บทที่ ๑๓

ตั้งแต่การเลี้ยงอาหารในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของเชี่ยว เหตุการณ์ในชีวิตดิฉันก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลง จากการมีชีวิตหนุ่มสาวคู่สมรสขลุกขลักเกี่ยวกับญาตินิดๆหน่อยๆ กลายเป็นชีวิตที่มีความกดดันในสมองและจิตใจ ซึ่งผ่านไปแต่โดยไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่อีกอย่างไร เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปโดยดิฉันหวังว่า จะไม่เป็นเพียงชั่วคราว ดิฉันว่าดิฉันผ่านชีวิตหญิงสาวไปด้วย ดิฉันได้กลับย้อนมาคิดถึงอีก ก็จำได้อย่างเด่นชัด บางอย่างก็เลือนราง

ที่จำได้แน่ชัดก็มี ก่อนหน้าที่กฤตจะออกเดินทางไปเกาหลี ญี่ปุ่น และใต้หวัน จันทร์ฉวีก็มาเยี่ยม ดิฉันคลอดลูกแล้ว กลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้าน กฤตกำลัง “เห่อ” ลูกมาก เพราะเป็นผู้ชาย ญาติคลองกาญจนาหลายคนต่างก็ว่าเหมือนกฤตเมื่อเด็ก ๆ ราวกับพิมพ์ออกมา ฝ่ายพวกกอกรีก็ว่ามีเค้าหน้าคล้ายคุณพ่อ น้าโรจน์จึงออกความเห็นซึ่งไม่มีใครรับรองว่าเหมือนน้าโรจน์

จันทร์ฉวีเห็นดิฉันจัดสิ่งของสำหรับกฤตเดินทาง เขาเข้าไปหยอกล้อกับลูกดิฉันอยู่สักครู่ แล้วก็เดินเข้ามาหาที่นั่งใกล้กับที่ดิฉันนั่งอยู่ พลางพูด

“คุณกฤตจะไปไหนมั่ง ไปทำไม”

ดิฉันเล่าคำปรารภของคุณลุงประจิต ให้จันทร์ฉวีฟัง จันทร์ฉวีก็กล่าว

“คุณหญิงท่านจะอยู่ไท้เผ จะรับเป็นเจ้าภาพรับรอง คุณลุงประจิตไม่ใช่รึ”

ดิฉันพยักหน้า และก้มลงเก็บรวบรวมสิ่งของต่อไป จันทร์ฉวีพูด “เงยหน้าขึ้นหน่อยเถอะน่ะ อยากดูหน้าตัว”

ดิฉันเงยหน้าขึ้น “ทำไม”

“อยากรู้ว่าหน้าเซ่อแค่ไหน”

“มีอะไรเกี่ยวกับช้องเพ็ชรละ เธออย่าไปจงเกลียดจงชังคนน่า ไม่ดีหรอก ไม่ดีแก่ตัวของเราเอง” ดิฉันว่า

“ฉันไม่ได้ไปหวังร้ายเขานี่นะ ถ้าเขาอยู่ของเขา ฉันอยู่ของฉัน ฉันก็ไม่เดือดร้อน”

“ก็นี่เขาอยู่ถึงไท้เผ เราจะต้องไปเดือดร้อนอะไรกับเขาเล่า”

จันทร์ฉวีเค้นหัวเราะออกมา “ก็คุณกฤตไปไท้เผนี่ แล้วเพื่อนฉันมันเซ่อนี่”

“เออนี่เธอคิดสกปรกอะไรนี่”

“ตัวคิดสะอาดก็ดีแล้ว แต่คนคิดสะอาดคบกับคนคิดสกปรกมันก็ดีเหมือนกัน มันเตือนสติกันไว้ ตัวก็ปราม ๆ คุณกฤตมั่ง หาวิธีให้สติเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันก็ไม่เคยมีคู่มีแฟน จะสอนก็ไม่ได้”

“ตัวคิดว่าช้องเพ็ชรเขาจะสนใจกับคนอย่างกฤตหรือ มีแต่ดีกรี ไม่มีตระกูลโก้เก๋ ไม่ใช่ลูกรัฐมนตรี หรือนายธนาคารที่ไหน ฉันว่าช้องเพ็ชรเขาต้องเลือกแฟนหรู ๆ”

“ที่จริงฉันก็ไม่มีหลักฐานอะไร แต่มีสัญชาตญาณยังไงไม่รู้กับคน ๆ นี้” จันทร์ฉวีว่า “ตัวไม่รู้สึกหรอกเหรอ คุณกฤตน่ะเป็นคนมีเสน่ห์ ตัวนึกว่าตัวรักคุณกฤตเพราะอะไร”

“ฉันว่าฉันรักกฤตเพราะบุพเพสันนิวาศกระมัง” ดิฉันคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ “แต่ก็มีเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน ฉันว่าฉันถูกใจกฤตเพราะเขาเป็นคนมาจากที่ฝรั่งเขาเรียกว่า รากหญ้า เขาเป็นลูกชาวบ้านแท้ ๆ แต่อุตส่าห์ได้ถึงปริญญาดอกเตอร์ นอกจากนั้น เขามีกริยามารยาท เข้ากับคนได้ดี ไปไหนด้วยไม่ขายหน้า พูดคุยกันก็เพลิดเพลิน ถ้าเพียงแต่มองเห็นถูกสายตา แต่พอมาคบกันทีหลัง มันขัดเขิน ก็คงไม่ต่อมาจนแต่งงานกัน”

“แต่แม่หญิงคนนี้ เจ้าหล่อนอาจไม่คิดไกลไปถึงแค่นั้น” จันทร์ฉวีเตือน “สำหรับเจ้าหล่อนผู้ชายก็เป็นผู้ชาย ยิ่งหน้าตาดี ควงไปไหนก็มีคนมองก็ยิ่งดี”

“แล้วเธอว่าฉันจะทำอะไรได้บ้าง ที่เธอมาพูดนี่” ดิฉันถามน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“นี่ละนะ” เพื่อนดิฉันปรารภ “การเตือนคนเขาว่าอย่างนี้แหละ ไม่ค่อยได้ดิบได้ดี จะถูกโกรธเสียด้วยซ้ำ เรามาเตือนก็สำหรับให้หาทางคิด เผื่อจะป้องกันได้ เราน่ะไม่ฉลาดเฉลียวอะไรหรอก แต่คิดว่าเตือนเพื่อนไว้ อย่างน้อยถ้าเหตุเกิด จะได้ไม่ตกใจ แล้วก็อาจทำใจได้กว่าไม่ได้เตรียมไว้ แล้วก็จะมาโทษว่าไม่เตือนก็ไม่ได้”

“เอาเถอะ ต้องขอขอบใจละ” ดิฉันว่า “ไม่ใช่โกรธหรอก แต่อารมณ์มันขุ่นไปเดี๋ยวหนึ่ง เตือนเพื่อนมันก็ต้องเสี่ยงซี จะให้เขาใจเฉยเป็นพระโสดายังไง น้ารวงรัตน์ว่าต้องแก่มากถึงจะทนใครเตือนได้”

“อย่า ไม่เกี่ยวกับแก่ บางคนยิ่งแก่ยิ่งเอาใหญ่ ลองเตี่ยฉันซีใครเตือนเป็นโดนกระแทก เราว่าเห็นที่บ้านตัวเท่านั้นละที่เตือนกันได้ ติชมทะเลาะกันได้”

“พูดถึงพ่อแม่ให้มันเคารพหน่อยเถอะน่ะ” ดิฉันก็เตือนจันทร์ฉวีบ้าง

“ทำไม เรียกเตี่ยเสียหายยังไง คุณเชี่ยวเขายังเรียกก๋ง อ้อ คุณอาทร อ้อ แกไม่ได้เรียก แต่แปลกนะสองคนนี่ อาทรชอบพูดถึงบรรพบุรุษเขาเป็นจีน แต่ทำอะไรเป็นไทย เชี่ยวไม่ชอบพูด แต่ทำอะไรจีนทั้งนั้น”

ดิฉันเคยนำที่จันทร์ฉวีกล่าวนี้ไปคุยกับน้าเรือง น้าเรืองว่า อาทรเขาจีนราชาธิปไตย นายเชี่ยวนะมันจีนสมัยประชาธิปไตย”

กฤตเดินทางไปกับคุณลุงประจิต เขาจากบ้านไปประมาณ ๑๐ วัน กฤตไม่ได้ไปญี่ปุ่นด้วย เพราะคุณลุงประจิตเกรงใจผู้บังคับบัญชาของเขา แต่ได้เปลี่ยนเส้นเดินเพื่อไปเกาหลีก่อน แล้วย้อนลงมาใต้หวัน เพราะต้องการให้กฤตไปเห็นเกาหลีเพื่อจะได้ช่วยคุณลุงประจิตสังเกตบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งคุณลุงว่า คุณลุงอาจสังเกตผิดเพราะไม่ทันสมัยทางวิชาเศรษฐศาสตร์ ทำให้กฤตพิศวง เขาออกปากว่า

“ผู้ใหญ่อย่างคุณลุงประจิตนี่มีสักกี่คนนะ ที่รู้ตัวว่ารู้อะไรไม่รู้อะไร”

“กฤต ถ้าคนทุกคนรู้ตัวว่ารู้อะไรไม่รู้อะไร โลกก็ไม่เป็นอย่างนี้ซี” คุณพ่อเตือน “คุณลุงประจิตบังเอิญเป็นคนฉลาด”

“ประเทศเราต้องการคนฉลาดแบบนี้แยะ ๆ ครับ” กฤตว่าอย่างพอใจกับคำพูดและความเห็นของเขาเอง

ระหว่างที่กฤตไปจากบ้าน เขาก็ขยันเขียนบัตรไปรษณีย์มีภาพงามๆมาเกือบทุกเที่ยวเมล์ ดิฉันก็พยายามเขียนไปถึงเขาตามตำบลที่อยู่ที่เขาบอกมา ต่างคนต่างนัดกันว่า ถึงแม้บัตรที่เราส่งให้กัน หรือจดหมายจะหลงไป หรืออาจตามกลับมาถึงเมื่อเจ้าตัวมาแล้ว ก็ยังได้เป็นทางแสดงออกของเราและการอ่านจดหมายและข่าวย้อนทวนเวลาไป ก็สนุกดี ดิฉันได้รับบัตรและจดหมายจากเกาหลีสองครั้ง มีการบอกข่าวสารอย่างธรรมดา ในบัตรอันแรกที่ได้รับจากใต้หวัน ซึ่งเป็นรูปพิพิธภัณฑสถานที่ฉันหลงไหลหนักหนา กฤตเขียนมามีข้อความต่อไปนี้อยู่ด้วย

“ได้พบเพื่อนคนสวยของลูกแก้ว ข่มคนหมคทุกคนที่นั่งอยู่ กฤตพยายามคิดว่าอะไรทำให้เป็นอย่างนั้นก็คิดไม่ออก”

แล้วก็ถึงวันกลับบ้านของกฤต ดิฉันไม่สามารถไปรับที่ดอนเมืองได้ ต้องขอร้องให้แม่ไปรับแทน การุณมีเวลาว่างเรียนในระยะที่เครื่องบินมาถึง แม่จึงพาไปด้วยเพราะเป็นโอกาสที่ไม่ค่อยเกิดแก่การุณ เมื่อกลับมาถึงบ้าน กฤตยังไม่พบดิฉัน เพราะวันนั้นเป็นวันมีงานด่วนในสำนักงาน จนเวลาค่ำดิฉันจึงกลับบ้าน กฤตกับดิฉันทักทายกันตามประสาผัวหนุ่มเมียสาว ค่ำวันนั้นเวลารับประทานอาหารค่ำ แม่ถามกฤตว่าถ้าจะชวนน้ารวงรัตน์มากินด้วย เพื่อจะได้ให้กฤตเล่าเรื่องที่ได้ไปพบเห็นมาก่อนที่จะจืดเสียก่อน กฤตจะขัดข้องอย่างไรไหม กฤตตอบว่า

“โธ่ แม่ถามได้ผมจะขัดข้องทำไมครับ อยากคุยกับน้า ๆ ทุกคนมีเรื่องเล่าเยอะ”

ดิฉันกำลังแต่งตัวสำหรับออกไปกินอาหารค่ำ พร้อมกับครอบครัวโดยมีน้ารวงมาเพิ่ม กฤตนั่งเทแป้งกระป๋องใส่ตัวอยู่ที่หน้ากระจกของดิฉัน เขาเอ่ยขึ้น “เออ ลูกแก้วคงยังไม่ได้มีโอกาสฟังใครเล่ารู้ไหม ใครเดินลงจากเรือบินมาพร้อมกับกฤต แม่ดูอยู่ห่าง ๆ คงไม่เห็นก็ได้”

อะไรทำให้ดิฉันเดาถูกก็ไม่ทราบ “ใคร ช้องเพชรเรอะ”

“โอ๊ย ทำไมมีญาณอะไร” กฤตร้องด้วยความแปลกใจ

“ไม่รู้เหมือนกัน คงเป็นวิธีที่กฤตถาม” ดิฉันบอก และพร้อมกันนั้นหัวใจก็เริ่มเต้นถี่ขึ้น

กฤตวางกระป๋องแป้งลง แล้วย้ายไปนั่งบนเตียงนอน พอดิฉันใส่น้ำอบแล้ว เขาก็กางแขนออกให้ดิฉันเข้าไปในวงแขนของเขาแล้วเขาพูดขึ้น “แปลกใจนะ คุณหญิงพูดฝรั่งคล่อง แต่รู้ไม่เท่าไหร่หรอก รู้คำไม่กี่คำ พูดซ้ำๆอยู่ แต่ว่ามีเสน่ห์พราว ช่างยั่วช่างเย้า คุณลุงประจิตยังติดใจ คอยชวนให้ไปไหน ๆ ด้วยกันเรื่อย”

“เรียกช้องเพ็ชรเถอะ” ดิฉันอดรำคาญไม่ได้ “เชยแต่ไม่รู้ตัว บางคนนึกว่าโก้ดีเอาอย่างเจ้านาย”

“กฤตจะบอกว่าช้องเพ็ชรน่ะ สู้ลูกแก้วไม่ได้เลย” กฤตพูดหัวเราะ ๆ

ดิฉันซุกศีร์ษะเข้าไปในอ้อมแขนกฤตด้วยความอิ่มเอิบใจ อยากจะพูดว่า “ขอให้เป็นอย่างนั้นเสมอไป” แต่แล้วก็ชงักอยู่ ไม่มีเหตุผลอะไรที่ดิฉันจะต้องพูดเช่นนั้นกับกฤต นอกจากเกิดระแวงเพราะจันทร์ฉวีมาเตือนเท่านั้น

เมื่อออกไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร ปรากฏว่าน้ารวงได้ชวนน้าเรืองมาด้วย เพราะภรรยาและลูกไม่อยู่บ้าน ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่นอกเมือง น้าเรืองคุยกับกฤตอย่างสนุกสนาน ซักไซ้ไล่เลียงถึงสภาพทางเศรษฐกิจและบ้านเมืองของเกาหลีและใต้หวัน ระหว่างการสนทนา น้าเรืองกล่าวขึ้นอย่างไม่เอาใจใส่มากนัก

“เออ กฤตไปอยู่ที่ไท้เผ นอกจากไอ้การกสิกรรม เรื่องที่ดิน อะไรเหล่านี้แล้วสังเกตว่าเขามีอะไรน่าดูอีกมั่งยังไม่เห็นเล่า ได้ยินว่ากฤตมีคนนำเที่ยวสวยเสน่น์พราวเป็นใครนะ”

กฤตหัวเราะบ้าง “เพื่อนลูกแก้วเขา เรียกกันว่าคุณหญิง คุณหญิงลูกแก้วเขาเพิ่งห้ามไม่ให้เรียกเขาว่า เชย”

“อ๋อ ยายช้องเพ็ชรนะเรอะ เออ แกแต่งงานกับใครถึงไปอยู่ที่ไท้เผ” น้ารวงรัตน์ถาม

“เขายังไม่ได้แต่ง เขาไปอยู่กับอาเขา รู้สึกว่าช้องเพ็ชรไม่ชอบอยู่เมืองไทย” ดิฉันบอก

“คนไปไหนมาไหนหลาย ๆ หนเข้า มันเกิดความเคยชินอยากไปเรื่อย” น้าเรืองอธิบาย

ดิฉันจำไม่ได้ว่าญาติ ๆ ดิฉันพูดถึงเรื่องช้องเพ็ชรว่าอย่างไรบ้าง แต่ตั้งแต่วันนั้นมา เหตุการณ์พาให้ช้องเพ็ชรเข้ามาเกี่ยวพันกับชีวิตดิฉันมากขึ้นทีละน้อย โดยไม่มีใครสังเกต แต่ถ้าจะพิจารณาไปก็อาจกล่าวได้ว่า เริ่มจากการที่อาเธียรยังสนใจที่จะให้มีการคืนดีกับอากรรณประดับ และยังมีสาเหตุน่าประหลาดใจคือ ศาลพระภูมิของเชี่ยวก็ได้เป็นอุปกรณ์อันหนึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อาเธียรพบกับแม่บ่อย ๆ ที่โรงแรม แม่มีความเห็นว่า ถ้าหากแม่ไม่ได้งานทำที่โรงแรมนั้น และอาเธียรไม่ได้มาเป็นกรรมการ อาเธียรอาจไม่คิดกลับมาถึงอากรรณ แต่อย่างไรก็ตามอาเธียรได้ทำให้แม่แน่ใจว่า มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะพยายามหาทางคืนดีกับอากรรณ

แม่เล่าว่าได้เคยเจรจากับอาเธียร อย่างตรงไปตรงมาในตอนหลังนี้ อาเธียรเชิญแม่กินอาหารในห้องอาหารที่ราคาแพงที่สุดแห่งหนึ่งในพระนครซึ่งอยู่ในโรงแรมนั้น ระหว่างที่กินอาหารอยู่อาเธียรได้พูดว่า

“พี่ใจแก้วดูไม่ใจแก้วสมชื่อ ผมวานธุระแล้วดูเหมือนจะใจจืด”

“ไม่รู้ว่าคุณเธียรพูดเล่นพูดจริงแค่ไหน” แม่แก้

“ผมพูดจริง” เมื่อแม่ถามเหตุที่ทำให้อาเธียรอยากคืนดีกับภรรยา อาเธียรก็ชี้แจงว่า “คนเรานี่มันแปลกครับ ความรักอะไรมันไม่เหมือนความรักครั้งแรก อะไรที่กระทบใจเรามากครั้งแรกมันไม่ค่อยลืม”

“แล้วโกรธกันน่ะเรื่องอะไร ฉันก็เป็นคนเกรงใจคนไม่กล้าถามทั้งกรรณประดับกับคุณเธียร”

“เพราะอย่างนั้นผมถึงวานพี่ใจแก้ว” อาเธียรว่า “พี่น้องผม เพื่อน ๆ ผม แล้วก็เมียเพื่อน โอย ถามเสียปากเป็นจักร แต่ผมสังเกตพี่น้องพี่ใจแก้ว คล้าย ๆ กัน มีคุณหญิงแสงที่เคยถาม”

“พี่แสงถามว่าไง แล้วคุณเธียรตอบว่าไง” คราวนี้แม่ไม่เกรงใจรีบถามด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่อยากรู้เรื่องอาเธียรกับอากรรณ แต่อยากรู้สำนวนคุณป้า

“คุณหญิงแกถามผมว่า เลิกกับกรรณเรื่องอะไร” อาเธียรตอบให้แม่ผิดหวังเพราะไม่เป็นสำนวนคุณป้าเลย เมื่อแม่ให้เล่าต่อไปอาเธียรก็ว่า “ผมก็บอกว่า ผมก็ยังไม่รู้เลยเขาโกรธเรื่องอะไรแน่ ก็ทะเลาะกันมั่งอะไรกันมั่ง วันหนึ่งเขาก็ว่าเลิกกันดีกว่า แล้วก็ไป”

“แล้วคุณเธียรเคยไปติดต่อให้ดีกันอีกมั่งไหม” แม่ถาม

“ผมเคยให้คุณแม่ไปเจรจากับคุณหญิง คุณหญิงแม่ยายน่ะ แต่ดูเหมือนท่านไม่ยอมพูดอะไรกับแม่ผม ผมก็เลยเฉย เพราะแม่ผมเลยกลายเป็นโกรธว่าคุณหญิงดูถูกคุณแม่”

“ลำบากจริง แล้วทีนี้เรื่องคุณแม่จะว่ายังไงล่ะ” แม่ถามต่อไป

“ตอนนี้ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วผมก็ไม่ใช่ลูกคนโต ผมทำงานติดต่อกับฝรั่งมังค่า จะใช้ธรรมเนียมเก่า ๆ ไม่ได้ แล้วพี่ ๆ ผมก็เห็นว่าวิธีการอะไร ๆ ต้องเปลี่ยน เดี๋ยวนี้เราตั้งบริษัทอย่างโรงแรมนี่ ก็ถือหุ้นกันแล้วก็มีการออกเสียงให้คนสำคัญ ๆ เป็นประธานกรรมการ ไม่ใช่พี่ชายใหญ่เป็นผู้บงการอย่างแต่ก่อน ถ้าดีกับคุณกรรณ ผมก็จะปลูกบ้านใหม่ เดี๋ยวนี้ผมก็ออกมาอยู่บ้านข้างนอก ออกมาสองสามปีแล้ว”

“เอ้อ ไหน ๆ ก็พูดกันแล้ว” แม่ถามอย่างเกรงใจตามอุปนิสัย “อาทรแกเป็นลูกคุณเธียร ทำไมตอนมาขอกรรณถึงไม่ให้รู้เสียให้หมดเรื่องไป”

“ผมอายเอง” อาเธียรรับ “ผมมีเจ้าทรตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ผมแก่กว่ามัน ๑๙ ปีเท่านั้น ผมไม่ได้ให้คุณพ่อคุณแม่รู้ ผมจะให้ทางบ้านคุณกรรณรู้ได้ยังไง”

“แล้วคุณไปให้ใครเขาเลี้ยงดูแกละ โธ่ น่าสงสาร” แม่ว่า

“เรื่องอย่างนี้มันก็ต้องมีมั่ง” อาเธียรย้อนกลับมา “แต่ผมก็ทำดีที่สุดที่จะดีได้ ผมไปเยี่ยมไม่ขาด รู้สึกว่ากรรณเขาจะโกรธเรื่องนี้กระมัง เพระผมไปเยี่ยมลูก แม่มันอยู่อย่างนั้น ก็อดไม่ได้มั่ง ใครไปบอกเขาก็ไม่รู้”

พูดจบแล้วอาเธียรหัวเราะ เหมือนพูดเรื่องไม่ค่อยสำคัญนัก ซึ่งสำหรับผู้ชายก็คงไม่สำคัญ ตามสำนวนของแม่ แล้วแม่จึงถามต่อไป

“แล้วเวลานี้ คุณเธียรทำยังไงกับตัวเอง มีเป็นเนื้อเป็นตัวแค่ไหนเอาแอบ ๆ ไว้ที่ไหนอีก”

“ที่จริงผมว่าผมไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ” อาเธียรพูดเรียบๆ ต่อไป “พอกรรณเขาเลิกไปแล้ว ผมก็ไม่ได้ไปมีใครที่ไหน ก็ไปมาหาสู่แม่เจ้าทร มันเป็นเด็กสาว ๆ อ่อนกว่ากรรณประดับ เดี๋ยวนี้มันตายเสียแล้ว ผมยังใจหายอยู่ทุกวันนี้ ตายเพราะไม่ได้ดูแลตอนเจ้าทรไปนอก แล้วนี่ผมก็รู้สึกว่าควรจะดีกับกรรณประดับ หรือผมคิดไม่ถูก พี่ใจแก้วว่าผมควรหาใหม่เรอะ”

“ผู้หญิงนะ คุณเธียร” แม่พยายามชี้แจง “การเลิกกับผัวน่ะมันเหมือนมีมีดเชือดเฉือนใจ” แม่ว่าแม่พูดไปตามที่แม่สันนิษฐานจากวาจาและอาการของอากรรณประดับ “มันมีแผลใหญ่ จะรักษาแผลมันต้องยาสมานดี ๆ คุณเธียรอย่านึกว่าคุณเธียรเห็นว่ามันเหมาะแล้วดีแล้ว หัวใจคนไม่ใช่รองเท้า”

อาเธียรหัวเราะชอบใจอุปมาของแม่ “ก็ยังงั้นซีครับ ผมถึงต้องเลือกทูตที่ผมไว้วางใจ เลือกจากญาติผมไม่ได้ จากบ้านคุณเกลาก็ไม่ได้ ผมเห็นว่าพี่ใจแก้วเป็นเหมาะที่สุด ผมว่าพี่ ๆ น้อง ๆ พี่ใจแก้วออกจะศิวิไลกว่าพวกผมมากหายากทีเดียว รู้อะไรก็ไม่ค่อยต่อเรื่องให้ยาว ได้ยินอะไรก็ไม่ค่อยโวยวาย ทางผมไม่ได้ เจ๊กตื่นไฟทั้งนั้น” แล้วอาเธียรหัวเราะอุปมาของอาเธียรเอง

แม่หาโอกาสลองใจอากรรณ ซึ่งต้องรอเป็นเวลาพอสมควร อากรรณไม่ค่อยมาที่บ้านบ่อยนัก และแม่ก็ไม่ค่อยได้ไปที่บ้านคุณย่าบ่อย ๆ เพราะมีงานทำ และต้องดูแลคุณพ่อ ในวันที่หยุดงาน หรือมีการไปตามนัดบ้านญาติฝ่ายของแม่ แต่แล้วอากรรณก็มาเยี่ยมหลานที่เกิดใหม่ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้อากรรณมาหาคุณพ่อบ่อยขึ้นกว่าที่เคย

ระหว่างที่นั่งเล่นหลอกล้อหลานอยู่ด้วยกันที่ระเบียงหน้าบ้าน แม่ก็ชวนอากรรณคุยถึงอาทร

“นี่ กรรณ พี่ถูกชาตาตาอาทร เธอคงไม่เห็นเป็นความผิดใช่ไหม”

“ไม่เห็นเป็นผิดหรอก ถ้าเพียงแต่ถูกชาตา” อากรรณพูดมีอารมณ์สนุก “แต่ว่าอย่าถึงกับยกลูกสาวให้”

“ลูกสาวพี่ก็หมดเสียแล้ว จะยกให้ได้อย่างไงล่ะ” แม่ค้าน

“แปลกจริง ๆ มีคนพูดเป็นตุเป็นตะว่า อาทรรักลูกแก้ว” อากรรณว่า

“โอย” ดิฉันอุทาน “อากรรณไปได้ยินมาจากไหน”

“ไอ้การคุยกันในบ่อนไพ่นี่มันมากเหลือเกิน เรื่องนั้นแล้วพากันไปเรื่องนี้ ใครพูดก็ลืมเสียแล้ว มัวแต่ขันว่าเขาไม่รู้ว่าอาทรกับลูกแก้วเกี่ยวกับอา”

“อื้อ แล้วมันไปยังไงมายังไง ลูกแก้วรู้จักกับอาทรไม่ทันไรก็แต่งงาน” ดิฉันถามและแย้ง

“ฮื่อ ดูเถอะ” อากรรณสนับสนุน “เขาพูดกันว่าลูกเศรษฐีจะแย่งเมียลูกชาวสวน ทีแรกอายังไม่คิดไปถึงลูกแก้ว ฟังเป็นนาน จนได้ยินชื่อกงจื๊อเขาถึงได้เข้าใจว่าหมายถึงอาทร แล้วฟังอีกตั้งนานถึงรู้ว่าเขาหมายถึงกฤตกับลูกแก้ว”

“ใครนะ ช่างเสกสรรเป็นเรื่องได้จริง ๆ” ดิฉันรำพึงรำพันอย่างท้อถอยกับเพื่อนมนุษย์

“เปล่า แล้วเขาก็เบื่อเรื่องนี้ ไปพูดกันเรื่องคนอื่นๆ ต่อไป” คุณพ่อออกความเห็น

“แต่มันแปลก มันตั้งต้นกันยังไง” ดิฉันยังข้องใจ

“เรื่องนี้คงเหลว ๆ คงเป็นตาอาทรแกพูดอะไร แล้วใครไปคว้ามา” อากรรณสรุป “แต่ว่า ได้ยินมาอีกเรื่องจากใต้หวัน เขาว่าดอกเตอร์กฤตควงสาวทรงเสน่ห์สนุกสนานไปเลย”

“อ๋อ เพื่อนลูกแก้วเอง” ดิฉันรีบบอก “เขาอยู่กับอาเขา เป็นทูตพาณิชย์ที่ไท้เผ เขามาต้อนรับคุณลุงประจิตกับกฤต”

“ฮื่อ ที่เขาพูดกันน่ะ เขานินทาคุณพี่ประจิตกัน” อากรรณเล่าอย่างสนุกต่อไป “ถ้าเราฟังใครแล้วอย่าเพิ่งขัดเขานะ ได้ฟังเรื่องขัน ๆ พิลึก เขาว่าคุณพี่ประจิตติดใจหญิงสาวจนไม่อยากกลับกรุงเทพ ฯ แต่เจ้าสาวทรงเสน่ห์เขาติดใจดอกเตอร์หนุ่มมากกว่า พากันไปเที่ยวมิวเซียมตั้ง ๓ หน พอตกลางวัน ๆ พอกลางวันๆ คุณพี่ประจิตติดประชุมเขาก็หารถนั่งออกไปนอกเมืองบอกว่าไปพิพิธภัณฑ์”

“เคราะห์ดีตอนลูกแก้วไปไท้เผ มักทนนั่งรถไปคนเดียว” ดิฉันว่า “ลูกแก้วอยู่ ๖ วัน ไปพิพิธภัณฑ์เสีย ๓ หน กฤตเขาอยู่ตั้ง ๘ วัน ไป ๓ หนยังเรียกว่าน้อยกว่าลูกแก้ว”

“เขาว่ากฤตพูดออกมาเลยว่าติดใจคนพา” อากรรณเล่าต่อไป

“คงเป็นช้องเพ็ชร เขาน่าติดใจจริงๆ นะ ถ้าคุณเธียรได้เห็น หรือได้ไปใต้หวันตอนเขาอยู่ อาจยิ่งกว่าพี่ประจิต เจ้าชู้ใช่ไหม คุณเธียร” แม่ลอง

“ก็ไม่เชิง” อากรรณตอบอย่างตรึกตรอง “ก็ไม่ได้มีเมียใหม่ ไปสมสู่อยู่กับแม่เจ้าอาทรแหละตั้งแต่กรรณมาจากบ้านเสีย”

“เราโกรธเขาเรื่องแม่อาทรนี่ล่ะรึ” คุณพ่อถามขึ้นบ้าง

“เรื่องแม่อาทรนี่มันเหมือนเชื้อมันติดแล้วไฟก็ฮือเราเบื่อหลายอย่าง” อากรรณพูดหน้าเฉย

“เป็นต้นว่าอะไร” แม่ซัก

“เป็นต้นก็ไม่ถูกอีก พิลึกนี่ ทำไม่เกิดมาถามกันตอนนี้ ตอนเลิกกันใหม่ ๆ กลับมาบ้าน ไม่เห็นพี่เกลาเอาใจใส่”

“ก็เคยถามนะ” คุณพ่อเตือนความจำ “เคยถามว่าโกรธกันถึงต้องเลิกเชียวเรอะ แล้วกรรณย้อนพี่ว่า พี่เกลาก็เสียดายเงินกองทุนอีกคนรึ พี่ก็เลยไม่ถามอีกตั้งแต่นั้นมา”

อากรรณหัวเราะอย่างพอใจเบา ๆ “ไม่อยากให้ใครถามเลย เพราะตัวเองยังบอกไม่ถูก มันเอือมขึ้นมา แล้วอยากแสดงว่าฉันเป็นลูกไทยจ้ะ พ่อแม่ฉันสั่งไว้ว่าไม่ต้องไปวิ่งหึง บ้านเรามีอยู่”

“พี่จำได้ ตอนจะพาออกจากบ้านไปส่งตัวที่บ้านผู้ชาย” คุณพ่อว่าพลางหัวเราะเบา ๆ “ยังจำได้ว่าคุณแม่ยังว่าเจ้าคุณนี่ยังไง้ จะแต่งลูกสาวแล้วพูดยังงั้น”

“เสียดายไม่อยู่ดูลูกสาวทำตามคำสั่ง” อากรรณพูดเรื่อย ๆ ต่อไปอีก “ทีแรกเจ็บใจมาก เดี๋ยวนี้ชักจะปลงตกไอ้เจ๊กพรรณอย่างงั้นไปเอาอะไรกับมันนัก”

“พี่ว่ากรรณจะอคติเกินไปนะ คำหนึ่งก็ไอ้เจ๊ก สองคำก็ไอ้เจ๊ก พี่สงสัยว่าถ้ากรรณแต่งงานกับคนไทยแท้ ๆ อย่างพวกที่บ้านนี้ สมมุติว่าเป็นคุณโรจน์ จะอยู่ยืดไหม กรรณไปยึดคติว่า ถ้าอยู่บ้านอื่นไม่สบายบ้านเราก็มีอยู่”

อากรรณมองไปไกล ทำหน้าเฉยๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ไม่รู้ว่าหมู่นี้พี่ใจแก้วกับพี่เกลาเกิดมาเอาใจใส่กับกรรณเรื่องอะไร แต่ก่อนนี้ไม่เห็นเอาใจใส่อะไรกับใคร คุณเธียรเขาก็ไม่ได้เป็นนายจ้างพี่ใจแก้วไม่ใช่เรอะ”

แม่และคุณพ่อมีอะไรมาเรียกความเอาใจใส่ ไม่ได้ตอบอากรรณ แล้วเจ้าลูกชายของดิฉันก็เรียกร้องให้บริการเขาในเรื่องอาหาร แล้วไม่ช้าอากรรณก็ลาไป เมื่ออากรรณไปแล้ว แม่ก็ปรึกษาคุณพ่อว่า “ฟังเสียงแล้วควรพูดเรื่องคุณเธียรให้เป็นกิจจะลักขณะไหม ผู้ชายน่ะเขาพูดแน่นอนแล้ว”

“ฟังดูครึ่งๆ กลางๆ แต่ว่ายังเอาใจใส่เขาอยู่นะแน่ ดูรู้ไปหมดนี่ว่าเขาทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่” คุณพ่อตอบ เมื่อปรึกษากันต่อไปอีกนิดหน่อยแล้ว แม่จึงตกลงใจว่าจะดำเนินการต่อไปไม่ทอดทิ้ง ปลายสัปดาห์นั้นเอง เพื่อน ๆ ของกฤต มีพัฒนะ อาทร และ เชี่ยวก็มาเยี่ยมลูกชายดิฉัน

“เจ้ากฤตคุยว่าคืบได้แล้วเลอะ ไม่มีใครเชื่อ เด็กสองเดือน” พัฒนะถามดิฉัน “แล้วตกลงชื่ออะไร”

“พูดเกินเรื่อง ไม่มีใครบอกว่าคืบได้สักที บอกแต่ว่ามันคว่ำได้” กฤตขัด

ดิฉันมองอาทรด้วยความกระดาก อยากทราบว่าข่าวลือเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด จนพัฒนะถามซ้ำเรื่องชื่อ ลูกดิฉันเกิดวันอังคาร คุณป้าว่าตามทางโหราศาสตร์ชื่อขึ้นด้วย ก ไม่ได้ กฤตว่าเป็นความเชื่อเหลวใหล แต่แม่เห็นคล้อยกับคุณป้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ดิฉันจำความได้ บอกว่าได้เคยเห็นคนที่มีชื่อเป็นกาลกิณีแล้วชีวิตเสื่อมโทรมลงไปโดยไม่มีเหตุผล จึงคิดว่าควรหลีกเลี่ยงไว้ กฤตเสียดายมาก เขาว่า “ดูไปทางไหนๆก็ตัว ก ทั้งนั้นจะไปชื่ออะไรล่ะ” ดิฉันเล่าให้พัฒนะฟัง เขาก็ว่า “ให้ชื่อไอ้เทิ่งไปก่อนยังงี้ละ”

เชี่ยวพูดขึ้น “เรื่องศาลพระภูมิผมนี่มีอะไรดี ๆ ผมว่าจะมาเล่าให้ฟัง ทั้งซอยนั้นบอกว่าชงัดจังครับ ทั้งหวยรัฐบาลและหวยกินรวบ”

“เวร” คุณพ่ออุทาน “ประเดี๋ยวหมดกัน น่ากลัวจะทองอร่ามเลยไม่ได้เห็นฝีมือช่างไม้นายเฉลียว”

“ผมห้ามแล้วครับ ห้ามทำอะไรทั้งนั้นนอกจากเอาพวกมาลัยมาถวาย” เชี่ยวบอก

“วิธีห้ามทำยังไง ออกประกาศยังไง” ดิฉันถาม

“ผมให้แม่ครัวไปลือว่าท่านมาเข้าฝันผม” เชี่ยวเล่า “ท่านว่าท่านมาจากเขาทองแดง ปิดทองไม่ได้ ถ้าจะปิดให้เอาแผ่นทองแดงมา ไม่งั้นเอาแต่พวงมาลัย”

“แหม คุณเชี่ยวนี้ทำไมไม่ไปเป็นรัฐมนตรีกรุงเทพ ฯ นะ” ดิฉันชมอย่างจริงใจ “จะได้ช่วยแม่พระธรณีไว้ ไม่ให้กลายเป็นรูปทองระรุ่งกะริ่งอย่างทุกวันนี้”

แม่นึกขึ้นมาได้ “เออ เชี่ยว ตั้งแต่บ้านเสร็จ คุณเกลายังไม่ได้ไปเห็นเลย อาทิตย์หน้าเลี้ยงข้าวหน่อยซี อาทรกับพัฒนะอยู่ไหม จะได้ช่วยกันพยุงคุณเกลาออกจากรถ”

ดิฉันแปลกใจแต่ไม่พูด คุณพ่อก็ทำสีหน้างง แต่เดาด้วยความไวปัญญาว่าแม่ต้องมีแผนการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะอยู่กับแม่มานาน แม่ไม่เคยทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ทุกคนจึงรับปากว่าจะช่วยพาคุณพ่อไปดูบ้านเชี่ยว และชมศาลพระภูมิ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ