ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา

๏ ฝ่ายราชนิกุลประยูรยักษ์ ประชุมพักตร์ปรึกษาอนุสนธิ์
แล้วกะเกณฑ์พวกกันกุมภัณฑ์พล ประจำคนให้รักษาอัฐิพลัน
จัตุสดมภ์ทั้งบรมวงศา จึ่งไคลคลาเคลื่อนคลายรีบผายผัน
เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ผู้ทรงธรรม์ บังคมคัลทูลแจ้งแสดงความ
ซึ่งซากศพอสุรีวิรุญมาศ ที่พระบาททรงล้างไว้กลางสนาม
แต่บรรดาข้าพระองค์ผู้ทรงนาม ได้ทำตามพระราชบัญชา
ขอเชิญจอมจักรพงศ์ผู้ทรงเดช เป็นปิ่นเกศปกเกล้าชาวยักษา
ได้ดับเข็ญเย็นเศียรอสุรา เชิญเสด็จลินลาไปธานี
ได้ทรงฟังอสูรมาทูลสาร พระโองการเอื้อนตรัสแก่ยักษี
เวลาจวนเห็นไม่ควรจรลี ต่อพรุ่งนี้เถิดเราจะเข้าไป
ท่านจงจัดแจงการให้เสร็จสรรพ จะยกกลับในเพลาประจุสมัย
พระสั่งพลางเสด็จพลันด้วยทันได เข้าทูลไทชนนีสนองความ
ฝ่ายอำมาตย์เตรียมทัพอยู่สับสน อลวนวุ่นวายจนยามสาม
บ้างกองเพลิงโพลงพลุ่งเป็นเปลวพลาม บ้างจุดคบเดินตามกันเรียงราย
สารวัตรวิ่งตรวจทุกหมวดหมด ให้เตรียมรถบุษบกวิเชียรฉาย
ทั้งสองรถเรียงเรียบประเทียบราย แจ่มกระจายแสงแก้วเจริญตา
รถต้นชนนีศรีสวัสดิ์ รถสองจอมกระษัตริย์ผู้นาถา
อันรถทรงเอกองค์พระมารดา จัดคณานางนั่งประจำงาน
ให้เชิญพัดเชิญพานพระศรีทรง ล้วนอนงค์นั่งเคียงเรียงขนาน
เชิญพระแส้เครื่องทรงอลงการ บ้างเชิญพานสุริยาแลจามร
ล้วนสาวสาวคราวสงวนเป็นนวลพักตร์ นรลักษณ์เพียงเทพอัปสร
บ้างโอนเกศน้อมกายถวายกร สังวาลวรแวววับจับโพยม
ที่รถทรงองค์จอมจุลจักร บรรดายักษ์ให้นิมิตประดิษฐ์โฉม
เป็นมนุษย์สุดงามทรามประโลม ถวายโฉมทุกชั้นที่รถชัย
ถือพระแส้ชูพระแสงเชิญพระศรี ถือคนทีนพรัตน์อันเรืองใส
บ้างเชิญฉลองพระโอษฐ์เอี่ยมอันอำไพ บ้างเชิญพัดโบกใบแก้วไพฑูรย์
บ้างชูเชิญอภิรุมแลชุมสาย เชิญพระฉายจามรแลบังสูรย์
ล้วนด้วยแก้วแล้วด้วยทองผ่องจำรูญ ดูไพบูลย์ดั่งรถอมรินทร์
ที่ถัดรถให้ประทับหัตถีแถว กระโจมแก้วกุญชรอันเฉิดฉิน
เป็นช้างทรงองค์นางอสุรินทร์ พวกยุพินพงศาพญายักษ์
บ้างขี่วอม่านทองส่องระยับ ตามลำดับวงศาบรรดาศักดิ์
ที่เหล่าชายเชื้อพระวงศ์ขององค์ยักษ์ ประเสริฐศักดิ์ขึ้นขี่อาชาชาญ
ที่หมู่มารให้นิมิตเป็นมนุษย์ ดูผ่องผุดผิวพรรณในสัณฐาน
ถืออาวุธเฉวียนฉวัดชัชวาล ประจำการด้วยกระบวนพยู่ห์พล
พอสรรพเสร็จจวนแจ้งประจุสมัย สำเนียงไก่ขันจ้าโกลาหล
ดุเหว่าเร้าร้องเร่งพระสุริยน ในเบื้องบนอัมพรพระพายชาย
พฤกษาชาติดาษดกระดื่นช่อ ทุกก้านกอดอกแย้มกลิ่นขยาย
ผกากาญจน์เกสรขจรจาย ต้องพระพายหอมชื่นระรื่นรวย
นํ้าค้างปรอยย้อยต้องละอองพาน ก็ทอดก้านธารกิ่งสละสลวย
ทรงสุคนธ์ฟุ้งระงมเมื่อลมชวย ระรื่นรวยรสโรยในราวอรัญ
เหล่ากองทัพกับทั้งกระษัตริย์สอง เย็นสยองเยือกจิตคิดกระสัน
จวนจะรุ่งรังสีรวีวรรณ ไก่ก็ขันเจื้อยแจ้ววังเวงใจ
ครั้นแสงทองส่องฟ้าในราศี สกุณีส่งเสียงสำเนียงใส
ทุกสิงสัตว์ตื่นเพรียกทั้งพงไพร เสียงเรไรหริ่งหริ่งวิเวกดง ฯ
๏ ปางพระหน่อนรินทร์ปิ่นธเรศ กับจอมเกศชนนีนวลหง
บรรทมเหนือแท่นสุวรรณอันบรรจง เกษมทรงสุขเสบยเสวยรมย์
มยุเรศหงส์ทองร้องสนั่น ประสานกันดั่งดนตรีปี่ประสม
ก้องพระกรรณสองท้าวนิทรารมณ์ ตื่นบรรทมลุกพลันด้วยทันที
สรงพระพักตร์ผ่องเพียงพระจันทร์แจ่ม สองระรื่นชื่นแช่มเกษมศรี
แล้วเสด็จเข้าสรงซึ่งวารี ดอกมาลีลอยอบชโลทร
แล้วสอดทรงเครื่องประดับสำหรับกระษัตริย์ พระหัตถ์ใส่ธำมรงค์แล้วทรงศร
แล้วเชิญชวนมารดาสถาพร เสด็จทรงอาภรณ์อันอำไพ
ฝ่ายขุนนางเสนาบรรดายักษ์ มาพร้อมพรักอยู่หน้าพลับพลาไสว
คอยสดับรับเสด็จพระหน่อไท บ้างเข้าไปถวายฤกษ์ให้ยาตรา
ส่วนพระองค์ทรงฤทธิ์อิศราช กับจอมนาฏชนนีเสน่หา
ครั้นสำเร็จก็เสด็จไคลคลา งามดั่งท้าวเทวามาสรรค์ทรง
จักรพงศ์ทรงรถเนาวรัตน์ นางกระษัตริย์ทรงรถเรืองระหง
พร้อมด้วยเหล่าสาวสนมบรมวงศ์ ล้อมพระองค์ดุจดาวอันล้อมจันทร์
เหล่าดนตรีแตรสังข์กังสดาล เสียงประสานสุดเสนาะเพราะสนั่น
พลนิกายก็ถวายบังคมคัล พอฉายชั้นชอบฤกษ์ให้เลิกพล
พลมารโห่ก้องโกลาลั่น เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งไพรสณฑ์
เสียงช้างม้าร่าเริงร้องคำรน เสียงพหลพลฮึกอยู่ครึกโครม
ฝูงสัตว์ลิงวิ่งดาษหวาดกระโดด ทะลวงโลดแล่นไล่ถลาโถม
แตกกระจายตื่นคนโจนกระโจม พยับโพยมมืดคลุ้มชอุ่มไพร
พลม้าลงเท้ากระทืบโกลน สินธพโจนถูกทำนองแลไสว
พลช้างขับช้างกระชั้นไป ดูควาญไสยกขอขยับยล
พลหอกกลอกกลับวะวับวาบ พลดาบรำตามกันสับสน
พลดั้งแกว่งดั้งจรดล พลโล่รำรนให้ถูกเพลง
พลง้าวง่าง้าวเป็นเงาวับ เยื้องขยับย่องเหยาะดูเหมาะเหม็ง
พลปืนยิงปืนอยู่ครืนเครง อลเวงวุ่นวงในดงดัง
พลธนูน้าวคันอยู่หันหวน พลทวนยืนประทับสลับหลัง
ก็พร้อมพรักแห่แหนแน่นป่ารัง ลมกำลังพัดธงเป็นทิวปลิว
พลยักษ์เหี้ยมหาญชำนาญศึก ทำพิลึกดูพิโรธเหมือนโกรธกริ้ว
โลดทะยานโยนดาบอยู่ปลาบปลิว บ้างโห่ฮิ้วผิวปากสนั่นดง
พลรถเทียมม้าวลาหก บุษบกเคียงเคียงเรียงระหง
กำกระเทือนเลื่อนลั่นสนั่นดง กระทบกงเพลาเลื่อนกระดุมดัง
รถเพชรรายพื้นวิเชียรรัตน์ เงาจับอัศวะเห็นเป็นสีสังข์
เสด็จนั่งอาสน์ลอยบนบัลลังก์ ประดุจดังองค์อินทร์จอมเทวัญ
เทพเจ้าจอมผาพฤกษาสาร แย้มวิมานเยี่ยมพักตร์เกษมสันต์
นั่งประนมชมบุญพระทรงธรรม์ ถือสุวรรณมาลาแล้วโปรยปราย
บ้างอวยพรก่อนเผยผอบทิพย์ แล้วยกหยิบเครื่องหอมประนอมถวาย
หอมระรื่นชื่นกมลพลนิกาย แสนสบายมาในอรัญวา
อสุรีลางตนทนเทวษ แสนสมเพชคิดถึงท้าวยักษา
ที่ลางพวกเหล่าพาลก็ปรีดา ระเริงร่าโห่ร้องคะนองใจ
พอเพลาพระอาทิตย์สถิตเที่ยง แดดเปรี้ยงเปรี้ยงร้อนแรงพระสุริย์ใส
หน่อกระษัตริย์ตรัสสั่งเสนาใน ให้ประทับเทียบไว้เอาแรงพล ฯ
๏ ฝ่ายมหาเสนามาตย์ประกาศก้อง พิฆาตกลองสัญญาโกลาหล
ยักษ์ก็หยุดอุตลุดอลวน ก็พร้อมพลเข้าประชุมในพุ่มไทร
ที่มีฤทธิ์เนรมิตพระที่นั่ง เป็นพลับพลาหน้าหลังแลไสว
รั้วระเนียดเสียดตามสนามใน ทวารใบเบิกแกลลับแลบัง
องค์พระหน่อนรนาถกับมาตุเรศ ทอดพระเนตรเปรมในพระทัยหวัง
เสด็จลงจากราชบัลลังก์ เข้าหยุดยังวังพักตำหนักพง
เหล่าอนงค์องค์นางสนมนาฏ ก็เดินตามกันดาษดูระหง
เคยแต่อยู่บูรีบำรุงองค์ ไม่เคยดงได้มาเห็นก็เย็นใจ
ตำหนักตั้งเงื้อมตระหง่านริมธารเขา แลเสลาพฤกษาข้างหน้าไสว
เกดแก้วกันเกราแลกรวยไกร ทั้งซางไทรสนสักลักกระจัน
ร่มระรื่นพื้นพุ่มชอุ่มผา เป็นที่น่าปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
หอมบุปผารวยรมย์พนมวัน เสียงสนั่นภุมราเคล้าเรณู
ที่บรรพตลดหลั่นเป็นคูหา ก้อนศิลาแหลมย้อยดั่งห้อยพู่
ที่พุโพรงนํ้าพรายกระจายพรู ไหลลงสู่ธารเชี่ยวเป็นเกลียววน
ทั้งสองฝั่งฟากธารสำราญรื่น ระดะดื่นพฤกษาผลาผล
ดกเป็นก้อนอ่อนแปล้ถึงมือคน บ้างเหลืองหล่นร่วงดาษแผ่นดินราย
สาวสนมแลเห็นผลก็วนวิ่ง เข้าช่วงขิงกันเก็บลูกหว้าหวาย
ชิงกันพลางทางผลักกันวุ่นวาย นี่เจ้านายหรือข่มเหงไม่เกรงใจ
บ้างเหนี่ยวกิ่งชิงกันกระโจมเก็บ ถูกหนามเหน็บยอกนิ้วจบเลือดไหล
ร้องอุยนาน่าเจ็บนี่กระไร บ้างร้องว่าสาใจมันยังน้อย
บ้างซนซุกบุกป่ามาตามกัน บ้างแลเห็นลูกจันเอาไม้สอย
บ้างได้ลูกเหลืองงอมหอมอร่อย คนหนึ่งคอยชิงฉวยหัวเราะงอ
บ้างได้ลูกงามดีเป็นสีสัน ร้องบอกกันว่ามันกลมเหมือนนมหนอ
กับนมเจ้าเปรียบกันก็พอพอ ใครเป็นต่อเป็นรองลองดูที
บ้างจดแก้มแล้วกลับมาจับจูบ นางคนหนึ่งขอลูบแล้วบีบบี้
นางเจ้าของค้อนข่วนกระบวนดี ทำโศกีร้องอ้อนอยู่อือแอ
บ้างกระชากผ้าห่มให้นมพลัด โตถนัดเสียดายปลายเป็นแผล
นางเจ้าของด่าว่าอีตาสะแก ของตัวยานมาตอแยรังแกกัน
ที่เหล่าชายเจ้าชู้ศัตรูหญิง เข้านั่งนิ่งแอบร่มนมสวรรค์
เห็นสาวสาวไล่สกัดให้พลัดพลัน แล้วชวนกันกอดจูบเอาทันที
นางหน้านวลร้องกรีดวะหวีดเว้ย เจ้าข้าเอ๋ยทำอะไรที่ไหนนี่
นางเพื่อนกันหวีดวิ่งเป็นสิงคลี ร้องว่าผีเวยผีหลอกผีตาย
บ้างลูบอกตกใจสงสัยเสือ ที่ไม่เชื่อเข้าไปมองเขม้นหมาย
เห็นถนัดบอกกันว่าเสือกลาย มันนุ่งลายหย่งผมแลห่มเพลาะ
ไอ้เสือไม่กินสัตว์เที่ยวกัดสาว ดูเล็บยาวขาวหยัดกำดัดเดาะ
มาดูเหวยมาดูเจ้าชู้เงาะ มันห่มเพลาะวิ่งหมุนออกผลุนพลัน
นางสาวน้อยทำอายธิบาย[๑]บอก มันเข้าหยอกข้าหยิกก็เหหัน
ฟ้าผ่าเถิดไม่ได้อะไรกัน ไม่น่าขันรังกะตุ๋ยไอ้ขุยยักษ์
ฝูงกำนัลหยอกกันเกษมศรี กระซิกซี้ผาสุกไม่ถือศักดิ์
เที่ยวชมถํ้าชมเถื่อนด้วยเพื่อนรัก ชวนกันชักชิงช้าแล้วแกว่งไกว
ที่ลางคนจุดคบแล้วเข้าถํ้า กู่กระหน่ำถามพลางไปทางไหน
มาข้างนี้เจ้าเอ๋ยข้าเคยไป เข้าถึงในถํ้าสว่างมีทางมา
ฝ่ายเจ้าชู้บูราณชำนาญเกี้ยว พากันเที่ยวคอยอยู่ริมคูหา
ได้ยินเสียงสาวสรรค์จำนรรจา ก็ร้องว่าทีนี้สมคะเนนึก
เอาผ้าปิดผมไว้มิให้ยับ แล้วไล่ขับค้างคาวอยู่ก้องกึก
ค้างคาวตื่นบินตึงตะบึงฮึก เสียงคึกคึกบินวับดับอัคคี
นางสาวสาวร้องหวีดตะโกนเว้ย แม่คุณเอ๋ยตายแล้วทีนี้นี่
เจ้าพวกหนุ่มกลุ้มคลำเป็นสิงคลี จูบสองทีจับแก้มแถมนมแนะ
ปะยายแก่แหรดรับมันจับพก แกผลักอกหัวหันถูกหินแฉะ
บ้างฉวยเพลาะมันผลักยักคะแยะ จูบแฉะแฉะแกก็ซัดเข้าหมัดเดียว
ที่ชายปล้ำหญิงปลิดเข้าชิดกัน บีบลูกจันเต็มกำออกช้ำเขียว
ถอยหลังกลับจับนมเข้ากลมเกลียว ก็กรีดเกรียวเดินออกมาคอยดู
ร้องบอกกันว่ามันมาซํ้าแถม กูเสียแก้มเสียอกข้าวหมกหมู
ที่รอดตัวหัวเราะเที่ยวขอดู แม่ไอ้หนูมันก็ทำเจ้ากรรมเอย
เออนะเจ้ารูปเราก็ไม่เหมาะ เป็นคราวเคราะห์ของเรานะเจ้าเอ๋ย
เหมือนทำบุญเสียกับหมาอย่าว่าเลย แล้วร้องเอ่ยพิมสวรรค์สนั่นไพร
เหล่าอนงค์หลงเที่ยวละเลิงเล่น จวนจะเย็นบ่ายแสงพระสุริย์ใส
ก็กลับหลังมายังพลับพลาไชย คอยเสด็จจอมไตรกระษัตรีย์
ฝ่ายเสนาเห็นควรจวนเสด็จ ก็ระเห็จจัดแจงตำแหน่งที่
ผูกรถคชสารแลพาชี เข้านั่งที่คอยท่าเพลาจร ฯ
๏ ปางพระราชโอรสยศยิ่ง กับจอมมิ่งโมลีอดิศร
เสด็จขึ้นรถทรงอลงกรณ์ ก็เลิกพลนิกรออกแจจัน
คับคั่งด้วยพหลพลทหาร สุธาธารสะเทือนออกเลื่อนลั่น
พอบ่ายแสงสุริยาจะสายัณห์ ก็ลุถึงเขตขัณฑ์พระบุรี
เมื่อรถทองถึงท้องถนนหลวง คนทั้งปวงปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ต่างเคารพอภิวันท์อัญชุลี ก็พาทีสรรเสริญสองพระองค์
งามสง่างามศรีฉวีผ่อง ดังหงส์ทองอยู่ในกลางระหว่างหงส์
งามทรงงามศักดิ์จักรพงศ์ ดูพระองค์มิได้อิ่มนัยน์ตาเลย
งามอุดมสมเศวตฉัตรกั้น มไหศวรรย์ควรพระองค์จะทรงเสวย
น้อยเท่านี้มีฤทธิ์กระไรเลย เราควรเชยชมโพธิสมภาร
สารถีเทียบรถกับเกยรัตน์ หน่อกระษัตริย์เสด็จขึ้นมนเทียรสถาน
สนั่นเสียงแตรสังข์กังสดาล อำมาตย์มารหมอบกลาดดาษดา ฯ
๏ ฝ่ายองค์ชนนีพันปีหลวง ลินลาศล่วงเข้าปรางค์อันเลขา
พร้อมด้วยหมู่สาวสรรค์กัลยา ถวายหน้าพรั่งพรูเข้าอยู่งาน
พระเลิศลักษณ์จักรพงศ์วงศ์นเรศ มีพระเดชปกปิดทุกทิศฐาน
ราษฎรหญิงชายสบายบาน แสนสำราญเชยชื่นทุกคืนวัน ฯ
๏ จักรพงศ์ทรงเสวยสมบัติยักษ์ ดั่งสมบัติบรมจักรเกษมสันต์
กำหนดได้สามเดือนไม่เคลื่อนวัน พระทรงธรรม์เธอมิได้อนาทร
วันหนึ่งนั้นบรรทมหลับสนิท ทรงนิมิตถึงทิพเกสร
เห็นอนงค์นางแอบมาแนบนอน พระวรกรกอดน้องประคองชม
พระทรงสวัสดิ์หัตถ์คว้าผวาตื่น เห็นแต่พื้นวรพักตร์นักสนม
ไม่เห็นเจ้าโฉมงามผู้ทรามชม พระเร่งตรมกลุ้มกลัดในหทัย
เจ้าพุ่มพวงดวงนัยนาพี่ ป่านฉะนี้เนื้อเย็นจะเป็นไฉน
หรือนิ่มน้องโศกศัลย์จนบรรลัย จึ่งจำให้ฝันเห็นมาเป็นลาง
พระยิ่งคิดยิ่งโศกกันแสงไห้ ทอดพระทัยโทมนัสให้ขัดขวาง
ฝ่ายสนมสาวสรรค์กำนัลนาง บังคมพลางทูลถามเนื้อความพลัน
ทูลกระหม่อมเป็นไรจึ่งกันแสง ขอพระองค์จงแจ้งกระหม่อมฉัน
ทรงสดับรับเรื่องเคืองพระกรรณ มิได้ผันพักตร์ตรัสยิ่งตรอมใจ
ยิ่งทูลถามท้าวเธอก็ยิ่งนิ่ง ให้เกรงกริ่งกลัวขัดอัชฌาสัย
พากันตีอกชํ้าระกำใจ บ้างวิ่งไปปรางค์สุวรรณพระพันปี
ให้คนสนิทเข้าสะกิดยุคลบาท ปลุกประทม[๒]ท้าวนาฏขึ้นจากที่
ก็ทูลความตามมูลคดีมี ว่าบัดนี้ทรงศักดิ์เธอโศกา
จะทูลถามสักเท่าไรก็ไม่ตรัส กอดพระหัตถ์ทรงสะอื้นเป็นหนักหนา
ผิวพระพักตร์เผือดผาดประหลาดตา ไม่แจ้งว่าโศกศัลย์ด้วยอันใด
นางทรงฟังหวาดจิตพิศวง เออพ่อลักษณวงศ์เป็นไฉน
ผวาลุกโดยด่วนเสด็จไป เข้าสู่ห้องปรางค์ไชยพระโอรส
ผวากอดยอดรักใส่ตักไว้ เป็นไรพ่อเป็นไรจึ่งกำสรด
พลางพินิจพิศพักตร์พระโอรส แสนกำสรดโศกาสะอื้นครวญ
อย่าทรงกันแสงเลยนะลูกแก้ว แม่มาแล้วเล่าความเถิดทรามสงวน
พ่อขัดแค้นข้อไรจึ่งรำจวน เออก็ควรหรือไม่เล่ากับแม่เลย ฯ
๏ พระกุมารฟังสารยิ่งสะอื้น แข็งพระทัยกลํ้ากลืนนํ้าตาเฉย
ดูพระพักตร์ชนนีไม่มีเสบย จึ่งทูลเฉลยเล่าพลางพิไรวอน
เจ้าประคุณทูนเกศเป็นที่พึ่ง ลูกคิดถึงน้องทิพเกสร
นิมิตเห็นว่าประคองพระน้องนอน แม่เกสรตายแล้วเป็นลางมา
พระชนนีสวมกอดว่ายอดสร้อย พระน้องน้อยยังไม่สิ้นซึ่งสังขาร์
ความสวาทนั่นประหวัดในหัทยา พ่อแก้วตาจึงนิมิตเพราะคิดไป
พ่อฝันเห็นเช่นนี้ว่าดีนัก พระน้องรักเจ้าจะมีแต่สุขใส
จะอยู่ดีกินดีไม่มีภัย เมื่อนานไปก็จะพบประสบกัน ฯ
๏ ทูลกระหม่อมจอมโลกมาลวงลูก พระแกล้งผูกเรื่องทายทำนายฝัน
แม่เกสรเห็นไม่ชื่นทุกคืนวัน เมื่อจากกันวันนั้นเจียนจะตาย
เมื่อลูกมานั้นเพลาประจุสมัย แต่น้องเฝ้าร้องไห้อยู่จนสาย
จะปลํ้าปลอบสักเท่าไรก็ไม่คลาย จะขืนตามสู้ตายไปเมืองมาร
อันนํ้าคำของน้องหรือทูนเกล้า ลูกจะเล่าก็เป็นสุดจะสงสาร
น้องรักลูกเหลือล้นพ้นประมาณ ดูอาการดั่งว่าเกิดอุทรเดียว
ป่านฉะนี้น้องน้อยจะคอยนัก จะผินพักตร์พึ่งใคร่ไนไพรเขียว
จะเห็นแต่อัยกานั้นองค์เดียว จะเปล่าเปลี่ยวอาวรณ์ไม่เว้นวัน
ลูกจะขอทูลามารดาแล้ว ไปรับแก้วเกสรในไพรสัณฑ์
ลูกกับอัสดรจะจรจรัล สักเจ็ดวันก็จะกลับมาธานี ฯ
๏ โอ้พ่อดวงหทัยนัยน์เนตร ไม่สังเวชแม่เลยไฉนนี่
พ่อจะทิ้งมารดาไว้ธานี เจ้าเห็นดีแก่ใจอย่างไรนา
อันครั้งก่อนมารดรก็แสนโศก ด้วยวิโยคลูกน้อยเสน่หา
เจียนจะม้วยด้วยมารมันพาลพา มาตกอยู่นคราระกำใจ
พ่อทรงศรรอนยักษ์เพราะรักแม่ พ่อมาแก้ทุกข์บางเบาบรรเทาได้
จึ่งค่อยคลายวายเช็ดชลนัยน์ มารดาได้พึ่งพ่อหน่อนรินทร์
พึ่งได้สุขแต่ทุกข์ยังมีทับ ในทรวงคับสุดแค้นแสนถวิล
แม่คิดถึงภัสดาอยู่ธานิน พระนรินทร์บิตุเรศของลูกรัก
ท้าวเธอหลงพิศวาสปีศาจป่า ไม่คิดว่าสุริย์วงศ์พระทรงศักดิ์
ไปหลงเชื่อหินชาติปีศาจยักษ์ จนลูกรักกับแม่มาจากเมือง
โอ้สงสารสุริย์วงศ์ที่อยู่หลัง ก็จะตั้งกำสรดไม่ปลดเปลื้อง
ยักษ์จะกินสิ้นแล้วจนหมดเมือง ที่ยังอยู่นั้นจะเคืองเพียงขาดใจ
บิดาเจ้าทำแค้นทุกแสนสิ่ง พ่อจะนิ่งละเลยเฉยไฉน
ไม่รักวงศ์พงศาที่ตรอมใจ มาอาลัยคนอื่นจะขืนครวญ
ที่จริงเล่าน้องเจ้าก็มีคุณ พ่อมีบุญควรจะรับมาครองสงวน
อันครั้งนี้ทุกข์แม่นี้เหลือครวญ พ่อจงควรคิดดูให้งามความ
อันคนอื่นหมื่นแสนไม่แม้นญาติ ย่อมเป็นทั่วโลกธาตุสิ้นทั้งสาม
เมื่อคิดการศึกเสร็จสำเร็จความ แม่จะทำให้งามเฉลิมวัง
จะเชิญองค์บิตุรงค์แลวงศา ทั้งวังหลวงวังหน้าแลวังหลัง
จึ่งกลับมารับน้องไปครองวัง พ่อจงฟังแม่เถิดอย่าเพ่อไป ฯ


[๑] ธิบาย = อธิบาย

[๒] ประทม = บรรทม

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ