ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร

๏ อำมาตย์หมอบบังคมแล้วก้มเกล้า ให้โศกเศร้าด้วยองค์พระโฉมฉาย
ภูวนาถเห็นหน้าเสนานาย พระทัยหายหวนโศกด้วยเสนา
โปรดประภาษบัญชาประกาสิต เราขอบจิตเสนีเป็นหนักหนา
จงสร่างโศกเป็นสุขทุกพระยา เร่งตรวจตราเตรียมทำพระเมรุทอง
ทั้งเมรุทิศเมรุแทรกให้แปลกอย่าง เป็นทรงปรางค์สุดเทียบจะเปรียบสอง
ทั้งโรงงานการงามตามทำนอง จัดเป็นกองแล้วเกณฑ์ให้ทำการ
สั่งเสร็จเสด็จหวนเข้าสู่ห้อง กรประคองลูกน้อยให้สงสาร
ฝ่ายอำมาตย์สามนต์ก็ลนลาน มาแจกหมายรายการระดมคน ฯ
๏ บ้างปรุงปรับปราบถมหน้าที่ถาก บ้างเลื่อยลากขุดคัดแลเข็นขน
บ้างจัดเจียนเขียนวาดอลวน บ้างถักสานสับสนสนั่นอึง
บ้างตอกตัดติดตั้งแลแต่งแต้ม บ้างแกะแกมกอดกันให้ขันขึง
บ้างกล่อมเกลากลับกลอกกลโกลนกลึง บ้างตราดตรึงกริบกรองลำลองโยง
ที่ปลูกเมรุนั่งร้านตะพานพาด เลึยงเอียดอาดอึงลั่นสนั่นโผง
รอกประทับกับร้านสะท้านโคลง เป็นทรงโครงเครื่องบนจัตุบรรพ์
มีเมรุทิศตามเกณฑ์ทั้งเมรุแทรก ให้งามแปลกเปลี่ยนทรงบรรจงสรรค์
มีสามสร้างล้อมรอบเป็นขอบคัน ข้างในนั้นชาลาหลังคาลด
แล้วยกยอดฉัตรชั้นสุวรรณขลิบ ละลิ่วลิบลอยฟ้าเห็นปรากฏ
นพศูลกิ่งเพชรทั้งเจ็ดพช ดั่งจะหยดย้อยยอดพระปรางค์ทอง
กลีบขนุนนพคุณประกับแนบ ดูปลาบแปลบบาดตาน่าสยอง
อำมเรศยืนเยี่ยมพิมานทอง ประจำช่องชูสังข์ทั้งสี่ทิศ
ถัดนั้นชั้นกลางระหว่างย่อ ชุกระชีมีช่อกระจังติด
เทพประนมยืนแอบอยู่แนบชิด ชวลิตเรียงรายพะพรายตา
ซุ้มแทรกแปลกกันทุกชั้นลด เทพประนมยืนประณตล้วนเลขา
ทั้งห้ายอดหยัดเยี่ยมพระเมฆา รยางค์โยงหุ้มผ้ากัมพลแดง
จัตุรมุขสี่ด้านทวารใหญ่ มีม่านทองสองไขประไภ[๑]แสง
ใบหน้าบรรพ์เครือยกกระหนกแพลง ที่ก้านแย่งนกคาบกระหนาบพัน
มีอินทร์องค์ทรงคชตรีเศียร ชูวิเชียรกวัดแกว่งพระแสงขรรค์
รูปพญาพานรในเครือวัลย์ ที่เสานั้นกิ่งแก้วตะเกียงพวง
พระเมรุทองชั้นในประไภศรี ล้วนแล้วด้วยมณีวิเชียรช่วง
บราลีตรีมุขจินดาดวง ระฆังควงมุงเครื่องกระเบื้องทอง
ที่พื้นในประกอบเป็นอาสน์แก้ว ดูพราวแพรวแวววับสลับช่อง
บนแท่นตั้งคูหาเบญจาทอง ดูเรืองรองไปด้วยแก้วอันแพรวพราย
ในชั้นต้นตั้งติดขนัดสัตว์ ล้วนครุฑอัดโอษฐ์อมวิเชียรฉาย
ทั้งสองกรกุมวาสุกรีกราย ทะยานกายจะขยับเผยอบิน
ช่องคูหาซุ้มกลางเสี้ยวกางแก้ว สังวาลแววพริ้งเพริศดูเฉิดฉิน
ในชั้นสองถ่องแถวเทพกินริน แต่ล้วนนิลใส่นัยนานาง
ในชั้นสามใส่เทพคนธรรพ ประจงจับจงกลอุบลสล้าง
ในชั้นสี่มีเทพดุริยางค์ ระหว่างกลางแทรกใส่ศศิธร
ในชั้นห้าเทวาสำแดงฤทธิ์ ขึ้นสถิตทรงหงส์แล้วทรงศร
ในชั้นหกมัฆวานประสานกร ทรงอาภรณ์ถือดอกสุมณฑา
ในชั้นเจ็ดพรหเมศวิเศษศักดิ์ จัตุรพักตร์กรประชุมกุมบุปผา
กรองพนักเพชรนิลแลจินดา จามรทองถมยาราชาวดี
ฉัตรสุวรรณคันแก้ววะแวววับ ใบโพห้อยพลอยประดับสลับสี
ที่พื้นล่างลาดล้วนสุจหนี่ เครื่องสูงสี่ตั้งตามอร่ามเรียง
กระหนกในใบบานทวารพับ แย่งประดับดวงคาบตาบเฉลียง
ตีนเมรุเทพประนมบังคมเคียง อสูรเพียงจะผยองขึ้นท้องโพยม
ทั้งสี่มุมซุ้มตั้งบัลลังก์อาสน์ กินรน้อยนุชนาฏประหลาดโฉม
อุณรุทฤทธิเรืองชำเลืองโลม แล้วแถวโคมแก้วกิ่งประกับใบ
ข้างหลังนั้นชั้นในต้นไม้ดัด ดอกใบตัดติดลูกผูกไสว
อรหันชั้นถัดขนัดใน นกกดไก่โกญจากุมภาแพะ
ทำเปลี่ยนหัวตัวแปลงเข้าแฝงคู่ ทั้งเงือกงูกาสรสุกรแกะ
ปากอ้าตาหลอกหยอกคะแยะ ยิ้มแผยะย่างเยื้องชำเลืองกัน
ที่พื้นดินก็เลี่ยนดูเตียนโล่ง แล้วรายโรงดอกไม้รุ่งเรืองฉัน
แล้วกั้นแผงรายรอบเป็นขอบคัน ทศกัณฐ์สงครามรามนารายณ์
ข้างหลังฉากล้วนชั้นสุวรรณฉัตร ประจงจัดพริ้งเพริศดูเฉิดฉาย
สลับหลากนากเงินให้งามพราย ต้องพระพายใบโพกระพือดัง
ที่ชั้นนอกสามสร้างข้างทวาร มีรูปมารยืนอยู่เป็นคู่ตั้ง
ทำท่าทางท่วงทีมีกำลัง ดุจดังโกรธเกรี้ยวจะเคี้ยวคน
ราชวัติฉัตรปักยักระวาง สายระยางโยงสลับอยู่สับสน
แล้วเรียงรายร้านนํ้าดูอำพน ให้ยกต้นไม้พุ่มเป็นวงเวียน
แล้วรายโรงหุ่นโขนละครงิ้ว เป็นแถวทิวช่องสทาหลังคาเขียน
ท้องสนามตามถนนตลอดเตียน จัดจำเนียรตาริ้วเป็นทิวทาง ฯ
๏ ครั้นเสร็จสรรพ์การศพนั้นครบสิ้น พระนรินทร์ตรึกตรองยิ่งหมองหมาง
พรุ่งนี้แล้วแก้วพี่จะจากปรางค์ นับวันแต่จะว่างวิเวกวัง
จึ่งตรัสสั่งเสนาบรรดาเฝ้า ให้เร่งเอารูปสัตว์ออกจัดตั้ง
ทั้งยานุมาศรถราชบัลลังก์ พระตรัสสั่งแล้วเสด็จเข้าปรางค์ทอง
จึ่งสั่งพวกดนตรีให้ตีถวาย สุรางค์รายขับขานประสานสนอง
แต่พลบคํ่าจนแจ้งรุ่งแสงทอง ให้พระน้องเจ้าฟังให้อิ่มใจ
ราตรีเดียวกลอยสวาทจะคลาดแคล้ว ประโคมแก้วใครอย่าเห็นแก่หลับใหล
เป็นวันสุดนิ่มนุชจะจากไป กำนัลในช่วยกันส่งเสด็จนาง
พระสั่งพลางกางกรเข้ากอดโกศ สะอื้นโอดองค์เอียงลงเคียงข้าง
กันแสงโศกรํ่าไห้พิไรพลาง โอ้จะร้างปรางค์แก้วไปจากกัน
พรุ่งนี้พอรุ่งสางสว่างภพ จะเชิญศพจำไกลมไหศวรรย์
จงสดับดุริยางค์ต่างต่างกัน ฟังเสียวันเดียวเถิดพระยุพิน
อย่าน้อยใจว่าพี่ไม่มีสวาท ให้ทำห้องเมรุมาศอันเฉิดฉิน
ทั้งโกศแก้วแล้วด้วยมณีนิล ทุกสิ่งสิ้นสมศักดิ์กระษัตรา
เมื่อปางหลังครั้งยากลำบากอก พยุงยกข้ามธารละหานผา
อุตส่าห์สู้จรลีด้วยพี่ยา เป็นเวราพาสวาทนิราศไป
เจ้าสู้ยากติดตามด้วยความรัก ครั้นพบพักตร์ศรีสวัสดิ์มาตัดษัย
สู่สวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย แต่นี้ไปใครจะตามเหมือนแก้วตา
เจ้าพี่เอ๋ยโอรสกำสรดนัก พิไรรักรัญจวนให้หวนหา
วอนเสวยรสถันพระมารดา เจ้ากลับมาให้เชยเสวยนม
พระทรงธรรม์กันแสงจนสุดเสียง แซ่สำเนียงดุริยางค์นางสนม
พระโหยหวนครวญความถึงทรามชม เสียงปีศาจร้องประสมเป็นเสียงนาง
ว่าโอ้โอ๋พระนรินทร์ผู้ปิ่นเกศ ไม่สังเวชทิ้งน้องให้หมองหมาง
ไม่คิดถึงเพื่อนร้อนแต่ก่อนปาง มาได้นางเมียแก้วแล้วลืมกัน
ก็สิ้นชาติสิ้นวาสนาน้อง จึ่งจำจองเข่นฆ่าให้อาสัญ
ขอฝากแต่ลูกยาอย่าอาธรรม์ อภิวันท์ลาแล้วไปตามกรรม ฯ
๏ ปางพระองค์ทรงฟังปีศาจร้อง เหมือนเสียงน้องเกสรแม่งามขำ
โบกพระหัตถ์ตรัสห้ามดนตรีทำ เงี่ยพระโสตฟังซํ้าก็เงียบไป
ตกพระทัยไหวหวาดประภาษถาม เมื่อกี้เสียงโฉมงามหรือไฉน
กูได้ยินแก้วตาโศกาลัย ใครจะได้ยินบ้างเหมือนอย่างเรา
นางสนมตกใจให้ฉงน ก็ต่างคนสงสารพระผ่านเกล้า
อนิจจาท้าวหลงด้วยนงเยาว์ กำลังเศร้าจนสิ้นสมประดี
ต่างต่างกัลยาน้ำตาไหล บังคมไททูลความไปตามที่
ไม่ได้ยินเสียงองค์พระเทพี ด้วยดนตรีมี่อึงคะนึงปรางค์
พระทรงฟังคำทูลพูนเทวษ ภูวเรศยิ่งคิดอางขนาง
เจ้าพี่เอ๋ยอกพี่จะวายวาง มาครวญครางแต่จำเพาะให้พี่ฟัง
แม่ยังมีอาลัยไฉนเล่า จึ่งมิเข้ารูปร่างเหมือนปางหลัง
โฉมเฉลาเจ้าอย่าเวียนอยู่นอกวัง ขอเชิญเจ้าเข้ายังพระรูปทรง
แม่มาเถิดมิ่งมิตรขนิษฐา แม้นมิมาชีพพี่จะผุยผง
แม่อย่าให้โอรสยศยง เป็นกำพร้าบิตุรงค์ทั้งมารดา
โอ้อกเอ๋ยเสียทีที่เรืองฤทธิ์ ถึงจะคิดเด็ดเดือนในเวหา
ย่อมจะได้สมสิ้นดังจินดา จะคิดชุบแก้วตานี้จนใจ
ด้วยสุดรักนิ่มนุชทั้งสุดฤทธิ์ เป็นสุดคิดสุดที่จะแก้ไข
สุดคะนึงที่จะพึ่งผู้ใดใคร สุดอาลัยงามชื่นจะคืนเป็น
พระสุริยงลงลับเหลี่ยมไศล ยังคืนกลับมาได้พอให้เห็น
แม่พุ่มพวงล่วงลับไม่กลับเป็น ให้พี่เห็นดั่งดวงพระสุริยา
แสนสงสารทรงธรรม์เธอกันแสง สิ้นเรี่ยวแรงสิ้นครวญที่หวนหา
สิ้นแสงแขไขส่องห้องเมฆา สิ้นโศกาทรงภพสลบลง ฯ
๏ นางสนมกรมในร้องไห้รํ่า บ้างเชิญน้ำสุคนธรสมาโสรจสรง
บ้างไปทูลพระบิตุราชมาตุรงค์ ทั้งเอกองค์นิ่มนุชพระบุตรี
พอพร้อมองค์ทรงนามสามกระษัตริย์ ก็จวนรุ่งจำรัสพระสุริย์ศรี
พอพระองค์ทรงฟื้นสมประดี ฆ้องก็ตียํ่ารุ่งประโคมยาม
พวกมนตรีเตรียมตรวจตำรวจเร่ง ออกแซ่เซ็งกึกก้องท้องสนาม
ทั้งคชาพาชีจะขี่ตาม ทั้งพวกพราหมณ์แขกขอมมาพร้อมกัน
กำนัลในเซ็งแซ่ทั้งแก่สาว ล้วนนุ่งขาวห่มขาวดูคมสัน
เสนานายเรียงเรียบประเทียบทัน แท่นสุวรรณมุขมาศปราสาททอง ฯ
๏ ฝ่ายพระจอมจักรพรรดิฉัตรทวีป ดั่งดวงชีพจะแตกพังกำลังหมอง
มิใคร่เตือนให้เลื่อนพระโกศทอง เสียดายศพนุชน้องจะสูญไป
หักพระทัยให้เชิญพระศพโฉม เสียงประโคมครืนครั่นสนั่นไหว
ออกแซ่เสียงสาวสรรค์กำนัลใน พระทรงชัยเคียงโกศประคองมา
ค่อยเขยื้อนเลื่อนวางบนยานุมาศ ก็เกลื่อนกลาดแห่แหนไปแน่นหนา
พวกตำรวจรวดเดินรักษามา ขึ้นนำหน้าเรียงรายมาท้ายวัง
ครั้นถึงรถรัตนาวราโรจน์ ยกพระโกศเข้าประคองข้างหน้าหลัง
ขึ้นวางเหนือรถราชบัลลังก์ ก็พร้อมพรั่งพลเรียบประเทียบอึง
จักรพงศ์ทรงขึ้นพลับพลาโถง ตะวันโด่งโลกเสร็จเสด็จถึง
ปืนสัญญาหน้าที่นั่งก็ปังปึง เสียงตังตึงฆ้องกลองกึกก้องครัน
พวกโยธาถือธงเป็นสองแถว ขนัดแนวเทวดาให้เดินคั่น
แล้วชักรูปแรดจรมาก่อนพลัน บนหลังนั้นมณฑปใส่โคมไฟ
พญาช้างคู่ช้างสำอางศรี พาชีคู่พาชีอันผ่องใส
พญาหงส์คู่หงส์ทรงวิไล กิเลนไพรคู่กับกิเลนดง
มัจฉานุคู่กันกับมัจฉา สิงหราคู่สิงหราหงส์
ราชสีห์คู่ราชสีห์ทรง สุบรรณยงคู่กับสุบรรณา
เป็นคู่คู่รูปสัตว์ขนัดแถว ดูพรายแพรวเลิศล้วนด้วยเลขา
มณฑปใส่ไตรตั้งบนหลังคา เสียงม้าล่อลันล่าดาประดัง
รถอ่านพระธรรมนั้นนำหน้า แล้วรถโยงภูษานั้นมาหลัง
แล้วรถโกศโชติฉรรพรรณรังสิ์[๒] รถที่นั่งท่อนจันทน์อันบรรจง
แต่ละรถบุษบกกระจกจับ ระย้ายับยอดแก้วแววระหง
กงลั่นกำเลื่อนสะเทือนกง ม้าพยศยิ่งยงชักทะยาน
ทั้งหญิงชายเบียดเสียดกันเยียดยัด ออกแออัดอุ้มลูกแลจูงหลาน
ชุลมุนหมุนโดนกันเซซาน อลหม่านพวกตำรวจไล่หวดตี
พอรถถึงเมรุทองประคองรับ เทียบประทับโกศทองขึ้นสู่ที่
เสียงฆ้องกลองตึงตังประดังตี พวกเสนีขึ้นทิ้งกำมพฤกษ์
บ้างช่วงชิงฉวยคว้าถลาปะ ล้มปะทะอะเอะปะเตะอึก
บ้างแย่งรับทับผลักกันคักคึก อึกทึกเต้นโลดกระโดดรับ
หุ่นโกร่งโขนกราวลงเส้าก้อง ละครร้องเฉื่อยฉานประสานกรับ
พวกเล่นงิ้วเงื้อง้าวเป็นเงาวับ ทะวายรำทำขยับรักแร้ร่า
ตลกมวยฉวยนางแล้วขว้างทิ้ง เจ๊กประวิงฉวยหมวกลงปิดขา
พวกปรบไก่ใส่กันสนั่นฮา ช่องสัทาโลดเต้นพอเป็นการ
ตะวันบ่ายไต่ลวดขึ้นเดินเลียบ รำแพนเหยียบแป้นโยนอวดตนหาญ
หกคะเมนโด่เด่ดูเซซาน ลอดบ่วงไฟลนลานเอาหัวลง
พวกระเบงทำกระบวนแล้วหวนหัน ขยับยันยืนยิงรูปบุหรง
คุลาตีไม้เล่นดูเป็นวง เหล่าอ้ายพวกม่งครุ่มกระทุ่มกลอง
แล้วมีมวยหมัดรับกันกับโกก แขยะปับขยับโปกปะเตะถอง
ปับเขาฮาปาเขาเฮเซคะนอง ดำมันแรงแดงเป็นรองตกรางวัล
เวลาคํ่าหนังขึ้นก็พากย์โผง เสียงเกราะโกร่งกราวกรอม้าฬ่อลั่น
ดอกไม้เพลิงจุดโพลงขึ้นเร็วพลัน เสียพลุลั่นปึงปังเหมือนดังปืน
แสนสนุกสุโขสโมสร ราษฎรเบิกบานสำราญรื่น
สมโภชศพโฉมงามได้สามคืน จันทร์แอร่มแจ่มพื้นทิฆัมพร ฯ


[๑] ประไภ = ประไพ ฉบับเดิมทุกฉบับเขียนอย่างนี้ (ภาษาทมิฬ)

[๒] โชติฉรรพรรณรังสิ์ = โชติฉันพรรณรังสี

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ