บทที่ ๑๒

เชี่ยวมาเร่งให้คุณพ่อเร่งช่างทำศาลพระภูมิอีกต่อหนึ่ง เพราะคุณน้าซึ่งเป็นนายทุนให้เขาได้ปลูกบ้านได้หาฤกษ์การยกศาลพระภูมิไว้แล้ว ไม่ช้าศาลพระภูมิที่คุณพ่อสั่งทำให้เขาก็เสร็จ และเป็นที่ชอบใจของเชี่ยว เขารับไปทำพิธีตามที่คุณน้าต้องการ แล้วกลับมาเล่าว่า คุณป้าต้องการให้ตั้งที่บูชาพระกวนอิมอีกด้วย แต่เขาได้ทำเฉยๆ เสีย เพราะคุณป้าไม่ใช่นายทุน และคุณน้าไม่ค่อยสนับสนุนนัก คุณน้าไปได้พระสมเด็จสัดส่วนงดงามมาองค์หนึ่ง กำลังอยากให้เชี่ยวตั้งไว้บูชาเป็นศิริมงคลของบ้าน จึงไม่ค่อยต้อนรับคู่แข่งคือพระกวนอิม เชี่ยวเสริมว่า “คุณน้าผม ตั้งแต่น้าผู้ชายเข้าแถวจะเป็นรองอธิบดี ก็ไม่ค่อยชอบให้ใครเตือนไปถึงบรรพบุรุษเดิมนัก”

“ใครเชื่อไหม อั๊วไม่มีเชื้อจีนเลย นับขึ้นไปตั้งสามชั่วคนถึงทวดทั้งผู้หญิงผู้ชาย ไม่เจอเลย” พัฒนะบอกขึ้นมาด้วยความแปลกใจกับตัวเอง

“พบแขกไหม หรือมอญ” น้าเรืองซึ่งร่วมสนทนาในวันนั้นด้วยถาม

“เอ ดูเหมือนมีมอญ” พัฒนะว่าอย่างตรึกตรอง

“คนภาคกลางนี่เหมือนอเมริกันนะ” ดิฉันว่า “เลือดประสมทั้งนั้น”

“จะว่าเหมือนอังกฤษก็ได้” น้าเรืองออกความเห็น “ไปถามคนอังกฤษ ต้องมีเลือกไอริช เลือดฝรั่งเศส เลือดสเปญ ยุ่งไปหมด แต่วัฒนธรรมมันแน่ มันตั้งตัวมาได้หลายร้อยปีแล้ว”

“เมืองไทยนี้ จะเป็นมอญ แขก จีนอะไรก็ตาม” คุณพ่อกล่าว “พ่อว่ามันมาจากบรรพบุรุษสองชนิดเท่านั้น มาท้องนาหรือสวนพวกหนึ่ง กับมาเรือสำเภาอีกพวกหนึ่ง”

อีกไม่กี่วันต่อมา เชี่ยวก็มาเชิญให้ไปในงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ มีการเลี้ยงพระเพลและเลี้ยงอาหารกลางวันตามธรรมดา เชี่ยวบอกว่าไม่ได้ทำเป็นงานใหญ่ เชิญแต่คนคุ้นเคยจำนวนน้อย แต่ขอให้ดิฉันเชิญจันทร์ฉวี อินทิรา และ เถลิงด้วย

กฤตไปติดต่อเรื่องการจัดพิธีสงฆ์ ตั้งแต่นิมนต์พระจัดรถรับส่งพระภิกษุและจัดสถานที่ อีกทั้งต้องรับหน้าที่อาราธนาศีลและอื่น ๆ เกี่ยวกับสงฆ์ ของถวายพระนั้น คุณน้าจะจัดมาเสร็จ

“อย่าลืมที่กรวดน้ำ” แม่เตือน “เอาไปจากบ้านนี้ก็ได้”

“ฮือ” น้าเรืองเตือนแม่ด้วยเสียงวรรณยุกต์พิเศษไปจากที่เราเรียนกันในตำราไวยากรณ์ไทย “บางแห่งเขาต้องกรวดน้ำกันเป็นโขยง ใครช่วยในการทำบุญบ้างต้องกรวดด้วยหมด”

“ผมขอยืมพระท่านแล้ว” กฤตบอก “อย่าเอาอะไรไปจากบ้านเราเลยครับ ขี้เกียจดูแล หรือจะเป็นนิสัยคนบ้านนอกก็ไม่ทราบ อะไร ๆ อาศัยวัดเข้าไว้ ไม่ค่อยต้องเกรงใจพระ”

ครั้นถึงวันทำบุญ กฤตออกจากบ้านไปบ้านเชี่ยวแต่เช้า แล้วญาติ ๆ ของดิฉันจึงตามไปประมาณ ๑๐.๓๐ นาฬิกา แต่ดิฉันไปรับจันทร์ฉวีและอินทิรา จึงไปถึงเมื่อพระสวดมนต์จบแล้ว ระหว่างที่เดินเข้าไปบ้าน จันทร์ฉวีถามขึ้น

“อะไรกันนี่ งานอะไรกัน”

เหตุที่ทำให้ถามคือเสียงดนตรีจีนอย่างสมัยใหม่ ซึ่งบรรเลงครึกครื้นทั่วบริเวณ ดิฉันยังไม่ทราบว่ามาจากไหน แต่ไม่ช้าพัฒนะก็เป็นคนเห็นดิฉันกับคณะก่อน เขาออกมาต้อนรับและบอกว่า

“พระกำลังฉัน เสียงบรรเลงเพราะไหม”

“ใครเอามาช่วยแน่” อินทิราผู้ที่รู้จักโลกพอใช้สันนิษฐาน

พัฒนะพาเพื่อน ๆ กับดิฉันเดินลึกเข้าไปในบ้านจนถึงหน้าบันได มีรองเท้าหลายชนิดวางสับสนทั้งของหญิงและชายวางอยู่ เป็นธรรมดาของงานตามบ้านไทยเราทุกวันนี้ ปะปนอยู่กับรองเท้าพระภิกษุด้วย ดิฉันโผล่หน้าเข้าไปในห้องที่อยู่ส่วนกลางของตึก ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ไม่ถึงแก่ที่จะเรียกว่าเล็ก ห้องกลางนี้ได้จัดให้เป็นที่เลี้ยงพระ พระนั่งอยู่เป็นวงบนพื้นห้อง ซึ่งปูเสื่ออย่างดีขนาดใหญ่ ถัดไปจากที่พระภิกษุนั่งเป็นวงฉันอาหาร เป็นอาสนะพระ ปูผ้าขาว มีเบาะประจำสำหรับพระแต่ละองค์ ริมฝาตั้งที่บูชา เป็นโต๊ะหมู่ขนาดเล็ก พระพุทธรูปองค์ใหญ่เกินขนาดโต๊ะหมู่ไปเล็กน้อย ไม่งามแต่ไม่ถึงน่าเกลียด เป็นพระปางมารวิชัย ที่บูชาประดับด้วยแจกันกล้วยไม้สีม่วงอย่างที่เรียกว่า มาดามปอมปาดูร์ หรือที่เรียกสั้นๆว่า มาดาม ปนกันกับกล้วยไม้ชนิดที่เรียกว่า หวาย และมีพุ่มบูชาประกอบด้วยดอกบานไม่รู้โรยสีม่วงสลับกับขาว มีเทียนและเชิงเทียนได้ขนาดกัน และมีกระถางธูปขนาดเล็กไม่ได้ขนาดกับเชิงเทียน ตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะตัวล่าง ข้างหน้าที่บูชาปูพรมผืนเล็กมีรูปมังกรสีเหลืองอยู่ข้างบนพื้นสีแดง เมื่อดิฉันกราบพระแล้ว จึงสังเกตเห็นแม่และน้าๆ นั่งอยู่ชิดผนังอีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับที่บูชา ดิฉันถอนออกมาจากห้อง พอดีเชี่ยวเหลือบมาเห็นก็ทักว่า

“คุณลูกแก้ว ทำไมมาช้าไป ไปนั่งกับคุณแม่กับคุณน้าๆ ซี”

ดิฉันสั่นศีร์ษะปฏิเสธ “นั่งข้างล่างก็ได้ มีเก้าอี้พอแล้ว” ดิฉันบอกเขาและชี้แจงให้รู้ว่าที่มาช้าไปเพราะต้องไปรับจันทร์ฉวี เถลิงมาถึงก่อนแล้ว เขายืนอยู่ที่สนามหน้าบ้าน ซึ่งมีร่มคันใหญ่ปักอยู่สองสามคัน และมีโต๊ะอาหารรูปกลม แสดงว่าจะมีการเลี้ยงอาหารจีนอยู่ใต้ร่มคันละโต๊ะ เถลิงกำลังทำสัญญาณให้จันทร์ฉวีเข้าไปในตึก แต่จันทร์ฉวีกำลังทำท่าปฏิเสธ ดิฉันถอยออกมาจากห้อง ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในแถวที่ตั้งไว้เรียงรายไปกับระเบียงเล็กหน้าตึก บนพื้นดินตรงที่ซึ่งในเวลาไม่มีงานก็จใช้เป็นที่จอดรถ พัฒนะตามออกมานั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วเพื่อน ๆ ดิฉันก็ตามกันมานั่งเรียงไปเป็นแถวบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่

“โผล่เข้าไปในห้อง เห็นเครื่องดนตรีหรือเปล่า” พัฒนะถามดิฉัน

“ไม่เห็นเครื่องดนตรีที่ไหนเลย” ดิฉันตอบโดยซื่อ

“แหม คุณลูกแก้ว ท่าจะพอดีกับสามี ผมถามเขาว่าเจ้าหน้าที่จัดสถานที่เห็นยังไง เขาว่า ไอ้บ้า”

“เอ ไม่เห็นเครื่องดนตรีอะไรเลยจริงๆ” ดิฉันยืนยัน

“พอดีกันแน่แล้ว” พัฒนะว่า “ดนตรีที่สนั่นอยู่นี่ออกมาจากอะไร”

“จริงแหละ ออกมาจากอะไร” ดิฉันย้อนถาม

“โธ่ มีเครื่องบันทึกเสียงอันเบ้อเร่อ เครื่องสเตรีโอ” พัฒนะว่า “คนเช่าบ้านของคุณน้าเพื่อนบ้านของนายเชี่ยวเขาเอามาช่วย”

พอพัฒนะพูดจบ ดนตรีก็เปลี่ยนจากเพลงจีนไปเป็นเพลงฝรั่งชนิดจังหวะเร็ว “นี่ พระท่านคงรีบเคี้ยวให้เข้าจังหวะ คงจะเป็นวิธีการใหม่ไม่ให้พระฉันชักช้า” พัฒนะพูดขี้นทันที

จันทร์ฉวีกับอินทิราหัวเราะกันเบาๆ เถลิงยื่นหน้ามาพูดกับดิฉัน “วันนี้ผมนับถือดอกเตอร์ขึ้นเป็นกอง ได้ยินคุณกฤตเขาอาราธนาศีล อาราธนาให้พระสวดมนต์”

“ก็เขาลูกศิษย์ท่านพระครูตั้งหลายวัด ทั้งวัดหลวง วัดราษฎร์” ดิฉันบอก “ยังลูกศิษย์บาดหลวงคาธอลิกอีก”

น้าเรืองกับน้ารวงเดินอ้อมจากส่วนในของตึกออกมาที่หน้าตึก และหาที่นั่ง มีคนยกเก้าอี้มาให้ น้าทั้งสองก็นั่งลง

“เออ ตรงนี้สบาย ลมพัดมาดี” น้าเรืองว่า “ในห้องโดนพัดลมเป่าหายใจแทบไม่ออก”

“ต้องพับแข้งพับขาด้วยซี” น้ารวงรัตน์ผสม “เสียคนใหญ่แล้วน้า เดี๋ยวนี้นั่งพับเพียบประเดี๋ยวเดียวเมื่อยแทบแย่ ต้องระวังให้ดี ถ้าทำบุญที่บ้าน เที่ยววิ่งหาเก้าอี้นั่ง คงโดนพี่แสงเล่นงาน”

เรานั่งคุยกันเรื่องต่างๆ จนกระทั่งพระฉันเสร็จ เชี่ยวออกมาเหลียวซ้ายแลขวา จนเห็นดิฉันและน้า ๆ ก็ร้องขึ้น

“เอ้า ทำไมมานั่งแอบกันอยู่นี่ คุณน้าท่านบอกว่าให้เชิญเข้าไปถวายผ้าไตร”

“อ้าว” น้ารวงอุทานเบาๆ “ทำไมจะมาให้พวกนี้เข้าไปถวาย ให้คุณเชี่ยวกับคุณน้าซิคะ แล้วลูก ๆ ของคุณน้าก็ยังมี”

“คุณน้าออกมาพะยักพะเยิดอยู่นั่นแน่ครับ” เชี่ยวรบเร้า “คุณลูกแก้วเข้าไปเถอะน่ะ”

“เข้าไปเถอะ ลูกแก้ว” น้าเรืองว่า

ดิฉันเข้าไปในห้อง เห็นพระภิกษุกำลังลุกจากที่นั่ง ฉันกลับไปตามอาสนะของท่านแต่ละองค์ มีคนขนของถวายหรือที่เรียกว่าเครื่องไทยทานมาหลายถาด เชี่ยวหยิบผ้าไตรชุดหนึ่งส่งให้ดิฉัน และส่งให้กฤตชุดหนึ่ง และมีใครพยายามจะเรียกแม่ให้มาถวายของพระด้วยอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง และแม่ก็กำลังชี้แจงว่าไม่ใช่หน้าที่ของแม่ เสียงคุณน้าดังขึ้น

“คุณคะ รังเกียจหรือไงคะ ทำบุญด้วยกัน ชาติหน้าจะได้ไปพบกันอีกไงคะ ท่านออกทำบุญทำคุณให้เชี่ยว” แม่คลานเข้ามารับเครื่องไทยทานชุดหนึ่ง เข้าไปใกล้พระภิกษุองค์หนึ่ง กฤตบอกแก่เชี่ยว “ตัวลื้อละคนสำคัญ ลื้อต้องเป็นคนถวายของ อย่างน้อยให้พระองค์นึง โน่น หยิบมาชุดนึง ดอกไม้ธูปเทียนด้วย แล้วก็ห่อยาห่อนึง เอามาให้ครบชุด มีอะไรอีก”

“ไตรนี่ครบนะคะ” คุณน้าของเชี่ยวซึ่งดิฉันยังไม่ทราบชื่อบอกแก่ที่ประชุม “ไม่ถวายหรอกค่ะสะบงอย่างเดียว บางคนถวายอังสะอย่างเดียว บางคนก็จีวรผืนเดียว นี่อิฉันให้เชี่ยวถวายทั้งไกร มาขอเงินทำบุญบ้าน บอกว่าดิฉันเป็นคนแนะ อิฉันต้องออกเงินให้เขา เขาจะเลี้ยงเพื่อน ดีซิคะ อิฉันได้บุญ เอ้าทำไมไม่เข้ามากันอีกล่ะ”

“พอแล้วครับ คุณน้า” กฤตบอก “เชี่ยวถวายสองสามองค์ก็ได้ เอ้าลูกแก้วจะถวายเหมือนกันเรอะ”

ในที่สุดกฤตจัดให้มีคนถวายของพระภิกษุครบ ทันใดนั้นมีคนร้องขึ้น “ข้าวพระ ยังไม่มีใครลาข้าวพระ”

“ไหน ไหน” เชี่ยวมองดูทั่วบริเวณ “ข้าวพระอะไร”

ดิฉันช่วยมองหา แล้วก็เข้าใจว่าผู้ที่ร้องขึ้นหมายความถึงข้าวพระพุทธ ซึ่งจัดใส่สำรับน้อยน่าเอ็นดูวางอยู่หน้าที่บูชา เชี่ยวเข้าไปยกสำรับน้อยนั้นขึ้นเมื่อดิฉันชี้ให้เข้าใจ มีเสียงคนร้องขึ้น “ลาเสียก่อน ลาเสียก่อน”

เพื่อจะให้ทุกคนสงบลง กฤตจึงเข้าไปกราบพระที่หน้าที่บูชา แล้วก็ยกสำรับคาวหวานขนาดน้อยนั้นส่งให้ใครคนหนึ่งรับไป พระภิกษุได้รับประเคนเครื่องไทยทานครบองค์แล้วก็เตรียมจะสวดมนต์ตามธรรมเนียมของท่าน เสียงแม่ของดิฉันเตือนขึ้นว่า ให้เชี่ยวยกที่กรวดน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้พระภิกษุองค์นำมาใช้ กฤตยกที่กรวดน้ำส่งให้เชี่ยว เสียงคุณน้าของเชี่ยวดังขึ่น

“ตอนไหนทำน้ำมนต์ เจ้าคะ”

“กรวดน้ำเสียก่อน พระท่านยถาสัพพีแล้ว ท่านจะว่าชยันโตครับ” กฤตบอก ซึ่งคุณน้าดูเหมือนไม่เข้าใจนัก แต่เชี่ยวตื่นเต้นมากกว่าใครหมด เขากระซิบถาม

“เฮ้ย ให้อั๊วทำอะไรกับไอ้ขันนี่” เขาหมายถึงคนโทสำหรับใส่น้ำกรวดกับขันสำหรับรองรับน้ำ

“พระท่านจะสวด ยถาวาริวหา ลื้อรินน้ำจากคนโทลงไปที่ขันทีละน้อยๆ ฟังท่านสวด สัพพีตีโย ก็เทน้ำให้หมดลงไปในขัน”

“พระเริ่มสวดบทกรวดน้ำ ยถา วาริ วหา แล้วต่อไปจนจบ แล้วก็ขึ้นบทสัพพี เชี่ยวทำตามที่กฤตบอก เมื่อน้ำออกจากคนโทไปอยู่ในขันแล้ว เชี่ยวก็กังวลกับน้ำในขัน กระซิบถามกฤตอีก “เฮ้ย แล้วทำยังไงกับขันน้ำนี่”

กฤตกระซิบตอบ “วางไว้ข้างหน้าลื้อ เดี๋ยวอั๊วเอาไปเทให้”

พระภิกษุสวดบทให้พร จนกระทั่งถึง สพพะพุทธานุภาเวนะ ไปจนถึง สพพะสังฆา จนจบ แล้วขั้น บท สาอัตถะลัทธา เชี่ยวกระซิบถามกฤตอีกว่า “แล้วเมื่อไหร่ทำน้ำมนต์” เสียงกฤตกระซิบว่า “ตอนนี้พระท่านให้พรตัวลื้อกับญาติที่ทำบุญวันนี้ ท่านสวดในงานมงคล” เชี่ยวพมนมืออย่างตั้งใจ เมื่อจบแล้ว กฤตยกบาตร์สำหรับทำน้ำมนต์ถวายพระผู้ใหญ่ที่เป็นผู้นำ พระขึ้นบท ชยันโต ตอนนี้มีญาติและมิตรของเชี่ยวที่ไม่ได้นั่งอยู่ก่อนในห้องเบียดกันเข้ามาข้างหลังดิฉัน จากหน้าตึกประมาณ ๑๐ คน ดิฉันเดาได้ว่า คงได้ยินว่าพระจะพรมน้ำมนต์ จึงค่อย ๆ หลีกออกมา เพื่อให้คนที่มาใหม่มีโอกาสเข้าไปใกล้พระภิกษุ เชี่ยวก็หันมาพูดเสียงเบาแต่ร้อนรนว่า

“อ้าว นั่นจะไปไหน คุณลูกแก้ว” ดิฉันทำมือให้รู้ว่ากำลังหลีกไปข้างหลัง จนกระทั่งในที่สุดดิฉันเขยิบทีละน้อยออกไปนอกห้องได้ เห็นอินทิรากำลังคลานเข้าห้องไปอีกคนหนึ่ง

“อ้าวลูกแก้วทำไมออกมา เห็นอินทิราเขาว่าตอนนี้เขาต้องเข้าไปรับน้ามนต์”

“ประเดี๋ยวพระท่านคงออกมา” น้าเรืองผู้ซึ่งนั่งอยู่ไม่ได้ลุกไปจากที่เดิมบอกจันทร์ฉวี

พระสวดมนต์จบแล้ว มีใครคนหนึ่งซึ่งต้องเอาใจใส่กับหน้าที่มากเปิดเครื่องบันทึกเสียง ทำให้เกิดเสียงดนตรีขึ้น หลังจากที่ได้ขาดเสียงดนตรีไประหว่างที่พระสวดมนต์ คราวนี้ดนตรีเป็นเพลงฝรั่งฟังไปได้ไม่ถึงระยะลมหายใจก็ได้ยินเพลงเยสเตอร์เดย์ ถึงตอนนี้น้าเรืองอดอยู่ไม่ได้ถามขึ้น “พระองค์ไหนเข้าใจภาษาอังกฤษมั่งนี่ สมัยนี้พระยิ่งล้ำยุคอยู่” แต่พระภิกษุองค์หัวหน้าดูเหมือนจะไม่เอาใจใส่กับเพลง เพราะท่านเดินออกมากับกฤต กฤตอุ้มบาตรที่มีน้ำมนต์ให้ท่าน ท่านใช้หญ้าคากำมือหนึ่งจุ้มลงในบาตร แล้วใช้หญ้ากำมือนั้นประน้ำมนต์ไปทั่วทุกแห่งในบริเวณบ้าน และให้ถูกทุกคนในปริมณฑล เสร็จแล้วท่านกลับไปนั่งที่อาสนะของท่าน และอีกไม่ช้าพระก็ลา พระออกมาจากห้องลงมาที่บันได หารองเท้าที่ปนอยู่กับของฆราวาสได้ครบแล้ว ก็เดินตามกันไปขึ้นรถยนต์ที่ประตูบ้าน ดิฉันดูไปทางประตู จึงเห็นอาทรยืนอยู่ เตรียมพร้อมที่จะเป็นผู้ขับรถคันหนึ่งไปส่งพระภิกษุ อีกสักครู่พระก็ไปจากบ้านหมด แล้วก็มีการเปลี่ยนสภาพของห้องกลางที่ใช้เลี้ยงพระให้กลายเป็นที่เลี้ยงอาหารของญาติมิตร คุณน้าของกฤตออกมาเชิญน้ารวงรัตน์กับน้าเรื่อง

“เชิญผู้ใหญ่ ๆ ข้างบนนะคะ เด็ก ๆ เขาจะนั่งกันกลางสนาม ดี๊ แดดไม่ร้อน ฝนก็ไม่ตก ท่านพระครูที่ทำน้ำมนต์นั่นละค่ะ ท่านให้ฤกษ์”

ดิฉันพยักหน้าชวนเพื่อน ๆ ให้ไปหาที่นั่งยังโต๊ะตัวหนึ่งใต้ต้นไม้ต้นเดียวที่มีอยู่ในบ้านใหม่ของเชี่ยว เป็นต้นไม้ที่ขึ้นง่าย ๆ ไม่งดงาม ไม่มีชื่อ แต่คุณพ่อได้แนะว่าไม่ให้ตัดออก เมื่อปลูกต้นไม้ที่ดีแทนได้แล้ว จึงค่อยตัด ที่สนามกว้างยาวไม่เกิน ๑๐ ตารางวา มีหญ้าเพิ่งปลูกกำลังขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ เพราะเป็นฤดูฝน หญ้ากำลังขยายกอง่าย ระหว่างที่ดิฉันเดินไปที่โต๊ะ มีจันทร์ฉวีเดินตามไปนั้น ก็เห็นช้องเพ็ชรเข้าประตูมา

ดิฉันเคยพบช้องเพ็ชรมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในสถานที่ต่าง ๆ ในเครื่องแต่งกายต่าง ๆ แต่ไม่เคยสังเกตถี่ถ้วนเลยว่าเพื่อนคนนี้มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เครื่องประกอบ ดวงตา จมูก ปาก มีลักษณะอย่างไร เพิ่งจะสังเกตขึ้นมาในวันนั้น อาจเป็นเพราะพฤติการณ์ที่ได้เห็นมาเมื่อครู่ก่อน ไม่มีอะไรที่จะทำให้รู้สึกว่าเหมาะแก่ช้องเพ็ชรก็ได้ ช้องเพ็ชรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชิ้นเดียวเรียบๆ สีชมภูอมแสด ผิวของเจ้าหล่อนผุดผ่อง ใช้เครื่องประเทืองผิวให้เห็นชัด ริมฝีปากสีสดทาสีน้ำเงินบนหลังตาจนเกือบจะเป็นสีคล้ำ และดิฉันสังเกตเป็นครั้งแรกว่า ช้องเพ็ชรมีทุกอย่างเป็นขนาดใหญ่ ดวงตาโต ปากค่อนข้างหนาและใหญ่ คางค่อนข้างใหญ่ รูปร่างของช้องเพ็ชรก็มีขนาดใหญ่สำหรับหญิงไทย แต่รวมกันแล้ว ช้องเพ็ชรเป็นคนน่าดูอย่างยิ่ง พอช้องเพ็ชรเดินเข้าบ้านเล็กนั้นมา ผู้หญิงทุกคนในที่นั้น ดูขาดความสำคัญไปหมดสิ้น

ช้องเพ็ชรเดินตรงเข้ามาหากลุ่มเพื่อน ดิฉันชำเลืองตาดูจันทร์ฉวี เห็นสีหน้าบอกความไม่พอใจ จึงพูด “เออ พบเพื่อน ๆ วันขึ้นบ้านใหม่ของคุณเชี่ยว วันนี้วันมงคลต้องถือว่าการพบกันเป็นมงคล” จันทร์ฉวีเข้าใจดี จึงเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นสีหน้าเฉยๆ ช้องเพ็ชรรู้ดีว่าจันทร์ฉวีมีความรู้สึกต่อตนอย่างไร แต่ไม่เคยแสดงความสนใจ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน เจ้าหล่อนลงนั่งข้างเถลิงผู้ซึ่งไม่เคยรอสุภาพสตรี ดิฉันก็นั่งลงข้างจันทร์ฉวี เยื้องกับที่นั่งของช้องเพ็ชร เพื่อว่าจันทร์ฉวีกับช้องเพ็ชรจะได้ไม่ต้องนั่งตรงหน้ากัน

“ไม่ได้คิดว่าจะพบหน้าคุณหญิง” อินทิราทักเพื่อนร่วมสถานศึกษาเป็นกลาง ๆ

“เชี่ยวเขาบอกให้มาให้ได้ ลูกแก้วจะมา แล้วจะมีเพื่อน ๆ ของลูกแก้วมาด้วย” ช้องเพ็ชรพูดพลางยกมือขึ้นลูบผมให้เข้าที่ เป็นอาการที่ดึงดูดสายตาคนของช้องเพ็ชร จะโดยเหตุใดดิฉันไม่เข้าใจ

“ไม่ไปพบกับเจ้าของงานเสียก่อนเหรอ” เถลิงถาม

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวถูกเรียกไปนั่งที่โน่นที่นี่ ไม่ได้คุยกับเพื่อน ๆ” ช้องเพ็ชรว่า เหลียวดูบริเวณโดยรอบแล้วว่า “บ้านเขาไม่เลวนะ หญิงชอบบ้านเล็ก ๆ อยู่บ้านโตรำคาญนะสมัยนี้ หาคนทำงานบ้านดี ๆ ไม่ได้”

พัฒนะเดินเข้ามาใกล้ที่นั่งของเรา ดิฉันรีบเรียกให้เขาน่งด้วย อยากดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับช้องเพ็ชรด้วย

“คุณพัฒนะกับช้องเพ็ชรรู้จักกันแล้วหรือยังคะ” ดิฉันถาม

“อ้อ เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันนี่เอง” พัฒนะพูดพลางมองดูช้องเพ็ชรอย่างถอนสายตาไปจากดวงหน้าไม่ได้ “คุณชื่อช้องเพ็ชรหรือ ผมไม่ยักรู้”

“เขาเป็นคุณหญิงนอกทำเนียบ” อินทิราพูดอย่างหยิกแกมหยอก

ช้องเพ็ชรยิ้มรับคำสัพยอกอย่างอารมณ์ดี “คุณพัฒนะกับเชี่ยวทำงานด้วยกันใช่ไหมคะ”

“จะเรียกว่าทำก็ได้ครับ” พัฒนะตอบพลางเลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลง พอดีกับพนักงานจากภัตตาคารจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งมาบริการยกชามปลาหูฉลามมา เป็นการเริ่มเลี้ยงอาหารจีนตามปรกติ พนักงานมาตักแจกลงในถ้วยเล็ก ๆ ทำให้คนที่นั่งที่โต๊ะต่างไม่ต้องช่วยเหลือกันมากนัก มีเวลาพูดกันได้เต็มที่ พัฒนะพูดต่อ

“เชี่ยวเขาทำที่สภาเศรษฐกิจ ผมทำที่อีคาเฟ่ ก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจด้วยกัน แต่ที่เรียนมาไม่ใช่เรียนเศรษฐกิจ เชี่ยวเรียนมาบ้าง แต่ที่เขาเชี่ยวชาญจริง ๆ แล้วรู้เรื่องชีวิตคนมากไม่ใช่รู้ตามตำราอย่างเดียว ก็ต้องดอกเตอร์ลูกทุ่ง ของคุณลูกแก้ว”

“วันนี้จะได้พบไหมนะ ดอกเตอร์ของลูกแก้ว ได้ยินแต่ชื่อเสียง แต่ไม่ได้พบกันสักที ไปไหนได้ยินคนพูดถึงเรื่อย” ช้องเพ็ชรว่า

ดิฉันยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ อดใจไม่ได้ถามขึ้นทันที ทั้งที่เห็นรอยยิ้มของพัฒนะ “เขาพูดกันว่าไง”

“เขาว่าเก่งนักเก่งหนา ฉลาดเฉลียว เข้าผู้ใหญ่ได้สละสลวย ไม่งั้นจะได้ลูกสาวฉัพพรรณสิริยังไง” ช้องเพ็ชรตอบ

“เป็นคำพูดของเธอเองสรุปเอามา” ดิฉันว่า พอใจจนซ่อนไว้ไม่ได้

“ฉันคงแปลกคนมาก” จันทร์ฉวีเอ่ยขึ้น “ไม่เห็นคุณกฤตแปลกอะไรเลยก็ธรรมดา เป็นสุภาพบุรุษเท่านั้น หรือว่าสมัยนี้สุภาพบุรุษเป็นของผิดธรรมดา”

“คงมีส่วนถูกครับ” พัฒนะว่า “แต่ผมชอบใจที่ยังมีคนคิดแล้วก็ใช้คำสุภาพบุรุษอยู่ ที่จริงผมนึกว่าตายไปจากเมืองไทยแล้วอีก ไม่ได้ยินใครพูดถึงมานานแล้ว”

“สุภาพบุรุษกับผู้ดีนี่เหมือนกันไหมครับ” เถลิงถาม

“ว่าไง ลูกแก้ว เหมือนกันไหม คุณน่ะใคร ๆ เขาก็ว่าเป็นลูกผู้ดี แล้วคุณจันทร์ฉวีว่านายกฤตเป็นสุภาพบุรุษ คุณน่าจะตอบ” พัฒนะเสนอ

“ถ้าคนอื่นถามอาจตอบค่ะ แต่นายเหลิงถามนี่ถามเหลิงไปอย่างนั้นเอง” ดิฉันสัพยอก

“เป็นเสียงี้แหละครับ” เถลิงพูดสนุก ๆ แล้วก็กินอาหารกันไป พัฒนะถามช้องเพ็ชร

“คุณเป็นเพื่อนของลูกแก้ว แต่ยังไม่ได้พบกฤต คุณก็ต้องไปไหนเสียจากเมืองไทย กลับมาจากไหนครับนี่”

“ไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนนานค่ะ” ช้องเพ็ชรตอบ ดวงตาแวววาวโดยธรรมชาติ น้ำเสียงเป็นกังวาล “บังเอิญเท่านั้นค่ะ ติดคนโน้นคนนี้ไปเมืองนั้นเมืองนี้ กลับมาแล้วกลับไปอีก ไปมาหลายเมือง ครั้งสุดท้ายญี่ปุ่น อ้อ แล้วไปเดนมาร์คอีก แต่ไปเป็นลูกจ้างเขาชั่วคราว มีคนจ้างไปเป็นล่าม”

“ล่ามอะไร ภาษาอะไร ใครนะมีเงินจ้างล่ามขนาดเธอ” ดิฉันถาม

“แปลกมาก” ช้องเพ็ชรเล่าอย่างสนุกต่อไป “ไปเป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่นให้เป็นภาษาอังกฤษแบบไทย”

เมื่อมีคนรอฟังด้วยความสนใจ ช้องเพ็ชรจึงพูดต่อ “คือเพื่อนของหญิง นายซาโกะ แกพูดภาษาอังกฤษเก่งแต่สำเนียงเป็นญี่ปุ่น แกว่าหญิงพูดเก่งกว่าแก แล้วพูดฝรั่งรู้เรื่องดี แกจ้างให้ไปช่วยแกตอนแกไปประชุมเรื่องการท่องเที่ยว แกว่าหญิงมีประสพการณ์มากเรื่องการเดินทาง”

“นายญี่ปุ่นคนนี้ฉลาดพอใช้” พัฒนะพูดมีสำเนียงซ่อนคม “ผมนับถือเขาด้วยใจจริง”

“อย่าคิดอะไรเลยเถิดไปนะคะ” ช้องเพ็ชรปราม

พัฒนะซักถามเรื่องการเดินทางของช้องเพ็ชรด้วยความสนใจต่อไป อินทิราก็อดสนใจไม่ได้ ร่วมในการซักถามให้ช้องเพ็ชรเล่าเรื่องเมืองต่าง ๆ ช้องเพ็ชรเล่าอย่างน่าสนุก แล้วก็เลยบอกดิฉัน

“นี่ อีกสักเดือนนี่จะต้องไปใต้หวันอีกแล้ว คงคิดถึงลูกแก้วแย่ คุณลุงประจิตด้วย รู้สึกชอบจัง ผู้ใหญ่อย่างนั้น”

“อ้าว” อาจพบคุณลุงประจิตก็ได้ ดิฉันว่า “คุณลุงจะไปใต้หวันเร็ว ๆ นี้ แล้วกฤตก็อาจไปด้วยถ้าคุณลุงขอยืมตัวได้”

“คราวนี้หญิงจะได้เป็นเจ้าของบ้านมั่งละ คุณอาพโยมไปยุติลงที่ไทเปนั่นเอง จะต้องไปอยู่เป็นทูตค้าอย่างน้อยก็ปีนึง ต้องการให้หญิงไปอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะอาผู้หญิงยังไปไม่ได้ ต้องดูแลให้ลูกเข้าเรียนกวดวิชา ปีหน้าจะต้องให้เข้าอะไรได้สักอย่าง เพราะตาคนกลางนี่จะให้เข้าโรงเรียนที่ไหนต่างประเทศไม่ได้ทั้งนั้น”

“ฉันว่าเธอนี่เอื้อเฟื้อญาติจริงนะ” อินทิราพูดหยิกแกมหยอกอีก “แล้วคุณพ่อคุณแม่เธอไม่ห่วงหรือคิดถึงมั่งเหรอ แล้วเธอไม่ห่วงท่านมั่งเหรอ”

“ตอนนี้ไม่ต้องห่วง เราทำอะไรตามสบายไปก่อน” ช้องเพ็ชรตอบอย่างอารมณ์ดีตามเคย ไม่ว่าเพื่อนคนไหนจะยั่วไปทางไหน ช้องเพ็ชรถือว่าไม่กระทบกระเทือนตนเลย “คุณพ่อคุณแม่ก็มีเพื่อนของท่าน แล้วเราได้ไปประเทศต่าง ๆ โดยไม่หมดเปลืองมากนัก คุณพ่อคุณแม่ก็ว่าควรฉวยโอกาส”

“เธอไม่คิดจะไปประเทศไหนแล้วหาโอกาสเรียนเอาปริญญาโทหรืออะไรอย่างงั้นมั้งเรอะ” อินทิราซ่อนความรู้สึกไม่นิยมชมชอบไว้ไม่ค่อยดีนัก แต่ช้องเพ็ชรก็ไม่แสดงว่าได้เสทือนใจอย่างไร ตอบอย่างเรื่อย ๆ มีเสียงสนุกว่า

“ไม่มีโอกาสเรื่องเอาปริญญา แต่ฉันว่าต่อไป ถ้าจะมีอาชีพก็เลือกอาชีพที่ไม่ถือปริญญา แต่ว่าคงเป็นเพราะยังงั้นฉันถึงเห่อคนมีปริญญา ถึงกับถูกพี่น้องบางคนหาว่ารักตาเชี่ยวน่ะ แต่เชี่ยวนี่นับไปแล้วต้องถือเป็นลูกน้อง แต่อย่าถามนะว่านับญาติกันยังไง ขี้เกียจจำ”

รับประทานอาหารกันต่อไปโดยคุยกันเรื่องต่างๆ แล้ว พอจวนจะอิ่ม เชี่ยวก็ออกมาพร้อมกับกฤต ในมือถือขันน้ำกรวดมาด้วย กฤตพามาบอกที่ให้เทน้ำแล้วเชี่ยวก็พากฤตเดินมาที่โต๊ะเพื่อน ๆ ดิฉัน

“เอ นี่คุณหญิงมาแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เข้าไปทักทายญาติพี่น้อง” เชี่ยวถาม

“ช่างเถอะน่า” ช้องเพ็ชรโบกมือไปมาอย่างน่าดู ดวงตาแวววาวเหมือนเมื่อพบกับพัฒนะใหม่ๆ “ประเดี๋ยวก็ได้เรื่องญาติ ว่าแต่ที่จะอวดน่ะอะไร”

“ศาลพระภูมิ” เชี่ยวตอบอย่างภูมิใจ

“วุ้ย อะไร อวดศาลพระภูมิ” ช้องเพ็ชรหัวเราะเหมือนเชี่ยวเป็นคนไร้สติไปแล้ว

“คุณทั้งหลาย อย่าเพ่อหัวเราะตามญาติจำนับของผมคนนี้” เชี่ยวพูดได้เท่านั้น ช้องเพ็ชรก็ไม่ยอมให้จบสวนขึ้น

“รู้สึกว่าตั้งแต่คบกับคนชั้นสูง ๆ ดูออกจะมีถ้อยคำสำนวนคมคายขึ้นมาก”

“รสนิยมก็ดีขึ้นด้วย” เชี่ยวพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ใครดูศาลพระภูมิบ้านนี้แล้วไม่ว่าสวย เป็นคนดง ใช่ไหม พัฒนะ”

“ได้ยินแต่เขาว่า ใครไม่รู้จักฟังดนตรีหรืออะไรเป็นคนดง แต่ไม่ชอบศาลพระภูมินี่เพิ่งรู้แฮะ” พัฒนะตอบ “แต่เห็นด้วยว่าสวยจริง ๆ ผมออกจะแน่ใจว่าคุณช้องเพ็ชรต้องชื่นชมแน่ เขาใช้ศัพท์กันอย่างนั้นใช่ไหม หรือว่าต้องนิยมชมชื่น หรืออะไร”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ