั้นเมื่อได้ทักทายกฤตกับดิฉัน และกล่าวคำขอบใจตามเคยแล้ว ท่านถามกฤต “เออ พ่อกฤตนี่เคยบวชแล้วหรือยัง”

“ตั้งใจไว้หลายหนตั้งแต่แม่ยังอยู่ แล้วมีอุปสรรคกันทุกที” กฤตตอบ ดิฉันสังเกตว่าอารมณ์ของกฤตแจ่มใสกว่าที่เป็นมา นับตั้งแต่ช้องเพ็ชรได้พบและเจรจากับดิฉัน ซึ่งดิฉันไม่ทราบว่าช้องเพ็ชรบอกแก่กฤตว่าอย่างไร

นึกไปก็ดี ไปนอกไปนามาก็ยังคิดจะบวชกัน ทีแรกนีกว่าลูกไปเมืองฝรั่งมังค่าจะมาทำหรั่ง แต่ลูกฉันได้บวชกันทุกคน บวชแล้วก็มาบอกว่าดีๆกัน”

คุณย่าเชยชมเหลนของท่าน ถามถึงสุขภาพของคุณพ่อ แล้วก็ชวนกฤตคุยถึงการปลูกองุ่น เมื่อกฤตได้ชี้แจงให้ท่านฟังพอแก่ความสนใจของท่านแล้ว ท่านก็เสริมตอนสุดท้ายของการสนทนา

“เกลานี่ใคร ๆ ว่าอาภัพแต่ฉันว่าเขามีบุญ เขามีเมียดีลูกดี แล้วยังมีลูกเขยดี ขอบใจนะพ่อนะอุตส่าห์ขับรถพาลูกเมียมาให้ย่าได้เล่นกับเหลน นี่ออกจากนี่แล้วจะไปไหนต่อไป”

ดิฉันไม่ได้คิดไว้ว่าจะไปไหนต่อไป แต่ครั้นคุณย่าถามขึ้น ก็เลยคิดขึ้นมาว่าคุณตาได้พบเหลนน้อยมาก คุณยายคนใหม่เป็นแก่คนละแบบกับคุณย่า ท่านเป็นเพื่อนเหมาะกับคุณตา ทั้งสองคนมีสุขภาพดี ยังไปเที่ยวตามต่างจังหวัดด้วยกัน มีการอภิปราย บรรยาย หรือมีมหรสพที่ไหนท่านก็ไปด้วยกัน ท่านเลี้ยงลูกกำพร้าซึ่งเป็นเด็กอายุ ๙ ขวบคนหนึ่ง และ ๖ ขวบคนหนึ่ง และรักเชิดชูเป็นเหตุให้คุณป้าวรรณแสงไม่ค่อยพอใจที่จะไปมาหาสู่กับท่าน ฝ่ายแม่ก็มีงานทำมาก มีแต่น้ารวงรัตน์ที่ไปหาท่านประมาณสัปดาห์ละครั้งเป็นประจำ เมื่อคิดขึ้นมาถึงคุณตาดิฉันจึงคิดจะชวนกฤตไปทำความคุ้นเคยให้มากขึ้นบ้าง จึงถาม

“กฤต เราพาลูกไปหาคุณทวดที่คลองประปากันมั่งไหม รู้สึกว่านานเต็มทีแล้วที่ท่านไม่ได้เห็นเหลน”

“เออ ไปซิ คุณย่าสนับสนุน แม่พรรณเขาก็ต้องดีใจ ไม่ค่อยได้ไปหาเขาเรอะ เขาก็เป็นคนอัธยาศัยดี”

“ไม่ค่อยได้ไปค่ะ ยิ่งตั้งแต่ลูกเจ็บแล้วหายมานี่ยังไม่ได้ไปเลย คุณยายกลับเป็นคนมาเยี่ยม” ดิฉันตอบ

กฤตตกลงไปตามที่ดิฉันชวน และยินยอมด้วยว่าจะกลับมาแวะเอาลูกส่งที่บ้านคุณย่าก่อนที่จะกลับไปซอยอโศก น้ารื่นจึงคอยอยู่ที่บ้านเพชรบุรี เพื่อว่าคุณย่าจะได้มีเพื่อนคุยไปพลาง ตอนค่ำคุณย่าจะให้รถของคุณย่าไปส่งน้ารื่นกับเหลนของท่าน

กฤตคุ้นกับคุณตาน้อยกว่าคุณย่าไปอีก ตั้งแต่แต่งงานดูเหมือนกฤตจะได้เคยไปที่บ้านคุณตาไม่เกินสามครั้ง ระหว่างที่นั่งไปในรถดิฉันนึกถึงข้อนี้จึงปรารภ

พอเราแก่แล้ว ลูกหลานก็คงไม่ค่อยเอาใจใส่กับเรา มีเรื่องสนุกเรื่องธุระของเขาเหมือนกันนะ จะยิ่งกว่าคนรุ่นเราไปอีก”

“วันนี้เห็นคุณย่าของลูกแก้วแล้วคิดถึงย่าพัดยังไงก็ไม่รู้ กฤตปรารภบ้าง ย่าพัดกำลังชักชวนให้การุณบวชเสียก่อนทำราชการ ตอนหยุดฤคูร้อนนี้แหละ ย่าพัดว่าถ้ารอทำงานแล้ว เดี๋ยวจะเริดราไปเหมือนกฤต”

“กฤตไปพบย่าพัดมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ดิฉันถามด้วยความระแวงขึ้นมาทันที คิดว่าเขาจะได้ออกไปนอกพระนครกับช้องเพ็ชรโดยดิฉันไม่ทราบ

“ไม่ได้พบหรอก การุณมาปรึกษา”

“แล้วการุณว่าไงล่ะ”

“เห็นว่าตัวเขายังตอบไม่ได้ ใจยังห่วงสอบ”

ดิฉันคิดต่อไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างช้องเพ็ชรกับกฤตจนไม่รู้ตัวว่ารถเลี้ยวเข้าซอยเล็กอันเป็นทางตัดเข้าบ้านคุณตา ลูกนั่งหลับมาบนตักอย่างสบาย เมื่อรถมาจอดหน้าประตูซึ่งปิดอยู่ ดิฉันจึงรำลึกขึ้นมาและพูด

“เราควรจะโทรศัพท์มาก่อนก็จะดี คุณตาคุณยายท่านไปไหน ๆ เก่ง จะอยู่บ้านไหมก็ไม่รู้”

มีคนมาเปิดประตูให้รถเข้าบ้าน พอเข้าไปก็เห็นรถเบนซ์สีงาช้างจอดอยู่ที่ข้างเรือนใหญ่ กฤตจำได้ว่าเป็นรถของคุณลุงประจิต สีหน้าของเขาชื่นขึ้นมาทันที เมื่อเราอุ้มลูกขึ้นไปบนเรือนใหญ่ ก็เห็นคุณลุงประจิตนั่งอยู่กับคุณตาและคุณยาย และคุณลุงวัชรลูกชายใหญ่ของคุณตาซึ่งเกิดแต่ภรรยาคนแรกของท่านก็นั่งอยู่ด้วย

เมื่อได้ปฏิสันถารกันตามธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว และคุณยายอุ้มเหลนชมเชยด้วยความพอใจ คุณลุงประจิตก็พูดขึ้น

“กำลังอยากพบกฤตอยู่ทีเดียว คุณวัชรปรึกษาเรื่องธนาคารโลกเขาจะมาสำรวจกิจการของกรม คนที่ท่านเคยใช้ติดต่อในเรื่องที่จะกู้เงินเขาเจ็บหนัก น่ากลัวไม่หาย เขาว่าเป็นมะเร็ง ไม่รู้จะไปเนรมิตนักเศรษฐกิจจากไหนมาพูดกับฝรั่งให้ลงรอยกันได้ง่าย ๆ ลุงกำลังเสนอแนะว่าให้ขอยืมตัวกฤตมาจากสำนักนายกรัฐมนตรี”

คุณลุงวัชรซักไช้กฤตถึงงานที่เขากำลังทำอยู่ และประสพการณ์ในราชการ เมื่อซักถามอยู่ประมาณ ๑๕ นาทีแล้วท่านก็ว่า “งานที่เธอทำเกี่ยวกับการพัฒนาชนบทน่ะ มันเป็นงานติดต่อกันนาน มันทำประโยชน์ให้ชาติมากก็จริง แต่ในทีมเขาก็มีคนดี ๆ ช่วยกันอยู่หลายคน เธอจะสนใจทำงานใหม่นี่ไหมล่ะ เห็นคุณประจิตยกย่องว่า ทางภาษากับการเข้ากันกับคนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เธอออกจะเด่นใช่ไหม คุณประจิต”

“กฤตใช้ภาษาดี แล้วรู้ตัวด้วยว่าดีแค่ไหน ไม่ดีแค่ไหน เขาใช้ประโยคสั้น ๆ เข้าใจง่าย แล้วเขาพูดจากับใครรู้เรื่องง่าย” คุณลุงประจิตยกย่องต่อไป

“คนมีความรู้สมัยนี้หาได้เยอะ” คุณลุงวัชรว่า “แต่คนทำงานได้หายากจริง ไม่รู้เป็นไงหนุ่ม ๆ สมัยนี้ดูอยากโตเร็วกันเสียจริง โดยเฉพาะพวกที่ได้ดอกเตอร์มา ดูจะเรียกร้องเอาให้คุ้มกับที่ได้เรียน ไม่ได้นึกว่าทีจริงตัวเรียนด้วยเงินของคนอื่นเขาแท้ ๆ ไม่ใช่เงินของตัวสักที”

“คนหนุ่มสมัยนี้มันสับสน” คุณลุงประจิตว่า “ตัวได้โอกาสไปเรียน ไม่คิดเรื่องจะทำงานให้สมกับที่ตัวได้ไปเรียน คิดแต่ทางจะหารางวัลให้ตัวเองค่าเรียนดี มันโตแต่ตัวใจยังเป็นเด็ก ขอรางวัลแม่ค่าไปโรงเรียน ยังไม่รู้คุณของพ่อแม่ที่อุตส่าห์ให้ได้เล่าเรียน”

ดิฉันชำเลืองดูหน้ากฤตด้วยใจระทึก หวังว่าเขาไม่ได้คิดไปว่าดิฉันเคยนำเรื่องที่เขาอยากออกจากราชการไปให้ท่านทราบ แล้วให้ท่านมาอบรมเขาทางอ้อม เขาจะนึกได้หรือไม่ก็ไม่ทราบว่าดิฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาที่บ้านนี้เลย

“แต่เด็กของผมคนที่เจ็บ เขาไม่ได้เป็นอย่างนี้หรอกนะ” คุณลุงวัชรว่า “มันดีมากเทียวเสียดายเหลือเกินกำลังจะทำงานชิ้นใหญ่ ทำงานชิ้นนี้สำเร็จก็ต้องได้ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยปีนี้แหละ ว่าไงเธออยากลองดูไหม”

“เอาซี” คุณลุงประจิตสนับสนุน “งานมันน่าทำ มันท้าทาย ใช้สำนวนฝรั่งเสียหน่อย เราได้มีโอกาสทำงานสำคัญให้บ้านเมือง แล้วผลสำเร็จก็เห็นง่ายเป็นชิ้นเป็นอัน งานที่กฤตทำอยู่มันเป็นงานกุศล ช่วยเหลือคนในชนบทห่างไกล มันก็ดีแต่นานกว่าจะเห็นผล”

ดิฉันอ่านสีหน้ากฤตไม่ออก เขาตรึกตรองอยู่นานแล้วจึงตอบ “ผมต้องขอศึกษาเรื่องราวละเอียดเสียก่อน” เป็นคำตอบผ่อนปรน

“นี่ นี่ กฤตเขาเป็นคนสุขุมอย่างนี้” คุณลุงประจิตพูดอย่างพอใจ “ใจแก้วเขาโชคดี ได้ลูกเขยคนนี้”

“วันจันทร์ นี่ไปหาผมที่กรมเลยนะ ๑๐ โมงว่างไหม” คุณลุงวัชรถาม “ฝรั่งเขาจะมาเดือนหน้า เราต้องเตรียมงาน จะให้ใครเป็นตัวแทนฝ่ายเรา ติดต่อทำงานร่วมกับเขา ต้องเตรียมงานทั้งที่เตรียมมาแล้ว แล้วก็ที่จะทำต่อไปเมื่อฝรั่งไปแล้ว”

คุณลุงสองคนกับคุณตาสนทนากันเรื่องกิจการต่าง ๆ ต่อไป คุณยายฟังด้วยความสนใจ ดิฉันจึงนั่งฟังอยู่ด้วย น้าเล็กๆ ของดิฉันสองคนมารับลูกดิฉันไปเล่น อยู่ที่บ้านคุณตา ๔๐ นาที คุณลุงประจิตบอกลาก่อน ขณะที่ลุกไปคุณลุงหันมาพูดกับกฤต “วันจันทร์ไปหาคุณลุงวัชรแล้ว โทรศัพท์ไปหาลุง ถ้าว่างไปกินข้าวด้วยกัน จะได้ปรึกษากันเรื่องจะเปลี่ยนงานจะดีหรือไม่ดี”

เมื่อไปส่งลูกที่บ้านคุณย่าไว้แก่น้ารื่นแล้ว ดิฉันชวนกฤตไปหาอาหารกลางวันรับประทานด้วยกันที่ร้านอาหารจีนซึ่งมีกับข้าวแปลก ดิฉันไม่ถามเขาเรื่องงาน ชวนพูดคุยเรื่องของเพื่อนฝูงและญาติ ไม่ได้เอ่ยถึงช้องเพ็ชร กฤตสนทนาอย่างธรรมดา สังเกตไม่ได้ว่าเขามีอารมณ์อย่างไร เพราะการชักชวนให้เปลี่ยนงาน กลับบ้านเวลาไม่บ่ายนัก ดิฉันรู้สึกเพลียจึงนอนหลับไป ระหว่างที่ดิฉันหลับ กฤตออกจากบ้านไปโดยไม่ได้เอารถไปด้วย

กฤตกลับมาบ้านพอดีเวลาอาหารค่ำ ดิฉันไม่ถามว่าเขาไปไหนมา รอให้เขาบอกเอง ถามพอเป็นมารยาทว่า “ไปเที่ยวมาหรือคะ?” แล้วก็เสไปเล่าเรื่องอะไรเรื่องหนึ่งให้แม่ฟัง เพราะแม่นั่งรออาหารอยู่ที่ระเบียงหน้าใกล้โต๊ะอาหาร คุณพ่อก็มีเรื่องคุย ท่านรีบเล่าให้กฤตฟังถึงข้อคิดเห็นทางเศรษฐกิจที่ท่านได้อ่านในหนังสือเล่มหนึ่ง กฤตจึงคุยอยู่กับคุณพ่อ รับประทานอาหารแล้ว น้าโรจน์มาร่วมการสนทนาด้วย จนถึงเวลาที่เคยเข้านอน น้าโรจน์ลาไปแล้ว ดิฉันก็เข้าห้องนอน กฤตก็ตามเข้าไปอย่างปรกติ คืนนั้นผ่านไปอีกคืนหนึ่ง โดยไม่มีพฤติการณ์อะไรที่ต้องหมายตาไว้เป็นพิเศษ

ดิฉันรอเวลาค่ำวันจันทร์ อยากทราบว่ากฤตจะมีข่าวอะไรมาบอกหรือไม่ กฤตกลับมาถึงบ้านค่ำกว่าปรกติมาก มาถึงพอดีอาหารค่ำตั้งรออยู่แล้ว คุณพ่อบอกให้ไปอาบน้ำเสียก่อน แต่กฤตขอรับประทานอาหารเพื่อว่าจะอาบน้ำแล้วก็เข้านอนเลย

ดิฉันอดใจไว้ไม่ถามเขาเรื่องที่คุณลุงประจิตนัดให้ไปพบ ดิฉันให้นมลูก อาบน้ำแต่งตัวสำหรับเข้านอนให้ลูกด้วยความช่วยเหลือของน้ารื่น แล้วตัวเองก็ทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่งก่อนเข้านอน ในห้องเงียบสงบแล้ว กฤตจึงเข้าห้องน้ำ ออกมาจากห้องน้ำก็เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสำหรับเข้านอน ดิฉันลอบถอนใจ และเตรียมใจว่าจะไม่ได้รับทราบเรื่องงานของเขา พอดีกฤตพูดมาจากที่นอนของเขาว่า

“ลูกแก้วจะเลือกเอาทางไหน กฤตไปอยู่ชนบทสองเดือน กับไปอเมริกาสองเดือน”

ดิฉันกลืนน้ำลายก่อนตอบ ระวังเสียงไม่ให้เครือ เพราะอารมณ์ที่เกิดขึ้น “เหมือนกันสำหรับลูกแก้ว กฤตจากไปไหน ลูกแก้วก็คิดถึงเท่ากัน”

“สำหรับกฤตล่ะ ลูกแล้วคิดว่ากฤตควรเลือกไปทางไหน” เขาถามน้ำเสียงมีหัวเราะน้อย ๆ ปนอยู่ เป็นเชิงเย้ากลาย ๆ

“ก็แล้วแต่กฤต กฤตจะสนุกไปทางไหนล่ะจ้ะ กฤตเคยมาแล้วทั้งสองอย่างนี่” ดิฉันพูดแล้วนิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง กฤตก็นิ่งอยู่ ดิฉันจึงเสริม “ชนบทนี่ไม่หมายความว่าเสี่ยงอันตรายไม่ใช่เรอะ”

“ก็มีเสี่ยงเหมือนกันละ” เขาตอบ น้ำเสียงอย่างเดิม

“ถ้าไปที่เสี่ยงอันตรายก็คงใจคอไม่สบายบ้าง” ดิฉันว่า

กฤตนิ่งไปอีก สักครู่หนึ่งเขาจึงว่า “ถ้าไปทำงานกับคุณลุงวัชร ก็ต้องไปต่างประเทศภายในเวลาเร็วๆนี้ แล้วก็ดูเหมือนจะมีการต้องไปต้องมาหลายหน ถ้าอยู่ที่เก่า เวลานี้เขากำลังต้องการคนออกไปประจำในถิ่นกันดาร แต่ก็เข้า ๆ ออก ๆ เพราะหน้าที่ต้องเที่ยวช่วยเหลือดูแลพวกหนุ่ม ๆ ที่ทำงานตามจุดพัฒนาต่าง ๆ ช่วยตรวจช่วยติดต่อช่วยแก้ปัญหาให้แก”

“เรื่องการทำงาน มันแล้วแต่ตัวของเราเอง กฤตรู้สึกว่า จะมีความสุขอยู่กับงานชนิดไหนล่ะ” ดิฉันถามเป็นกลาง ๆ ไว้

เขาไม่ตอบคำถาม แต่ปรารภ “สังเกตดูนะ คนทำราชการรุ่น ๆ เดียวกับผมนี่น่ะ ไม่ค่อยมีคนที่เป็นลูกท่านหลานเธอรุ่นเก่า อย่างพวกคุณน้า ๆ หรือพี่ ๆ น้อง ๆ ของลูกแก้ว หรืออย่างช้องเพ็ชร” ดิฉันเสียววาบเมื่อได้ยินกฤตเรียกชื่อเพื่อนของดิฉันคนนั้นขึ้นมา แล้วกฤตพูดต่อไป “มีบ้างก็เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ที่ได้ทุนเล่าเรียนรัฐบาล แล้วก็มีพวกผู้หญิง นอกนั้นพ่อแม่ปู่ตาเป็นคนที่ไม่เคยเป็นขุนนางในสมัยก่อน พวกลูกหลานขุนนางสมัยก่อน ถ้าฐานะดี ลูกหลานก็ทำงานธนาคาร หรือสำนักงานทนายความ หรือบริษัทฝรั่ง”

“คุณลุงประจิตเคยตั้งข้อสังเกตเหมือนกฤตอย่างนี้แหละ” ดิฉันว่า แล้วคุณลุงก็อธิบายไว้เอง น้าเรืองน้าโรจน์โตระหว่างที่รัฐบาลกำลังแบ่งพวกเจ้ากับพวกรัฐบาล พวกที่อาจเข้าข่ายพวกเจ้าก็ไม่กล้าทำราชการ เพราะว่าติดคุกติดตารางกันง่ายๆ สมัยนั้น ยิ่งอยู่ห่างราชการเท่าไหร่ก็ปลอดภัยเท่านั้น พวกต่อๆมา ก็เลยเห็นผลว่าทำงานราษฎร์สบายกว่าหลายทาง ก็เลยคิดหนีราชการกัน”

“คุณลุงประจิตทำไมทำมาได้ แล้วคุณลุงวัชรก็ทำมาได้” กฤตตั้งคำถาม

“คุณลุงวัชรน่ะคุณตาท่านเคยบอกว่าดวงชาตาขุนนางติดตารางมาหนหนึ่งแล้ว พอเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยเกิดถูกขอร้องให้เข้าไปช่วย ส่วนคุณลุงประจิตน่ะ ท่านถือว่าต้องยึดราชการไว้ คนที่รักบ้านรักเมืองต้องอดทน ท่านเป็นคนละมุนละม่อม ท่านโอนอ่อนเป็นครั้งคราว พอถึงทีจะแข็งได้ก็แข็ง ใคร ๆ เขาว่าหาคนอย่างคุณลุงประจิตได้ยาก ท่านถึงยกย่องกฤตนักว่า เป็นคนเข้าเด็กเข้าผู้ใหญ่ได้ เพราะท่านเป็นคนอย่างนั้น”

“คุณลุงประจิตก็เคยออกจากราชการคราวหนึ่งไม่ใช่เรอะ ระหว่างออกท่านไปทำอะไร”

ท่านถูกฟ้อง ถูกให้พักราชการ ระหว่างที่ถูกพักท่านเขียนหนังสือขาย ท่านไปเที่ยวศึกษาภูมิประเทศทั้งในเมืองไทยทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ท่านใจเย็นประหลาดเลย พอเขาพิศูจน์ว่าท่านไม่มัวหมอง ท่านก็กลับเข้าไปทำงานเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ท่านว่าเราชนะแล้วจะไปโกรธเขาทำไม คุณพ่อยังว่าถ้าเป็นคุณพ่อก็ทนไม่ไหว บางคนอย่างน้าโรจน์นี่แหละ เขาก็ว่าท่านว่าเป็นโรคราชการขึ้นสมอง”

“ท่านไม่มีหนี้มีสินที่ต้องเป็นห่วงผูกคอเหมือนเรา” กฤตพูดเหมือนปรารภแก่ตนเอง

ดิฉันเกิดสงสารกฤต ด้วยความรักที่มีอคติไปว่า เขาเปรียบฐานะเขากับเพื่อนที่คบหากัน เป็นธรรมดาคนที่มีฐานะเด่นขึ้นมากว่าพี่น้อง แทนที่จะคิดย้อนไปถึงว่า เปรียบตัวเขากับการุณ กับยงลูกชายอาลำใย ขึ่งต้องผิดหวังสอบเข้าเรียนในสถานอุดมศึกษาอันใดไม่ได้ เขามีโชคชาตาดีกว่ามากนัก เขาย่อมคิดไปในทางว่าเขาไม่มีบ้านเป็นอิสระอย่างเชี่ยว ไม่มีเงินเดือนสูงอย่างพัฒนะ ไม่มีใครจะหยิบยื่นสมบัติให้เหมือนอาทร ไม่มีใครคอยจะยกย่องเหมือนคุณลุงประจิตหรือคุณลุงวัชร เขาคิดไปไม่ถึงว่าคนทั้งหลายได้ใช้เวลาสะสมทรัพย์และฐานะมาเป็นเวลานาน แต่ดิฉันสงสารพลางก็นึกเสียใจไปด้วย เหตุใดเล่ากฤตของดิฉันจึงขาดสติ กฤตผู้ที่คนอย่างคุณลุงประจิตยกย่องว่าเฉลียวฉลาด มีความสามารถ ทำงานเก่งเข้าคนได้ เหตุใดเขาจึงไม่รำลึกถึงเกียรติที่ดิฉันว่าเป็นเกียรติสูงของพลเมืองไทย เกียรติของเขาคืออนาคตของชาติ เขาเป็นตัวแทนคนจำนวนล้าน ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศยิ่งเสียกว่าตระกูล กอกรี หรือฉัพพรรณสิริ หรือตระกูลใด ๆ ที่คบหาสมาคม ขอลูกสาวแต่งงานลูกชายพัวพันกันไปมา และเขาได้โอกาสมาเป็นผู้บริหารประเทศชาติด้วยคนหนึ่ง ทำไมเขาคิดไปไม่ถึงว่า อนาคตเป็นของคนตระกูล มีนา หาใช่ของตระกูลที่เป็นญาติของดิฉัน หรือของช้องเพ็ชร คิดแล้วก็มีความผิดหวัง เกิดความรู้สึกว่าในอกส่วนลึกนั้นมีอะไรทับอยู่หนัก ๆ แต่อกนั้นกลวงขาดเนื้อหาสสารที่ควรมี

ดิฉันพูดอะไรต่อไปไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะพูดกระแทกกระเทือนใจกฤต เมื่อเห็นดิฉันนิ่งไปกฤตก็คงจะนึกน้อยใจ เขาจึงไม่พูดอะไรต่อไปเช่นกัน แล้วต่างคนก็ต่างพยายามพักผ่อนและหลับไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ