บทที่ ๕

เมื่อน้ารวงและน้ารื่นดื่มน้ำแก้กระหายแล้ว ทั้งคณะก็พากันเดินต่อไปตามทางดินขนานกับคู เลยเขตบ้านที่มีรั้วพู่ระหงไปเป็นสวนส้ม ต้นโตพอสมควรพร้อมที่จะออกลูกเมื่อถึงฤดู กฤตอธิบายว่า ฤดูฝน เป็นฤดูที่ส้มออกดอก และส้มดีที่สุดนั้นจะออกตลาดในราวเดือนพฤษภาคม ส้มนครไชยศรีมีรสแหลมก็เพราะได้อาศัยน้ำเค็มจากทะเลหนุนขึ้นมายังคลองซึ่งแยกออกจากตัวแม่น้ำ น้ำเค็มกับน้ำจืดต้องได้สัดส่วนกัน จึงจะได้ผลที่รสดีที่สุด ดิฉันไม่ค่อยได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับส้มหรือวิธีการเกษตร ใจพะวงอยู่แต่ว่าจะได้พบกับครอบครัวของกฤต เขาจะเป็นชาวชนบทชนิดใด ชนิดที่จะทำให้ดิฉันต้องหักใจเลิกรักกฤตหรือไม่ หรือเป็นชาวชนบทชนิดที่ดิฉันวาดภาพไว้ โดยอาศัยญาติชาวชนบทของดิฉันเองบางคนเป็นตัวแบบ

เดินตามทางดิน ผ่านสวนสวนองุ่น ประมาณ ๒๐ นาที กฤตก็เลี้ยวข้ามคูซึ่งดูกว้างขึ้นกว่าที่ได้ผ่านมาแล้ว โดยอาศัยสะพานไม้ซึ่งทำอย่างแข็งแรงเรียบร้อยพอดูได้ ข้ามสะพานไปแล้วถึงทางเดิน ซึ่งกว้างประมาณเมตรครึ่ง มีส่วนกลางสร้างด้วยคอนกรีตกว้างพอเดินเรียงหนึ่งเท่านั้น นอกนั้นคงเป็นดินอย่างที่ได้เดินมาแล้ว สองข้างทางก็คงเป็นสวนส้มและองุ่นผสมกัน เดินไปตามทางนี้ไม่ถึง ๑๐ นาทีก็ถึงบ้าน ๆ หนึ่ง มีรั้วทำด้วยต้นพู่ระหงหนาแน่นเหมือนบ้านหลังวัด มีประตูทำด้วยไม้ทาสีเทาแกมน้ำเงิน เมื่อเข้าประตูแล้วจึงเห็นตัวเรือน และเห็นลำคลองเล็กอยู่ในระยะใกล้ กว้างขนาดเรือหางยาวที่เป็นพาหนะของเราเดินได้ลำเดียว สวนกันสองลำไม่ได้ ตัวเรือนปลูกอย่างอาคารอาศัยในพระนคร ซึ่งจะเห็นตามซอยเล็ก ๆ ที่ตัดขึ้นใหม่ เสาเป็นคอนครีต พื้นลาดซีเมนต์ นอกนั้นทำด้วยไม้ซึ่งไม่ใช่ไม้สัก หน้าต่างติดกระจกบานเกล็ด นอกกระจกมีบานหน้าต่างทำด้วยเส้นเหล็กขดอีกชั้นหนึ่ง ทำเป็นลวดลายสัตว์ในนิยายหลายชนิด ที่บ้านที่เราไปถึงนี้ บานหน้าต่างเหล็กขดเป็นรูปกินรบ้าง เปนรูปนาคบ้าง และเป็นรูปนกคล้ายตรากระทรวงการคลัง ซึ่งน้ารวงบอกว่าเรียกว่านกวายุพักตร์ แต่ “ประยุกต์” ไปตามรสนิยมของช่างทำเส้นเหล็กบ้าง

“เห็นจะไม่ใช่ฝีมือเดียวกับคนเขียนตรากระทรวงการคลังหรอก” น้ารวงกระซิบบอกแล้วต่อโดยเร็ว “อย่าหัวเราะ”

ดิฉันไม่หัวเราะอะไรที่บ้านนั้นเลย สำหรับคนอื่นบ้านนั้นและละแวกบ้านนั้นเป็นบริเวณชนบทแห่งหนึ่งของประเทศไทย สำหรับดิฉันละแวกบ้านนั้นเปรียบได้กับแผนที่ ซึ่งจะบอกถนนและสถานที่ที่ชีวิตดิฉันจะต้องดำเนินไป ตัวบ้านเรือนจะมีหน้าต่างเหล็กขดสักกี่บาน และมีลวดลายฝีมือของใครไม่ใช่ปัญหาของดิฉัน ดิฉันกำลังอยากพบคนที่จะมีความสำคัญแก่ชีวิตของดิฉัน เพราะว่าเขาต้องมีความสำคัญในชีวิตของกฤต

ดิฉันไม่ได้เล่าว่ามารดาของกฤตได้ตายไปแล้วเมื่อก่อนที่เขาจะพบกับดิฉัน และเวลาที่เราไปเยี่ยมบ้านเขานั้น บิดาของเขายังไม่ได้มีภรรยาใหม่ ดิฉันห้ามใจไม่ให้วาดภาพบุคคลที่เขาเรียกพ่อไว้เลย รอเวลาที่จะพบกับตัวจริง เมื่อเดินเข้าใกล้บ้าน ดิฉันยังไม่ทราบว่าเป็นบ้านของพ่อเขาหรือญาติคนใด และก็ไม่แปลกใจเลยเมื่อเขาบอกดิฉันเมื่อเราไปถึงหน้าประตู

“นี่บ้านผม บ้านพ่อน่ะ กำลังเห่อที่สุด แล้วก็เสียใจมากที่แม่ตายเสียก่อน ไม่ทันได้ซ่อมแซมใหม่ แต่ที่ซ่อมแซมนี่เปลี่ยนแต่ฝาบางตอน กับกระเบื้องแล้วทาสีใหม่ สวยไหม ลายหน้าต่าง นายพัฒนะ”

“เฮ้ย ลื้ออย่าพูดเล่นน่ะ” พัฒนะว่า “อั๊วเห็นใจเขาทั้งนั้นบ้านเมืองเรามีขโมย ไม่ทำยังนี้จะทำยังไง”

“ลื๊อกับพ่อคงพูดกันได้ละ” กฤตกล่าวพลางหัวเราะน้อยๆ “อั๊วไม่กล้าพูดอะไรเลยเรื่องหน้าต่างนี่ เพราะตัวเองก็นึกไม่ออกว่าจะทำยังไง”

“เป็นเรื่องเล็กที่สุด” น้าเรืองว่า วางตัวเป็นผู้ใหญ่ “คุณอย่าไปเสียเวลากับเรื่องพรรณอย่างนั้น กฤต”

กฤตชักสายลวดสั่นกระดิ่งที่ประตูบ้าน เสียงสุนัขน้อยใหญ่ไม่น้อยกว่าสามตัวส่งเสียงเห่าเกรียวกราว แล้วมีเด็กรุ่นสาววิ่งออกมาที่ประตู เปิดประตูพลางก็ตะโกนเข้าไปทางหลังบ้าน

“พี่ดวน อาไย พี่กลิตเขามาแล้ว”

มีหญิงคะเนอายุว่าเท่า ๆ กับน้ารวงโผล่จากด้านหลังของเรือนออกมายืนที่มุมเรือน แล้วตะโกนบอกต่อเข้าไปว่า

“ดวน ๆ ลุงเขายังไม่กลับไม่ใช่เรอะ กริตเขามาแล้ว” คนนี้ออกเสียงเรียกชื่อกฤตอย่างชัดเจน

มีหญิงสาวอายุน้อยกว่าดิฉันโผล่จากข้างในเรือนออกมายังระเบียงหน้าเรือน แล้ววิ่งลงมารับรองกฤตและแขกของเขา ขณะนั้นกฤตพาแขกเข้าไปถึงบันไดเรือนแล้ว เมื่อเขาเห็นหญิงสาวผู้นั้นเขาก็ถาม

“พ่อไม่อยู่หรอกเรอะ บอกไว้แล้วไงว่าจะพาคุณ ๆ มาวันนี้”

หญิงผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ที่มุมเรือนเดินเข้ามาร่วมเจรจา “เชิญค่ะ เชิญขึ้นข้างบน” แล้วพูดกับกฤต “พี่เขาไปวัด ประเดี๋ยวก็มา อาพัดแกมาชวนไปพบครูใหญ่ เขาจะไปปรึกษาสมภารกันเรื่องจะซ่อมโรงเรียน”

กฤตยิ้ม ดูเขามีสีหน้าผ่องใส “โดยย่าพัดทำการสังคมสงเคราะห์อะไรแล้ว?” เขาพูดกับผู้ที่ไปกับเขาทั่ว ๆ ไป แล้วหันกลับไปพูดกับญาติ “นี่ อาใย คุณ ๆ นี่ท่านเป็นคนเคยเมตตากรุณาฉันทั้งนั้น นี่อาใย ลูกของปู่น้อยผมครับ เอ๊ะ ถูกซินะ อาใยเป็นลูกปู่ยม ปู่ยมเป็นน้องคุณปู่”

อาไยเชื้อเชิญอาคันตุกะอย่างแข็งขันให้ขึ้นบนเรือน ผู้หญิงทุกคนในคณะถอดรองเท้าไว้ที่บันไดอย่างคล่องแคล่วเพราะได้เตรียมรองเท้าชนิดถอดง่ายสวมง่ายไปแล้ว มีแต่อาทรที่สรวมรองเท้าผูกเชือก ต้องลงนั่งถอดกับบันได และก้มหน้าซ่อนความรู้สึกไม่พอใจอยู่คนเดียว

“เชยจังโว้ย” พัฒนะว่า “ออกหัวเมืองดันแต่งตัวขุนนางมาได้”

อาทรเหลือบตาขึ้นมองดูเพื่อน ขยับจะอธิบายแล้วระงับไว้ ดูเขาเป็นคนที่เห็นว่าคำพูดเป็นสิ่งจำเป็นน้อยที่สุดในชีวิต

อาใยและหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งเรารับทราบว่าชื่อลำดวนช่วยกันเข้าไปในห้องรับแขกเพื่อเปิดหน้าต่างออกทุกบาน เสียงตะโกนจากอาใยยังมีต่อไป และมีเสียงรับคำสั่งว่า “ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว” แล้วอาใยหันมาบอกกฤตซึ่งยืนที่ประตูห้อง “เข้าเชียนมันวิ่งไปแล้ว ประเดี๋ยวพี่เขาก็มา” แล้วพูดต่อไปกับผู้อื่น “หิวกันหรือเปล่าคะ หุงข้าวไว้แล้ว จะผัดให้ร้อน ๆ หิวเมื่อไหร่ถึงผัด แกงก็มี ขนมจีนก็มี ส้มโอตอนนี้มันไม่ค่อยดีนักหรอกค่ะ แต่องุ่นที่ออกใหม่มีแล้ว”

ภายในไม่กี่นาที มีคนเข้ามาสมทบในการต้อนรับแขกชาวกรุงอีกประมาณ ๑๐ คน กฤตแนะนำให้แม่และคนที่เป็นแขกของเขารู้จักทุกคน แต่ดิฉันจำไม่ได้หมด จำได้แม่นยำเฉพาะเด็กชายอ้วนกลมคนหนึ่ง อายุประมาณ ๓ ขวบ ซึ่งเข้ามากอดขากฤตไว้แน่น กฤตอุ้มขึ้นแล้วก็ทักทายและแนะนำไปพลาง

“เอ้า นี่ทายาทตระกูลมีนา หลานของลุงกำนัล” เขาว่าพลางจับตัวเด็กโยนขึ้นแล้วทิ้งหัวลงอย่างสนุกสนาน “คุณปู่จะยกสวนองุ่นให้หมด ถ้าไม่ไปไหนอยู่กับปู่ ใช่ไหม ไอ้ตะโพนอุ้ย”

“ฮือ ลุงกำนันที่เป็นคนหัวเก่ามาก หรือหัวใหม่จัดก็ไม่รู้” น่ารวงปรารภขึ้นเหมือนพูดกับตัวเอง

“กำลังเป็นปัญหาเรอะ แถวนี้” น้าเรืองถามกฤต “ไหนเขาว่าชาวไร่ชาวสวนอยากให้ลูกเต้ารับราชการกันทั้งนั้น”

“คนมันมียกเว้นทุกอย่างแหละครับ” กฤตตอบ “พ่อผมดูเหมือนจะเป็นพวกกลาง พ่อว่าแล้วแต่วาสนา แต่ลุงกำลังโกรธลูกชายคนรอง ไปได้เมียแหม่มที่อเมริกาแล้วไม่ยอมกลับบ้าน เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ลุงแกเสียใจมาก บอกว่าอกตัญญู ตอนนี้ถึงกับจะไม่ให้ใครเรียนเกินประถมสี่น่ะ”

ระหว่างที่การเตรียบรับรองให้เต็มรูปดำเนินไป คือมีการเปิดน้ำอัดลม รินใส่ถ้วยแก้วสีต่าง ๆ และมีคนนำถาดถ้วยน้ำอัดลมเหล่านั้นมาให้แขก อาทรออกจะอยากรู้อยากเห็นมากกว่าคนอื่น หรือแปลกกว่าคนอื่น เขาออกมายืนที่บันได แล้วขอยืมรองเท้าฟองน้ำของใครคนหนึ่ง เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็เดินออกจากบ้านไปชมสวนองุ่นที่ปลูกอยู่รอบบ้าน มีคูเล็ก ๆ ขนานไปกับร่องสวนทุกร่อง

ดิฉันอยากทราบว่าเขาจะไปดูอะไร จึงเดินตามไป แดดออกมาร้อนแรงจนดิฉันทนไม่ได้ จึงต้องกางร่มที่ถือติดมือไปด้วย ลมพัดมาแรงอีก ร่มสปริงก็ไม่กางตามความประสงค์ มันกางออกแล้วยกริมระเหิดขึ้นไปทำให้ร่มอยู่ในรูปที่จะเป็นที่รับสิ่งของที่ใครจะโยนใส่มากกว่าที่จะกางกั้นความร้อนจากพระอาทิตย์ให้เจ้าของ

“ดีจริง ลูกแก้ว” เสียงน้าเรืองร้องตามมา “เมื่อสมัยเขาโยนลูกมะนาวตามวัด ไม่ยักมีร่มแบบนี้”

ดิฉันกำลังฟังน้าเรือง แต่กฤตได้เข้ามายืนใกล้ตัว เขาเอื้อมมือไปยึดร่มจากมือดิฉัน พร้อมกันนั้นก็มีมืออีกมือหนึ่งยึดข้อมือดิฉันราวกับนัดกัน เป็นการบังเอิญโดยแท้ ดิฉันเหลือบขึ้นเห็นหน้าอาทรเป็นสีมะปรางสุก เขาลดมือลงทันทีและว่า “ขอโทษ”

มีเสียงผีเท้าวิ่งตามกฤตมา เหลียวไปก็เห็นเด็กชายอุ้ยวิ่งอยู่ใต้ร้านองุ่นอย่างสบายใจ ไม่ต้องเดือดร้อนกับแสงแดด เพราะขนาดความสูงของร้านองุ่นเกินศรีษะเขาประมาณหนึ่งนิ้วกว่า ดิฉันอดหัวเราะไม่ได้ ลืมอาทรเสียสนิท ร้องขึ้นมาว่า

“ตาย น่าอิจฉาเด็ก ร้อนก็ไม่ต้องร้อน แล้วยังไม่ห่วงว่าจะถูกหนามเกี่ยวหัวอีก”

กฤตกับอาทรหันไปดูเด็กชายพร้อมกัน กฤตหัวเราะและร้องบ้าง “ไอ้อุ้ย วิ่งมาได้ กลับไปข้างในบ้าน”

อุ้ยไม่ฟังคำสั่งและคำห้าม เขายังคงวิ่งไปใต้ร้าน พรรณไม้เลื้อยซึ่งกำลังเป็นสมบัติสำคัญของญาติผู้ใหญ่ ทำให้อาทรเจรจาออกมาเป็นประโยคเป็นครั้งแรก

“ผมเห็นกิ่งไม้ดูมันแห้งๆเลยอยากออกมาดูว่าอะไร”

“องุ่นเขาแต่งสำหรับให้มันออกช่อไงครับ กฤตบอก “ลูกแก้วรู้แล้วไม่ใช่รึว่าไอ้แห้ง ๆ นี่อะไร”

“ดิฉันก็ว่าแปลกเหมือนกัน” ดิฉันกล่าวเลี่ยง “ทำไมเขาต้องตัดเสียราวกับจะทิ้งไม่ใช้มันอีก”

“วิธีการของเขาละ” กฤตตอบ “คุณอาทรเพิ่งเคยมาเที่ยวสวนองุ่นรึ” เขาถาม

“เขาเก็บเกี่ยวกันเดือนอะไรนะ องุ่นเมืองไทย” อาทรถาม ดิฉันเดาว่าเขาไม่ได้อยากศึกษาเรื่ององุ่นเลย แต่คำถามนั้นเขาคิดขึ้นมาได้จึงถาม สังเกตจากการยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อเพื่อซ่อนหน้าของเขาเสียจากสายตาของผู้ที่ร่วมสนทนาอยู่นั้น

กฤตเล่าให้ฟังถึงวิธีการและฤดูว่าสำหรับเมืองไทยไม่แน่นอน แล้วก็ถามดิฉัน “ลูกแก้วออกมาทำไมน่ะ”

ดิฉันเกือบลืมคำตอบแรกที่ได้ให้เขา แต่ระลึกขึ้นได้จึงบอกซ้ำถูกต้องว่าอยากดูร้านต้นไม้แห้ง ๆ เหมือนคุณอาทร

กฤตไม่มีปฏิกิริยาอย่างใด เขาพยักหน้าเรียกญาติตัวน้อย “มา ไอ้อุ้ย กลับเข้าบ้านได้ เดี๋ยวลงคูไปอั๊วจะโดนปู่แกด่าตาย” เด็กชายอุ้ยทำตามโดยดีเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งสามเดินกลับเข้าเขตบ้าน ในใจของดิฉันให้อยากถามอาทรอย่างมากว่าเขาได้กล่าวความจริงหรือเท็จ แต่ก็เดาไม่ถึงว่าเขาจะกล่าวเท็จเพื่อประโยชน์อะไร แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาออกมาจากบ้านเสียด้วยความคิดอะไร

ขณะที่เรากลับเข้าประตูบ้านก็มีเสียงคนร้องตะโกนกันไปมาซึ่งดูออกจะเป็นเหตุการณ์ปรกติของละแวกบ้านนี้ ในที่สุดได้ความว่า บิดาของกฤตกำลังเดินมาจากวัด จวนจะถึงอยู่แล้วภายในสองสามนาทีนี้

กฤตเตือนให้หญิงสาวที่ชื่อลำดวนให้นำผ้าชุบน้ำเย็นมาให้แขก ขณะเดียวกันก็เชิญแขกให้เข้าไปบรรเทาความร้อนในห้องน้ำ ถ้าหากจะประสงค์เช่นนั้น “ไปล้างหน้าลูบตัวอะไรก็ได้นะครับ น้ารื่น” เขาบอกคนสำคัญ

แม่ น้ารวงกับน้ารื่น ไปทำความสดชื่นให้แก่ร่างกาย แล้วกลับมานั่งคุยกันในห้องรับแขกกับอาใย น้าเรืองซักถามเรื่องการปลูกองุ่น ได้รับคำชี้แจงว่า ที่ตำบลสามพรานนั้นองุ่นจะออกไม่แน่นอน เป็นแต่ว่า องุ่นที่แตกช่อในฤดูฝนจะมีผลและตัดได้เร็วกว่าองุ่นในฤดูแล้ง แต่ก็มีเสียเปรียบในเรื่องที่ต้องระวังภัยจากแมลงมากกว่าในฤดูอื่น ที่ดิฉันอดที่จะสนใจจำไว้ไม่ได้ก็คือ อาลำใยเล่าว่า

“พี่กำนันแกมีทุนมากกว่าคนอื่น พอเห็นเขาปลูกองุ่นกัน แกก็เอามั่ง ทีแรกเสียเงินไปเปล่าแยะ แต่แกกัดฟันสู้ พอออกลูกมา ได้กิโลละหกสิบ แกรวยสองปีติดกันหลายแสน พี่กิจมาทำตอนมันมีมากแล้ว รู้จักปลูกกันทั่วไปหมด ลูกออกมาเดี๋ยวนี้กิโลละสิบสลึงสามบาท แต่เขาก็หาได้สองสามหมื่นมาสองปีติดกันแล้ว แกไม่ค่อยต้องใช้จ่ายอะไร กฤตเขาก็เป็นฝั่งเป็นฝา ลูกสาวก็แต่งงานแล้ว ถ้าแกไม่ไปฉวยเมียเหลวไหลมา ก็คงรักษาตัวได้เรื่อยไป”

พอจบการบรรยายเรื่องความสำเร็จของญาติ ก็พอดีมีเสียงคนร้องบอกมาล่วงหน้าว่า “ลุงมาแล้ว ลุงมาแล้ว”

กฤตรีบออกไปต้อนรับบิดา น้าเรืองออกไปด้วย พวกผู้หญิงนั่งอยู่ในห้อง แล้วครู่หนึ่งต่อมา กฤตก็พาญาติผู้ใหญ่หน้าใหม่เข้ามา ผู้ชายอายุคะเนว่าไม่แก่กว่าแม่ เค้าหน้าบอกได้ว่าเป็นบิดาของเขา ญาติอายุมากกว่าอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง ดิฉันคะเนอายุไม่ได้ แต่เป็นคน ๆ ละรุ่นกับแม่ นุ่งผ้าซิ่นหมี่สีน้ำตาลดอกเล็ก ๆ สีเหลืองอ่อน สรวมเสื้อผ่าอกเรียบ ๆ กลัดกระดุมทำด้วยโลหะสีทอง ตัวเสื้อเป็นสีเหลืองอ่อนเหมือนดอกของผ้านุ่ง บอกไม่ได้ว่าเป็นคนสวยหรือไม่เมื่อเป็นหญิงสาว แต่ในปัจฉิมวัย หาได้น้อยคนที่มีดวงหน้าและแววตาที่ชวนดูที่เทียบเท่าได้ ไม่อ้วนไม่ผอม ท่าทางไม่เป็นคนสาวแต่ก็ไม่ใช่คนแก่

“มาแล้ว อาพัด อย่าเพ่อเรี่ยไรนะ คุณๆ นี่เพิ่งมาถึง ยังไม่รู้จักบ้านเรา” อาลำใยทักอย่างคนกันเอง

ผู้ที่ถูกเรียกว่า อาพัด ชำเลืองดูหน้าผู้พูด แววตาบอกว่าไม่ค่อยพอใจ แต่ระงับได้อย่างฉับพลัน กฤตแนะนำ

“นี่ย่าน้อยของผม เป็นลูกน้องของปู่ ย่าพัด ในตำบลนี้ มีชื่อเสียงว่าแต่งตัวสวยเสมอ ไม่ยอมให้ใครว่าได้ว่าชาวสวนไม่รู้จักสมัย”

อาพัดกวาดสายตาดูผู้ที่นั่งอยู่ทั้งหมดด้วยสีหน้าเฉย ๆ ยิ้มนิด ๆ รับไหว้ทุกคนอย่างสุภาพ เมื่อได้มีการแนะนำกันครบแล้ว บิดาของกฤตก็กล่าวเชิญ “อาพัดกินข้าวเสียที่นี่นะ ใยเขาเตรียมไว้เยอะแยะ ลองฝีมือเขาหน่อย”

“มีอะไรมั่งล่ะ” อาพัดถามด้วยสำเนียงแปร่งไปจากสำเนียงชาวกรุงบ้างเล็กน้อย “ถ้าขอแบ่งใส่ปิ่นโตไปให้ได้ละก็ดี บอกเขาไว้ที่บ้านว่าจะกลับไป เขาจะรอ”

“แหม รังเกียจฝีมือฉันหรือไง” อาลำใยพ้อ “จะกินที่นี่ก็ไม่ได้ เอาใส่ปิ่นโตไปแล้วไปเทกลางทางมัง”

อาพัดยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม “ดู๊ พูดอะไรมันเข้าเรื่องเข้ารอยมั้ง” น้ำเสียงเชิงอุทาน “ถ้าฝีมือเจ้าดีจริง ใครจะไปเท ถ้าเขาเทก็เป็นว่าเขาไม่อยากกิน จะบังคับให้เขากินให้ดูงั้นเรอะ”

ญาติผู้ใหญ่ของดิฉันทั้งสามคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ดิฉันก็หัวเราะด้วย อาพัดพูดต่อไป “ฉันมันมีคนพิการอยู่บ้าน ไม่อยากให้คอย ถ้าจะให้คอยก็บอกให้กันรู้ไว้” แล้วชี้แจงแก่แขกจากพระนคร “ลูกชายอิฉันมันเดินไปไหนไม่ได้ อยู่คนเดียวมันเหงาค่ะ ถ้าบอกว่าจะกลับไปกินข้าวบ้านแล้วผิดเวลาไป เขามักจะกระวนกระวาย”

“หัดกันเสียมั่งเหอะ” อาลำใยบอก “ยิ่งเอาใจก็ยิ่งทำเป็นลูกแหง่ติดแม่”

“เออ ไม่โดนกับตัว ก็เพียงแต่บอกเขาว่ายังไงก็ทำตามคำพูดเรา มันจะเสียหายยังไง้” แล้วหันมาทักแม่เป็นกิริยา “คุณมาตามคลองร้อนไหมค่ะ”

“ไม่ร้อนค่ะ วันนี้สบายทุกอย่าง อยู่รับประทานข้าวด้วยกันไม่ได้จริง ๆ หรือคะ” แม่ตอบแล้วก็ชวนเป็นมารยาทในทำนองเดียวกัน

“ที่จริงจะอยู่ก็ได้ค่ะ” อาพัดตอบ “แต่ว่าไม่อยากให้เขาต้องคอย ทีหลังพูดอะไรเขาก็ไม่อุ่นใจ จะปลอบจะโยนก็ไม่ใคร่ฟัง จริงไหม พ่อกิจ”

บิดาของกฤตรับรองความเห็นของอาพัดแล้วก็พาออกไปส่งที่ท่าเรือเล็กไกลจากบ้านประมาณเดินไปสัก ๕ นาที ริมคลองเล็กซึ่งเราเข้าใจได้ว่าเป็นคลองแยกจากคลองที่ผ่านหน้าวัดหรือคลองกาญจนา ที่สมพรนัดจะมารับ ปรากฎภายหลังในการสนทนาว่าเป็นคลองที่ญาติของกฤตซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินสองข้างคลองนั้น ได้รวบรวมกำลังกันขุดโดยไม่ได้อาศัยทางราชการ

“แต่คลองไม่เหมือนถนนในกรุงเทพ” เป็นคำอธิบายที่ได้รับพร้อมกับที่บอกกล่าวประวัติของคลอง “ที่นี่ใครขุดคลองแล้วก็ต้องใช้ด้วยกันได้หมด จะมาปิดกันเป็นถนนส่วนตัวยังงั้นไม่ได้ พวกที่นี่เขาไม่ทำกัน พวกเราขุดคลองนี่สำหรับใช้ของเรา แต่คนข้างในก็อาศัยกันทั้งนั้น”

เมื่ออาพัดไปแล้ว อาลำใยก็จัดการจะผัดข้าว แต่ถูกคณะของเราห้ามปรามไว้ แม่บอกว่าแม่ชอบกินขนมจีนแกงเนื้อ ซึ่งมีมากเกินปริมาณที่เราจะกินให้หมดได้แล้ว แล้วกฤตก็ตัดสินให้อาลำใยผัดจนได้ เขาพูดว่า

“คุณไม่เห็นใจเด็กๆ มั่งนี่ครับ เขาหวังมาฉลองเต็มที่ แล้วจะต้องมาอด ขนมจีนเขากินกันบ่อย ๆ ข้าวผัดที่ผัดเองที่บ้านนี่นาน ๆ จะได้เปรม”

มีเสียงคนตะโกนตอบกฤตมาจากหลังเรือน “ผัดเองผัดไม่เองก็แดกได้ ไอ้พวกนี้ ใครเขาเชื้อเชิญมานี่ เต็มบ้านไปหมด”

ดิฉันไม่ได้สังเกตว่าที่ว่าเต็มบ้านไปหมดนั้นเข้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อเกิดความอยากรู้ ลุกขึ้นออกไปชะโงกดูทางหลังเรือน ก็ปรากฏว่ามีมนุษย์ชายหญิงอายุตั้งแต่ ๓ ขวบ คือ เด็กชายอุ้ย จนกระทั่งประมาณ ๑๔ ปี รวมทั้งสิ้น ๖ คน ที่ที่กำลังเป็นแรงงานคือช่วยยกจานชามเข้ามาวางที่โต๊ะ ในห้องด้านหน้าของห้องรับแขกก็มีอยู่สองคน ที่ทำตนเป็นผู้ขัดขวางต่อการดำเนินงานก็มี ๓ คน คือเล่น “ทอยเส้น” อยู่ เด็กหญิงอีกสองคนเป็นลูกมือ อาลำใยอยู่ในครัว

“มีอะไรให้พวกเราช่วยบ้างไหม” น้ารวงถามกฤต

“ไม่มีครับ” กฤตตอบทันที “เสียชื่อชาวคลองกาญจนาแย่”

ระหว่างการรับประทานอาหาร ผู้ร่วมวงสนทนาเรื่องอาชีพของชาวตำบลนั้น ได้รับความรู้เกี่ยวกับชีวิตในชนบทหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการทำสวนองุ่น แต่น้ำเสียงแสดงความภูมิใจก็คือการขุดคลองเล็กที่เข้ามาจนถึงสวนที่เป็นทรัพย์สมบัติของตระกูล น้าเรืองเล่าบ้าง

เรื่องการขุดคลองนี่เป็นการพัฒนามาแต่โบราณ คุณพ่อก็ภูมิใจนักเรื่องคุณปู่ไปตรวจราชการทางเพชรบุรี พบราษฎรตำบลเขาเรียกว่า บ้านแขก เขาขุดคลองของเขาเอง แล้วยังทำเขื่อนดินสูงตั้งศอกครึ่ง กั้นไม่ให้น้ำท่วมเข้านาถ้าไม่ต้องการน้ำได้ พี่แสงก็คุยว่าเคยไปกับคุณปู่ ไปเรือแจว พวกเราเด็กเกินไป ตั้งแต่พี่ใจแก้วลงมาเป็นพวกโตหลังสงคราม ไม่ได้เห็นชีวิตไทย ๆ แบบเก่า เห็นแต่แบบใหม่”

“ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ เกี่ยวกับเรียนหนังสือ” แม่ว่า “มาถึงคุณพ่อ เกิดความคิดสมัยใหม่ คือขาดเรียนไม่ได้ คุณปู่ท่านยังว่า ขาดเรียนไม่เห็นสำคัญ ไปเที่ยวกับท่านยังเห็นบ้านเห็นเมืองดีกว่าเป็นกอง”

“วนกลับมาเดิมแล้วซี” น้ารวงว่า “เดี๋ยวนี้โรงเรียนเขาก็พานักเรียนเที่ยวทัศนศึกษา”

“เฮ้อ โรงเรียนพาไปมันจะได้อะไรสักกี่มากน้อย” น้าเรืองขัด “ดีกว่าไม่พาหน่อยเท่านั้น ครูเองแกก็ไม่รู้ว่าอะไรควรดู ไม่ควรดู”

สมัยนี้ขาดเรียนไม่ได้จริงๆ ด้วย มันแข่งขันกันเอาชีวิตชีวานี่ มัวแต่ไปดูอะไร สอบไม่ได้คะแนนดีก็แย่เท่านั้น” น้ารวงออกความเห็น

“เออ ว่าไงพ่อ” กฤตถามบิดาของเขาขึ้น ลุงกำนันยังโกรธพี่สงกรานต์ไม่หายใช่ไหม”

“อย่าไปเอ่ยชื่อเข้าเชียว” บิดาเขาตอบ “แกถึงกับว่าแกจะฟันองุ่นให้หมด แกรวยองุ่นไงล่ะ ลูกขอไปนอกแกก็ว่าแกเห่ออยากอวดรวย เลยให้ไป พอไปได้เมียแหม่มแล้วจะโอนชาติเป็นอเมริกัน ลุงแกแทบกะอักเลือด แกบอกปัดหมดเลย ใครจะมาขอความช่วยเหลือเรื่องอะไร ๆ อาพัดนึกว่าจะได้ช่วยแกซ่อมโรงเรียนวัดลาด ที่ไหนได้เอยชื่ออะไรเกี่ยวกับเรียนเป็นไม่เอาหมด นี่ลุงการกับพ่อขอเช่าสวนแถวนี้แล้วนะ แกว่าแกไม่เอาแล้ว แกจะออกบวชธุดงค์เลย เสียใจมาก ใครก็เอาไม่อยู่ ที่จะมากันวันนี้ พ่อยังไม่กล้าบอก กลัวจะมากินแถวมาถึงกฤตด้วย เพราะไปนอกไปนามาเหมือนกัน”

“เราไปทุนหลวงนี่พ่อ คนจน ๆ กว่าเราเขายังได้ไปกันก็มี” กฤตพูดเรียบๆ “ลุงไม่เข้าใจเรื่องเกียรติยศมันต่างกันยังไงเรอะ”

“ตอนนี้ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นแหละ” พ่อเขาตอบ

พ่อของกฤตตกเป็นเป้าสายตาของดิฉันเกือบไม่ได้เว้น ตลอดเวลาตั้งแต่ได้ทำความรู้จักกันจนกระทั่งเราลากลับ สายตาอีกคู่หนึ่งที่ข้องจับดูเกือบทุกอริยาบถเท่าที่จะทำได้ ก็คือของน้ารื่น ดิฉันทราบดีทั้งที่ไม่ได้สบตาน้ารื่นจ้องดูพ่อของกฤตขณะเดียวกันกับดิฉัน แต่พ่อของกฤต ซึ่งต่อมาดิฉันเรียกพ่อกิจ ไม่มีอะไรจะให้เป็นที่สังเกตเลย การแต่งกายก็ไม่แปลกนัยน์ตา นุ่งกางเกงสีเทา สรวมเสื้อเชิร์ตเปิดคอปล่อยชายสีเทาอ่อน สำเนียงมีเพี้ยนไปจากชาวกรุงเล็กน้อยแทบไม่รู้สึก สำนวนภาษาก็ธรรมดา ออกเสียง ร ล ได้ชัดเจนตามธรรมดาของคนรุ่นผู้ใหญ่รุ่นนั้นในจังหวัดภาคกลาง เสียงควบกล้ำไม่มีผิดพลาด ความคิดเห็นก็มีเกี่ยวกับอาชีพของชาวบ้านเดียวกับตน ซึ่งเป็นญาติกันโดยมาก ความปรารถนาก็คือ การสร้างเสริมอาชีพเหล่านั้น ต้องการคลองเพื่อการชลประทานและคมนาคม ต้องการถนนเพื่อการขนส่ง แต่สรุปแล้ว ไม่มีความต้องการอะไรมากนัก พอใจกับความก้าวหน้าเท่าที่มี และพอใจว่าการปลูกพืชทำไร่สวน ไม่ได้หวังได้คาดมากกว่านั้น

“คุณกิจจะรักษาตัวเป็นโสดไปเรื่อย ๆ หรือไง ผมว่ายังหลอเหลาเอาการนะ” น้าเรืองเย้าอย่างคนกันเองขึ้นระหว่าง ๆ การสนทนา

“ก็ยังไม่คิดอะไรครับ ยังไม่แก่นะผมน่ะ เพิ่ง ๕๑ เท่านั้น” พ่อกิจพูดง่าย ๆ เปิดเผย “คนบ้านนอกมีลูกเร็วครับ แต่ก่อน ผมกลัวคนปากร้าย ไม่เรียบร้อย อายลูกเขา ต้องรอให้ได้ดีๆ ไม่ให้ลูกดูถูกได้”

“แหม ดิฉันอยากยกมือไหว้ จริง ๆ ค่ะ” น้ารวงพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “ทำไมจะได้ยินอย่างนี้จากผู้ชายมาก ๆ คนคะ”

“ก็คนมันไม่เหมือนกันนี่คุณ” พ่อกิจตอบ “พี่ชายผมสองคนกับผมยังไม่เหมือนกัน คนใหญ่เมียหือไม่ขึ้นเลย คนกลางต่อหน่าละก็ดี ลับหลังไปจังหวัดอื่นไม่ได้ ผมคงจะเห็นตัวอย่างกระมัง เลยระวังไว้”

หลังจากการรับประทานแล้ว พ่อของกฤตแนะให้เขาพาเราไปตัดองุ่นเพื่อจะได้เพลิดเพลิน กฤตพาเราไปตัดกันคนละพวงสองพวง กฤตอยากให้คณะอยู่จนบ่าย กินของว่างแล้วจึงกลับ แต่แม่ว่า

“ฉันเป็นพวกอาพัด มีคนพิการอยู่บ้าน คงจะรอเป็นแน่ เพราะยังงั้นขอตัวเถอะ”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ