บทที่ ๑๗

ดิฉันได้ยินคำของช้องเพ็ชรแล้วรู้สึกว่าดิฉันมีทางที่จะเอาชัยชนะมาได้ ดิฉันพูดอย่างหัวเราะได้เหมือนกัน “เอ่ะ นั้นแปลว่าเขาอยากเปลี่ยนบ้าน ไม่ใช่อยากเปลี่ยนงาน” ดิฉันพูดต่อไปว่า “หรืออยากเปลี่ยนเมีย” แต่ดิฉันยังไม่พูด ดิฉันจะยังไม่ยกกฤตให้แก่ช้องเพ็ชรง่ายๆ ยังก่อน ยังอีกนาน จนกว่าช้องเพ็ชรจะคลานเข้ามาบอกว่า รักกฤตอย่างลึกซึ้ง จะยอมเป็นเมียกฤต ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ไม่ใช่โดยเป็นผู้มีบุญคุณหางานเงินเดือนแพงให้กฤตได้

“ไม่รู้เธอละ” ช้องเพ็ชรถอยเอาง่าย ๆ “คิดให้ดีๆ อย่าคิดไปทางของตัวฝ่ายเดียว เห็นใจผู้ชายเขามั่ง”

“วันนี้ฉันจะถามเขาดู แต่ว่าเขาไม่กล้าพูดเรื่องเปลี่ยนงานกับฉัน เขาอาจไม่อยากตอบเหตุผลที่ทำให้เขาอยากเปลี่ยนงาน เขาวานเธอมา ฉันวานเธอบ้าง เธอลองถามให้บ้างได้ไหมล่ะ”

“ตามความคิดของเธอ เธอไม่ต้องการให้กฤตออกจากราชการ ใช่ไหม”

“ออกหรือไม่ออก ฉันว่าไม่ใช่ปัญหาของฉัน เป็นปัญหาของกฤต แต่กฤตจะไม่ออกถ้าฉันไม่เห็นด้วย นั่นซีสำคัญมากสำหรับฉัน จริงไหมล่ะ” เสียงดิฉันชักจะขึ้นสูงไปแล้ว ต้องรีบดึงความรู้สึกไว้ด้วยกำลังแรง เรียกว่าสายตัวแทบขาด

“ฉันแปลกใจเธอมาก” ช้องเพ็ชรพูดเสียงหัวเราะกลั้วน้อยๆ ไม่ถึงกับเยาะ แต่ก็มีอยู่ในที “ฉันไม่นึกเลยว่าเธอเป็นชอบอำนาจ ลูกแก้ว นี่แหละใครๆเขาว่า ดูอะไรเผินๆไม่ได้ ถึงเวลาจริงบางทีก็ออกมาอีกอย่างหนึ่ง”

“อำนาจ” ดิฉันแกล้งทวนคำ “บางทีก็จะจริง แต่ถ้าฉันชอบอำนาจ ฉันชอบอำนาจของความรัก อำนาจของความรับผิดชอบ”

“อือ เธอกำลังจะว่าเธอไม่นิยมอำนาจเงินใช่ไหม”

“เงินเป็นอำนาจด้วยตัวของมันเองอยู่แล้วสมัยนี้ จะชอบหรือไม่ชอบมันก็มีอำนาจ” ดิฉันโต้ และอยากเสริมว่า “ถ้ากฤตเป็นคนจนๆ ไม่ได้ปริญญาเอก ไม่มีรถยนตร์ขับพาช้องเพ็ชรไปไหน เขาคงไม่สนใจแม้จะเป็นคู่ควงกับกฤต อย่าว่าแต่จะร่วมชีวิตกัน” แต่ไม่เห็นมีประโยชน์ที่จะกล่าว จึงพูดต่อไปว่า “ตัวเธอ เธอรับว่าเธอนิยมเงินเต็มที่ เหมือนอะไรหมดงั้นเหรอ”

“ก็แล้วแต่” ช้องเพ็ชรว่า เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจที่กลายเป็นฝ่ายรับแทนที่จะเป็นฝ่ายรุก “มีแต่เงินอย่างเดียวขาดอื่นหมดทุกอย่างก็ไม่พอ”

“ไหนยกตัวอย่างซิ ต้องมีอะไรมั่งนอกจากเงิน ถึงจะพอ แล้วพอน่ะหมายความว่ายังไง”

“ฉันไม่ได้จะมาโต้วาทีกับเธอนะ ลูกแก้ว” ช้องเพ็ชรหมดความสนใจที่จะโต้แย้งต่อไป “ฉันพูดกับเธออย่างเพื่อน มีช่องทางอะไรก็บอกให้ ฉันเห็นใจกฤต เท่านั้นเอง”

“ขอบคุณที่เห็นใจสามีฉัน” ดิฉันย้อน

ช้องเพ็ชรเบือนหน้าไปซ่อนยิ้มเยาะ ชนิดที่ทำให้เห็นว่าซ่อนไม่ได้ แล้วเขาก็พับผ้าเช็ดมือ ขยับตัวเตรียมจะลุก เขาพูดก่อนที่จะพาตัวออกไปจากโต๊ะว่า “แล้วแต่เธอจะคิดกัน แต่งานนี้เขาคงไม่รอดอกเตอร์กฤตนาน”

ดิฉันตัดสินใจไม่ได้ว่าจะพูดกับกฤตอย่างไร จะขึ้นต้นด้วยถ้อยคำอย่างไร ทำน้ำเสียงอย่างไร ดิฉันไม่เต็มใจให้กฤตออกจากราชการ แต่ก็ไม่ใช่เพราะมีอุคมคติสูงส่งอะไรนัก ดิฉันคิดถึงการภายหน้า ถ้าออกจากราชการแล้ว กฤตจะต้องใช้หนี้ไปอีกอย่างน้อยกี่เดือน ถ้ากู้เงินใครมาก็ตามได้หนึ่งแสนบาท ตามที่กฤตว่า และผ่อนใช้เดือนละ ๕๐๐๐ พันบาท ก็หมายความว่าต้องเป็นหนี้อยู่ ๒๐ เดือน แล้วจะต้องเก็บเงินต่อไปอีกกี่เดือนจึงจะได้ปลูกบ้านใหม่ ถ้าหากเขาอยากออกไปอยู่ต่างหากจากครอบครัวของดิฉัน แล้วกฤตคิดว่าจะเป็นอิสระหรือ พี่น้องจากชนบทของกฤตจะถือโอกาสมาใช้บ้านของเราเป็นที่พักให้ลูกหลานเล่าเรียนกันอย่างสบายใจกว่าที่เป็นมาแล้ว กฤตจะไล่พี่น้องเหล่านั้นไปได้หรือ และถ้าหากกฤตเลิกกับดิฉันด้วยความหลงช้องเพ็ชร และช้องเพ็ชรรักกฤตจริง พี่น้องของกฤตจะเข้าใจหรือ จะทำตัวห่างเหินจากกฤตไปโดยรับเอาว่าเป็นพฤติการณ์ธรรมชาติอันหนึ่ง หรือจะมีปฏิกิริยา มีความน้อยใจ คับแค้นใจ ลุงกำนันจะปฏิเสธไม่ให้ลูกหลานคนไหนได้โอกาสเล่าเรียนยิ่งขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ แต่คำถามอันยิ่งใหญ่ก็คือ กฤตรักช้องเพ็ชรจริงหรือ หรือตาฟางมืดหน้าไปชั่วครู่ชั่วยาม และช้องเพ็ชรจะจริงจังกับกฤตสักเท่าใด เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ญาณของคนที่รักที่หวงของหวงก็เกิดขึ้น ดิฉันคิดว่าจะหาทางพูดกับกฤต ให้รู้ความจริงเกี่ยวกับช้องเพ็ชรกับเขาให้มากที่สุด

สองวันต่อมาจากที่ได้พบกับช้องเพ็ชร ดิฉันก็เตรียมถ้อยคำไว้สำหรับจะตั้งต้นเจรจากับกฤตเมื่อเราได้อยู่กันสองคนในห้องหลังอาหารค่ำ เพราะค่ำนั้นไม่มีนัดกับใครนอกบ้าน และคุณพ่อก็สบายมีอารมณ์แจ่มใส แต่ชีวิตเรานั้นก็ไม่ใช่ของเราโดยแท้อย่างที่พระท่านเทศน์ ค่ำวันนั้นคนสำคัญที่สุดในชีวิตดิฉัน และดูเหมือนจะของกฤตด้วย เรียกร้องเอกจากเราให้เขาดูแล คือลูกเกิดเป็นไข้ตัวร้อนจัด จนกระทั่งมีอาการเหมือนจะชัก กฤตวิ่งขึ้นรถไปเรียกเพื่อนที่เป็นแพทย์ให้ช่วยรักษาลูก แพทย์อยู่ห่างจากบ้านเราไปไม่กี่ซอย แต่ดิฉันรู้สึกเหมือนว่าดิฉันจะตายเสียก่อนลูกอีก คุณแม่เข้ามาช่วยใช้น้ำชุบตัวและเช็ดให้เบาๆ เพื่อจะได้ประทังความร้อน ซึ่งดูเหมือนจะสูงขึ้นทุกครั้งที่วัดปรอท ไม่มีใครกล้าปลอบโยนใคร เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดผลร้ายอย่างใดหรือไม่ ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปได้สักศตวรรษหนึ่งสำหรับดิฉัน กฤตก็ขับรถเข้าบ้านมา และนายแพทย์พิมลขับรถของเขาตามติดเข้ามาด้วย เมื่อหมอพิมลตรวจดูแล้ว ก็ไม่ทำท่าทีตกใจอย่างไร เรียกหาหม้อสูบ ซึ่งเรามีอยู่ในบ้านเป็นประจำ เพราะคุณพ่อต้องใช้บ่อย ๆ เขาถามว่าเราใช้น้ำอะไรเป็นน้ำดื่ม แม่ว่าเรามีน้ำกรองสะอาด แพทย์ก็เทน้ำที่เราใช้สำหรับลงในภาชนะ แล้วแขวนไว้ในที่สูงพอสมควร เอาหัวสูบหรือที่ถูกปลายสายยางที่มีหัวทำให้ลื่นด้วยน้ำมันวัสลินสอดเข้าไปในทวารหนักของลูก ดิฉันเห็นลูกทำตาตั้ง เกือบจะร้องออกมาสุดเสียง แต่บังคับตัวได้ แพทย์ยืนดูน้ำค่อยลดลงในหม้อสูบ จนกระทั่งเห็นว่าปริมาณน้ำได้เข้าไปในตัวเด็กพอแก่การแล้วก็ค่อย ๆ ดึงสายสูบออก น้ำไหลตามออกมาโดยปริมาณเท่า ๆ กับที่ได้เข้าไปในร่างกาย หมอก็รออยู่สักครู่หนึ่ง ดิฉันดูเหมือนไม่ได้หายใจเลย ลืมเรื่องอะไรอื่นใดหมดสิ้น จำได้แต่ว่า ขอชีวิตลูกไว้ ขอชีวิตลูกไว้เถิด และไม่รู้ว่าขอจากใคร แต่แล้วหมอก็เอาน้ำมันวัสลินทาปรอทวัดไข้ แล้วก็สอดเข้าไปในทวารหนักของลูก รอประมาณศตวรรษหนึ่งอีกในความรู้สึกของดิฉัน แล้วก็ชักปรอทออกมาดู แล้วยิ้ม พูดว่า

“อื้อ ปรอทลงแล้วครับ คงไม่เป็นไร ทีนี้ระวังอื่นต่อไป”

หมอฟังหัวใจของลูก ฟังอยู่อีกศตวรรษหนึ่ง แล้วก็ดึงเครื่องฟังออกจากหูของหมอ แล้วหันมาบอกทุกคนในห้องว่า “เห็นจะไม่เป็นไรแล้วครับ” ดิฉันมองดูลูก เห็นนอนสงบตาครึ่งหลับครึ่งลืม อยู่อีกสักครึ่งศตวรรษแล้วก็หลับลงสนิท ดิฉันลงนั่งบนเตียงนอนของดิฉันอย่างหมดแรง

ได้ยินเสียงกฤตถามนายแพทย์ “แล้วทำไงต่อไปหมอ”

“คืนนี้ผมว่าคงไม่มีอะไรอีกแล้ว” หมอว่า “ตัวอาจร้อนขึ้นมาอีก คอยเอาน้ำเย็นเช็ดตัวไว้ แต่อย่าให้เย็นนัก ยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรแน่”

หมอบอกว่าเขามีรถมาเอง เราไม่ต้องห่วงไปส่ง เขารอดูอาการเด็กอยู่อีกประมาณสักครึ่งชั่วโมง เห็นว่าเด็กหลับไปแล้ว จึงลาไป แม่เตือนให้ดิฉันรีบเข้านอน และให้แข็งใจนอนให้หลับให้ได้ เผื่อว่าลูกจะไม่สบายมากขึ้นอีก

ในตอนดึก ถ้าต้องการคนช่วยเหลือให้ปลุกแม่ แต่น้ารื่นมานอนในห้องเล็กข้างห้องนอนของดิฉัน ดิฉันจึงไม่กังวลในเรื่องคนช่วยเหลือ ดิฉันบอกให้กฤตเข้านอน กฤตเข้ามาจับแขนของดิฉันบีบไว้ มองหน้าดิฉันด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ พลางพูดว่า

“ถ้าลูกไม่สบาย ต้องปลุกกฤตนะ สัญญานะ”

ดิฉันพยักหน้ารับสัญญา ผินหน้าหนีเข้าไปโดยเร็ว ด้วยกลัวจะเห็นน้ำตาซึ่งกำลังเอ่อขึ้นมา แต่ดิฉันเคยกับการพยาบาลคนเจ็บ เมื่อได้รับคำเตือนจากแม่ว่าให้พยายามนอนหลับ ดิฉันก็ทำใจให้ลืมเรื่องอื่น ๆ ให้หมดสิ้น และสามารถหลับได้จนเกือบรุ่งสว่าง

ตอนเช้าลูกยังมีไข้ แต่ความร้อนไม่สูงนัก หมอโทรศัพท์มาถามอาการ ดิฉันจึงบอกอุณหภูมิของลูกให้ทราบ หมอแปลกใจและออกจะตกใจ “ปรอทลงถึงแค่นั้นหรือครับ เอ ระวังไว้นะ ถ้าผมจะต้องไปดูเสียแล้ว ตอนดึกไม่มีใครทำอะไรกับแกจริงเรอะ”

ดิฉันนึกถึงน้ารื่น จึงหันไปถาม เพราะน้ารื่นมายืนฟังความเห็นของหมออยู่ในระยะใกล้ ขณะนั้นกฤตก็เดินเข้ามาใกล้ด้วย ดิฉันถามน้ารื่นว่าในตอนดึก น้ารื่นตื่นขึ้นเพราะลูกกวนบ้างหรือเปล่า น้ารื่นบอกว่าลูกร้องเบาๆ น้ารื่นตื่นขึ้นจับลำตัวพบว่าความร้อนขึ้นอีกเล็กน้อย จึงจัดการเช็ดตัวให้ตามที่หมอสั่ง “คุณลูกแก้วน่ะเป็นไข้แบบนี้หลายหนเมื่อยังแดง ๆ เหมือนคุณแก้วนี่แหละ” น้ารื่นว่าด้วยความมั่นใจ เมื่อดิฉันบอกหมอไปตามที่น้ารื่นเล่า หมอก็หัวเราะเบาๆ มาทางโทรศัพท์

“ผมจะไปดูเสียอีกที พ่อหนุ่มแม่สาวมักเสียขวัญง่าย แต่ผมมีอะไรจะสั่งไว้กับคุณน้าของคุณท่าจะดีกว่า”

หมอมาถึงบ้านภายในเวลาครึ่งชั่วโมง เขาต้องรีบมาเพราะจะต้องไปทำราชการให้ทันเวลา เมื่อมาถึงเขาตรวจเด็กแล้วก็หันไปสั่งการกับน้ารื่น เหมือนคนที่พูดภาษารู้เรื่องกัน เกือบจะไม่พูดอะไรกับดิฉันหรือกฤต ก่อนเขาจะลากลับเขาบอกว่า

“เข้าใจไม่เป็นอะไรร้ายแรง เด็กเล็ก ๆ ปรอทมันขึ้นสูงอย่างนี้เสมอ ควรเรียนวิธีช่วยเรื่องลดความร้อนไว้” แล้วเขาหันไปปรึกษากับน้ารื่น ถามน้ารื่นว่ารู้วิธีลดความร้อนอย่างไรบ้าง น้ารื่นบอกว่า หมอคนหนึ่งเคยสอนให้ว่า ถ้าความร้อนสูงขึ้นนัก ให้ใช้ผ้าซุบน้ำที่ไม่เย็นแต่ไม่ร้อนบิดให้เกือบแห้งห่อตัวเด็กทั้งตัว แล้วเอาผ้าหนาอีกผืนหนึ่งห่อข้างนอก รอไว้สักสามนาทีแล้วจึงเอาผ้าออก ผ้าที่ชุบน้ำเย็นก็จะดูดความร้อนออกมา น้ารื่นเคยทำเมื่อดิฉันเป็นเด็ก มักได้ผล แต่เมื่อคืนก่อนนั้น เห็นว่ากฤตไปตามหมอ แล้วหมอก็จะมาจัดการ อาจมีวิธีใหม่อย่างหนึ่งอย่างใด จึงรออยู่ ก็ได้เห็นวิธีใหม่ของหมอ หมอบอกว่าให้วิธีของน้ารื่นถ้าตามหาหมอไม่ได้ทันท่วงที และกำชับไว้ว่าอย่าให้ถูกลม ใกล้เวลาเที่ยงให้โทรศัพท์ไปรายงานอาการอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ลาไป หมอให้ยาไว้สำหรับกวาคคอ และยาน้ำหวานๆ อีกขนานหนึ่ง

ลูกไม่สบายอยู่สามวัน ถึงวันที่สี่ก็หายเกือบเป็นปรกติ ระหว่างสามวันนั้น ดิฉันคิดถึงคำพูดของช้องเพ็ชรเป็นครั้งเป็นคราว ระหว่างนั้นกฤตก็กลับบ้านเร็วที่สุดที่จะกลับได้ เมื่อน้ารื่นตั้งข้อสังเกตว่า “ดูเหมือนคุณกฤตน่ะจะตื่นกว่าคุณลูกแก้วเสียอีก” กฤตได้ยินก็ว่า “ที่บ้านผม เคยเห็นเด็กมันตายง่าย ๆ มาเสียนักต่อนัก”

เมื่อลูกหายแล้ว กฤตก็ยังไม่แสดงว่าอยากอยู่ห่างลูกโดยไม่จำเป็น เขารีบกลับบ้าน และคอยอุ้มเชยชมอย่างหวงและห่วงอยู่เกือบตลอดเวลา คอยระวังไม่ให้ลูกถูกละอองฝน หรืออยู่ในที่ที่ลมจะพัดมาต้อง จนน้ารื่นพูดอีกว่า “อย่าเป็นห่วงนักเลยค่ะ ดิฉันคอยดูอยู่แล้ว” และน้ารวงบอกว่า “ระวังเถอะ อย่าแสดงความห่วงลูกจนเกินไป เด็กเล็ก ๆ มันก็รู้เหมือนกันว่ามีคนเห็นมันมีค่าสำคัญนักสำคัญหนา ไม่ดีหรอก”

อีกสองวันต่อมาจากวันที่ลูกไม่สบายมาก จันทร์ฉวีกับอินทิราก็มาเยี่ยม สนทนากันเรื่องทั่วๆ ไป โดยมากเรื่องโรคที่เกิดแก่เด็กอายุต่างๆ ที่ดิฉันได้ความรู้ใหม่มาจากนายแพทย์จนจวนจะกลับ จันทร์ฉวีจึงเอ่ยขึ้น

“นี่ ฉันยังไม่ได้เล่าเรื่องแปลก ฉันพบกับคุณหญิงท่านที่ร้านข้าวเจ๊กแถวศาลาแดง เขาเดินเข้ามาหาฉันแล้วถามถึงตัว ฉันบอกว่าลูกตัวไม่สบาย เราจะมาเยี่ยมกันวันนี้ เขาจะมาด้วยไหมล่ะ เขาทำหน้าพิลึกไม่พูดว่ายังไง พยักหน้าแล้วเดินไป ทำโบกมือเป็นแหม่มแบบเขาละ”

“แม่หวีนี่แกหาเรื่องขอดข้อนหญิงเขาได้ทุกที” อินทิราว่า “ดูเหมือนจะเป็นกีฬาอะไรของเจ้าหล่อนสักอย่าง”

เมื่อเพื่อนของดิฉันลาไปแล้ว เวลานั้นเป็นเวลาใกล้อาหารค่ำ พัฒนะกับอาทรก็มาเยี่ยม เมื่อสนทนากันตามธรรมดาสักครู่ คุณพ่อชวนให้ทั้งสองรับประทานอาหารกับเรา สองคนก็รับเชิญ แล้วพัฒนะซึ่งเป็นคนพูดตามปรกติ และอาทรฟังตามปรกติ ก็กล่าว

“นี่ นายกฤต เขาลือกันว่าแกเห่อลูก หรือกลัวเมียยังไงไม่รู้ ขนาดลาราชการไม่ออกหัวเมืองตามที่กะไว้”

“คนนี่มันช่างนินทากันจริงนะ” กฤตพูดอย่างไม่พอใจ “ลูกเราเจ็บหนักนะ อาจตายก็ได้ แล้วเผื่อลูกตายแล้ว เมียอั๊วอยู่บ้านคนเดียว มันช่างไม่เห็นใจกันมั่ง”

“คนมันพูดกันไปอย่างงั้นเอง” พัฒนะว่า “มันไม่ค่อยมีเรื่องอะไรจะพูด หัวสมองมันมีแต่ขี้เลื่อย อั๊วเห็นใจวะเรื่องลูกเจ็บ แต่ว่าลื้อกะไว้จะไปไหน”

“อั๊วไม่อยากพูดถึงงานเลย” กฤตพูดน้ำเสียงเหมือนไม่แน่ใจกับตัวเอง

“ลื้อเบื่อราชการแล้วใช่ไหมล่ะ พัฒนะถาม “ถามตัวเองให้ดี เบื่อเพราะอะไร”

กฤตหลบสายตาดิฉัน “ก็เห็นจะเบื่อๆ ไปยังงั้นมั้ง” กฤตตอบไม่เต็มเสียง

“กฤตควรทำราชการ” อาทรพูดขึ้น ทำให้ดิฉันแปลกใจมากและรอฟังเหตุผลของเขา แต่เมื่อเขาไม่พูดต่อดิฉันอดใจไมได้จึงต้องถาม

“ทำไมค่ะ”

“คนทำราชการเป็นหายาก” อาทรตอบสั้นอีก

“แหม ยิ่งอยากฟังคำอธิบายใหญ่” ดิฉันขอร้อง

“ทำยังไงคะที่เรียกว่า ทำเป็น หรือทำไม่เป็น”

อาทรนิ่งอยู่นาน ดิฉันไม่ทราบว่าเขาตั้งใจจะตอบหรือไม่ แต่พัฒนะผู้ซึ่งรอไม่ค่อยได้ชิงไปตอบเสีย

“ไม่รู้นะนายทรเขาหมายความยังไง แต่ผมว่า กฤตน่ะเป็นคนไม่มากไม่น้อย ถึงคราวควรพูดเขาก็พูด ควรค้านก็ค้าน เห็นแรงมานักเขาก็พักไว้ก่อนได้ แล้วเขามีระบบแล้วก็มีระเบียบ

“คุณพัฒนะทราบมาจากไหนคะ ทราบได้ยังไง” ดิฉันถามพยายามยิ้มเหมือนกับว่าดิฉันสนุกกับการสนทนา ไม่คิดอะไรจริงจังนัก

“ได้ยินมาจากคนที่เชื่อถือได้ เพราะคนๆ นี้ไม่ค่อยชมใคร” พัฒนะตอบ “เขาเป็นญาติสนิทของคุณนี่นะ เขาบอกผม ประพฤติน่ะ เขาว่าทีแรกได้ยินว่ากฤตจะแต่งงานกับลูกแก้ว เขาว่าเขาออกหวั่น ๆ เขาว่าพวกพี่น้องของเขา พี่น้องของคุณนี่เจ้าระเบียบไม่ใช่เล่น แล้วบางคนก็เจ้ายศ แต่กฤตเขาก็ทำตัวให้คนรักได้ เรื่องงานก็มีคนชมอยากชมอีกนั่นแหละ คุณประจิตน่ะ ใครทำงานกับแกเขาบ่นกันอู้ เจ้าระเบียบแล้วก็ละเอียดถี่ถ้วนน่าเวียนหัว แต่ว่าโปรดหลานเขยนัก ถึงกับไปขอตัวให้ไปประชุมที่เกาหลีด้วย ลูกแท้ๆ ก็มีเรียนเศรษฐศาสตร์เหมือนกัน แต่ไม่ค่อยใช้ลูก ไม่ถึงใจ”

“ท่านกลัวจะว่าใช้ลูก จะให้ลูกไปเที่ยวจะไม่ดี แล้วลูกคุณลุงประจิตไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ เขาเรียนบริหารธุรกิจ”

“เฮ่ย เขาก็รู้เศรษฐศาสตร์เหมือนกัน ถ้าจะเอาเขาไปใช้เขาก็ทำได้ แต่ท่านออกจะเห่อหลานเขย” พัฒนะว่า

กฤตพยายามไม่สบตาดิฉันขณะที่พัฒนะพูดกับเขา แล้วเขาถาม

“ลื้อไปได้ยินมาจากไหนนะ เป็นคุ้งเป็นแคว”

“นายทรเขาไปได้ยินมา เขาบอกว่าอยากให้ลื้อรู้” พัฒนะตอบ

“อื๋อ ให้รู้ทำไม” กฤตถามอย่างไม่เข้าใจ

“ถามเขาเองซิ” พัฒนะว่า ภายหลังที่นิ่งรอฟังอาทรอยู่หลายวินาที สำหรับดิฉันรู้สึกว่านานมาก อึดอัดใจมาก

“ก็ ให้เพื่อนรู้ดีๆ ไม่ดีกว่าให้รู้ว่าใครเขาด่าหรือ” อาทรตอบโดยใช้คำถาม

“เอ บางคนว่ามิตรแท้ต้องให้รู้เวลาตัวทำไม่ดีนะคะ” ดิฉันลองแย้ง

อาทรนิ่งอีก พัฒนะว่า “เฮ้ย เวลาพูดจำปาหลวงร่วงจากปากเรอะ นายอาทรนิ่งไม่รู้เป็นไง บางทีก็พล่ามพูดยืดยาว พอถึงใครถามอะไรเกิดจะอมภูมิเสียแล้ว”

“เอ๊ะ เขาพูดกันว่าดอกพิกุลร่วงไม่ใช่เรอะ ไม่ใช่จำปี” คุณพ่อแซงขึ้นด้วยขบขันพัฒนะ

ดิฉันคิดในใจ เป็นไปได้ไหมที่เขาพูดไม่ออกเมื่อมีดิฉันอยู่ในสมาคมเดียวกับเขา และเป็นไปได้ไหมที่เขาต้องการให้กฤตอยู่ในราชการ เพื่อกฤตจะได้ไม่ไปมีความสัมพันธ์กับช้องเพชรยิ่งกว่าที่มีอยู่ แต่ความคิดสอดนัยนั้นมันขัดกัน ดิฉันจึงวิงวอน

“พูดให้ดิฉันฟังมั่งซีคะ ทำไมพูดให้พัฒนะพังคนเดียว

“จะให้ผมพูดอะไร ผมลืมไปเสียแล้ว” อาทรถาม ทำให้พัฒนะเกาศีร์ษะแล้วตอบแทนเขา

“คือยังงี้ คุณลูกแก้ว นายทรน่ะเขามีญาติมาก เป็นจีนมากก็มี เป็นไทยมากกว่าจีนก็มี จนก็มี เศรษฐีก็มี ค้าขายก็มี ทำราชการก็มี นายทรเขาว่าที่เขาเห็น ๆ มา คนบางคนที่ทำราชการเหมือนการค้า บางคนทำการค้าเหมือนทำราชการ”

“แล้วตัวคุณอาทรเองล่ะคะ” ดิฉันพยายามทำน้ำเสียงและสีหน้าให้สดใส เชิญชวนให้เขาตอบ “พยายามตอบดิฉันหน่อยเถอะค่ะ”

“ผมทำไม่ได้ดีทั้งสองอย่าง” อาทรตอบ สีหน้าของเขาอ่านยาก จะว่าถ่อมตัวก็ไม่ใช่ จะเป็นพูดเล่นก็ไม่เชิงแววตาของเขามีความภูมิใจเมื่อเขากล่าวถึงตนเองอยู่ด้วย “ผมกำลังคิดว่า ผมอาจเป็นพระดี กำลังคิดจะลองบวชดู”

“เป็นไงคะ ที่ว่าเป็นอะไรไม่ได้ดีทั้งสองอย่าง” ดิฉันใช้พลังจิตทั้งหมดที่มีเพ่งไปให้เขาตอบตามความจริง

“ผมทำราชการ ผมมองเห็นทางโกงเรื่อย มองเห็นช่องที่โหว่เอาไว้ให้โกง แต่ก่อนจะไปเมืองนอก คุณก๋งขอไว้ ว่าถ้าเรียนจบแล้วกลับมาทำราชการละก็อย่าโกง เขาจะด่าว่าไอ้เจ๊ก เสียชื่อตระกูลที่อุส่าห์ทำดีมาหลายแผ่นดิน คือก่อนจะได้ไปเมืองนอก คุณก๋งท่านไม่รู้ว่ามีผมอยู่คนเดียวในโลก เป็นหลานคนโตของท่าน เพระคุณพ่อไม่เคยพาไปหา ไปหาแต่คุณย่า ปัดคุณก๋งกัน มีอะไรแปลกๆ พวกผม”

เป็นคำพูดที่ยาวที่สุดที่ดิฉันได้ยินอาทรพูด รู้สึกสงสารเขาจับใจ คนที่เติบโตขึ้นโดยต้องยอมรับว่า พ่อของเขาไม่ต้องการให้เขาเกิดมา และถ้าปู่ของเขารู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ จะกลายเป็นความผิดแก่พ่อของเขา ดิฉันมองดูอาทรด้วยความสนใจยิ่งกว่าที่เคย ตาต่อตาประสบกัน แล้วดิฉันต้องแปลกใจมากเมื่อเขาถามขึ้น

“คุณสงสารผมเหลอ”

“สงสารค่ะ” ดิฉันสารภาพออกไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นค่อนข้างจะรุนแรง “คุณอาทรไม่ได้คิดเอาเองหรือคะ”

“อ้าว จะคิดเอาเองยังไง” เขาพูดหัวเราะๆ “ตอนผมไปสมัครชิงทุน คุณพ่อบอกว่า ถ้าผมได้ทุนก็จะดี จะได้พาไปหาคุณปู่เสียที ควรจะให้รู้เสียนานแล้ว แต่คุณย่าห้ามไว้เรื่อย”

“ผมฟังเรื่องของอาทร แล้วก็เรื่องเพื่อนบางคนที่เขาเป็นลูกท่านหลานเธอกันนี่ ผมว่าดีจังที่ผมเป็นชาวบ้านธรรมดา ผมว่าวุ่นกันจังเลย” พัฒนะปรารภ

“บ้านผมยุ่งแล้วมาทำให้บ้านกอกรียุ่งไปด้วย” อาทรว่า

ผู้ฟังเกิดความเกรงใจอาทรขึ้นมา จึงไม่กล้าซักต่อไป แล้วดิฉันนึกถึงปัญหาที่ค้างอยู่ขึ้นมาได้ จึงถาม

“เออ คุณอาทรยังไม่ได้บอกว่า เพราะเหตุใดกฤตจึงควรทำราชการมากกว่าจะไปทำอย่างอื่น แล้วก็ทำราชการเป็นน่ะคือยังไง”

“ก็พัฒนะเขาตอบไปแล้ว” อาทรกลับพูดสั้น ๆ อีก

ดิฉันไม่รั้งรอที่จะเซ้าซี้ “ก็ดิฉันอยากฟังเหตุผลคุณอาทรอีกนี่คะ” แล้วก็แข็งใจพูดต่อ เพราะเห็นว่าเป็นโอกาสดี “กฤตเขากำลังคิด ๆ อยู่เหมือนกันว่าจะเลิกทำราชการ แล้วดิฉันก็มองไปให้สบตากฤต ดิฉันเห็นเขาวางสีหน้าไม่ค่อยสนิทนัก แววตามีความไม่พอใจฉายอยู่ แต่ดิฉันยิ้มให้เขาเข้าใจว่าดิฉันอยากรู้ด้วยใจจริง

“ผมว่าคนดีๆ ทำราชการก็ดีครับ อย่างกฤตไปทำการค้าก็คงไม่เก่งนักละมั้ง การค้ามันต้องหัดกันสองสามชั่วคน อย่างผมนี่คุณพ่อก็ว่าให้ทำราชการ เพราะไวไม่ทันคน” อาทรตอบช้าๆ เหมือนกับคนตรึกตรองพลางพูด

“เผื่อไปทำงานในบริษัทอะไร เราก็ทำตามหน้าที่ เขาใช้เราตามวิชาการ ยังงั้นไม่ได้หรือคะ” ดิฉันถาม

“ก็คงได้ ถ้า ถ้า” อาทรพูดไม่ทันจบ พัฒนะคนใจร้อนก็ต่อให้

“ถ้าอยากทำ”

การสนทนาดำเนินต่อไปไมได้ เพราะเราถูกเรียกไปกินอาหาร อาทรกับพัฒนะคุยอยู่กับคุณพ่อจนสมควรแก่เวลาแล้วก็ลากลับ เมื่อดิฉันกลับไปถึงห้อง น้ารื่นกำลังดูแลให้ลูกกินนมมื้อสุดท้าย ตั้งแต่รื้อไข้แกต้องการอาหารมาก ดิฉันเข้าห้องน้ำ อาบน้ำและแต่งตัวสำหรับจะเข้านอน คิดว่าในคืนนั้นจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับกฤตจะปล่อยให้ข้ามคืนไปไม่ได้ ไม่ช้ากฤตก็เข้าไปในห้อง ดิฉันถามว่าเขาไปไหนมา ได้รับคำตอบว่าไปเดินเล่นในสวน ดิฉันแนะให้เขาอาบน้ำ เขาบอกว่าเขาไม่ร้อน และกล่าวต่อ

“คุณอยากพูดอะไรใช่ไหม”

ดิฉันหมายเหตุสรรพนามที่เขาใช้ ทำใจให้เฉยไว้ รอให้เขานั่งลงบนเตียงของเขา ดิฉันนั่งที่ขอบเตียงของดิฉันและกล่าว

“กฤตยังต้องการให้ลูกแก้วช่วยหาเงินใช้หนี้รัฐบาลหรือเปล่าจ๊ะ”

เขานิ่งไปหลายระยะลมหายใจ แล้วจึงตอบ “ช่วยคิดหน่อยซิว่าคุ้มกันไหม เวลานี้มีคนเขาบอกว่ามีงานอยู่เหมือนกัน”

“ก็แล้วแต่ว่ากฤตอยากได้งานใหม่เพราะอะไร” ดิฉันพยายามเลือกคำพูดให้ดีที่สุด “แล้วก็เห็นจะต้องปรึกษากับเพื่อนกับฝูงหลายๆ คน”

“ถ้าปรึกษากับนายอาทรก็รู้แล้ว เขาไม่ต้องการให้ผมเปลี่ยนฐานะ ยิ่งผมจนเท่าไหร่ ก็อาจดีขึ้นสำหรับอาทรเท่านั้น”

“เขาจะได้อะไรจากความจนของกฤต” ดิฉันถาม น้ำเสียงเรียบที่สุด

“เดาไม่ออก คิดไม่ได้” กฤตตอบเร็วมีอาการคล้ายคนหอบ “ลูกแก้วรู้ไหมว่าเขาลือกันว่าอาทรรักลูกแก้ว”

“เขาเอาอะไรไปลือ คุณอาทรแกไม่ได้พูดกับลูกแก้วกี่ประโยค ตั้งแต่รู้จักกันมา” ดิฉันพยายามไม่ให้เสียงสั่นมีความตื่นเต้นอยากร้องไห้และหัวเราะพร้อมๆกันไป

ดิฉันพยายามเต็มที่ที่จะจับสีหน้าและแววตากฤตว่าเขาจะมีความหึงหวงอยู่ด้วยหรือไม่ หรือกล่าวเพื่อเป็นทางหาทางออกอย่างหนึ่งอย่างใด แต่สีหน้าของกฤตเป็นสีหน้าของคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ เพราะเขาก็ได้รับการอบรมมาจากผู้ทรงศีลถึงสองศาสนา ย่อมจะใช้เหตุผลและเข้าใจอารมณ์ตัวพอสมควร ดิฉันจึงถามซ้ำ ทำให้ตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีก

“จริงนะ ลูกแก้วไม่เข้าใจ อาทรแกไม่เคยแสดงความสนใจลูกแก้วกี่มากน้อย น้อยกว่าพัฒนะเสียอีก” ดิฉันอยากจะเล่าให้ฟังถึงเถลิงเพื่อนเก่า แต่เห็นว่ายังไม่ได้จังหวะดีจึงนิ่งไว้เพียงนั้นก่อน

“ถ้าจะให้เดา ก็คงเป็นอาทรเองตั้งต้นให้เกิดการเล่าลือกัน” กฤตพูดอย่างไม่เต็มเสียง ไม่ค่อยมั่นใจ เมื่อดิฉันจ้องตาให้เขาเล่าต่อ เขาก็พูดต่อไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจพูดนัก “อาทรน่ะ ย่าเขารักมาก แต่คุณปู่เพิ่งรู้จัก แล้วถ้าจะให้ได้สมบัติจากคุณปู่ โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้อากรรณจะกลับไปดีกลับอาเธียร คุณย่าก็ต้องการให้มีหน้ามีตา ให้มีเมียที่มีตระกูล มีทรัพย์ แล้วอยากให้มีลูกชาย แต่อาทรเขาบอกว่า ลูกผู้ดีมีตระกูลที่เขาอยากได้น่ะแต่งงานไปเสียแล้วเขาขอเวลาสักหน่อย คุณย่าก็เร่งเร้า ข่าวลือก็คงไปจากอาทรเองนี่แหละ”

ดิฉันเกือบพูดออกไปว่า “กฤตรู้ทั้งหมดนี้มาจากช้องเพ็ชรใช่ไหม” แต่ระงับไว้ ไม่แน่ใจว่าถ้าพูดออกไปจะเป็นการได้เสียอย่างไรกับตัวเอง ดิฉันจึงเข้าหาเรื่องที่ต้องการพูดกับกฤตให้แน่นอนลงไป

“แต่เรื่องอาทรนี่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่กฤตจะอยากทำราชการต่อไปหรือออกจากราชการใช่ไหม ใคร ๆ ก็ว่ากฤตกำลังมีชื่อเสียงในวงราชการ ถ้ากฤตอยากมีบ้านของเราเอง เราจะหาทางอื่น แทนที่จะสร้างหนี้ใหม่ จะดีกว่าก็ได้นะ ลูกแก้วพูดด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ตั้งใจจะบังคับน้ำใจกฤต ถ้าทำราชการไม่สบายใจ ลูกแก้วจะยอมเป็นหนี้เป็นสิน ไม่เอาใจใส่หรอกกับเหรียญตรา สายสะพาย ทำอะไรที่ดีมันก็มีประโยชน์”

กฤตกลืนอะไรลงไปในคอ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นหม่นหมอง ดิฉันรู้สึกว่ผู้ชายคงไม่รังเกียจความออเซาะของเมีย จึงก้มหน้าไปวางบนตักเขา พยายามจะไม่ให้น้ำตาไหลลงมา แต่ก็รู้สึกว่าที่ขอบตาของตัวเริ่มมีธาตุเหลวออกมาทำให้เปียก กลัวน้ำตาจะไหลรินลงไปเปื้อนตักเขา จึงเอาหน้าซบลงที่ใกล้ที่นั่งของเขาแทน

กฤตกอดดิฉันไว้ เขาเกิดความตื้นตัน เขาค่อยๆกอดดิฉันแน่นบ้าง แล้วก็ระบายลมหายใจ

“นอนกันเถิด ลูกแก้ว วันอื่นค่อยคิดกันใหม่” เขาเสียงกระเส่าน้อยๆ พอจับได้ ดิฉันปล่อยให้เขาพยุงตัวไปที่เตียงนอนของเขา เขาไม่ชมเชยอย่างผัวเมีย กอดจบลูบชมเหมือนดิฉันเป็นน้องสาวอายุน้อยๆ แล้วก็นอนลงแนบข้าง แล้วหลับตา ดิฉันกระดากที่จะยวนใจเขามากกว่าที่ได้ทำไปแล้ว จึงพยายามนอนให้หลับไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ