๏ ฝ่ายราชนิกุลประยูรยักษ์ |
ประชุมพักตร์ปรึกษาอนุสนธิ์ |
แล้วกะเกณฑ์พวกกันกุมภัณฑ์พล |
ประจำคนให้รักษาอัฐิพลัน |
จัตุสดมภ์ทั้งบรมวงศา |
จึ่งไคลคลาเคลื่อนคลายรีบผายผัน |
เข้าเฝ้าจอมจักรพงศ์ผู้ทรงธรรม์ |
บังคมคัลทูลแจ้งแสดงความ |
ซึ่งซากศพอสุรีวิรุญมาศ |
ที่พระบาททรงล้างไว้กลางสนาม |
แต่บรรดาข้าพระองค์ผู้ทรงนาม |
ได้ทำตามพระราชบัญชา |
ขอเชิญจอมจักรพงศ์ผู้ทรงเดช |
เป็นปิ่นเกศปกเกล้าชาวยักษา |
ได้ดับเข็ญเย็นเศียรอสุรา |
เชิญเสด็จลินลาไปธานี |
ได้ทรงฟังอสูรมาทูลสาร |
พระโองการเอื้อนตรัสแก่ยักษี |
เวลาจวนเห็นไม่ควรจรลี |
ต่อพรุ่งนี้เถิดเราจะเข้าไป |
ท่านจงจัดแจงการให้เสร็จสรรพ |
จะยกกลับในเพลาประจุสมัย |
พระสั่งพลางเสด็จพลันด้วยทันได |
เข้าทูลไทชนนีสนองความ |
ฝ่ายอำมาตย์เตรียมทัพอยู่สับสน |
อลวนวุ่นวายจนยามสาม |
บ้างกองเพลิงโพลงพลุ่งเป็นเปลวพลาม |
บ้างจุดคบเดินตามกันเรียงราย |
สารวัตรวิ่งตรวจทุกหมวดหมด |
ให้เตรียมรถบุษบกวิเชียรฉาย |
ทั้งสองรถเรียงเรียบประเทียบราย |
แจ่มกระจายแสงแก้วเจริญตา |
รถต้นชนนีศรีสวัสดิ์ |
รถสองจอมกระษัตริย์ผู้นาถา |
อันรถทรงเอกองค์พระมารดา |
จัดคณานางนั่งประจำงาน |
ให้เชิญพัดเชิญพานพระศรีทรง |
ล้วนอนงค์นั่งเคียงเรียงขนาน |
เชิญพระแส้เครื่องทรงอลงการ |
บ้างเชิญพานสุริยาแลจามร |
ล้วนสาวสาวคราวสงวนเป็นนวลพักตร์ |
นรลักษณ์เพียงเทพอัปสร |
บ้างโอนเกศน้อมกายถวายกร |
สังวาลวรแวววับจับโพยม |
ที่รถทรงองค์จอมจุลจักร |
บรรดายักษ์ให้นิมิตประดิษฐ์โฉม |
เป็นมนุษย์สุดงามทรามประโลม |
ถวายโฉมทุกชั้นที่รถชัย |
ถือพระแส้ชูพระแสงเชิญพระศรี |
ถือคนทีนพรัตน์อันเรืองใส |
บ้างเชิญฉลองพระโอษฐ์เอี่ยมอันอำไพ |
บ้างเชิญพัดโบกใบแก้วไพฑูรย์ |
บ้างชูเชิญอภิรุมแลชุมสาย |
เชิญพระฉายจามรแลบังสูรย์ |
ล้วนด้วยแก้วแล้วด้วยทองผ่องจำรูญ |
ดูไพบูลย์ดั่งรถอมรินทร์ |
ที่ถัดรถให้ประทับหัตถีแถว |
กระโจมแก้วกุญชรอันเฉิดฉิน |
เป็นช้างทรงองค์นางอสุรินทร์ |
พวกยุพินพงศาพญายักษ์ |
บ้างขี่วอม่านทองส่องระยับ |
ตามลำดับวงศาบรรดาศักดิ์ |
ที่เหล่าชายเชื้อพระวงศ์ขององค์ยักษ์ |
ประเสริฐศักดิ์ขึ้นขี่อาชาชาญ |
ที่หมู่มารให้นิมิตเป็นมนุษย์ |
ดูผ่องผุดผิวพรรณในสัณฐาน |
ถืออาวุธเฉวียนฉวัดชัชวาล |
ประจำการด้วยกระบวนพยู่ห์พล |
พอสรรพเสร็จจวนแจ้งประจุสมัย |
สำเนียงไก่ขันจ้าโกลาหล |
ดุเหว่าเร้าร้องเร่งพระสุริยน |
ในเบื้องบนอัมพรพระพายชาย |
พฤกษาชาติดาษดกระดื่นช่อ |
ทุกก้านกอดอกแย้มกลิ่นขยาย |
ผกากาญจน์เกสรขจรจาย |
ต้องพระพายหอมชื่นระรื่นรวย |
นํ้าค้างปรอยย้อยต้องละอองพาน |
ก็ทอดก้านธารกิ่งสละสลวย |
ทรงสุคนธ์ฟุ้งระงมเมื่อลมชวย |
ระรื่นรวยรสโรยในราวอรัญ |
เหล่ากองทัพกับทั้งกระษัตริย์สอง |
เย็นสยองเยือกจิตคิดกระสัน |
จวนจะรุ่งรังสีรวีวรรณ |
ไก่ก็ขันเจื้อยแจ้ววังเวงใจ |
ครั้นแสงทองส่องฟ้าในราศี |
สกุณีส่งเสียงสำเนียงใส |
ทุกสิงสัตว์ตื่นเพรียกทั้งพงไพร |
เสียงเรไรหริ่งหริ่งวิเวกดง ฯ |
๏ ปางพระหน่อนรินทร์ปิ่นธเรศ |
กับจอมเกศชนนีนวลหง |
บรรทมเหนือแท่นสุวรรณอันบรรจง |
เกษมทรงสุขเสบยเสวยรมย์ |
มยุเรศหงส์ทองร้องสนั่น |
ประสานกันดั่งดนตรีปี่ประสม |
ก้องพระกรรณสองท้าวนิทรารมณ์ |
ตื่นบรรทมลุกพลันด้วยทันที |
สรงพระพักตร์ผ่องเพียงพระจันทร์แจ่ม |
สองระรื่นชื่นแช่มเกษมศรี |
แล้วเสด็จเข้าสรงซึ่งวารี |
ดอกมาลีลอยอบชโลทร |
แล้วสอดทรงเครื่องประดับสำหรับกระษัตริย์ |
พระหัตถ์ใส่ธำมรงค์แล้วทรงศร |
แล้วเชิญชวนมารดาสถาพร |
เสด็จทรงอาภรณ์อันอำไพ |
ฝ่ายขุนนางเสนาบรรดายักษ์ |
มาพร้อมพรักอยู่หน้าพลับพลาไสว |
คอยสดับรับเสด็จพระหน่อไท |
บ้างเข้าไปถวายฤกษ์ให้ยาตรา |
ส่วนพระองค์ทรงฤทธิ์อิศราช |
กับจอมนาฏชนนีเสน่หา |
ครั้นสำเร็จก็เสด็จไคลคลา |
งามดั่งท้าวเทวามาสรรค์ทรง |
จักรพงศ์ทรงรถเนาวรัตน์ |
นางกระษัตริย์ทรงรถเรืองระหง |
พร้อมด้วยเหล่าสาวสนมบรมวงศ์ |
ล้อมพระองค์ดุจดาวอันล้อมจันทร์ |
เหล่าดนตรีแตรสังข์กังสดาล |
เสียงประสานสุดเสนาะเพราะสนั่น |
พลนิกายก็ถวายบังคมคัล |
พอฉายชั้นชอบฤกษ์ให้เลิกพล |
พลมารโห่ก้องโกลาลั่น |
เสียงสนั่นหวั่นไหวทั้งไพรสณฑ์ |
เสียงช้างม้าร่าเริงร้องคำรน |
เสียงพหลพลฮึกอยู่ครึกโครม |
ฝูงสัตว์ลิงวิ่งดาษหวาดกระโดด |
ทะลวงโลดแล่นไล่ถลาโถม |
แตกกระจายตื่นคนโจนกระโจม |
พยับโพยมมืดคลุ้มชอุ่มไพร |
พลม้าลงเท้ากระทืบโกลน |
สินธพโจนถูกทำนองแลไสว |
พลช้างขับช้างกระชั้นไป |
ดูควาญไสยกขอขยับยล |
พลหอกกลอกกลับวะวับวาบ |
พลดาบรำตามกันสับสน |
พลดั้งแกว่งดั้งจรดล |
พลโล่รำรนให้ถูกเพลง |
พลง้าวง่าง้าวเป็นเงาวับ |
เยื้องขยับย่องเหยาะดูเหมาะเหม็ง |
พลปืนยิงปืนอยู่ครืนเครง |
อลเวงวุ่นวงในดงดัง |
พลธนูน้าวคันอยู่หันหวน |
พลทวนยืนประทับสลับหลัง |
ก็พร้อมพรักแห่แหนแน่นป่ารัง |
ลมกำลังพัดธงเป็นทิวปลิว |
พลยักษ์เหี้ยมหาญชำนาญศึก |
ทำพิลึกดูพิโรธเหมือนโกรธกริ้ว |
โลดทะยานโยนดาบอยู่ปลาบปลิว |
บ้างโห่ฮิ้วผิวปากสนั่นดง |
พลรถเทียมม้าวลาหก |
บุษบกเคียงเคียงเรียงระหง |
กำกระเทือนเลื่อนลั่นสนั่นดง |
กระทบกงเพลาเลื่อนกระดุมดัง |
รถเพชรรายพื้นวิเชียรรัตน์ |
เงาจับอัศวะเห็นเป็นสีสังข์ |
เสด็จนั่งอาสน์ลอยบนบัลลังก์ |
ประดุจดังองค์อินทร์จอมเทวัญ |
เทพเจ้าจอมผาพฤกษาสาร |
แย้มวิมานเยี่ยมพักตร์เกษมสันต์ |
นั่งประนมชมบุญพระทรงธรรม์ |
ถือสุวรรณมาลาแล้วโปรยปราย |
บ้างอวยพรก่อนเผยผอบทิพย์ |
แล้วยกหยิบเครื่องหอมประนอมถวาย |
หอมระรื่นชื่นกมลพลนิกาย |
แสนสบายมาในอรัญวา |
อสุรีลางตนทนเทวษ |
แสนสมเพชคิดถึงท้าวยักษา |
ที่ลางพวกเหล่าพาลก็ปรีดา |
ระเริงร่าโห่ร้องคะนองใจ |
พอเพลาพระอาทิตย์สถิตเที่ยง |
แดดเปรี้ยงเปรี้ยงร้อนแรงพระสุริย์ใส |
หน่อกระษัตริย์ตรัสสั่งเสนาใน |
ให้ประทับเทียบไว้เอาแรงพล ฯ |
๏ ฝ่ายมหาเสนามาตย์ประกาศก้อง |
พิฆาตกลองสัญญาโกลาหล |
ยักษ์ก็หยุดอุตลุดอลวน |
ก็พร้อมพลเข้าประชุมในพุ่มไทร |
ที่มีฤทธิ์เนรมิตพระที่นั่ง |
เป็นพลับพลาหน้าหลังแลไสว |
รั้วระเนียดเสียดตามสนามใน |
ทวารใบเบิกแกลลับแลบัง |
องค์พระหน่อนรนาถกับมาตุเรศ |
ทอดพระเนตรเปรมในพระทัยหวัง |
เสด็จลงจากราชบัลลังก์ |
เข้าหยุดยังวังพักตำหนักพง |
เหล่าอนงค์องค์นางสนมนาฏ |
ก็เดินตามกันดาษดูระหง |
เคยแต่อยู่บูรีบำรุงองค์ |
ไม่เคยดงได้มาเห็นก็เย็นใจ |
ตำหนักตั้งเงื้อมตระหง่านริมธารเขา |
แลเสลาพฤกษาข้างหน้าไสว |
เกดแก้วกันเกราแลกรวยไกร |
ทั้งซางไทรสนสักลักกระจัน |
ร่มระรื่นพื้นพุ่มชอุ่มผา |
เป็นที่น่าปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
หอมบุปผารวยรมย์พนมวัน |
เสียงสนั่นภุมราเคล้าเรณู |
ที่บรรพตลดหลั่นเป็นคูหา |
ก้อนศิลาแหลมย้อยดั่งห้อยพู่ |
ที่พุโพรงนํ้าพรายกระจายพรู |
ไหลลงสู่ธารเชี่ยวเป็นเกลียววน |
ทั้งสองฝั่งฟากธารสำราญรื่น |
ระดะดื่นพฤกษาผลาผล |
ดกเป็นก้อนอ่อนแปล้ถึงมือคน |
บ้างเหลืองหล่นร่วงดาษแผ่นดินราย |
สาวสนมแลเห็นผลก็วนวิ่ง |
เข้าช่วงขิงกันเก็บลูกหว้าหวาย |
ชิงกันพลางทางผลักกันวุ่นวาย |
นี่เจ้านายหรือข่มเหงไม่เกรงใจ |
บ้างเหนี่ยวกิ่งชิงกันกระโจมเก็บ |
ถูกหนามเหน็บยอกนิ้วจบเลือดไหล |
ร้องอุยนาน่าเจ็บนี่กระไร |
บ้างร้องว่าสาใจมันยังน้อย |
บ้างซนซุกบุกป่ามาตามกัน |
บ้างแลเห็นลูกจันเอาไม้สอย |
บ้างได้ลูกเหลืองงอมหอมอร่อย |
คนหนึ่งคอยชิงฉวยหัวเราะงอ |
บ้างได้ลูกงามดีเป็นสีสัน |
ร้องบอกกันว่ามันกลมเหมือนนมหนอ |
กับนมเจ้าเปรียบกันก็พอพอ |
ใครเป็นต่อเป็นรองลองดูที |
บ้างจดแก้มแล้วกลับมาจับจูบ |
นางคนหนึ่งขอลูบแล้วบีบบี้ |
นางเจ้าของค้อนข่วนกระบวนดี |
ทำโศกีร้องอ้อนอยู่อือแอ |
บ้างกระชากผ้าห่มให้นมพลัด |
โตถนัดเสียดายปลายเป็นแผล |
นางเจ้าของด่าว่าอีตาสะแก |
ของตัวยานมาตอแยรังแกกัน |
ที่เหล่าชายเจ้าชู้ศัตรูหญิง |
เข้านั่งนิ่งแอบร่มนมสวรรค์ |
เห็นสาวสาวไล่สกัดให้พลัดพลัน |
แล้วชวนกันกอดจูบเอาทันที |
นางหน้านวลร้องกรีดวะหวีดเว้ย |
เจ้าข้าเอ๋ยทำอะไรที่ไหนนี่ |
นางเพื่อนกันหวีดวิ่งเป็นสิงคลี |
ร้องว่าผีเวยผีหลอกผีตาย |
บ้างลูบอกตกใจสงสัยเสือ |
ที่ไม่เชื่อเข้าไปมองเขม้นหมาย |
เห็นถนัดบอกกันว่าเสือกลาย |
มันนุ่งลายหย่งผมแลห่มเพลาะ |
ไอ้เสือไม่กินสัตว์เที่ยวกัดสาว |
ดูเล็บยาวขาวหยัดกำดัดเดาะ |
มาดูเหวยมาดูเจ้าชู้เงาะ |
มันห่มเพลาะวิ่งหมุนออกผลุนพลัน |
นางสาวน้อยทำอายธิบายบอก |
มันเข้าหยอกข้าหยิกก็เหหัน |
ฟ้าผ่าเถิดไม่ได้อะไรกัน |
ไม่น่าขันรังกะตุ๋ยไอ้ขุยยักษ์ |
ฝูงกำนัลหยอกกันเกษมศรี |
กระซิกซี้ผาสุกไม่ถือศักดิ์ |
เที่ยวชมถํ้าชมเถื่อนด้วยเพื่อนรัก |
ชวนกันชักชิงช้าแล้วแกว่งไกว |
ที่ลางคนจุดคบแล้วเข้าถํ้า |
กู่กระหน่ำถามพลางไปทางไหน |
มาข้างนี้เจ้าเอ๋ยข้าเคยไป |
เข้าถึงในถํ้าสว่างมีทางมา |
ฝ่ายเจ้าชู้บูราณชำนาญเกี้ยว |
พากันเที่ยวคอยอยู่ริมคูหา |
ได้ยินเสียงสาวสรรค์จำนรรจา |
ก็ร้องว่าทีนี้สมคะเนนึก |
เอาผ้าปิดผมไว้มิให้ยับ |
แล้วไล่ขับค้างคาวอยู่ก้องกึก |
ค้างคาวตื่นบินตึงตะบึงฮึก |
เสียงคึกคึกบินวับดับอัคคี |
นางสาวสาวร้องหวีดตะโกนเว้ย |
แม่คุณเอ๋ยตายแล้วทีนี้นี่ |
เจ้าพวกหนุ่มกลุ้มคลำเป็นสิงคลี |
จูบสองทีจับแก้มแถมนมแนะ |
ปะยายแก่แหรดรับมันจับพก |
แกผลักอกหัวหันถูกหินแฉะ |
บ้างฉวยเพลาะมันผลักยักคะแยะ |
จูบแฉะแฉะแกก็ซัดเข้าหมัดเดียว |
ที่ชายปล้ำหญิงปลิดเข้าชิดกัน |
บีบลูกจันเต็มกำออกช้ำเขียว |
ถอยหลังกลับจับนมเข้ากลมเกลียว |
ก็กรีดเกรียวเดินออกมาคอยดู |
ร้องบอกกันว่ามันมาซํ้าแถม |
กูเสียแก้มเสียอกข้าวหมกหมู |
ที่รอดตัวหัวเราะเที่ยวขอดู |
แม่ไอ้หนูมันก็ทำเจ้ากรรมเอย |
เออนะเจ้ารูปเราก็ไม่เหมาะ |
เป็นคราวเคราะห์ของเรานะเจ้าเอ๋ย |
เหมือนทำบุญเสียกับหมาอย่าว่าเลย |
แล้วร้องเอ่ยพิมสวรรค์สนั่นไพร |
เหล่าอนงค์หลงเที่ยวละเลิงเล่น |
จวนจะเย็นบ่ายแสงพระสุริย์ใส |
ก็กลับหลังมายังพลับพลาไชย |
คอยเสด็จจอมไตรกระษัตรีย์ |
ฝ่ายเสนาเห็นควรจวนเสด็จ |
ก็ระเห็จจัดแจงตำแหน่งที่ |
ผูกรถคชสารแลพาชี |
เข้านั่งที่คอยท่าเพลาจร ฯ |
๏ ปางพระราชโอรสยศยิ่ง |
กับจอมมิ่งโมลีอดิศร |
เสด็จขึ้นรถทรงอลงกรณ์ |
ก็เลิกพลนิกรออกแจจัน |
คับคั่งด้วยพหลพลทหาร |
สุธาธารสะเทือนออกเลื่อนลั่น |
พอบ่ายแสงสุริยาจะสายัณห์ |
ก็ลุถึงเขตขัณฑ์พระบุรี |
เมื่อรถทองถึงท้องถนนหลวง |
คนทั้งปวงปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ต่างเคารพอภิวันท์อัญชุลี |
ก็พาทีสรรเสริญสองพระองค์ |
งามสง่างามศรีฉวีผ่อง |
ดังหงส์ทองอยู่ในกลางระหว่างหงส์ |
งามทรงงามศักดิ์จักรพงศ์ |
ดูพระองค์มิได้อิ่มนัยน์ตาเลย |
งามอุดมสมเศวตฉัตรกั้น |
มไหศวรรย์ควรพระองค์จะทรงเสวย |
น้อยเท่านี้มีฤทธิ์กระไรเลย |
เราควรเชยชมโพธิสมภาร |
สารถีเทียบรถกับเกยรัตน์ |
หน่อกระษัตริย์เสด็จขึ้นมนเทียรสถาน |
สนั่นเสียงแตรสังข์กังสดาล |
อำมาตย์มารหมอบกลาดดาษดา ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ชนนีพันปีหลวง |
ลินลาศล่วงเข้าปรางค์อันเลขา |
พร้อมด้วยหมู่สาวสรรค์กัลยา |
ถวายหน้าพรั่งพรูเข้าอยู่งาน |
พระเลิศลักษณ์จักรพงศ์วงศ์นเรศ |
มีพระเดชปกปิดทุกทิศฐาน |
ราษฎรหญิงชายสบายบาน |
แสนสำราญเชยชื่นทุกคืนวัน ฯ |
๏ จักรพงศ์ทรงเสวยสมบัติยักษ์ |
ดั่งสมบัติบรมจักรเกษมสันต์ |
กำหนดได้สามเดือนไม่เคลื่อนวัน |
พระทรงธรรม์เธอมิได้อนาทร |
วันหนึ่งนั้นบรรทมหลับสนิท |
ทรงนิมิตถึงทิพเกสร |
เห็นอนงค์นางแอบมาแนบนอน |
พระวรกรกอดน้องประคองชม |
พระทรงสวัสดิ์หัตถ์คว้าผวาตื่น |
เห็นแต่พื้นวรพักตร์นักสนม |
ไม่เห็นเจ้าโฉมงามผู้ทรามชม |
พระเร่งตรมกลุ้มกลัดในหทัย |
เจ้าพุ่มพวงดวงนัยนาพี่ |
ป่านฉะนี้เนื้อเย็นจะเป็นไฉน |
หรือนิ่มน้องโศกศัลย์จนบรรลัย |
จึ่งจำให้ฝันเห็นมาเป็นลาง |
พระยิ่งคิดยิ่งโศกกันแสงไห้ |
ทอดพระทัยโทมนัสให้ขัดขวาง |
ฝ่ายสนมสาวสรรค์กำนัลนาง |
บังคมพลางทูลถามเนื้อความพลัน |
ทูลกระหม่อมเป็นไรจึ่งกันแสง |
ขอพระองค์จงแจ้งกระหม่อมฉัน |
ทรงสดับรับเรื่องเคืองพระกรรณ |
มิได้ผันพักตร์ตรัสยิ่งตรอมใจ |
ยิ่งทูลถามท้าวเธอก็ยิ่งนิ่ง |
ให้เกรงกริ่งกลัวขัดอัชฌาสัย |
พากันตีอกชํ้าระกำใจ |
บ้างวิ่งไปปรางค์สุวรรณพระพันปี |
ให้คนสนิทเข้าสะกิดยุคลบาท |
ปลุกประทมท้าวนาฏขึ้นจากที่ |
ก็ทูลความตามมูลคดีมี |
ว่าบัดนี้ทรงศักดิ์เธอโศกา |
จะทูลถามสักเท่าไรก็ไม่ตรัส |
กอดพระหัตถ์ทรงสะอื้นเป็นหนักหนา |
ผิวพระพักตร์เผือดผาดประหลาดตา |
ไม่แจ้งว่าโศกศัลย์ด้วยอันใด |
นางทรงฟังหวาดจิตพิศวง |
เออพ่อลักษณวงศ์เป็นไฉน |
ผวาลุกโดยด่วนเสด็จไป |
เข้าสู่ห้องปรางค์ไชยพระโอรส |
ผวากอดยอดรักใส่ตักไว้ |
เป็นไรพ่อเป็นไรจึ่งกำสรด |
พลางพินิจพิศพักตร์พระโอรส |
แสนกำสรดโศกาสะอื้นครวญ |
อย่าทรงกันแสงเลยนะลูกแก้ว |
แม่มาแล้วเล่าความเถิดทรามสงวน |
พ่อขัดแค้นข้อไรจึ่งรำจวน |
เออก็ควรหรือไม่เล่ากับแม่เลย ฯ |
๏ พระกุมารฟังสารยิ่งสะอื้น |
แข็งพระทัยกลํ้ากลืนนํ้าตาเฉย |
ดูพระพักตร์ชนนีไม่มีเสบย |
จึ่งทูลเฉลยเล่าพลางพิไรวอน |
เจ้าประคุณทูนเกศเป็นที่พึ่ง |
ลูกคิดถึงน้องทิพเกสร |
นิมิตเห็นว่าประคองพระน้องนอน |
แม่เกสรตายแล้วเป็นลางมา |
พระชนนีสวมกอดว่ายอดสร้อย |
พระน้องน้อยยังไม่สิ้นซึ่งสังขาร์ |
ความสวาทนั่นประหวัดในหัทยา |
พ่อแก้วตาจึงนิมิตเพราะคิดไป |
พ่อฝันเห็นเช่นนี้ว่าดีนัก |
พระน้องรักเจ้าจะมีแต่สุขใส |
จะอยู่ดีกินดีไม่มีภัย |
เมื่อนานไปก็จะพบประสบกัน ฯ |
๏ ทูลกระหม่อมจอมโลกมาลวงลูก |
พระแกล้งผูกเรื่องทายทำนายฝัน |
แม่เกสรเห็นไม่ชื่นทุกคืนวัน |
เมื่อจากกันวันนั้นเจียนจะตาย |
เมื่อลูกมานั้นเพลาประจุสมัย |
แต่น้องเฝ้าร้องไห้อยู่จนสาย |
จะปลํ้าปลอบสักเท่าไรก็ไม่คลาย |
จะขืนตามสู้ตายไปเมืองมาร |
อันนํ้าคำของน้องหรือทูนเกล้า |
ลูกจะเล่าก็เป็นสุดจะสงสาร |
น้องรักลูกเหลือล้นพ้นประมาณ |
ดูอาการดั่งว่าเกิดอุทรเดียว |
ป่านฉะนี้น้องน้อยจะคอยนัก |
จะผินพักตร์พึ่งใคร่ไนไพรเขียว |
จะเห็นแต่อัยกานั้นองค์เดียว |
จะเปล่าเปลี่ยวอาวรณ์ไม่เว้นวัน |
ลูกจะขอทูลามารดาแล้ว |
ไปรับแก้วเกสรในไพรสัณฑ์ |
ลูกกับอัสดรจะจรจรัล |
สักเจ็ดวันก็จะกลับมาธานี ฯ |
๏ โอ้พ่อดวงหทัยนัยน์เนตร |
ไม่สังเวชแม่เลยไฉนนี่ |
พ่อจะทิ้งมารดาไว้ธานี |
เจ้าเห็นดีแก่ใจอย่างไรนา |
อันครั้งก่อนมารดรก็แสนโศก |
ด้วยวิโยคลูกน้อยเสน่หา |
เจียนจะม้วยด้วยมารมันพาลพา |
มาตกอยู่นคราระกำใจ |
พ่อทรงศรรอนยักษ์เพราะรักแม่ |
พ่อมาแก้ทุกข์บางเบาบรรเทาได้ |
จึ่งค่อยคลายวายเช็ดชลนัยน์ |
มารดาได้พึ่งพ่อหน่อนรินทร์ |
พึ่งได้สุขแต่ทุกข์ยังมีทับ |
ในทรวงคับสุดแค้นแสนถวิล |
แม่คิดถึงภัสดาอยู่ธานิน |
พระนรินทร์บิตุเรศของลูกรัก |
ท้าวเธอหลงพิศวาสปีศาจป่า |
ไม่คิดว่าสุริย์วงศ์พระทรงศักดิ์ |
ไปหลงเชื่อหินชาติปีศาจยักษ์ |
จนลูกรักกับแม่มาจากเมือง |
โอ้สงสารสุริย์วงศ์ที่อยู่หลัง |
ก็จะตั้งกำสรดไม่ปลดเปลื้อง |
ยักษ์จะกินสิ้นแล้วจนหมดเมือง |
ที่ยังอยู่นั้นจะเคืองเพียงขาดใจ |
บิดาเจ้าทำแค้นทุกแสนสิ่ง |
พ่อจะนิ่งละเลยเฉยไฉน |
ไม่รักวงศ์พงศาที่ตรอมใจ |
มาอาลัยคนอื่นจะขืนครวญ |
ที่จริงเล่าน้องเจ้าก็มีคุณ |
พ่อมีบุญควรจะรับมาครองสงวน |
อันครั้งนี้ทุกข์แม่นี้เหลือครวญ |
พ่อจงควรคิดดูให้งามความ |
อันคนอื่นหมื่นแสนไม่แม้นญาติ |
ย่อมเป็นทั่วโลกธาตุสิ้นทั้งสาม |
เมื่อคิดการศึกเสร็จสำเร็จความ |
แม่จะทำให้งามเฉลิมวัง |
จะเชิญองค์บิตุรงค์แลวงศา |
ทั้งวังหลวงวังหน้าแลวังหลัง |
จึ่งกลับมารับน้องไปครองวัง |
พ่อจงฟังแม่เถิดอย่าเพ่อไป ฯ |