- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
๏ ปางสุวรรณอำภาสุดานาฏ | ซึ่งเป็นราชมารดาพระทรงศร |
จำเดิมแต่โอรสนิราศจร | ให้อาวรณ์โศกศัลย์พันทวี |
ไม่เป็นอันบรรทมได้เต็มเนตร | แสนเทวษกำสรดกันแสงศรี |
เสวยแต่ชลนาทุกราตรี | จนล่วงตียามสามจึงไสยา |
เมื่อจะพบลูกเธอเสมอเนตร | เยาวเรศโหยหวนรำจวนหา |
พอตีถ้วนเก้าทุ่มนาฬิกา | จอมสุดาแน่นิทรสนิทครัน |
พอดาวเดือนเลื่อนลับลงอับหมอง | กระเหว่าร้องเสียงไก่สนั่นขัน |
เทพเจ้าซึ่งเป็นเจ้าแห่งเทวัญ | ถนอมขวัญดลดวงพระทัยนาง |
ให้นิมิตว่าได้ทรงซึ่งแหวนเพชร | แล้วเสด็จองค์เดียวให้อางขนาง |
เที่ยวดำเนินเดินดงจนหลงทาง | แล้วโศกามากลางพนาลี |
ยังมีเหลือบหินชาติฉกาจสัตว์ | บินมากัดนิ้วก้อยนางโฉมศรี |
นางสะบัดหัตถาไปทันที | ธำมรงค์วงนี้กระเด็นไป |
เที่ยวแหวกหญ้าหาแหวนไม่เห็นแหวน | ก็ยิ่งแสนโศกานํ้าตาไหล |
เที่ยวเดินดงหลงทางมากลางไพร | เข้าอาศัยบรรพตาเอกากาย |
นางเพ่งดูพระพายในพื้นฟ้า | ให้โหยหาแหวนก้อยที่ลอยหาย |
ตั้งพระเนตรคอยวงธำมรงค์พราย | พอพระพายพัดธำมรงค์มา |
ดูลอยลมลิบลิบมาลิ่วลิ่ว | เข้าสอดสวมเอานิ้วพระหัตถา |
ดีพระทัยเหลือที่จะปรีดา | แล้วลินลามาพบหนทางตรง |
เสด็จเข้าธานีบุรีราช | ขึ้นปราสาทนพรัตน์จำรัสระหง |
พร้อมด้วยเหล่าสาวสนมบรมวงศ์ | บำเรอองค์บำรุงรักษ์อยู่เรียงราย |
สุดสุบินพระยุพินสะดุ้งตื่น | ผวาฟื้นหวาดหวั่นพระขวัญหาย |
ทรงสังเกตเหตุผลแต่ต้นปลาย[๑] | เห็นเชิงชายช่องลาภจะเกิดครัน |
เอะลักษณวงศ์พระลูกรัก | จะพบพักตร์ลูกแล้วเป็นแม่นมั่น |
ขอเชิญแก้วแววตาแม่มาพลัน | ให้เหมือนฝันวันนี้เถิดลูกยา |
ธำมรงค์คงเป็นพระลูกรัก | อันเหลือบร้ายเปรียบศักดิ์ท้าวยักษา |
ซึ่งเขาใหญ่เห็นจะได้แก่พารา | พระพายพานั้นเห็นจะเป็นบุญ |
เข้าพารานี้ว่าจะคืนเมือง | พรหมทัตเธอจะเคืองพระทัยวุ่น |
เห็นอาการลูกยาจะการุญ | แม่จะได้พึ่งบุญพระลูกรัก |
โฉมสุวรรณครั้นคิดนิมิตแล้ว | พระทัยแผ้วเห็นแท้แน่ประจักษ์ |
เผยพระแกลแลคอยพระลูกรัก | วรพักตร์ผ่องเพียงพระจันทรี ฯ |
๏ จะกล่าวหน่อหริรักษ์จักรพงศ์ | โฉมพระลักษณวงศ์ผู้เรืองศรี |
ครั้งรุ่งแจ้งแสงทองส่องปฐพี | ก็เผ่นขึ้นพาชีเหาะทะยาน |
สินธพพาคว้างคว้างมากลางเมฆ | แลวิเวกข้ามสมุทรไทแลไพรสาณฑ์ |
มาถึงเมืองมยุราพญามาร | เห็นสถานปรางค์มาศปราสาทไชย |
แต่ล้วนแก้วแววไวอยู่พรายพร้อย | ละลิ่วลอยแลเทียมพระสุริย์ใส |
เด่นสง่าผ่าเมฆอยู่ไรไร | พระบอกให้อัสดรดูพารา |
บุรีเรืองเมืองยักษ์นั้นใหญ่กว้าง | คนข้างล่างแลล้วนแต่ยักษา |
ปรางค์ปราสาทราชวังอลังการ์ | ชะรอยเมืองมยุราเป็นมั่นคง |
อัสดรสอนสั่งพระทรงฤทธิ์ | พระจงคิดตรองความตามประสงค์ |
เที่ยวแสวงแปลงปลอมให้แปลกองค์ | เห็นมั่นคงพบแม่แล้วพามา |
ให้พ้นมือขุนมารสำราญจิต | จึงค่อยคิดฆ่าโคตรไอ้ยักษา |
พระฟังคำพาชีเห็นปรีชา | ชวนพญากัณฐัศว์ลงปฐพี |
เข้าหยุดร่มพระไทรใบสะบัด | หน่อกระษัตริย์อธิษฐานถึงฤๅษี |
เสกพญาม้าทรงได้สามที | รูปพาชีเล็กเท่าแมลงวัน |
เอาซ่อนสอดขอดชายพระภูษิต | แล้วทรงฤทธิ์เสกศรพระแสงขรรค์ |
เป็นไม้เท้าดาวบสปรากฏครัน | แล้วผูกพันโพกเกล้าเป็นโยคี |
สวมประคำทำใส่สไบเฉียง | ก็พร้อมเพรียงพรหมจรรย์อันเรืองศรี |
จากพระไทรสาขาเข้าธานี | จรลีล่วงทางมากลางเมือง |
ไม่แลเมินเดินเคร่งสำรวมจิต | จะฟังกิจอนุสนธิ์ที่ลือเลื่อง |
จะกล่าวถึงยักษ์มารในบ้านเมือง | ที่เดินเนื่องตามแนวถนนใน |
ครั้นแลเห็นโยคีมุนีน้อย | ดูแช่มช้อยผิวพักตร์ก็ผ่องใส |
ทั้งสาวแก่แลดูทุกคนไป | บ้างกราบไหว้ต้อนรับด้วยศรัทธา |
บ้างบอกเพื่อนเกลื่อนกลาดมาล้อมกลุ้ม | ฤๅษีหนุ่มน่ารักเป็นหนักหนา |
ที่ลางคนก็นิมนต์เข้าพูดจา | เจ้าคุณจ๋าเข้ามาไยในบุรี ฯ |
๏ พระกุมารฟังสารพวกรากโษส | เห็นปราโมทย์มาดหมายว่าฤๅษี |
รับนิมนต์อสุรินด้วยยินดี | เข้านั่งที่อาสนะอันควรการ |
จึงแย้มเยื้อนเอื้อนตรัสกับรากโษส | รูปสันโดษเด็ดบ่วงห่วงสงสาร |
แต่ผู้เดียวเปลี่ยวองค์ในดงดาน | ภิกขาจารตามกิจจงกรมมา |
เห็นกรุงไกรใหญ่โตรโหฐาน | น่าสำราญนคเรศของยักษา |
จึงทรงกรมเข้ามาชมพระพารา | โมทนาด้วยประสกสีกายักษ์ |
ซึ่งศรัทธามานิมนต์ให้รูปนั่ง | รูปนี้ยังสงสัยไม่ประจักษ์ |
อันพระองค์ซึ่งดำรงพิภพยักษ์ | ชรานักหรือว่ายังกำลังแรง |
พระโอรสบุตรีมีหรือไม่ | ที่จะได้สืบสายเป็นศักดิ์แสง |
รูปสงสัยใคร่จะรู้ที่คลางแคลง | โยมจงแจ้งให้กระจ่างในทางความ ฯ |
๏ พวกกุมภัณฑ์วันทาพระดาบส | ก็บอกหมดมิได้อำในคำถาม |
อันพระมิ่งเมืองมารชาญสงคราม | ได้นางงามมาแต่ป่าพนาลี |
ชื่อสุวรรณอำภาเป็นมานุษย์[๒] | พระรักสุดให้เป็นมิ่งมเหสี |
ถนอมนางไว้ในปรางค์จินดาดี | ยังไม่มีบุตราธิดาดวง |
พระฟังบอกออกนามถนัดแน่ | รู้ว่าแม่ตกอยู่ในวังหลวง |
เจ้าแข็งขืนกลืนโศกไว้กลางทรวง | มโนหน่วงนิ่งนึกจำนรรจา |
ท่านทั้งหลายชายหญิงจงอยู่เถิด | ประกอบเกิดลาภนั้นจงหนักหนา |
ให้ภิญโญสุขังมังคลา | แล้วสิทธาเยื้องย่างตามทางไป |
ผู้ใดเห็นมิได้เว้นสวาทรัก | ฤๅษีน้อยงามนักจะมีไหน |
บ้างถวายบุปผาสุมาลัย | พระรับใส่ผ้าห่อจรลี |
พระสุริยาสายัณห์พอยํ่าคํ่า | เสียงฆ้องยํ่าหึ่งหึ่งในกรุงศรี |
พระหยุดยั้งนั่งหน้าศาลารี | แล้วโศกีตรึกการถึงมารดา |
แต่ชาวเมืองเลื่องลือระบือข่าว | ว่าแม่เจ้าหลงรักไอ้ยักษา |
เหมือนกุมภัณฑ์บั่นเศียรลูกมรณา | ด้วยแม่มาปนศักดิ์กับยักษ์มาร |
แต่ใจลูกผูกเชื่อพระแม่เจ้า | เห็นทูนเกล้าจะไม่หลงปลงสมาน |
แล้วคิดไปแม่ไม่อาลัยลาน | ไหนขุนมารจะเอาไว้ในไพชยนต์ |
จำจะไปให้ถึงแม่ทูนหัว | ถึงดีชั่วก็จะแจ้งในเหตุผล |
แม้นเหมือนคำไพร่ฟ้าประชาชน | ลูกจะด้นดำดินให้สิ้นปราณ |
จึงปลดเปลื้องเครื่องแปลงแล้วปลุกม้า | ให้กายาโตใหญ่ด้วยใจหาญ |
กุมพระขรรค์ศรทรงองค์กุมาร | เผ่นทะยานขึ้นพญาอาชาพลัน |
อัสดรถอนกระทืบแล้วถีบโถม | ลอยโพยมเข้าในมไหศวรรย์ |
ถึงยอดปรางค์กลางวังท้าวกุมภัณฑ์ | ลงยืนยันเหยียบยอดปราสาทยักษ์ |
พระกุมารอ่านวิทยาเวท | เดชะเดชพระมุนีผู้มีศักดิ์ |
สะกดพวกอสุราพญายักษ์ | ไม่ฟื้นพักตร์หลับเอนระเนนนอน |
ทั้งวังเวียงเสียงกรนออกโครกคราก | เหมือนศพซากกลิ้งแข็งดั่งท่อนขอน |
สงัดเสียงอสุราประชากร | พระชักแก้วอัสดรลงปรางค์พลัน |
จึงตรัสสั่งม้าทรงอันยงยิ่ง | พี่ยืนนิ่งอยู่แต่นอกอย่าผายผัน |
พระสั่งพลางทางสะเดาะทวารพลัน | กรายพระขรรค์เยื้องย่างเข้าปรางค์ทอง |
กระจ่างแจ้งแสงอัจกลับ[๓]แก้ว | ดูผ่องแผ้วโสภีไม่มีสอง |
เป็นชั้นชั้นกั้นสายวิสูตรทอง | กระหนาบช่องฉากตั้งกำบังไฟ |
แกว่งพระขรรค์ฟันสายวิสูตรขาด | เห็นนางนาฏนักสนมนอนไสว |
ระเนนหลับทับกันเป็นหลั่นไป | แสงโคมไฟส่องหน้าเป็นนวลคม |
ขวดนํ้ามันคันฉ่องกระเหม่าไต้ | เจ้าเสี้ยมไม้น้อยน้อยไว้สอยผม |
ที่ลางนางนอนสนิทลืมปิดนม | ทัดยาดมหลับอยู่กับหูนาง |
บ้างเล่นเพื่อนเบือนกายให้เพื่อนกอด | ประสานสอดกรเกี่ยวไม่ไกลข้าง |
นาสิกเสียดเบียดชิดอยู่ติดปราง | จับนมนางบ้างหลับประทับกัน |
บ้างละเมอเพ้อพูดถึงชายชู้ | น่าอดสูที่มันฉวยผ้าห่มฉัน |
บ้างหลงกอดสอดคลำขยำกัน | จนผ้าพันหลุดเลื่อนออกจากตัว |
บ้างละเมอเพ้อคว้าเที่ยวหาหวี | ไปเที่ยวลี้เพื่อนกันแล้วสั่นหัว |
บ้างละเมอตื่นนอนใส่กลอนครัว | จะแต่งตัวลายช่อไปล้อชาย |
บ้างจับผ้าคลำคลี่แล้วตีอก | เอะกระจกวางไว้ไปไหนหาย |
บ้างละเมอเพ้อว่ากับผู้ชาย | ซัดแต่ลายแล้วจะล่อให้ใครตาม |
บ้างนอนยิ้มริมฉากทำปากจุ | ที่นอนดุป่ายปีนเอาตีนข้าม |
บ้างกัดฟันกรอดเกรียวแล้วเคี้ยวกราม | ที่รูปงามหลงกล่าวเพลงยาวกลอน |
บ้างพูดเพ้อว่าเพื่อนเขาเตือนเพลาะ | พานทะเลาะวุ่นวายตะกายหมอน |
ที่ฝันเห็นว่าไปเล่นชโลทร | ละเมออ้อนว่าอย่าสาดเลยพ่อคุณ |
บ้างยื่นให้บุหรี่ว่าพี่จ๊ะ | สูบเถิดคะดีขยันของฉันฉุน |
บ้างละเมอเพ้อว่าได้การุญ | อย่าหวนหุนหักโหมประโลมลอง |
บ้างบ่นเพ้อบอกเพื่อนว่าเบือนผัน | นางคนนั้นกับผู้ชายถวายของ |
บ้างทะเลาะชิงชุ่นพี่ขุนทอง | วะหวีดร้องแล้วก็ด่าอีหน้านวล |
ที่นางเคยเชยชายสบายจิต | หลงนิมิตฝันเห็นว่าเล่นสวน |
ละเมอชี้ให้ชู้ดูลำดวน | ตะกายข่วนเพื่อนกันสำคัญคิด |
ลางอนงค์หลงดูว่าชู้ต้อง | ทำปัดป้องชักผ้าเข้ามาปิด |
บ้างหลงเพ้อเล่นเพื่อนเบือนเข้าชิด | สะบัดบิดจนกระจกนั้นตกไป |
ลางอนงค์หลงอยากเล่นหมากเก็บ | ละเมอเปาะเคาะเล็บอยู่ไหวไหว |
สบถทีว่าพี่เล่นอะไร | ไม่รักให้ดอกขี้ฉ้อเอาต่อตา |
บ้างหลงชักจ้องหน่องน้องถนอม | ทำปากรอมมือชักพยักหน้า |
ที่นักเลงเล่นสะแกแลสกา | เสมอท้าเบี้ยรับแล้วกลับรุน |
บ้างละเมอเล่นสนุกหมากรุกรบ | ยกสินธพลงประพาดพิฆาตขุน |
ก็ยกโคนขึ้นกระแทกแตกเป็นจุณ | ทำมือวุ่นเลิกหลกหัวอกกัน |
ฝูงอนงค์หลงละเมออยู่เกลื่อนกลาด | พระหน่อนาถทัศนาเกษมสันต์ |
พระยิ้มพลางแย้มเพลินดำเนินพลัน | เข้าสุวรรณห้องแก้วอันแพรวพราย |
แหวกวิสูตรรูดรอบทุกชั้นช่อง | ประทีปส่องแสงสว่างกระจ่างฉาย |
เห็นมารดรนอนแท่นพรรณราย | พระวรกายแจ่มแจ้งด้วยแสงไฟ |
พระเพ่งพิศยืนชิดอยู่ริมอาสน์ | พระหน่อนาถเศร้าจิตคิดสงสัย |
แสนสงสารมารดาให้อาลัย | ชลนัยน์ไหลนองพระพักตรา |
ซบพระเศียรโศกานิจจาเอ๋ย | พระคุณเคยเชยลูกเสน่หา |
เป็นกองกรรมวิบัติให้พลัดมา | พระพักตราเศร้าซีดสลดลง |
แล้วทรงฤทธิ์สะกิดยุคลบาท | พระนางนาฏชนนีนวลหง |
ทูลกระหม่อมจงตื่นฟื้นพระองค์ | ลูกนี้คงมาแล้วพระชนนี ฯ |
๏ ปางพระเยาวยุพินได้ยินแว่ว | จะเจื้อยแจ้วจับจิตนางโฉมศรี |
ผวาตื่นฟื้นสมประฤๅดี | พระเทวีพิศดูกุมารา |
ก็ประจักษ์ว่าเป็นอัครโอรส | แสนกำสรดสวมกอดพระกัณฐา |
ตรัสได้ดำเดียวว่าพ่อดวงตา | กัลยาก็สลบลงทันที |
พระโอรสก็ระทดพระทัยหมอง | กรประคองพลางทรงกันแสงศรี |
ให้กลุ้มกลัดอัดอั้นทั้งอินทรีย์ | แสนทวีทอดองค์กันแสงครวญ |
โอ้พระคุณทูลกระหม่อมของลูกเอ๋ย | มาละเลยลูกไว้ให้โหยหวน |
มาตัดรักหักใจไม่เห็นควร | มาเด็ดด่วนสู่สวรรคครร่ไล |
เสียแรงลูกได้พบประสบพักตร์ | ไม่ทันทักลูกเลยมาตักษัย |
ได้ฟังตรัสแต่สักหน่อยไม่น้อยใจ | ช่างกระไรตัดช่องแต่พอองค์ |
บังเกิดเหตุเพราะลูกนี้มาเฝ้า | ดูดั่งแกล้งทูนเกล้าให้ผุยผง |
ลูกมิมามารดาอยู่เอองค์ | เห็นชีวงชนนีจะยืนนาน |
คิดว่าบุญมาชุบอุปถัมภ์ | มิรู้กรรมกลับแกล้งมาสังหาร |
พระแม่ข้ามาม้วยพระชนมาน | ลูกไม่อยู่ยืนนานให้หนักดิน |
เชิญมาตัดเศียรลูกเสียยังแล้ว | ให้ลูกแก้วดับสูญชีวิตสิ้น |
ไม่รักลูกแล้วหรือพระชนนิน | จึงไม่ผินพักตร์เผยพระเสาวนีย์ |
พระรํ่าพลางซบเกศลงกับบาท | ฝ่าเท้านาฏนวลหงผู้ทรงศรี |
กันแสงกลิ้งเกลือกไปไม่สมประดี | วิสัญญีเสือกซบสลบลง |
ฝ่ายเทพเทวาสุราฤทธิ์ | อันสถิตปรางค์มาศเรืองระหง |
แสนสงสารขัตติยาวราพงศ์ | ให้พิศวงสวาทเพียงขาดใจ |
จึงบันดาลฝนฝอยให้ฟุ้งฟ้า | ในเพลาจวบจวนประจุสมัย |
สองกระษัตริย์ฟื้นองค์ขึ้นทันใด | อรไทรับขวัญพระลูกยา |
โอ้พ่อเอ๋ยแม่นี้หมายว่าตายแล้ว | แต่พลัดพรากลูกแก้วเสน่หา |
ทุกคืนคํ่าพรํ่ากินแต่นํ้าตา | ด้วยยักษาพาพรากมาจากกัน |
จะปลุกเจ้าเท่าไรไม่ฟื้นองค์ | แทบจะปลงชีพไว้ในไพรสัณฑ์ |
ครั้นมารดาจะมิมาด้วยกุมภัณฑ์ | มันจะฟันลูกให้บรรลัยลาญ |
จึงจำเป็นจำทิ้งเจ้ามิ่งแม่ | เป็นกรรมแท้จากไปให้สงสาร |
ยักษ์มันพาแม่มาในดงดาน | แม่ปิ้มปานตายลงในพงพี |
แม่มาพบวานรที่เชิงผา | ฝากภูษาผ้าทรงกระบี่ศรี |
หวังว่าพ่อตามหาพระชนนี | ได้ภูษาผ้าสีจะตรงมา |
พ่อเนื้ออุ่นบุญช่วยพ่อร้อยชั่ง | ชีวิตยังคงคืนมาเห็นหน้า |
พระลูกเอ๋ยน่าสงสารพระมารดา | มาอยู่ในหัตถาพญายักษ์ |
ไม่เป็นอันแต่งองค์สรงเสวย | พระลูกเอ๋ยแม่วิตกเพียงอกหัก |
ถึงสมบัติสักเท่าไรแม่ไม่รัก | พญายักษ์ยกให้พระมารดา |
แล้วขุนยักษ์รักแม่จะอภิเษก | ให้เป็นเอกพระสนมทั้งซ้ายขวา |
แม่ตั้งสัจอธิษฐานด้วยสัจจา | อสุรามิได้ร่วมภิรมย์รัก |
ไฉนเล่าเจ้าจึงมาถึงนคเรศ | พ่อดวงเนตรจงแถลงแจ้งประจักษ์ |
แต่มารดามาอยู่ในเมืองยักษ์ | เป็นทุกข์นักกลัวว่าพ่อจะมรณา ฯ |
๏ ลักษณวงศ์ทรงฟังพระชนนี | ค่อยยินดีเล่าความที่โหยหา |
เมื่อลูกตื่นฟื้นกายจากไสยา | เที่ยวแลหาชนนีไม่เห็นเลย |
อันยากแค้นแสนทุกข์ของลูกแก้ว | สุดอยู่แล้วเจ้าประคุณของลูกเอ๋ย |
เมื่อมาทางกลางไพรไม่เสบย | บุญไม่เคยบรรลัยในไพรพนม |
ได้เจ็ดวันดั้นเดินในไพรสาณฑ์ | พบฤๅษีมีหลานอยู่อาศรม |
ลูกอาศัยพระก็ให้เรียนอาคม | แจ้งอารมณ์การรบได้ครบครัน |
พระจึ่งให้พาชีอันมีฤทธิ์ | ประสาทประสิทธิ์ศิลป์ศรพระแสงขรรค์ |
บอกทิศาให้มาเมืองกุมภัณฑ์ | ลูกขึ้นกัณฐัศว์เหาะจำเพาะทาง |
พบลิงไพรให้ผ้าในป่าชัฏ | ก็เร่งรัดรีบมาในป่ากว้าง |
ถึงเมืองยักษีชักม้าลงหน้าปรางค์ | จนถึงข้างบรรจถรณ์พระมารดา |
จะแก้แค้นแทนทำให้หนำจิต | ล้างชีวิตเสียทั้งโคตรไอ้ยักษา |
เยาวมาลย์ฟังสารพระลูกยา | จึงวอนว่าห้ามปรามพระทรามเชย |
พ่อจะด่วนหักหาญเข้าผลาญยักษ์ | ลูกยังเด็กเล็กนักเจ้าแม่เอ๋ย |
จะรบพุ่งชิงชัยยังไม่เคย | อย่าคิดเลยลูกรักจงหักใจ |
ชาติก่อนกรรมทำไว้แก่เขานี่ | มาชาตินี้เขาจึ่งตามมาทำได้ |
ใช้ชาติกันแต่เท่านั้นเถิดดวงใจ | พ่อพาแม่หนีไปให้พ้นยักษ์ |
อันรากโษสโกฏิแสนทั้งกรุงศรี | ล้วนฤทธีเชี่ยวชาญเคยหาญหัก |
แต่พ่อกับอัสดรเห็นอ่อนนัก | พระลูกรักฟังแม่อย่าหมิ่นความ |
เจ้าประคุณทูนเกศของลูกรัก | ถึงมาสักโกฏิแสนไม่เข็ดขาม |
ลูกเรียนรู้ครูสอนการสงคราม | ไม่ครั่นคร้ามยักษาอย่าอาวรณ์ |
ถึงมันมีฤทธิรงค์ทำองอาจ | เศียรจะขาดลงด้วยพระแสงศร[๔] |
แต่ตัวข้ากับพญาอัสดร | ขอราญรอนรบรับกับกุมกัณฑ์ |
พ่อร้อยชั่งฟังแม่เถิดลูกแก้ว | แม่คิดแล้วยังไม่ควรจะหุนหัน |
เป็นบุญเราแม่ลูกเคยผูกพัน | มาพบกันแล้วมิควรจะกวนใจ |
แม้นแม่ห้ามเจ้าไม่ตามอารมณ์แม่ | เห็นเที่ยงแท้มารดาจะตักษัย |
แม้นเอ็นดูมารดาจงพาไป | ให้พ้นภัยอสุรีมันบีฑา ฯ |
๏ ลักษณวงศ์ทรงฟังพระแม่ห้าม | ขืนสงครามก็จะเคืองเป็นหนักหนา |
เจ้าบังคมก้มกราบพระบาทา | พระมารดาห้ามแล้วก็จนใจ |
เชิญแต่งองค์ทรงเครื่องให้เสร็จสรรพ | จะรีบกลับอย่าให้ทันปัจจุสมัย |
แต่ในจิตยังคิดจะชิงชัย | เห็นแม่ไปแต่งองค์ทรงอาภรณ์ |
พระแฝงม่านมาหน้าบัญชรรัตน์ | หน่อกระษัตริย์จารีกเรื่องอักษร |
ให้ยักษีรี้พลไปราญรอน | จะหยุดหย่อนคอยอยู่พนาวา |
ลงลิขิตสารเสร็จเสด็จกลับ | หวังจะรับพระชนนีพันวสา |
ส่วนโฉมยงองค์เทพอำภา | พระนางทอดทัศนาสนมใน |
แต่ล้วนข้าสาวสนิทที่ชิดบาท | เคยประภาษใช้ชอบอัชฌาสัย |
พระนางนาฏทัศนายิ่งอาลัย | สะอื้นไห้กันแสงแสนทวี |
โอ้สาวสรรค์กัลยานิจจาเอ๋ย | แม่ได้เคยใช้สอยเกษมศรี |
จงค่อยอยู่เป็นสุขทุกนารี | แม่จักจรลีอำลาไป |
ลักษณวงศ์เห็นองค์พระมารดา | แสนโศกาเศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
เกือบอรุณเรืองฟ้าจะช้าไป | ทูลพิไรจะให้รีบเสด็จพลัน |
พระทูนเกล้าเล่าลูกนี้ทุกสิ่ง | ก็เห็นจริงแล้วที่ทรงกันแสงศัลย์ |
หรือเคยเสวยสุขสว่างปรางค์สุวรรณ | จะไม่ครรไลแล้วลูกขอลา |
ลูกจะคิดสงครามก็ห้ามไว้ | เห็นพระทัยแล้วที่ชังท้าวยักษา |
เสด็จไปเถิดเป็นไรพระมารดา | พระสุริยาจวนรุ่งจำรัสเรือง |
พระเทพีได้สดับสะดุ้งจิต | สว่างคิดที่กำสรดค่อยปลดเปลื้อง |
จึงตรัสตอบปลอบไปมิให้เคือง | พ่อขวัญเมืองเจ้าไม่แจ้งในใจเลย |
แม่สงสารกำนัลจึ่งกันแสง | พ่ออย่าแหนงข้อนั้นนะลูกเอ๋ย |
อย่าให้ทรวงแม่ช้ำด้วยคำเคย | พ่อทรามเชยชังแม่หรือจึ่งพาที |
หน่อกระษัตริย์ฟังตรัสก็เกรงโกรธ | อ่อนศิโรตม์ลงประณตบทศรี |
รับอภัยใส่เศียรด้วยเปรมปรีดิ์ | ประโลมดวงฤดีพระมารดา |
แล้วเชิญชวนชนนีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์รับขวัญโอรสา |
แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องอลงการ์ | ลินลามาจากแท่นสุวรรณพลัน |
ถึงทวารพระกุมารร้องเรียกม้า | บอกอาชาตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
ฝ่ายพาชีดีใจด้วยแจ่มจันทร์ | เอาเศียรนั้นจบบาทนางเทวี |
นางลูบเศียรอัสดรสุนทรปลอบ | แม่ขอขอบใจสินธพอันเรืองศรี |
เจ้าเชื้อชายฝ่ายแม่เป็นสตรี | จะขอขี่ลูกยาช่วยพาไป |
อัสดรอ่อนเศียรลงจบบาท | พระนางนาฏยิ้มแย้มอยู่แจ่มใส |
ให้ลูกน้อยนั่งหน้าอาชาไนย | นางทรามวัยนั่งหลังพระลูกยา |
สินธพทรงเหาะตรงขึ้นกลางหาว | พอเดือนดาวบ่ายคล้อยพระเวหา |
คว้างคว้างดั่งวายุพัดพา | อาชาม้าลับเมืองกุมภัณฑ์พลัน |
พอรุ่งรางสว่างพื้นเวหาหน | สุริยนเปล่งแสงในไพรสัณฑ์ |
ถึงเขาขวางกลางเนินพนมวัน | ชื่อประจันตคิรีอร่ามงาม |
กุมาราทัศนาเนินสิงขร | พอจะผ่อนรับรองที่ท้องสนาม |
ประกอบได้ชัยภูมิในสงคราม | พระโฉมงามชักแก้วกัณฐัศว์ลง |
ถึงยอดเนินเชิญชนนีนาฏ | ยัวรยาตร[๕]หยุดในไพรระหง |
จึงทูลสารมารดาโดยจำนง | ลูกเห็นองค์อสุราจะมาตาม |
ถึงจะไปไหนเลยจะพ้นยักษ์ | ด้วยเหนื่อยนักก็จะพลั้งลงกลางสนาม |
จะผ่อนแรงแผลงฤทธิ์รับสงคราม | จะเข็ดขามอสุราก็น่าอาย |
พระนางนาฎฟังราชโอรส | ให้ระทดหฤทัยนางโฉมฉาย |
พระกรกอดยอดรักไว้แนบกาย | ก็ฟูมฟายชลเนตรลงนองพักตร์ |
เจ้าโฉมงามทรามสวาทของแม่เอ๋ย | พ่อทรามเชยลูกน้อยยังอ่อนศักดิ์ |
การณรงค์องค์เดียวเห็นเปลี่ยวนัก | พระลูกรักฟังแม่อย่าหมิ่นใจ |
อันกุมภัณฑ์มันมาไม่มีน้อย | ล้วนนับร้อยหมื่นแสนอสงไขย |
เหมือนวารีมีน้อยย่อมแพ้ไฟ | แม่หนักใจด้วยว่าเจ้าผู้เดียวมา |
เจ้าประคุณทูนเกศของลูกแก้ว | รู้อยู่แล้วว่ายักษ์มันหนักหนา |
สักโกฏิแสนแม้นมีให้มันมา | ลูกจะฆ่าเสียให้ยับระยำลง |
ถึงเป็นเด็กเหล็กเพชรไม่ถอยหลัง | จะเจาะพังภูผาให้ผุยผง |
เชิญเสด็จมารดรเข้าซ่อนองค์ | ในเวิ้งวงคูหาพนาลี |
ลูกจะเสกแผ่นผาศิลาทับ | ให้หลีกลับอยู่ในหว่างคิรีศรี |
อย่าทัดทานการศึกจะเสียที | แค้นคราวนี้พ่างเพียงหัวอกพัง |
นางฟังลูกผูกแค้นไอ้ขุนยักษ์ | จะหน่วงหนักห้ามปรามไม่ถอยหลัง |
ให้สุดจิตสุดคิดสุดกำลัง | มิตามมั่งลูกน้อยจะน้อยใจ |
นางกอดจูบลูบไล้ประโลมปลอบ | พ่อเห็นชอบแล้วก็ตามอัชฌาสัย |
คิดว่าแล้วก็ให้แคล้วแล้วกันไป | พ่อจะใคร่สงครามก็ตามที ฯ |
๏ พระฟังสารมารดาไม่ข้องขัด | หน่อกระษัตริย์ปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ศิโรราบกราบบาทพระชนนี | อย่าช้าทีกุมภัณฑ์จะตามมา |
เจ้าทูลพลางทางจูงแก้วกัณฐัศว์ | สองกระษัตริย์เสด็จเข้าในคูหา |
ดูกว้างขวางว้างเวิ้งเพิงศิลา | ทัศนาเพลิดเพลินเจริญใจ |
ถึงกลางถํ้ามีแท่นแสนสะอาด | ดูโอภาสเพิงผาน่าอาศัย |
เห็นชอบกลพ้นพวกอรินภัย | สำราญใจเชิญชวนพระชนนี |
ให้ทรงนั่งเหนือบัลลังก์ศิลาลาด | เจ้ากราบบาททูลสั่งนางโฉมศรี |
ลูกจะกลับออกไปรับอสุรี | พระชนนีจงสถิตในถํ้าทอง |
อย่าหวาดหวั่นพรั่นพวกไอ้รากโษส | ถึงแสนโกฏิมันจะมาให้กึกก้อง |
เหมือนแมงเม่า[๖]เข้ากลางอัคคีกอง | ให้เลือดนองลงเหมือนน้ำในลำธาร |
นางรับขวัญรำพันพระพรให้ | เดโชชัยสุทธิแรงกำแหงหาญ |
จงกำจัดสารพัดที่ภัยพาล | ให้หมู่มารม้วยมิดด้วยฤทธา |
ชุลีกรรับพรขึ้นใส่เกล้า | พระแม่เจ้าจงสำราญในคูหา |
แล้วตั้งพักตร์ทักษิณพระมารดา | ได้สามคราตามธรรมเนียมประเพณี |
เจ้าออกจากปากถํ้าที่สถิต | เสกผนิด[๗]ด้วยพระเวทอันเรืองศรี |
แล้วสำเร็จเสด็จมากับพาชี | ขึ้นอยู่ยอดคีรีสำราญกาย |
ลมระเรื่อยเฉื่อยเชยมาชื่นชื่น[๘] | ภิรมย์รื่นอยู่ริมเพิงศิลาผาย |
กับพญาม้าแก้วผู้เพื่อนตาย | เขม้นหมายคอยท่าพญามาร ฯ |
[๑] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “ทรงระลึกตรึกตรองทำนองทาย”
[๒] มานุษย์ = มนุษย์
[๓] อัจกลับ = ไฟชั้น โคมแขวนมีพู่ห้อย
[๔] สมุดไทยเลขที่ ๑๔ ว่า “เศียรจะขาดลงด้วยคมพระแสงศร”
[๕] ยัวรยาตร = ยวรยาตร แผลงมาจาก ยุรยาตร
[๖] แมงเม่า = แมลงเม่า
[๗] ผนิด แปลว่า ปิด
[๘] สมุดไทยเลขที่ ๑๔ ว่า “ลมระเรื่อยเฉี่ยวฉิวมาชื่นชื่น”