บทที่ ๑๙

สามวันต่อจากนั้น กฤตก็มาบอกว่าต้องออกไปราชการต่างจังหวัด คราวนี้จะไม่ไปนาน แต่ไม่แน่อาจจากครอบครัวเพียงสองสามวัน หรืออาจถึงสัปดาห์หรือกว่านั้นก็ได้ และจังหวัดที่ไปนั้นก็ไม่แน่นอน ทราบแต่ว่าจะไปจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดเลยด้วย และจะวนเวียนอยู่ในภาคอิสาณใกล้ๆ กับสองจังหวัดนั้น

กฤตเดินทางไปแล้ว ดิฉันก็ทำงานเลี้ยงลูกไปตามปรกติ ประมาณ ๕ วันผ่านไป จึงได้รับเชิญจากเชี่ยวให้ไปกินข้าวค่ำที่บ้านเขา ไม่มีโอกาสพิเศษประการใด เขาอยากพบเพื่อนฝูงเท่านั้น เมื่อไปถึงบ้านเชี่ยวก็ได้พบพัฒนะ อาทร เพื่อน ๆ อีกสองสามคน มีอินทิรารวมอยู่ด้วย

“คิดถึงแม่หวีนะ ลูกแก้ว ที่จริงคุณเชี่ยวให้ชวนมาด้วยแต่เขาถือตัว เขาไม่มา เขาบอกว่าเขาไม่เข้าชมรมชาวถนนสุขุมวิท เขามันชาวสวนบางกรวย” อินทิราว่า

พัฒนะได้ยินคำพูดของอินทิรา เขาถามว่าพูดถึงใคร เมื่อได้ยินว่าพูดถึงจันทร์ฉวี เขาก็ทำหน้าเสียดายอย่างมาก

“ตายละ ผมก็ไม่ใช่ชาวถนนสุขุมวิท เป็นชาวบางพลัดไม่เจียมตัวเหมือนกัน”

“ทำไมชาวถนนอะไร ๆ ถึงต้องเจียมตัวไม่เจียมตัว” เชี่ยวถาม

“ก็พวกลื้อที่อยู่แถวนี้ได้ มันต้องเศรษฐี” พัฒนะว่า

“วัดกันอย่างนั้นได้ ดิฉันก็ชอบค่ะ” อินทิราว่า บ้านของดิฉันอยู่ซอยกลาง ได้นับเป็นเศรษฐีไปด้วยก็ดีไปเลย”

“มันก็มีความจริงอยู่มาก อย่างน้อยก็ไม่หมดหนทางเหมือนพ่อแม่ผม ทีแรกก็ซื้อที่ไว้แถวนี้ก่อนสงคราม วาละสามบาทคุณแม่ว่า ระหว่างสงครามมันขึ้นเป็น ๓๐ บาท เขามาขอซื้อท่านก็ดีใจรีบขาย ยิ่งหลังสงคราม มันขึ้นเป็นสามร้อย ที่มีเหลืออยู่ก็ขายอีก ผมก็เลยต้องยึดราชธานีเดิม” พัฒนะว่า

ชาวราชธานีเดิมนั่นแหละรวยเงียบ ๆ เยอะทีเดียว” ใครคนหนึ่งว่า

“ผมก็นึกเอาของผมยังงั้นเหมือนกัน สวนทุเรียนปู่ย่าตายายผมก็มีเหมือนกันนะ” พัฒนะอธิบายต่อไป เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาจากเพื่อนเพราะกำลังมีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีทรัพย์สมบัติอย่างที่พัฒนะกล่าว

เราคุยกันฉันคนรู้จักกันคุ้นเคยต่อไป แล้วเพื่อนคนหนึ่งทักขึ้น “เออ อาทร เมื่อวานนี้อั๊วเห็นลื้อลงจากรถไฟที่สามเสนไปไหนมา”

อาทรทำหน้าเหมือนเด็กซนถูกผู้ใหญ่จับได้ “ไปลพบุรีมา” เขาตอบ

“ไอ้บ้า ลพบุรีแค่นี้เอง ทำไมต้องไปรถไฟ ทำไมไม่ขับรถยนต์ไป” เชี่ยวถาม

“อั๊วจะไปรถไฟใครจะทำไม” อาทรตอบ

“ไม่จริงหรอกวะ” พัฒนะขัด “ไปไหนที่ไม่อยากให้ใครรู้แน่เชียว น่ากลัวสะกดรอยนางเอก”

“อ้าวไปแอบมีนางเอกที่ไหนล่ะ ก็นางเอกที่ใคร ๆ เขาหาให้ออกดาราสุกแจ๋ว” เชี่ยวถาม

“ก็ดาราล่ะซี ถึงต้องคอยสะกดรอย ไปลอยอยู่ฟ้าไหนก็ไม่รู้ อาทรเอ๋ยเรามันยิ่งทึ่มๆ อยู่ ไม่สมกับเขาเลย” เพื่อนคนหนึ่งพูด

“โธ่ ทำไมใครมาว่าคุณอาทรทึ่มนะ” ดิฉันขัดขึ้นมาด้วยความรำคาญ “ดิฉันไม่เห็นว่าจะมีลักษณะทึ่มอะไรเลย เป็นแต่หวงความคิดนึกเท่านั้น”

“โอ้โฮ ลูกแก้วช่างว่า” พัฒนะร้อง “ไงวะ อาทร หวงไว้ทำไมความคิดนึก”

“ไม่ค่อยมีจะหวง” อาทรพูดสั้น ๆ ตามธรรมดาที่ดิฉันเคยเห็นเขา

“อย่าดูอะไรเผินๆ นะโว้ย คนอย่างเจ้าอาทรน่ะ พอมีสุภาพสตรีก็ทำสุภาพบุรุษ เสือซ่อนเล็บมันมีนะในโลกเรานี่” เพื่อนคนหนึ่งว่า

“เออ คุณเชี่ยว วันนี้ทำไมไม่ชวนญาติของคุณมาด้วยล่ะคุณหญิงน่ะ ช้องเพ็ชรน่ะ” อินทิราถามขึ้น

“โทรศัพท์ไปเหมือนกัน” เชี่ยวบอก “คนที่บ้านเขาว่าไม่อยู่ ถามว่าไปไหนเมื่อไหร่จะกลับ เขาบอกว่าไม่รู้”

“อ๋อ แน่ แน่ ถ้างั้น” เพื่อนคนหนึ่งของเชี่ยวร้องขึ้น “มีคนตามแสงดาวเหมือนในเรื่องกำเนืดพระเยซูแล้ว”

เชี่ยวกับเพื่อนอีกคนหนึ่งหัวเราะด้วยกัน แต่อาทรกับพัฒนะวางหน้าเฉยเหมือนไม่เข้าใจ ดิฉันลอบดูหน้าอาทร เขาสบตาดิฉันแล้วก็เมินหน้าไปทางอื่น

รับประทานอาหารแล้ว เพื่อนของเชี่ยวชวนเต้นรำ อินทิรากับดิฉันร้องขอตัวเพราะมีผู้หญิงสองคนต่อผู้ชายห้าคน แต่พัฒนะกับอาทรว่าเขาจะเป็นพนักงานเครื่องสเตริโอให้ ซึ่งเชี่ยวเพิ่งซื้อมาใหม่ ๆ ให้เพื่อนของเชี่ยวกับเจ้าของบ้านได้เต้นรำตามสบาย ดิฉันเต้นกับเพื่อนของเชี่ยวสองคนไม่ถึงชั่วโมงก็บอกลา ยกข้อที่เป็นแม่ลูกอ่อนขึ้นเป็นข้อแก้ตัว ดิฉันคิดถึงกฤตเหมือนใจจะขาดขึ้นมา รู้สึกอยากร้องให้ และอยากกลับไปหาลูกจนเกือบจะควบคุมตัวไว้ไม่ได้

พัฒนะรับอาสาไปส่งอินทิรา และบ่นเสียดายว่าไม่รู้ว่าจันทร์ฉวีไม่มาด้วย “คราวหลังคุณจันทร์ฉวีจะมาแถวนี้คุณบอกให้บอกผม ผมจะรับอาสาเป็นสารถีให้ ถ้าไม่รังเกียจ”

“พัฒนะนี่เขียมจังวะ” เพื่อนคนหนึ่งว่า “ทำงานอีคาเฟ่ได้เงินเดือนมากกว่าข้าราชการตั้งเยอะแยะ ทำเป็นเจียมตัวต่าง ๆ”

“ฮึ อีคาเฟ่มันจะอยู่ค้ำฟ้าหรือโว้ย ตอนตกงานไม่มีรองรับมิแย่เหรอ” พัฒนะพูดอย่างคนรู้คิด “รบกวนพ่อแม่มามากแล้ว ไม่รู้จักโตเสียทีหรือไง”

ดิฉันขับรถกลับมาบ้านเอง รีบเข้าห้องนอน เข้าไปเยี่ยมดูหน้าลูกในห้องที่กั้นเป็นส่วนของแกด้วยฉาก เตียงเล็กของสุพินพี่เลี้ยงว่างอยู่ แสดงว่าสุพินถือโอกาสไปคุยเล่นอยู่กับเพื่อน ซึ่งดิฉันไม่ถือเป็นความบกพร่อง เพราะไม่ได้หัดลูกให้อยู่ในความระแวดระวังทุกเวลา และรู้ว่าถ้าดิฉันไม่อยู่ น้ารื่นก็จะมาดูบ่อย ๆ และยังมีแม่อีกคนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในคืนนั้น ภาพของลูกนอนอยู่ในเตียงมีขอบสูง เป็นชีวิตเดียวภายในห้องกว้าง ทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกอ้างว้าง ดิฉันเกือบจะแน่ใจว่าช้องเพ็ชรได้ออกไปนอกเขตพระนครเพื่อพบกับกฤตที่ใดที่หนึ่ง แต่ไม่เข้าใจบทบาทของอาทร ทำไมเขาจึงไม่พูดให้แจ่มแจ้งว่าเขาไปไหนมา ด้วยกิจอะไร เขาทำท่าลึกลับเหมือนกับว่าเขามีเรื่องต้องปิดบัง สีหน้าของเขาเมื่อสบตาดิฉันแล้วเมินไปทำให้ดิฉันเชื่อไปทางนั้น แต่แล้วก็ตำหนิตัวเองว่าใช้จินตนาการเพื่อทำโทษตัวเองแท้ ๆ คนขี้หึงมีความทุกข์อย่างนี้เอง วันหนึ่งดิฉันก็จะรู้จากกฤตว่าเขาได้ไปทำราชการตามที่ดิฉันมุ่งมั่นให้เขาทำอย่างบริสุทธิ์ แล้วดิฉันก็ต้องเสียใจ จะต้องโทษเขา และลงโทษตนเองตำหรับความระแวงโดยมีเหตุผลน้อยที่สุด

อีกสี่วันต่อจากนั้น กฤตก็กลับมา เขาอ่อนระโหยเหนื่อยมาเห็นได้ชัด ไม่เล่าถึงการเดินทางและประสพการณ์อย่างที่เคย เมื่อคุณพ่อถามตามธรรมดาที่เคยถามถึงเหตุการณ์ทั่วๆ ไป กฤตก็ตอบว่ามีเรื่องที่ไม่ดีไม่งามทำให้เกิดความท้อใจดิฉันจึงไม่ซักถาม และคุณพ่อคุณแม่ก็พลอยไม่ถามไปด้วย วันต่อจากวันที่กลับมาถึงบ้าน กฤตก็มีไข้ ปรอทขึ้นสูงถึง ๔๐ ดีกรีเซนติเกรด กฤตนอนซม ไม่ยอมกินอาหารนอกจากน้ำส้มคั้นและน้ำข้าวต้มใส ๆ ดิฉันจะเรียกแพทย์มาตรวจ เขาก็ไม่ยินยอม วันรุ่งขึ้นปรอทลดลง กฤตนอนพักผ่อนอีกวันหนึ่ง รุ่งขึ้นก็ไปทำงาน เขากลับมาบ้านก่อนดิฉัน เมื่อดิฉันกลับมาถึงบ้าน พบกฤตพูดโทรศัพท์อยู่ เมื่อเห็นดิฉันเดินขึ้นเรือนก็จบการเจรจาและวางหูโทรศัพท์ ดิฉันถามเรื่อย ๆ ว่าพูดกับใคร เขาตอบว่าพูดกับเพื่อน คืนนั้นกฤตเข้านอนแต่หัวค่ำ รุ่งขึ้นก็ไปทำงานได้ แต่ท่าทียังอิดโรย ดิฉันจึงไม่อยากรบกวนใจด้วยเรื่องอะไรทั้งสิ้น

ค่ำวันต่อมา กฤตจึงได้รับโทรศัพท์จากคุณลุงวัชร กฤตพูดกับคุณลูงอยู่เกือบ ๑๐ นาฑี เมื่อวางหูโทรศัพท์แล้วก็เรียกดิฉันไปนั่งพูดกันที่ระเบียงข้างตึก ซึ่งเป็นที่เย็นสบาย

“ตามเสียงคุณลุงวัชร กฤตจะต้องไปทำงานกับท่านแล้ว ไม่ใช่เราตัดสินใจหรอก ท่านข้างบนตัดสินลงมา”

“หมายความว่าถึงเราพอใจไม่พอใจ ก็ไม่มีทางเลือกงั้นเรอะจ๊ะ” ดิฉันถาม จับน้ำเสียงของกฤตว่าไม่ค่อยพอใจนัก

“ก็เห็นจะเป็นยังงั้นแหละ” เขาตอบเสียงอ่อย ๆ

“ทำไมถึงเกิดเร่งร้อนกันขึ้นมายังงี้ล่ะ” ดิฉันกล่าว เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น

“คุณลุงวัชรว่าเรื่องเงินมันรอไม่ได้ คนของคุณลุงหมอเขาบอกแล้วว่ามะเร็งแน่ แล้วถ้าใช้กฤต คุณลุงประจิตจะช่วยแนะนำให้ทุกอย่าง ฝรั่งที่จะมานี่ก็รู้จักกับคุณลุงประจิต เชื่อถือคุณลุงประจิต ถ้าไปเอาคนอื่นมาก็ต้องมาเรียนนิสัยใจคอกันอีก คุณลุงวัชรว่ารอไม่ได้ก็เลยขึ้นเหนือเมฆเลย”

ดิฉันไม่ค่อยสบายใจนัก สังเกตจากน้ำเสียงของกฤตคล้ายกับว่าญาติผู้ใหญ่ของดิฉันสองคน ช่วยกันกำหนดชีวิตของเขาแล้วรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นเมื่อกฤตพูดว่า

“ไปบ้านนอกคราวนี้เห็นพวกหนุ่ม ๆ ไปทำงานตามที่หมู่บ้านไกล-ๆ แล้วก็เลยไม่อยากทิ้ง คุณลุงประจิตเองก็ว่างานที่ทำนี่เป็นกุศลนานไปถึงจะเห็นผล งานอย่างนี้ใครเขาจะอยากทำ การที่เราได้ช่วยให้พวกหนุ่ม ๆ นี่แกอุ่นใจ ก็เป็นการกุศลโดยตรง เห็นกันต่อหน้าต่อตา ไม่ต้องรอผลอื่น พอทำใจได้อย่างนี้ก็เกิดจะต้องเปลี่ยนหน้าที่เสียแล้ว”

ดิฉันนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วจึงพูด “กฤตคิดได้แค่นี้ลูกแก้วก็ว่าได้กุศลแล้วละ”

“แต่กุศลมันไม่ไปถึงพวกหนุ่ม ๆ มันนี่” เขาแย้ง

“จริงนะ ทำไมโลกมันถึงเป็นอย่างนี้กันหนอ” ดิฉันรำพัน

“แต่ก็ช่างเถอะ” กฤตพูดเหมือนตัดใจได้ “อาจไม่ต้องทิ้งไปเลยก็ได้ แล้วก็อาจเป็นประโยชน์กับงานที่ทำอยู่นี่ก็ได้ ที่จริงหาเงินมาช่วยในการพัฒนาได้ มันก็ช่วยอะไร ๆ ต่ออะไรไปได้อีกหลายอย่าง แต่ประหลาดใจว่าทำไมเราเกิดจะมาเป็นคนสำคัญขึ้นมา”

“กฤตไปฟังคุณลุงประจิตเสียก่อนก็จะก็ดี คุณลุงคงอธิบายอะไรให้เข้าใจได้ ลูกแก้วเสียดายงานที่กฤตเริ่มจะรัก เราอาจต้องทิ้งไปไม่กี่เดือนก็ได้กระมัง”

“งานที่ทำนี่ พอทิ้งไปแล้วกลับมาจับอีกมันยาก ผู้คนเกิดไม่รู้สึกเป็นใจเดียวกันเสียแล้ว เหมือนกับเราทิ้งเขาไปหาความสบาย ทำไมยังงี้ก็ไม่รู้ ทีแรกก็ไม่รู้สึกอะไรกับงานเท่าไหร่นัก เราก็ไม่ได้เรียนมาทางการพัฒนาชนบทพัฒนาอะไร เรียนทางทฤษฎีแท้ ๆ คุยกันน้ำลายเป็นฟองไปเลย แต่พอถูกทาบทามให้ทิ้งไปก็เกิดเสียดายขึ้นมา คนเราเวลามีอะไรไม่ค่อยเห็นคุณค่า จะเสียไปเมื่อไหร่ถึงจะเห็น”

เราปรึกษากันอีกเล็กน้อยถึงเรื่องที่จะเตรียมติดต่อซักถามคุณลุงประจิตอย่างไร แล้วดิฉันก็ชวนกฤตไปนอน กฤตยังมีไอของไข้ติดตัวอยู่ ยังไม่ค่อยจะแจ่มใส ดิฉันให้อาบน้ำอุ่น กฤตก็เชื่อเป็นอันดี เมื่ออาบน้ำแล้ว ดิฉันก็ใช้น้ำอบโอดิโคโลญชะโลมตัวให้ เขาก็ปล่อยให้ฉันปรนนิบัติเหมือนเมื่อเขายังเป็นไข้อยู่ ดิฉันรู้สึกชื่นใจในคืนวันนั้นยิ่งกว่าที่เคยได้ชื่นชมมาเป็นเวลานาน

ตอนเย็นวันนั้น เมื่อกลับมาถึงบ้าน รออยู่สักครู่กฤตก็มาถึง และมาเล่าว่าได้ไปพบคุณลุงประจิตแล้ว คุณลุงประจิตชี้แจงว่าคุณลุงวัชรรอไม่ได้จริง ๆ และมีทางเดียวคือหาคนที่แน่ใจว่าทำงานติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญได้

“น่าหัวเราะไหม” กฤตเสริมเมื่อเล่าจบแล้ว “คูณลุงประจิตว่าคุณลุงวัชรบอกให้หาคนได้ดอกเตอร์ให้ได้ สมัยนี้ถ้าไม่ได้ปริญญาเอก ไม่มีใครฟังทั้งไทยทั้งฝรั่ง แต่แท้จริงกฤตเพิ่งรู้สึกว่าเข้าใจเศรษฐกิจ เข้าใจว่าประเทศจะก้าวหน้าไปได้หรือไม่ได้ หรือจะถอยหลังเพราะเหตุไรยังไง ตอนที่ออกหัวเมืองแล้วกลับมาจับไข้นี่เอง”

ค่ำวันนั้น กฤตดูเหมือนจะกลับเป็นกฤตคนเดิม เป็นดอกเตอร์ลูกทุ่งของดิฉัน คนที่ดิฉันมอบหัวใจให้ เพราะกิริยาท่าทางความคิดเห็นที่ออกมาทางวาจา การติดต่อกับคนต่างวัยต่างฐานะ เป็นกฤตคนเดิมซึ่งมีความสบายโดยธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าตนอยู่เหนือผู้ใดหรือต่ำกว่าผู้ใด เราเข้านอนกันแต่หัวค่ำ เพราะกฤตยังเพลียจากไข้ที่เพิ่งหาย

วันต่อมา ดิฉันก็รีบกลับบ้านเพราะคิดว่ามีเรื่องจะต้องปรึกษากันระหว่างกฤตกับดิฉัน และคุณพ่อกับแม่ เพราะกฤตต้องไปต่างประเทศในเร็ววันแน่ การุณจะมีความรู้สึกอย่างไรถ้าจะอยู่ในบ้านดิฉันต่อไปโดยพี่ของเขาไม่อยู่ ถึงหากว่าในตอนนี้การุณจะคุ้นกับน้ารวงรัตน์ และไว้วางใจ นำเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษาและเรื่องที่เกี่ยวกับเพื่อนฝูงไปปรึกษา แต่การุณก็ยังไม่รู้สึกว่าเขาอยู่บ้านของเขาเอง หรือบ้านของพี่เขา การุณว่าอยากจะไปอยู่ที่หอของมหาวิทยาลัย แต่ญาติผู้ใหญ่ของการุณไม่เห็นด้วย กลัวว่าคุณพ่อกับแม่จะเข้าใจไปว่าการุณไม่เล็งเห็นความอารีของคุณพ่อกับแม่ อีกทั้งไม่อยากให้การุณอยู่ในเมืองหลวงโดยอิสระเกินไป น้ารวงรัตน์ก็มีความเห็นว่า การุณอยู่ที่บ้านเราเป็นกำไรแก่การุณเองหลายประการ ได้พบเห็นคนฐานะต่าง ๆ ความรู้ระดับต่าง ๆ ต่างเพศต่างวัย ดีกว่าที่จะคบหาสมาคมอยู่กับคนหนุ่มๆ ในวัยเดียวกันและความรู้เท่า ๆ กัน

แต่ดิฉันรอกฤตอยู่จนถึงเวลาอาหาร กฤตก็ไม่กลับมาบ้าน แล้วก็ได้รับโทรศัพท์จากกฤตว่า เขาจะไม่กลับมากินอาหาร ดิฉันพยายามทำใจไม่ให้เป็นห่วงเขา แต่นอนไม่หลับ ดิฉันกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอนจนกระทั่งกฤตกลับมา เป็นเวลาเกือบ ๒๔ นาฬิกา ดิฉันเหลือบตาดูว่าเขาจะมีอาการอย่างไรบ้าง พอเห็นดิฉันลืมตาขึ้น เขาก็รีบบอก

“ไปพบเพื่อนมาจากญี่ปุน เผอิญเป็นคนรู้เรื่องธนาคารโลก เลยชวนกันไปกินข้าว แล้วก็พาเขาไปเที่ยวดูอะไรนิดหน่อย”

ดิฉันยิ้มให้กฤต และทำท่าจะหลับตาลงเหมือนคนง่วงนอน ทันใดนั้นกฤตก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา เขาเข้ามาซบหน้าลงกับหน้าดิฉัน แล้วก็โอบตัวดิฉันกระชับไว้แน่น เขาจูบดิฉันทั่วหน้าแล้วจึงค่อยวางลง แล้วไปยืนใกล้หน้าต่าง มองออกไปภายนอกอยู่หลายวินาฑี แล้วจึงเดินเข้าไปอาบน้ำ ดิฉันรู้สึกกระดาก เมื่อได้ยินเสียงของเขาออกจากห้องน้ำ ดิฉันก็หลับตาทำทีเป็นง่วงนอน ดิฉันอยู่ในท่านั้นจนแน่ใจว่ากฤตเข้านอนแล้ว จึงขยับตัวปลงใจให้หลับลงไป ซึ่งก็ทำสำเร็จในไม่ช้า

ต่อจากวันนั้น กฤตมีเวลาว่างน้อยที่สุด เขากลับจากทำงานค่ำมากทุกวัน โดยรถของคุณลุงวัชรมาส่งเป็นบางวัน และวันหนึ่งทั้งคุณลุงวัชรและคุณลุงประจิตตามมาปรึกษากันอยู่ที่บ้านจนเกือบ ๒๓ นาฬิกา เพราะกฤตต้องเรียนงานใหม่ต้องรับทราบงานที่ได้วางแผนไว้แล้วเป็นเวลานานตั้งเกือบ ๑๐ เดือน บางวันกฤตก็หอบกระดาษมาด้วยเป็นปึกใหญ่ และเขานั่งร่างเอกสารต่าง ๆ จนดึกกว่าจะได้เข้านอน เป็นอยู่เช่นนี้ประมาณเดือนหนึ่ง แล้วกฤตกับคุณลุงวัชรก็เดินทางไปสหรัฐอเมริกา

ระหว่างการเดินทาง กฤตส่งบัตรหรือจดหมายสั้นๆ ส่งข่าวเป็นระยะ ๆ กฤตไปได้แล้วประมาณสองเดือน วันหนึ่งจึงได้รับโทรศัพท์จากจันทร์ฉวี นัดให้ไปกินข้าวกับเพื่อนเก่าที่เคยเรียนร่วมห้องกันมาตั้งแต่ชั้นเตรียมอุดม คราวนี้นัดกันไปที่ร้านขายไก่ย่างที่ใกล้สนามมวย ที่ถนนราชดำเนิน

“ใจดำจังพวกนี้” ดิฉันต่อว่าทันทีที่เห็นเพื่อน ๆ “รู้แล้วว่าเราอยู่บ้านเหงาคนเดียว เพิ่งชวนออกมากินข้าวกินปลากันตอนนี้แหละ”

“อื้อ ที่จริงน่ะจะชวนกันหลายวันแล้ว ไม่พร้อมกันได้สักที” อินทิราแก้ “นายเหลิงนั้นแหละเป็นคนเหลว”

“มาลงนายเหลิงอีกละ” เถลิงว่า “ที่จริงน่ะจะไปชวนนานแล้ว ไม่ได้คิดรอแม่พวกนี้หรอก แต่เห็นเขารือกันว่าลูกแก้วมีองครักษ์สำรองอยู่ ก็เลยไม่อยากจะเข้าไปแซก”

“เออ ลือกันไปได้นะ ต่างๆ” ดิฉันปริเทวนา “ไหนเล่าให้ฟังมั่งซิ องครักษ์มีลักษณะอย่างไรมั่ง อ้วนผอมขาวแดง”

“ขนาดเกินหน้านายเหลิงทั้งนั้นแหละ” เถลิงว่า “มีทำงานอีคาเฟ่เอย พ่อเป็นเศรษฐีเอย น้าเป็นเศรษฐีเอย”

“เออ แม่อี๊ด คนทำงานอีคาเฟ่เขาว่าเขายินดีจะรับชาวบางกรวยไปไหน ๆ น่ะว่าไง” ดิฉันถามอินทิรา

“ก็ยังไม่มีโอกาส” อินทิราตอบ

“นี่ ชาวบางกรวยขอแถลงการว่าไม่มีความสนใจกับท่านผู้มีรายได้สูง ๆ เลย คนเราตั้งหน้าพึ่งตัวเราดีกว่า ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น อย่ามากังวลด้วยเป็นอันขาด” จันทร์ฉวีพูดเสียงหนักแน่น

“เอาละ ทีนี้กลับมาที่นายเหลิง ทำไมเหลิงน่ะจะช่วยเป็นองครักษ์ให้เพื่อนเก่าอีกคนหนึ่งน่ะ จะเสียราศีไปยังไง” ดิฉันหันมารุกเถลิง

“เออ แก้ไม่ค่อยพ้นเลย เอาเป็นว่าก็คิดถึง แต่แล้วมันก็เหมือนกันทุก ๆ คน กว่าจะนัดกันได้มันก็ใช้เวลาหน่อย” เถลิงลากเสียงให้เนิบ ๆ

“ว่าแต่ฉันได้ยินมาว่าคุณหญิงเขาป่วย เขาว่าป่วยมาเกือบเดือนแล้ว ใครจะสนใจไปเยี่ยมเขามั่ง” อินทิรากล่าวขึ้น

“เขาจะลงเอยกะใครนะ ดูรวน ๆ อยู่เรื่อย เดี๋ยวก็มีข่าวลือว่าคนนั้นเดี๋ยวก็คนนี้ แล้วว่าจะหมั้นลูกเศรษฐีแต่แล้วก็เงียบไป” เพื่อนคนหนึ่งถาม

“มนุษย์เรานี่คงมีอะไรทำกันน้อยนะ” ดิฉันว่า “ดูเที่ยวรู้เรื่องของใครต่อใครกันม้ากมาก”

เพื่อน ๆ คุยกันต่อไปตามปรกติ จนกระทั่งอิ่มแล้วแยกกันไปทำงาน ดิฉันบอกอินทิราว่าจะไปส่งเขากับนายเถลิง เพราะที่ทำงานไม่ห่างกันนัก วันนี้ดิฉันบอกไว้ที่สำนักงานของดิฉันว่าจะกลับไปช้า ระหว่างที่นั่งไปในรถอินทิราก็เอ่ยขึ้น

“นี่ ใครเคยไปบ้านคุณหญิงเขาบ้างนะ ฉันไม่เคยไปสักทีรู้จักกันมาตั้งหลายปี”

“จริงแหละ เราก็ไม่เคย เห็นแต่ทางเข้าบ้านเขา ไม่เคยไปเยี่ยมเขาข้างในบ้านเลย” เถลิงกล่าว

ดิฉันเกิดความอยากรู้ว่าช้องเพ็ชรมีความเป็นอยู่อย่างไรระหว่างที่กฤตไม่อยู่ เขายอมรับเอาการปฏิเสธหรือความไม่สำเร็จที่จะหางานให้กฤตใหม่อย่างไร จึงชวนเพื่อนขึ้น

“นี่ เราควรมีไมตรีจิตกับเขามั่ง เลิกงานเย็นนี้ไปเยี่ยมเขาด้วยกันเถอะ ฉันจะโทรศัพท์ไปถามให้แน่เสียก่อนว่าเขาเจ็บไข้จริงหรือเปล่า แล้วสองคนไปรอฉันที่ไหนที่ฉันจะไปรับได้” ดิฉันชวน

“บ้านเขาอยู่ไม่ไกลที่ทำงานของผมหรอก ถนนสุโขทัย แต่เป็นซอยเข้าไป” เถลิงบอก “อี๊ดมารอที่ร้านอาหารถนนสุโขทัยได้ไหมล่ะ ผมไปพบที่นั่นแล้วลูกแก้วต้องรีบเลิกงานมารับเราที่นั่น”

นัดแนะกันดีแล้ว ดิฉันก็กลับไปทำงาน และขออนุญาตออกมาก่อนเวลาประมาณ ๑๐ นาฑี ดิฉันไปพบอินทิรากับเถลิงที่ร้านอาหารสุโขทัยตามนัด แล้วก็ไปยังซอยบ้านช้องเพ็ชรซึ่งอยู่ใกล้ ๆ นั้น

จากถนนใหญ่มีซอยที่รถได้วิ่งแยกไปทางเหนือ เข้าซอยไปได้ไม่นานก็ถึงซอยแยกเล็ก หรืออีกนัยหนึ่งทางเข้าบ้านช้องเพ็ชรนั่นเอง ดิฉันไม่ได้ไปที่บ้านช้องเพ็ชรเป็นเวลานาน เพราะช้องเพ็ชรไม่ค่อยอยู่บ้าน ไปต่างประเทศโน้นนี้มาก่อน ดิฉันแต่งงานหลายปี ดิฉันจำไม่ได้แม่นนัก แต่รู้ว่าบ้านใหญ่ ๆ ในซอยนั้นมีไม่กี่บ้าน แน่ใจว่าซอยที่เลี้ยวเข้าไปนั้นเป็นทางเข้าบ้านถูกแน่ รถผ่านต้นไม้ใหญ่ ๆ มีอายุยืนนาน แสดงว่าครอบครัวของช้องเพ็ชรได้ครอบครองสถานที่นั้นมาอย่างน้อยก็ตลอดอายุของช้องเพ็ชร แล้วทางก็พารถมาจอดหน้าประตูบ้านทำด้วยไม้หนาและหนัก มีช่องประตูเล็กภายในบานประตูใหญ่ เถลิงถามดิฉันว่าแน่ใจหรือว่าบ้านช้องเพ็ชร แล้วเขาก็ลงจากรถ เข้าไปที่ประตูนั้น เขาหันมาบอก

“เขามีชื่อคุณพ่อเขาอยู่ที่นี่ มีป้ายไว้เรียบร้อย” เถลิงกดกริ่งไฟฟ้า แล้วยืนรอ ต่อมาไม่ช้าก็มีคนมาเปิดประตูเล็กเยี่ยมหน้าออกมา อินทิราชะโงกหน้าลงไปบอกเถลิงว่าให้บอกว่าเรามาหาคุณหญิง

คนที่เยี่ยมหน้าจากประตูเล็กรีบเปิดประตูใหญ่ ให้รถแล่นเข้าไปในบ้าน เห็นสนามกลมใหญ่อยู่หน้าเรือนไม้ขนาดใหญ่ เป็นเรือนชั้นเดียวแบบเก่า มีระเบียงแล่นรอบ ดิฉันออกปากว่าชอบบ้านแบบนี้เหลือเกิน

“นี่หรือบ้านคุณหญิง แหมคิดภาพไว้ไม่เหมือนเลยแฮะ” อินทิราพูดขึ้น “ฉันเห็นภาพคฤหาศน์สมัยใหม่ ตึกเป็นหินอ่อนหรืออะไรยังงั้น”

ดิฉันนำรถไปจอดใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ลงจากรถแล้วกวาดตาดูบริเวณบ้าน สนามไม่ได้รับการดูแลดีนัก หญ้าขึ้นไม่ทั่วพื้นดิน และการตัดขลิบก็คงกระทำไม่สม่ำเสมอ ดูต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ใกล้รั้วบ้าง ใกล้ตัวเรือน และที่ริมสนามรวมประมาณ ๑๐ ต้น ก็เห็นว่าเป็นต้นไม้ที่ทนอากาศ ทนดิน ไม่ต้องทนุบำรุงก็เติบโตไปตามธรรมชาติ กิ่งก้านก็แผ่ไปตามที่พืชเหล่านั้นต้องการไปเอง ไม่แสดงว่าความรู้หรือฝีมือเจ้าของช่วยเหลือให้มีสัณฐานน่าดู หรือให้อำนวยประโยชน์แก่คนปลูก ดิฉันนำหน้าพาเพื่อนขึ้นไปบนเรือนใหญ่ ซึ่งดิฉันเคยขึ้นไปสองสามครั้ง ในงานศพดูเหมือนจะสองครั้ง และมีงานเลี้ยงและทำบุญในงานมงคลอะไรอันหนึ่ง ในงานที่เคยมา บ้านได้รับการตกแต่งขึ้นเพื่องานสโมสรเป็นโอกาสพิเศษ ดูโอ่อ่าครึกครื้น แต่มาโดยไม่มีงานอย่างที่มาวันนั้น บ้านนั้นดูเป็นบ้านที่ผู้อาศัยไม่ได้เอาใจใส่ มองดูสีทาเรือนก็อ่อนและแก่ไม่เสมอกัน มีจุดมีรอยให้เห็นว่าได้ผ่านฝนผ่านแดดมาหลายฤดู เมื่อเข้าไปในห้องรับแขกตามที่คนใช้ที่ออกมาต้อนรับชี้ให้เข้าไป จึงเห็นว่ามีเครื่องประดับมีราคาอยู่ตามฝาผนังและในตู้ ได้แก่รูปถ่ายของพระราชวงศ์บางพระองค์ รูปถ่ายของข้าราชการชั้นสูงตามยุคสมัยหลายสมัย เพราะบิดาของช้องเพ็ชรทำราชการแล้วก็ติดต่อกับวงงาน ตั้งแต่หนุ่มจนถึงปัจจุบันนี้ โดยยังมีส่วนในรัฐวิสาหกิจอีกหลายแห่ง เครื่องเรือนก็มีราคา มีโต๊ะทำด้วยไม้มะเกลือประดับมุกแบบจีน พร้อมด้วยเก้าอี้ชุด แต่หมอนพิงตามเก้าอี้มีรอยชำรุดไม่ได้รับการซ่อมแซม ถึงแม้จะได้ใช้วัสดุราคาแพง ในห้องนั้นไม่มีดอกไม้สดเลย มีแต่ดอกไม้แห้งปักอยู่ในแจกันลายครามอย่างดี ทำด้วยแพร และมีดอกไม้ทำด้วยกระดาษที่ยังมีสีสดปักในแจกันเล็ก ๆ หลายใบ วางไว้ในที่ต่าง ๆ ทั่วห้อง ประตูด้านในปิดทำให้มีแสงสว่างเข้ามาในห้องน้อย หน้าต่างนั้นเพิ่งได้เปิดออกเมื่อแขกเข้าไปถึงประตูห้อง ในห้องนั้นจึงยังมีกลิ่นอับ ๆ ตามธรรมดาของห้องที่ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์มาตลอดวัน

เถลิงมองดูห้องนั้นด้วยสายตาที่แสดงว่าแปลกใจเช่นเดียวกับอินทิรา ดิฉันก็แปลกใจว่าครอบครัวของช้องเพ็ชร ดำเนินชีวิตกันตามแบบเก่าเช่นนั้น การที่ห้องมีกลิ่นอับก็เพราะไม่ค่อยใช้ห้องรับแขก เจ้าของบ้านคงจะชอบใช้เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของเรือน คงเป็นเพราะทางด้านอื่นได้รับลมดีกว่า และหลีกเลี่ยงไอแดดได้ดีกว่าห้องที่ประดับไว้ด้วยของราคาแพง ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ดี

ประตูด้านในเปิดออก หญิงในมัชฌิมวัยตอนปลายคนหนึ่ง แต่งตัวเหมาะแก่วัยและสบายสำหรับอยู่บ้าน เดินเข้ามา ดิฉันนึกไม่ออกว่าเป็นญาติชั้นไหน สนิทหรือห่างอย่างไรกับช้องเพ็ชร จนกระทั่งท่านทักขึ้น

“อ๋อ แม่ลูกแก้วหลานคุณหญิงวรรณแสงใช่ไหมนี่”

ดิฉันทำความเคารพ “ใช่ค่ะ ดิฉันพาเพื่อนมาเยี่ยมช้องเพ็ชร ได้ยินว่าเขาไม่สบายมาหลายวันแล้ว”

“อ๋อ มาหายายจ๋องกันหรอกเรอะ เด็กไปบอกว่ามีแขกมาหาฉัน” สตรีผู้นั้นกล่าว “เอ้า ผ่อง เพื่อนคุณจ๋องเขา พาเขาไปที่เรือนของเขาหน่อยซิ”

“เข้าบ้านผิดหรือคะ” ดิฉันถามออกไปด้วยความแปลกใจ เพราะแน่ใจว่าได้มาในงานศพและงานมงคลที่เรือนใหญ่นั้นโดยมีช้องเพ็ชรเป็นเจ้าของบ้านคนหนึ่ง

“ไม่ผิดหรอกค่ะ เป็นยังไงลูกแก้วนี่ลูกคุณใจแก้วกับคุณเกลาใช่ไหม อยู่ติดกันกับคุณป้าไม่ใช่เรอะ ฉันพบกับคุณป้าบ่อย ๆ แต่ไม่ค่อยไปหาท่านถึงบ้าน ท่านชอบมาที่นี่ มันสบาย โบราณดี ๆ ท่านว่า”

ดิฉันเดาได้ทันทีว่าคุณป้ามาที่บ้านนี้เพื่อหย่อนใจด้วยอย่างไร “ดิฉันชอบจังค่ะบ้านแบบนี้” ดิฉันบอก

“ดูเถอะ คนชอบก็มี ฉันน่ะชอบไม่ชอบมันก็ต้องอยู่ คุณพระท่านไม่ยอมย้ายไปไหน” เจ้าของบ้านพูดต่อไป “เอ้า จะไปหายายจ๋อง ไปทางหลังเรือนก็ได้ ลงกะไดหลัง อ้อ รองเท้าอยู่หน้าเรือน เชิญเถิดค่ะ” พูดจบแล้วท่านผู้นั้นรีบกลับเข้าประตูไป เหมือนว่ามีอะไรที่ติดใจท่านมากกว่าคอยอยู่ในส่วนของเรือน

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ