บทที่ ๓

ดิฉันทราบดีว่า ถ้าหากว่ากฤตกับดิฉันตัดสินใจจะแต่งงานกันเมื่อใด จะต้องมีการทักการประท้วงจากญาติทั้งข้างฝ่ายคุณพ่อและข้างแม่ไม่มากก็น้อย สำหรับญาติทางแม่นั้น ดิฉันมีความสำคัญพอดู เพราะนอกจากคุณป้าวรรณแสงแล้วพี่น้องของแม่ไม่มีลูกผู้หญิง ทั้งน้าเรืองและน้าโรจน์มีแต่ลูกผู้ชาย และแม่เป็นที่รักของน้อง ๆ มาก ดิฉันจึงเป็นที่รักของน้า ๆ มากไปด้วย น้าโรจน์น้าเรือง ถึงแม้จะเป็นคนหัวใหม่ แต่จากประสพการณ์ น้าสองคนได้พบว่า คนที่ขาดการอบรมมาจากบ้านด้วยความเอาใจใส่ ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนมากกว่าทางบ้าน มักจะมีความคิดเห็นที่น้าสองคนใช้คำว่า “เขว่อว” ซึ่งเป็นคำแปลยาก มีความหมายไปในทางว่า มักตื่นเต้นกับความก้าวหน้าไม่ว่าในด้านราชการหรือวิชาการ มากหรือเร็วเกินไป และมักมีสายตาสั้นและแคบ ซึ่งน้าเรืองและน้าโรจน์เล่าถึงเพื่อนของตนในเรื่องนี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะคนที่ได้ปริญญาเอกมาจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งน้าทั้งสองคบหาเป็นเพื่อนให้ความสนิทสนม แต่ไม่ค่อยมีความนับถือนัก

ข้างฝ่ายญาติข้างคุณพ่อ ก็ได้รับประสพการณ์ที่เป็นไปในทางไม่ค่อยดี เกี่ยวกับการสมรสกับคนที่ต่างกันโดยตระกูลและเผ่าพันธุ์ อาผู้หญิงน้องคนสุดท้องของคุณพ่อ ชื่อกรรณประดับ ได้แต่งงานกับชายที่เป็นลูกขุนนางชั้นพระยาเสมอกับตน แต่สืบตระกูลมาจากจีน และยังยึดถือประเพณีจีนเคร่งครัด เมื่อเจรจาติดต่อระหว่างสองครอบครัวเพื่อจะทำการสมรส ก็มีความเห็นขัดแย้งกันในเรื่องการปลูกเรือนหอ ทางฝ่ายชายต้องการให้สะใภ้ไปอยู่กับครอบครัวของสามี ฝ่ายหญิงก็อยากยึดธรรมเนียมเดิมของไทย คือฝ่ายหญิงให้ที่ดิน และฝ่ายชายปลูกสร้างและเรียกร้อง ให้ฝ่ายชายลงชื่อหญิงในโฉนดที่ดิน แต่ภายหลังการโต้ตอบกันไปมา อาของดิฉัน ซึ่งมีความรักผู้ที่จะมาเป็นสามีเธอมาก ก็ขอให้คุณปู่ยินยอมให้เธอไปอยู่กับครอบครัวของสามีตามที่ฝ่ายชายเรียกร้อง แต่แล้วการสมรสเธอก็ล้มเหลว เธอต้องทิ้งบ้านของสามี และทรัพย์สมบัติที่คุณปู่คุณย่าลงทุนในการสมรสของเธอ กลับมาอยู่กับบิดามารดาตั้งแต่หย่าขาดจากสามีแล้ว อากรรณ จะใช้คำไอ้เจ๊ก สำหรับคนที่มีเชื้อสายจากคนจีนเป็นปรกตินิสัย

แต่เมื่อดิฉันกลับจากการดูงานที่นิวซีแลนด์กับคุณลุงประจิต มาถึงบ้านในระยะแรก สิ่งที่ดิฉันเอาใจเฝ้าแขวนไว้คอยดูว่าจะเคลื่อนไหวไปทางใดก็คือ ความรู้สึกของกฤตต่อดิฉัน เขาจะใคร่ให้มันเปลี่ยนจากมิตรภาพไปเป็นยิ่งกว่านั้นหรือเปล่า และเมื่อดิฉันแน่ใจว่าเขามีความปราถนาเช่นนั้น ตัวดิฉันจะตอบสนองความรู้สึกของเขาอย่างไร

วิธีการที่ชายหนุ่มติดต่อกับหญิงสาวนั้นต่างกันแต่ละคน ดิฉันเคยสังเกตมา ดิฉันเคยมีเพื่อนผู้ชายที่ญาติทุกคนเห็นดีงามอยากให้มิตรภาพของเราเปลี่ยนไปในทางสนิทชิดเชื้อกันที่สุด เขาก็มีความเชื่อมั่นในตัวเขามาก ทุกครั้งที่เขามาที่บ้าน เขาจะบอกแม่ภายในเวลาไม่กี่นาที

“วันนี้คุณอาเลี้ยงผมใช่ไหมครับ”

แม่ก็จะรับรองให้เขาเป็นแขก และเมื่อน้าเรืองหรืออาโรจน์อยู่บ้าน และทราบว่าเขามาอยู่ที่เรือนของแม่ น้าชายของดิฉันก็จะมาต้อนรับด้วย ชวนสนทนาเรื่องต่าง ๆ ยั่วเย้ากันเช่นคนเพศเดียวกันแต่ต่างวัยกันจะทำแก่กัน แล้วน้าชายก็จะลากลับไปเรือนของตน แล้วเขาก็จะร่วมกินอาหารกับครอบครัวของดิฉัน ความสัมพันธ์ดังว่านี้ดำเนินไปได้ประมาณ ๑๐ เดือน ดิฉันก็ไม่ชอบใจกิริยาอาการมั่นใจของเขา และเบื่อหน่ายการสนทนาของเขาถึงเพื่อนและญาติที่เรารู้จักร่วมกัน ดิฉันมีความรู้สึกว่าดิฉันรู้จักเขาทุกแง่ทุกมุม ไม่มีอะไรต้องศึกษาต้องพินิจ แล้วก็หมดความสนใจแล้วไม่ช้าเขาก็ห่างเหินไป ต่างคนต่างไม่ได้บอกแก่กันว่าเหตุใดเราจึงห่างกันไป คุณพ่อและแม่ก็ไม่เคยถามถึงสาเหตุมีแต่คุณป้าวรรณแสงถาม

“ทำไมพ่อนั่นหายไป ไม่เห็นมาที่บ้านใจแก้วอีกล่ะ เสียดาย สมชาติสมตระกูลเสมอกัน”

ประมาณอีกหนึ่งปีต่อมา เพื่อนของดิฉันคนนั้นก็สมรสกับสตรีที่มีชาติตระกูลผิดแผกจากเขามาก คือบิดาของเจ้าสาวเป็นคนไทยที่เพิ่งโอนชาติได้ประมาณ ๑๐ ปี เขาเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง เจ้าสาวอายุแก่กว่าเจ้าบ่าวสองปี ได้รู้จักกันในสหรัฐอเมริกา แล้วได้มีโอกาสทำความสนิทสนมกันใหม่หลังจากที่ดิฉันห่างจากเจ้าบ่าวมา ของรับไหว้จากบิดาแก่เจ้าสาวคือ ตึกหลังหนึ่งราคา ๒ ล้านบาทพร้อมด้วยเครื่องเรือน และรถอัฟโรเมโอสำหรับเจ้าบ่าว

อีกคนหนึ่ง ว่าโดยชาติตระกูล เขามิได้เป็นคนต่ำต้อย ถึงหากว่าบรรพบุรุษของเขาจะไม่ได้รับราชการ มีบรรดาศักดิ์สูงมาหลายรัชกาล แต่บิดาของเขาก็เป็นอธิบดีกรมใหญ่กรมหนึ่ง อีกทั้งมีชื่อเสียงว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด เขาเข้ามาติดต่อกับดิฉันด้วยทีท่ามั่นใจคล้ายกับคนที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ใช้วิธีเชิญแม่และน้า ๆ ไปรับประทานอาหารที่บ้านของเขา หรือมาชักชวนให้ไปเที่ยวชายทะเล ซึ่งเขามีที่พักอยู่ทั้งสองฝั่งของอ่าวไทย หรือขอให้บิดาติดต่อกับอธิบดีกรมนั้นกรมนี้ ขอใช้ที่พักของราชการสำหรับเขาจะได้พาญาติผู้ใหญ่ผู้น้อยของหญิงสาวที่เขาติดต่ออยู่ไปหาความสำราญ ของกำนัลที่เป็นเครื่องบริโภคและอุปโภคมีมาเป็นระยะ ๆ ไม่ห่างกัน แต่แล้วก็ค่อย ๆ ห่างไปเช่นคนแรก โดยตัวดิฉันยังมิได้เกิดความรู้สึกไปในทางที่จะตอบสนองความสนใจของเขามากน้อยอย่างไร และภายในปีหนึ่งต่อมา เขาก็ทำการสมรส เจ้าสาวของเขามีฐานันดรศักดิ์เนื่องในพระราชวงศ์ และเป็นทายาทของญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง นัยว่าจะได้รับมรดกร่วม ๕ ล้านภายในอนาคตอันใกล้ นอกจากนั้นยังเป็นผู้ที่มีชื่อว่าเป็นหญิงงามชั้นที่หนึ่งในประเทศไทยด้วย

“เราเป็นแม่มันต้องช่วยลูกเราบ้าง” คุณป้าตำหนิแม่ “ไอ้ที่ว่าสมัยใหม่ แล้วแต่หนุ่มแต่สาวน่ะไม่จริงหรอก พ่อแม่เขาต้องหมายตาไว้ แล้วก็หาวิธีสนับสนุน เพียงแต่ไม่ถึงแก่เลือกให้ตามใจเหมือนพ่อแม่แต่ก่อนเท่านั้น”

แม่เล่าให้คุณพ่อฟัง คุณพ่อว่า “ไอ้เราคงไม่มีความสามารถ แต่ฉันเชื่อดวงชาตามากกว่า”

“ฉันน่ะไม่สามารถแน่” แม่รับรอง “ตัวเองคิดว่าคงไม่ได้แต่งกับใคร แล้วทำใจจะไม่แต่งด้วยซ้ำ มันให้บังเอิญพบเนื้อคู่เข้า”

แม่ถูกคู่รักวัยเด็กละไป โดยไปนำภรรยามาจากต่างประเทศ แล้วแม่ก็หมดความสนใจในเรื่องที่จะแต่งงาน แต่ระหว่างที่คุณพ่อไปศึกษาเพื่อปริญญาโทอยู่ต่างประเทศ แม่ก็ได้รับทุนไปดูงาน ได้ไปทำความรู้จักกันสนิทขึ้นกว่าที่เคยพบกันระหว่างที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เมื่อกลับจากต่างประเทศก็บังเอิญให้มีโอกาสวิสาสะกัน แล้วคุณพ่อจึงขอแต่งงาน แม่ยินยอมแต่งงานด้วย เพราะเพื่อนและญาติช่วยกันสนับสนุนว่าคุณพ่อเป็นคนดีมาก และสองตระกูลก็เคยวิสาสะกันมาเป็นครั้งเป็นคราวคิดแล้วก็ได้ ๓ ชั่วอายุบรรพบุรุษ

ระหว่างที่มีการซุบซิบกันเรื่องที่ชายคนหลังเลิกมาติดต่อกับดิฉัน และไปสมรสกับหญิงที่สูงศักดิ์และเหนือดิฉันทั้งด้วยทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติ แม่เล่าว่าน้ารื่นเคยเข้ามาถาม

“คุณเสียดายหรือเปล่าคะ”

“เอ ตอบไปแล้วจะตรงกับความจริงไหมก็ไม่รู้” แม่ว่า “ฉันว่าฉันเฉย ๆ ไม่เห็นลูกแก้วใจจดจ่ออะไรนัก”

“คุณอย่าไปเสียดาย คนมีนัยน์ตาแต่ไม่มีแวว” น้ารื่นพูดเป็นเชิงสั่ง ไม่เป็นเชิงปลอบ

“รื่นรู้หรือเปล่าว่าเจ้าสาวเขาเทียบได้กับนางสาวไทย แล้วก็จะมีสมบัติเป็นล้าน” แม่ถาม

“คุณเกลากับคุณมีสมบัติกันเป็นล้านหรือเปล่า แล้วเวลาคุณเกลากลายเป็นคนพิการ คุณคิดเสียดายว่าคุณมาแต่งงานกับคุณเกลาหรือเปล่า” น้ารื่นย้อนถาม

“ตอนนี้ตอบได้อย่างมั่นใจ รู้สึกว่าตัวมีบุญเหลือเกินที่มีสามีอย่างคุณเกลาของรื่น” แม่หาโอกาสพูดให้น้ารื่นรู้สึกเป็นเจ้าของคุณพ่อเสมอ “ถ้าเป็นคนอื่น ไม่รู้จักอดทน ทำให้เราลำบากใจต่าง ๆ ฉันคงเป็นโรคประสาทไปอีกคน แต่จริงๆ นะ ตั้งแต่คุณเกลาพิการ ฉันรักคุณเกลามากกว่าแต่ก่อนแยะ”

“นั่นซี เรื่องอยู่ด้วยกัน มันไม่เกี่ยวกับเงินล้าน คุณดูคุณกาจซี นั่นก็เมียรวย เพ็ชรพราวไปหมด แล้วคุณกาจก็เที่ยวมีอะไรต่ออะไรหลบไว้ที่นั่นที่นี่ ดิฉันไม่รับประทานหรอกพรรณยังงั้น”

วิธีของกฤตนั้นดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เขามาหาที่บ้านดิฉันเท่าที่จะหาโอกาสมาได้ หน้าที่ราชการเกี่ยวกับการพัฒนาชนบท ทำให้เขาต้องออกไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ เขาใช้เป็นโอกาสมาหาดิฉันทุกครั้งที่กลับมา มีของฝากมาให้คุณพ่อหรือแม่ บางครั้งก็มีให้ลูกชายน้าเรือง ซึ่งเอาใจใส่กับกฤตมาก ดูเหมือนกฤตจะเป็นเพื่อนคุยกับคุณพ่ออย่างเพลิดเพลินโดยจริงใจ เขามีข้อมาหารือคุณพ่อเกี่ยวกับการก่อสร้างที่โน่นที่นี่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการสร้างโบสถ์วิหารซึ่งเขาคิดว่าน่าจะปรับให้เข้ากับสภาพทางเศรษฐกิจและให้งดงามได้ โดยไม่ให้เสียความเป็นไทย ซึ่งหาเครื่องเพลินมาให้คุณพ่อได้เป็นเวลานาน ให้นั่งคิดออกแบบวัดในชนบทโดยใช้วัสดุที่ไม่สิ้นเปลือง และพยายามคิดรักษาลักษณะของไทย แต่คุณพ่อต้องหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและตัวเอง จึงต้องใช้เวลาออกแบบอาคารเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพื่อนฝูงมักจะหามาให้ทำ งานออกแบบโบสถ์วิหารจึงต้องรอไป แล้วเมื่อมีเวลาว่างจึงนำมาคิดเป็นเครื่องบันเทิงสมองและจิตใจได้อีกเป็นครั้งคราว

นอกจากการไปมาหาสู่อย่างธรรมดาดังกล่าว กฤตยังมีภาพถ่ายมาให้คุณพ่อจากชนบทบ่อยๆ ทำให้มีเรื่องสนทนากันได้นานๆ และออกรสสำหรับตัวเขาและคุณพ่อ

เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปประมาณสองสามเดือน แม่กล่าวแก่ดิฉันวันหนึ่งว่า “ลูกแก้ว ถ้ากฤตเขาแต่งงานกับลูกแล้ว เขาจะเอาใจใส่คุยกับคุณพ่ออย่างที่เขาทำอยู่เวลานี้ไหม”

ดิฉันรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าว “เขาอยากแต่งกับลูกหรือเปล่าก็ไม่รู้” ดิฉันพูดเสียงปร่า ๆ

“ลูกอยากให้เขาขอให้ลูกแต่งด้วยใช่ไหม” แม่ถาม แม่กำลังล้างผักอยู่ในครัวซึ่งแม่จัดให้สะอาดและสะดวก สำหรับแม่จะได้ทำอาหารดี ๆ ให้คุณพ่อด้วยฝีมือของแม่เอง เมื่อพูดแล้วก็เหลือบตาจากผักขึ้นดูหน้าดิฉัน

“ลูกยังไม่แน่ใจเลย” ดิฉันตอบเลี่ยง

“ลูกยังไม่แน่ใจอะไร”

“ลูกยังไม่รู้จักพ่อแม่พี่น้องของเขาเลย” ดิฉันว่า “ถ้าเขาอยากแต่งงานกับลูก เขาน่าจะชวนเราไปเที่ยวบ้านเขาบ้าง เขารู้จักพี่น้องเราหมดแล้ว”

“เขาคงยังไม่แน่ใจเรื่องพี่น้องของเรากระมัง” แม่ตั้งข้อสังเกต

“อาจเป็นได้” ระหว่างสองสามเดือนที่กฤตไปมาหาสู่กับบ้านดิฉัน เขาได้พบทั้งญาติผู้ใหญ่และญาติที่มีวัยใกล้เคียงกับดิฉันเป็นจำนวนมาก และได้ฟังความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ มากพอใช้ มากพอที่คนที่มันสมองอย่างเขาจะสังเกตความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเขา ถ้าหากเขาประสงค์จะเข้ามาเป็นเขยในครอบครัวของเรา

คุณพ่อชวนให้กฤตอยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยหลายครั้งในเมื่อเวลาที่เขามาหาใกล้กับเวลาอาหารค่ำหรืออาหารกลางวัน น้าเรืองและน้าโรจน์เคยมาร่วมด้วย เพราะทั้งสองคนก็เอาใจใส่กับผู้ที่อาจมาเป็นหลานเขย และคุณป้าก็เคยพบ และตามปรกติของคุณป้า คุณป้าจะออกความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างแน่ใจว่าคุณป้ามีความคิดถูกต้องและไม่จำเป็นเกรงว่าใครจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อความคิดเห็นเหล่านั้น

ระหว่างที่กฤตกำลังสนทนากับคุณพ่อวันหนึ่ง มีคุณป้านั่งอยู่ด้วย อากรรณประดับ น้องสาวคนเล็กซึ่งเป็นม่ายร้างจากสามีเชื้อจีนก็มาหา คุณป้าสนใจกับอากรรณประดับ คอยติดตามไต่ถามว่า มีความเคลื่อนไหวไปในทางว่าจะแต่งงานใหม่หรือไม่ เร็วช้าประการใดอยู่เสมอ ระหว่างการสนทนาเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาเกี่ยวกับคนจีนย่อมจะเข้ามาเกี่ยวพันอยู่ด้วย อากรรณก็ใช้คำ ไอ้เจ๊ก เวลาพูดถึงคนจีนตามปรกติของเธอ อากรรณมักไม่อยู่สังสรรค์กับพี่ชายพี่สะใภ้นานเพราะไม่มีอุปนิสัยชอบคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อากรรณชอบใช้มือทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไม่เป็นสิ่งมีประโยชน์ก็ชอบฆ่าเวลาด้วยการเล่นไพ่ ดังนั้น ไม่ช้าอากรรณก็ลากลับไป

อากรรณลงเรือนไปไม่ทันลับตัว คุณป้าก็พูด “กรรณประดับพูดถึงใครที่มีเลือดจีน ต้องเรียกไอ้เจ๊กนั่นเจ๊กนี่ทุกคน ที่จริง ตอนแต่งงาน ก็เพราะเห็นว่าพวกนั้นเขารวย ไปพบเขาเหนียวหนืดเก็บอะไรไว้ที่พี่น้องเขาหมด” ก็เลยคุณพ่อเคยชินกับคุณป้าแล้ว และไม่ค่อยเอาใจใส่ว่าคุณป้าจะตำหนิติเตียนพี่น้องของคุณพ่อคนใด หรือแม้แต่ตัวคุณพ่อเอง แต่คงจะกลัวกะทบความรู้สึกของกฤต จึงชำเลืองดูดิฉันอย่างวิตกน้อย ๆ

แต่แม่ทนไม่ต่อปากต่อคำกับคุณป้าไม่ค่อยได้ “เออ พี่แสง ก็รู้อยู่แล้วว่าจิตใจคนเป็นยังไง ยายกรรณน่ะ ปล่อยแกหน่อยไม่ได้เรอะ”

ในบรรดาญาติผู้ใหญ่ของดิฉัน ดิฉันรู้สึกว่าคุณป้าน่าเอาใจใส่มากที่สุด ทั้งที่น่ารำคาญด้วย ดิฉันสนุกที่จะฟังคุณป้าเละชอบเล่าคำพูดและความคิดเห็นของคุณป้า ดิฉันจึงจะขอเล่าการสนทนาวันนั้นต่อไป

“ก็พูดกันแค่นี้ ใครอย่าเอาไปบอกแกก็แล้วกัน” คุณป้าแก้ คุณป้าเกรงใจแม่มาก แต่ไม่เกรงพอถึงกับจะยอมเห็นด้วยไปทุกอย่าง แล้วคุณป้าเหลียวซ้ายแลขวา “ตายจริง ฉันลืมพระพี่เลี้ยงแม่ลูกแก้วไป แกได้ยินไหมก็ไม่รู้ถ้าได้ยินแกต้องโกรธแน่ พวกเราไปกระทบพวกกอกรีไม่ได้”

“คำว่าพวกอะไรกะพวกอะไรนี้ พี่แสงใช้เอาเองนะ ฉันว่าเก็บมาจากหนังสือฝรั่ง คนไทยฉันไม่เห็นใครใช้ ถ้ารื่นเขาจะพูดถึงพี่น้องคุณเกลา เขาก็ว่าบ้านโน้น” แม่ขัด ดิฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดแม่จึงต้องขัดคอคุณป้าให้ยืดยาวออกไป คงจะเป็นเพราะหวั่นไหวขึ้นมาว่าความเห็นและคำพูดคุณป้า อาจทำให้กฤตรู้สึกไปในทางไม่ดี แต่แม่ก็ชอบโต้เถียงกับพี่น้องเป็นบางคราว บางครั้งก็ด้วยนึกสนุกจะโต้เถียง บางครั้งก็เพราะอดทนต่อความรำคาญไม่ได้

“เก็บมาจากไหนก็ช่างเถอะ แต่มันเป็นความจริงก็แล้วกัน” คุณป้าโต้โดยอารมณ์ยังดีอยู่ “น้องสาวคุณเกลาคนนี้น่ะ ใคร ๆ ก็สู้พวกของแกไม่ได้ หรือไม่จริง คุณเกลา ต่อให้เป็นลูกหลานเจ้าพระยาเสนาบดี แกก็ไม่เห็นดีไปกว่าพวกของแก”

“ก็ไม่ใช่เป็นคนเดียว” คุณพ่อพูดยิ้ม ๆ

“อย่ามากระทบฉันด้วยเลย” คุณป้ากล่าวอย่างอารมณ์ดีต่อไป สำหรับคุณพ่อ นานครั้งที่จะต่อปากต่อคำกับคุณป้า คุณพ่อมักเป็นฝ่ายฟังและไม่ชอบขัดคอใคร ดังนั้น ถ้าคราวใดคุณพ่อเย้าหยอกใครขึ้นมา ก็เป็นการกำให้เกิดความพอใจมากกว่าความขุ่นเคือง คุณป้าพูดต่อไป “ใครก็ว่าพวกของตัวดี แต่แปลกที่ว่า ตัวลูกหลานในตระกูลเองน่ะ ไม่รุนแรงเท่าพวกติดสอยห้อยตาม อย่างพวกเราก็มีเจ้าสิทธิ์ คราวกับว่าเขาเป็นต้นตระกูลฉัพพรรณศิริ”

“ก็พอดีกันละ พวกเจ้าของตระกูลก็ไม่ใช่เล่น” แม่ตั้งหน้าขัดคุณป้าต่อไป “ชอบไปทำให้พวกนี้เขารู้สึกใหญ่โต ก็เพราะตัวเองอยากใหญ่ กลัวเฉพาะลูกหลานของตัวจะใหญ่ไม่พอ อย่างสิทธิ์ คุณพ่อก็ไปให้ใช้นามสกุลเฉิดศิริ ให้มันคล้าย ๆ กัน จะทำให้เป็นพวกขุนนางจีน อย่างจอยุ่ยเหม็ง คนใช้ก็ชื่อ จอนั่น จอนี่ ข้างบ้านโน้น ก็ให้พวกรื่นใช้นามสกุล กอฉาย ล้วนแล้วแต่ ตัวกูของกู ทั้งนั้นละ จะเอาอะไรกับคน”

ดิฉันชำเลืองดูหน้ากฤต เห็นเขากำลังชำเลืองดูคุณพ่ออีกต่อหนึ่ง คุณพ่อมักมีสีหน้าขบขันเวลาแม่ขัดคอคุณป้าเสมอ แต่คราวนี้ดูเหมือนท่านจะใช้ความคิดล่องลอยไป สีหน้าของท่านจึงดูมึนตึงสักหน่อย อีกครู่หนึ่งเขาก็หันมาสบตาดิฉัน ดิฉันยิ้มเก้อๆ เขาเปลี่ยนสีหน้าเป็นตรึกตรองคล้ายคุณพ่อ

อีกครั้งหนึ่ง ระหว่างที่กฤตมาเยี่ยม คุณลุงประจิตโทรศัพท์มา บอกว่าจะมาเยี่ยมคุณพ่อ ดิฉันรีบบอกให้มาทันที ตั้งแต่กลับจากนิวซีแลนด์ ดิฉันยังไม่ได้พบคุณลุงประจิตพร้อมกฤตเลย ดิฉันออกจากห้องที่ไว้โทรศัพท์แล้วก็ขอร้องให้กฤตอยู่รอพบญาติที่นับถือคนนี้ด้วย แม่ก็ชวนให้กฤตอยู่รับประทานอาหารว่าง ซึ่งแม่จะรีบทำรับรองคุณลุงประจิต กฤตก็รับคำโดยไม่รีรอ

ก่อนหน้าคุณลุงประจิต น้าโรจน์ น้าเรือง และน้ารวงรัตน์ก็มารวมอยู่ที่เรือนของแม่พร้อมกันหมด เพราะคุณลุงคนนี้เป็นที่ถูกใจของวงญาติ น้าเรืองน้าโรจน์สารภาพว่าตั้งใจมารับส่วนของเครื่องบริโภคด้วย

ไม่ช้านักคุณลุงประจิตก็มาถึง หลังจากการทักทายและต้อนรับกันตามปรกติแล้ว คุณลุงประจิตก็ปฏิสันถารกฤตโดยเฉพาะ

“เออ คุณกฤต เป็นไง ได้ยินคนเขาชมคุณกันว่าขยัน ได้ยินเขาชมคนหนุ่มๆ มีวิชา ผมก็อดดีใจไปกับบ้านเมืองไม่ได้”

”อย่างผมนี่ ยังนับเป็นคนหนุ่มไหม” น้าโรจน์ถามขึ้น

“เขาเรียกวัยฉกรรจ์” คุณลุงประจิตตอบ ท่านพูดอย่างนักการทูตเสมอ ทั้งที่เดิมท่านเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์เหมือนกฤต “น่าเสียดาย พวกเราไปเป็นลูกจ้างฝรั่งกันเสียแยะ เงินมันดี เมื่อไหร่จะถึงสมัยคนรวยมีความรู้ทำราชการนะเมืองเรา”

“เอ้อ” น้าโรจน์ทำถอนใจ “มันไม่ใช่เงินอย่างเดียวนา อย่างผมทำราชการก็คงถูกเขาไล่ออก ทนไอ้เขว่อวไม่ได้แน่ ฝรั่งมังค่ามันรู้แล้วรู้รอด แล้าคุณกฤตล่ะ ทำราชการเพราะรักชาติหรืออะไร พี่ประจิตคอยเทศนาพวกลูกจ้างฝรั่งเสมอ”

“เพราะเป็นลูกหนี้ครับ” กฤตตอบสีหน้ายิ้มแย้ม ผมไปเรียนด้วยทุนรัฐบาล คิดไปแล้วเห็นจะเป็นหนี้ตลอดชีวิต” แล้วเขาก็ขยับจะพูดต่อแล้วก็นิ่งไปประเดี๋ยวหนึ่ง ดิฉันรู้ว่า เขากำลังอึกอักเพราะไม่ค่อยจะเรียกน้าเรืองกับน้าโรจน์ คุณ โดยสนิทปาก เขาเคยเรียก คุณน้า ลับหลัง แต่ดิฉันรีบบอกให้เรียก คุณโรจน์ คุณเรือง ถ้าเรียก คุณน้า จะทำให้ญาติสองคนรู้สึกแก่ไป ดิฉันยังไม่อยากให้กฤตเรียกญาติของดิฉันตามดิฉัน กฤตกล่าวต่อไป “คุณไม่ได้ใช้ทุนรัฐบาลเรียกว่ามีอิสระภาพ”

“เกือบไปแน่ะ” น้าโรจน์ว่า “เคราะห์ดีตอนนั้นคุณพ่อกำลังเกลียดรัฐบาลเข้าตับไตไส้พุง เลยไปกู้คุณอามาส่งเราไปนอก เรื่องจะเรียนปรัชญา คุณพ่อร้องโวยวาย ให้เรียนอะไรที่จะหางานเป็นลูกจ้างเจ๊ก ลูกจ้างฝรั่ง ไม่งั้นก็แย่”

“อ้าว แต่ผมนึกไว้เสมอนะ” น้าโรจน์กล่าว “ผมหวังว่า บ้านเมืองเรามันต้องดีขึ้น แล้วผมพยายามเก็บเงินไว้ เอาไว้ให้ลูกมันมีสตางค์พอที่จะไม่เดือดร้อน หาเมียสวยๆ ได้โดยไม่ต้องเป็นลูกจ้างฝรั่ง แล้วให้ทำราชการ”

“บ๊ะ ไม่ช่วยกันทำให้มันดี ปล่อยให้คนบ้าๆ ทำแล้วหวังเอาว่ามันจะดีขึ้น หวังเอาลอยๆนี่คุณ” คุณลุงประจิตค้าน

“เรื่องนี่พูดกันบ่อยแล้ว” น้าเรืองพยายามเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ทำอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นเรื่องเงินอย่างเดียวผมว่าไม่สำคัญ คูคุณเกลาซิ ยังหาความสุขได้ นั่งยิ้มวันยังค่ำ ไม่เห็นหัวเสียเหมือนพวกเรา”

“ความสุขสำคัญที่มีนางแก้วประจำเรือนมากกว่าอะไรหมด ใช่ไหม คุณเกลา” คุณลุงประจิตใช้วาทะการทูตอีกครั้ง

“ผมว่ามันแล้วแต่ความจำเป็น เราต้องนั่งอยู่กับบ้าน เพื่อนฝูงอุส่าห์หางานมาให้ทำ คนนั้นนิดคนนี้หน่อย เราไปคุมงานไม่ได้ หาได้เท่านี้ก็พอแล้ว” คุณพ่อพูดด้วยสีหน้าราบรื่นตามเคยของคุณพ่อ

“ทำไมราชการเขาไม่ให้ไปออกแบบครับ” กฤตถามขึ้น “ผมนึกสงสัยว่าจะถามหลายหน”

“ก็เราต้องลาป่วยตั้งปี ใครเขาจะเลี้ยงไว้ได้นานแค่นั้นล่ะ” คุณพ่อตอบสีหน้าเฉย

“ก็กลับเข้าทำใหม่ก็ได้ไม่ใช่หรือครับ” กฤตถามต่อไปด้วยความเอาใจใส่ยิ่ง

“ไม่สะดวกหลายอย่าง” คุณพ่อตอบน้ำเสียงเรียบๆอีก “ผมว่าผมเป็นแม่บ้านให้ใจแก้วดีกว่า เขาต้องออกราชการมาทำงานที่ได้เงินเดือนมากหน่อย ให้เขาทำอย่างสบาย”

“คุณเกลา...” น้าเรืองเริ่มแล้วหยุดไป ดูหน้าคุณพ่อเป็นเชิงให้ตอบเอง แทนที่น้าเรืองจะตอบแทน ครั้นเห็นคุณพ่อเฉย ปล่อยน้าเรืองพูดต่อ น้าเรืองจึงกล่าว “คุณเกลาไม่ชอบขอความกรุณาใคร ที่จริงเรื่องแม่บ้าน คุณเกลากับพี่ใจมีชั้นที่หนึ่งเลย”

“เออ เป็นไงบ้าง ญาตินอกท้อง” คุณลุงประจิตถาม “ไม่ได้พบนาน เป็นไง ลูกแก้ว น้ารื่นเขาสบายเรอะ”

“เมื่อสองสามวันนี้เป็นไข้ไป แต่นี่ดูเหมือนปรกติแล้ว” คุณพ่อตอบ

ภายในเวลาสองสามเดือนที่กฤตมาเยี่ยมเยือนที่บ้าน เขาต้องได้ยินชื่อน้ารื่นเสมอ แต่ยังไม่ได้พบกันจริงจัง ดิฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะหาโอกาสให้พบกันอย่างไรดี และเกรงว่ากฤตจะไม่เป็นที่พอใจน้ารื่นยิ่งกว่าใครทั้งหมด

“นี่ คุณกฤต ถ้าผมชวนไปทำงานให้องค์การที่ผมทำอยู่นี่ คุณจะไปได้ไหม สนใจไหม” คุณลุงประจิตถามขึ้น

“ผมจะไปทำประโยชน์อะไรครับ” กฤตถาม ดิฉันฟังแทบไม่หายใจ

“อ้าว ก็ต้องการคนภาษาดีๆ คนไทยเราหายาก แล้วก็เรื่องการศึกษา มันก็ต้องเกี่ยวพันไปถึงเศรษฐกิจ ถึงอะไรต่ออะไรอีกมาก ผมอยากได้คนที่สมองกว้าง ๆ หน่อย”

“ภาษาผมไม่ดีเลยครับ” กฤตตอบพลางหัวเราะ “เสียใจจริง ๆ ครับ เขียนอะไรแล้วต้องให้เพื่อนแก้ให้เสมอ เพื่อนผมคนนี้เขาเป็นนักเรียนนอกแท้ คือไปตั้งแต่เด็ก ผมไปถึงก็ต้องเรียนวิชา มัวไปเรียนการพูดการเขียนไม่ได้”

ผมเพิ่งเคยได้ยินคนที่ไปได้ปริญญาเมืองนอกสูง ๆ มา รับว่าตัวภาษาไม่ดี” น้าโรจน์ว่า “ไม่งั้นเขว่อวทั้งนั้น”

ดิฉันรู้สึกนึกรักกฤตมากขึ้นทุกประโยคที่เขากล่าวออกมา และรู้สึกรำคาญน้าชายสองคนเป็นอันมาก

หลังจากวันนั้นแล้ว คุณพ่อเป็นคนเปิดการสนทนาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฤตกับดิฉัน สามคนพ่อแม่ลูกนั่งกันกลางสนาม ซึ่งกว้างและตกแต่งเรียบร้อย เป็นสิ่งให้ความรื่นรมย์แก่ครอบครัวหลายครอบครัวด้วยกัน เมื่อคุณตาซื้อที่ดินผืนนี้ไว้ก่อนสงคราม ท่านกล่าวแก่ลูก ๆ ของท่านว่า “ที่ดินจะต้องหายากขึ้นทุกวัน ทนอยู่ใกล้ ๆ กันไปก่อนเถอะ เขยสะใภ้ รำคาญมั่งอะไรมั่งก็ทนเอา จะได้มีสวน มีสนามชมเล่นด้วยกัน ไปซื้อกันคนละแห่งก็ได้ที่ดินกะแบะมือเดียว” แม่เล่าว่าในเวลาที่คุณตาพูดนั้น ลูกทุกคนไม่ได้เอาใจใส่เลย ไม่เข้าใจว่าคุณตาพูดถึงอะไรด้วยซ้ำ

“ลูกแก้ว” คุณพ่อเรียก คุณกฤตนี่ เขาก็ดูชอบลูกมากใช่ไหม ลูกรู้จักเขาไปถึงไหนแล้ว รู้แต่ว่าลุงเขาเป็นกำนันสามพราน”

“คุณพ่อรังเกียจเขาไหมคะ” ดิฉันถาม

“รังเกียจอะไร รังเกียจลุงเป็นกำนันน่ะเรอะ พ้นสมัยเสียแล้วกระมัง” คุณพ่อพูดเรียบ ๆ

“พ้นจริงหรือคะ” ดิฉันย้อนถาม

“คนโดยมากก็เข้าข้างตัวแหละ” คุณพ่อตอบ “ถ้าเงินมาก เป็นอะไรก็เห็นจะไม่สำคัญสมัยนี้ แล้วสมัยก่อนก็ไม่สำคัญมากนัก ดูเหมือนเงินสำคัญมานานแล้ว ไม่มากก็น้อย เช่นบ้านช่อง จะอยู่กันที่ไหนยังไงมันก็สำคัญ แล้วมันก็เป็นปัญหาการเงินเหมือนกัน

จริงแหละ กฤตอยู่บ้านอย่างไร ดิฉันรู้แต่ว่าเขาอยู่กับญาติที่บางพลัด บ้านช่องและญาติที่เขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไรเขาไม่เคยชวนให้ไปพบไปเยี่ยม แล้วดิฉันคิดขึ้นมาได้ว่า แม้เพื่อนของกฤต ก็ยังไม่ได้รู้จัก นอกจากคนที่ได้ไปพบกันที่นิวซีแลนด์ ดิฉันจะเป็นคนชักชวนเขาอย่างไรดี

แต่แล้วก็มีโอกาส คือกฤตได้มาชวนดิฉันไปเที่ยวเรือด้วย เขามีแขกเป็นผู้เชี่ยวชาญสองสามคน เป็นอเมริกันสองคน เป็นคนอินเดียสองคน มาประชุมที่กรุงเทพ ฯ เขาถูกผู้บังคับบัญชาของเขามอบหมายให้พาชมสถานที่ควรชม มีตลาดน้ำเป็นต้น ในวันอาทิตย์ที่จะมาถึงนั้น กฤตได้รับความช่วยเหลือจากส่วนราชการแห่งหนึ่ง ให้ขอยืมเรือยนตร์เล็กขนาดพาผู้โดยสารไปได้ประมาณ ๒๐ คน เขาอยากชวนดิฉันไปช่วยเขารับแขก เขามีเพื่อน ๆ ทั้งหญิงทั้งชายของเขาไปด้วย

เมื่อเขากล่าวชวนนั้น น้ารวงรัตน์อยู่ในที่นั้นด้วย น้ารวงรัตน์ร้องขึ้น “เออ ขอฉันไปมั่งได้ไหม รู้ไหมมีคนป่าเถื่อนอยู่คนหนึ่ง ไม่เคยไปไอ้ตลาดน้ำอะไรที่นักท่องเที่ยวเขาไปกันนี้เลย”

“ผมก็ไม่ได้ไปมาไม่รู้กี่ปีแล้ว” กฤตว่า “เห็นเพื่อน ๆ ผมเขาว่าเดี๋ยวนี้เจริญขึ้นมาก”

ดิฉันก้มหน้าซ่อนความคิด ดิฉันอยากไปเที่ยวกับกฤตไม่ว่าจะเป็นที่ตลาดน้ำหรือที่ไหน

ถึงวันอาทิตย์นั้น น้ารวงรัตน์กับดิฉันจึงไปลงเรือที่ท่าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อจะไปเที่ยวกับกฤตและเพื่อนของเขา น้ารวงรัตน์ถามว่า เราควรจะตระเตรียมอะไรไปด้วย กฤตบอกว่า เพื่อนผู้หญิงของกฤตได้รับที่จะจัดเรื่องอาหารทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวัน ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น ที่วิตกอยู่ก็คืออากาศจะไม่ดี ถ้าฝนตกก็ไม่สะดวกสบาย เพราะดาดฟ้าของเรือไม่มีประทุน ถ้าฝนไม่ตก ก็จะนั่งเล่นบนดาดฟ้าได้สบาย

ไม่มีผู้ใดแสดงความขัดข้องประการใด ดิฉันเห็นเป็นโอกาสดีที่จะให้น้ารื่นไปทำความคุ้นเคยกับกฤต จึงชวนแกมบังคับให้ไปด้วย น้ารื่นยังถูกแม่ใช้กโลบาย บอกว่าน้ารวงรัตน์มักเมาเรือให้น้ารื่นไปช่วยดูแล

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ