บทที่ ๒๕

ในคืนที่มีการเลี้ยงนั้น ไม่มีอะไรสดุดตาสดุดใจ ช้องเพ็ชรกับดิฉันทักทายกันตามมารยาท แล้วก็หาที่นั่งกินอาหารให้หลบเลี่ยงกันไป อาทรทำหน้าที่เจ้าของงานรับแขกโดยเสมอหน้ากัน ดูเหมือนพัฒนะจะสนุกมากกว่าคนอื่น เขาจับตาดูกิริยาอาการของช้องเพ็ชรและอาทร และพยายามแลมาทางดิฉันบ่อยๆ ในขณะเดียวกัน เขาก็คอยดูทีท่าของเชี่ยวว่าจะเอาใจใส่กับอินทิราหรือจันทร์ฉวีมากกว่ากัน เขากระซิบกับดิฉันเมื่อได้โอกาสว่า

“คุณว่าเจ้าเชี่ยวเขาโอนเอนไปทางไหน”

“คุณจะคอยเก็บตกเขาเรอะ” ดิฉันสัพยอก

“ตายละซี คนที่เหลือนั้นเขาก็แย่” พัฒนะพูดไปตามอารมณ์สนุก แสดงว่าเขายังไม่เอาใจใส่คนใคคนหนึ่งจริงจัง งานเลี้ยงดำเนินไปไม่ดึกนัก แขกคุยเล่นกันอยู่ถึงเวลาเกือบ ๒๒.๐๐ นาฬิกา แล้วก็อำนวยพรให้ผู้ที่จะออกเดินทางมีความสุขความเจริญ แล้วก็แยกย้ายจากกันไป

ดิฉันกลับมาถึงบ้านก็เข้านอน ในตอนแรกนอนไม่ค่อยหลับ ลุกออกไปดูลูกที่เตียงนอนบ่อยๆ นึกสังเวชใจกับเด็กอีกคนหนึ่ง กลับไปเข้านอนแล้วก็กราบพระ อธิษฐานขอให้เทพยดาอารักษ์ อานุภาพทั้งหลายที่มีในโลก ให้ช่วยให้กำลังใจอาทรให้เขาไปทำบุญตลอดสมปรารถนา อย่าละทิ้งเสียกลางคัน แล้วก็ตั้งใจไว้ว่า ดิฉันจะต้องคอยติดต่อกับอากรรณไว้ ไม่ทำตนเหินห่างอย่างที่เคยมา ถ้าเผื่ออาทรแตกร้าวกับช้องเพ็ชร ขอให้อากรรณรับอาเต๊ามาเลี้ยงดูเถิด แล้วก็คิดห่วงต่อไป เผื่อว่าแม่เขาไม่ให้ เขาจะเอาไปเลี้ยงของเขาเอง แล้วก็หวนคิดถึงกฤต เผื่อกฤตเกิดห่วงลูกคนใหม่ของเขา พยายามติดตามเอาคืนมา ลูกคนแรกของเขาจะมีชีวิตอย่างไร ดิฉันคิดวิตกไปหลายสิบทาง แล้วจึงหักใจได้ อาทรขอให้ดิฉันร่วมกันทำบุญกับเขา เขาคงมีข้อตกลงกันระหว่างช้องเพ็ชรกับตัวเขา ระหว่างนี้ ช้องเพ็ชรคงไม่ทำอะไรให้ผิดความปรารถนาของอาทร เพราะเงินเป็นปัญหาใหญ่ของช้องเพ็ชร

เวลาอนาคตนั้นยังมาไม่ถึง ดิฉันปลอบตัวเอง และนึกถึงคำของอากรรณว่า ผัวเมียให้ประนีประนอมกัน อย่าให้แตกร้าว อาทรก็เคยขอร้องว่า อย่าเรียกร้องอะไรใครให้ดีเกินมนุษย์

กฤตเป็นชายหนุ่ม ช้องเพ็ชรเป็นคนที่เคยตามใจตัว ไม่รู้ว่าในครอบครัวมีปัญหาใหญ่น้อยเพียงไหน เมื่อไม่ชอบใจจะดูจะเห็น ก็หลีกเลี่ยงไปเสีย ไม่ดูไม่เห็น เขาก็ทำตนเหมือนคนอีกหลายร้อยล้านคนไนโลก ไม่สู้ปัญหา ไม่ขบปัญหาเฉพาะของตนเอง แต่แล้วในที่สุด เขาก็กล้าหาญสมกับความผยองของเขา เขาไปหาผู้ชายมั่งมีมาแต่งงานกับเขา และหาพ่อให้ลูกของเขาได้

เขาเป็นทั้งนักเศรษฐกิจ และนักจิตวิทยา น่านับถือเขาจริง อย่างที่อาทรว่า คนอย่างดิฉันนั้น พอเริ่มถูกใจผู้ชาย แม่ก็ขอร้องว่าขอให้ดูดี ๆ นาน ๆ หน่อย นึกถึงช้องเพ็ชร เขาไม่มีแม่มีพ่ออย่างดิฉัน แล้วดิฉันก็เกิดความเจ็บใจขึ้นมาอีก เขาจงใจจะแย่งกฤตไปจากดิฉัน จงใจจะเปลี่ยนกฤตให้เป็นไปตามความคิดนึกของเขา กฤตคิดอย่างไรหนอขณะนี้ เขาอายไหม เสียดายไหม แล้วก็ได้ยินคำขอร้องของอาทร “คุณนั่นแหละลืมเสีย แล้วเขาจะเลือนไป”

ดิฉันดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ ทุกสองวันสามวันก็คิดหวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดมาแล้ว และก็ดูเหมือนจะผ่านไปแล้ว แต่ดิฉันไว้ใจกฤตไม่ได้อีกแล้ว ดิฉันคอยสังเกตเวลาที่เขาเล่นกับลูก เขาชอบไปยืนเพ่งพิศดูลูกเวลาที่นอนหลับ และเวลาเขาอุ้มลูก บางเวลาก็อุ้มกอดแน่นเหมือนกับว่ามีความหวงอย่างมาก แล้วมักจะเข้ามาแสดงความรักต่อดิฉันเหมือนเป็นห่วงขึ้นมา แต่ดิฉันได้รับปากกับอาทรโดยปริยายว่าจะไม่ถามกฤต และก็ไม่แลเห็นประโยชน์ของการที่จะถาม อาทรว่าดิฉันชอบปั้นรูปนิมิต ดิฉันวาดภาพงดงามเกี่ยวกับกฤต ว่าเขาจะเป็นคนอุทิศชีวิตให้กับประเทศชาติ รู้คุณของบ้านเมืองที่ให้โอกาสแก่เขา ระหว่างนั้นเขาก็ประพฤติอย่างที่ดิฉันได้วาดภาพไว้ ดิฉันไปพบกับเพื่อนฝูงที่ไหน ก็มักจะได้ยินคำชมเชยว่ากฤตเป็นคนทำงานด้วยความตั้งอกตั้งใจ โดยเฉพาะคุณลุงวัชรก็นิยมชมชอบกฤตมาก

อากรรณไปเยี่ยมอาทรประมาณ ๓ เดือนครั้ง ทุกครั้งที่กลับมาจากญี่ปุ่น อากรรณก็หาโอกาสพบกับดิฉันและส่งข่าวอาเต๊า วันหนึ่งอากรรณมาที่บ้านพร้อมกับอาเธียร อาเธียรนั่งคุยอวดหลานว่าเหมือนอาเธียรเมื่อเด็กๆมาก อากรรณกระทบว่า “มันคงเหมือนอย่างหนึ่งเป็นแน่ เลือดเจ้าชู้มักส่งต่อกันง่าย” ทำให้ดิฉันคิดหวนถึงอาทร และคิดว่าการที่ผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชายมีเสน่ห์นั้น เป็นการเสี่ยงภัย ถ้าดิฉันได้เอาใจใส่กับอาทร ดิฉันก็คงเป็นสะใภ้ของเศรษฐีคงสมใจคุณป้าคนหนึ่งละ อากรรณเล่าว่า ได้หาชื่อให้อาเต๊าแล้ว อากรรณตั้งชื่อว่า อาธวัน แปลว่า ซื่อสัตย์

อากรรณไม่รู้ว่าอาทรแต่งงานกับช้องเพ็ชรด้วยเหตุใด และช้องเพ็ชรไม่รู้ว่า อากรรณรู้ว่าอาเต๊าเป็นเลือดเนื้อของใคร กฤตก็ไม่รู้เรื่องตลอด มีแต่อาทรกับดิฉันที่เข้าใจกัน ตราบใดที่อาทรยังสัตย์ซื่อกับความปรารถนาของเขา ดิฉันก็ต้องซื่อตรง แปลกที่สุด คนเราดูออกจะมีความซื่อตรงต่อใครและอะไรไปตามลู่ทางที่ไม่ได้คาดหมายเอาไว้ ไม่เห็นเป็นไปตามที่เหตุการณ์น่าจะทำให้เป็น

ญาติมิตรที่รักดิฉัน และหวังดีต่อดิฉัน ไม่มีใครรู้ถึงเหตุการณ์ เวลาล่วงไป คนก็เอาใจใส่กับอาทรและช้องเพ็ชรน้อยลง มีแต่ดิฉันที่สะดุ้งหวาดผวาอยู่คนเดียว และก็ไม่มีวิถีทางที่จะเลือก นอกจากเก็บความรู้และความหวาดอยู่แต่ในใจ เท่าที่วันคืนผ่านไป ก็ไม่มีวี่แววว่ากฤตจะไปนอกใจดิฉันกับใครที่ไหน เขาก็คงเป็นสามีที่อ่อนโยน เอาใจใส่กับลูก และเอาใจใส่กับญาติผู้ใหญ่ทุกคนต่อไป บ้านของคุณพ่อและแม่ ก็เป็นที่พักอาศัยให้ลูกหลานสกุล มีนา ได้เข้ามาเล่าเรียนชั้นสูงต่อไปอีก ลุงกำนันฝากลูกชายคนเล็กให้มาอยู่กับการุณ จนการุณได้ปริญญาวิชาการศึกษาไปแล้ว ลูกของลุงกำนันก็อยู่ต่อไป ทุกคนในบริเวณกลุ่มบ้านที่ซอยอโศกรับเอาภาวะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นเป็นธรรมดาไปแล้ว กฤตยิ่งเป็นที่รักใคร่ของญาติของเขาเองมาก ญาติที่คลองกาญจนาก็สนิทสนมกับญาติของดิฉันมากขึ้นทีละน้อย โดยเฉพาะย่าพัดกับคุณย่าก็ได้เป็นเพื่อนแลกเปลี่ยนบอกเล่ากุศลกัน คุณย่าออกเงินจำนวนสองหมื่นให้ย่าพัดก่อสร้างโรงเรียนที่วัดที่ปากคลองกาญจนา และช่วยบูรณะพระอุโบสถวัดที่การุณบวชด้วย ปัญหาที่คาดไว้หาได้เป็นปัญหาไม่ มีแต่ภายในใจของดิฉันเท่านั้นที่มีปัญหาอยู่ต่อไป คงจะมีความเลือนรางขึ้นได้กระมัง แต่ลืมนั้นเห็นจะยาก กฤตก็คงไม่ลืม แต่เมื่ออยู่กับคนที่ทำเป็นไม่รู้ กฤตก็คงเลือนไปดังที่อาทรคาด.

— จบ —

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ