๏ ขอยกบทงดเรื่องในเมืองยักษ์ |
กล่าวถึงลักษณวงศ์โอรสา |
เย็นระยับอับแสงพระสุริยา |
ที่มนตราตรึงกายก็คลายองค์ |
วิเวกเสียงปักษีชะนีโหย |
พฤกษาโบยโกญจนาป่าระหง |
ผวาตื่นฟื้นสมประดีคง |
ไม่เห็นองค์ชนนีที่เคียงนอน |
ให้เสียวเสียวเหลียวหาในป่าใหญ่ |
เสียงเรไรหริ่งหริ่งริมสิงขร |
ยะเยือกเย็นเส้นหญ้าวนาดร |
ยิ่งอาวรณ์หวั่นหวั่นพรั่นพระทัย |
เจ้ากู่ก้องร้องเรียกตะโกนหา |
พระมารดาจรดลไปหนไหน |
ยิ่งเรียกเรียกก็ยิ่งเงียบสงัดไป |
แสงอุทัยมืดมืดเข้าหมอกมัว |
พระสุรเสียงสำเนียงสนั่นแจ้ว |
ลูกตื่นแล้วมาเถิดแม่ทูนหัว |
แม่ไปไหนให้ลูกอยู่แต่ตัว |
ลูกเกรงกลัวเสือสิงห์มันวิ่งมา |
เจ้าครวญคร่ำรํ่าเรียกจนสุดเสียง |
เที่ยวมองเมียงตามสุมทุมพุ่มพฤกษา |
ยิ่งแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าในหิมวา |
เจ้าโศกากัมปนาทเพียงขาดใจ |
ทูลกระหม่อมจอมโลกของลูกเอ๋ย |
ลูกแลไม่เห็นเลยไปอยู่ไหน |
หรือเกิดเหตุเภทพาลประการใด |
แม่บรรลัยจากลูกเมื่อนิทรา |
หรือเสือสิงห์ผีสางที่กลางชัฏ |
มาขบกัดกินเล่นเป็นภักษา |
แม้นมอดม้วยด้วยสัตว์มันบีฑา |
พระมังสาเลือดเนื้อจะเรี่ยราย |
หรือหัสดินอินทรีมาโฉบฉาบ |
พิฆาตคาบซากศพไปสูญหาย |
จึงทอดทิ้งลูกไว้ให้ไกลกาย |
ไม่วอดวายหรือพระแม่จะจากจร |
โอ้สงสารผ่านเกล้าเจ้าประคุณ |
มาสิ้นบุญเสียจริงริมสิงขร |
อุตส่าห์เซซังมาในป่าดอน |
พอหยุดนอนลงวันนี้ก็มีภัย |
เมื่อแรกหยุดไสยาเวลาเช้า |
จนตราบเท่าสิ้นแสงพระสุริย์ใส |
ไม่พลิกฟื้นตื่นเลยประหลาดใจ |
แล้วรํ่าไรกลิ้งเกลือกลงโศกา |
เจ้าประคุณทูลเกศของลูกเอ๋ย |
มาละเลยลูกไว้ให้โหยหา |
จะตายเป็นมิได้เห็นพระมารดา |
นี่เนื้อว่ากองกรรมมาจำเป็น |
พระสุริยงก็ลงไปลับแล้ว |
พระแม่ทูลกระหม่อมแก้วไม่แลเห็น |
ยิ่งพลบค่ำก็ยิ่งยํ่ายะเยือกเย็น |
ยิ่งเขม้นก็ยิ่งมืดลงมัวดง |
วังวังสังเวชริมเวิ้งเขา |
สงัดเหงาหิมวาป่าระหง |
สะอื้นอั้นรันทดระทวยองค์ |
สลบลงแน่นิ่งไม่ติงกาย |
พอสิ้นแสงสุริยาในอากาศ |
ก็โอภาสจันทร์แจ่มจำรัสฉาย |
นํ้าค้างโรยโปรยปรายกระจายพราย |
พระพายชายพัดเชยรำเพยพาน |
เสาวคนธ์หล่นโรยมารื่นรื่น |
เจ้าพลิกฟื้นวรองค์น่าสงสาร |
ไม่เห็นองค์มารดายุพาพาล |
ยิ่งแดดาลเดือดดิ้นอยู่โดยเดียว |
เห็นสิ้นบุญแล้วพระทูลกระหม่อมแม่ |
ลูกแลแลก็ยิ่งสุดนัยน์ตาเหลียว |
จะอยู่ไยในดงแต่องค์เดียว |
จะท่องเที่ยวติดตามไปตามบุญ |
แล้วยกหัตถ์วันทาเทพารักษ์ |
ที่สำนักลำเนาภูเขาขุน |
แม้นมารดาข้าบาทไม่สิ้นบุญ |
ขอพระคุณอย่าให้แคล้วหนทางเดิน |
พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรากพราก |
เสด็จจากสิงขรชะง่อนเขิน |
จะแลเหลียวลิงโลดสันโดษเดิน |
ด้วยแสงจันทร์แจ่มจำเริญในราวไพร |
ค่อยลอดลัดดัดเดินมากลางดง |
กันแสงทรงโศกปิ้มจะตักษัย |
พระพายพัดกวัดกิ่งพฤกษาไทร |
เห็นเงาไม้หมายเหมือนพระชนนี |
วิ่งผวาคว้ากอดเอากิ่งแก้ว |
เห็นผิดแล้วดังจะล้มลงกับที่ |
แล้วแข็งขืนฟื้นสมประฤๅดี |
เจ้าโศกีลัดลอดลินลามา |
เสียงกระหึมครึมครางฝูงช้างโขลง |
ทั้งผีโป่งปู่เจ้าลำเนาผา |
เสียงอุโฆษโขมดเกริ่นเนินวนา |
กุมารากัมปนาทเพียงขาดใจ |
จนดาวเดือนเลื่อนลับภูเขาแก้ว |
เสียงแจ้วแจ้วไก่ขันอยู่หวั่นไหว |
เหมือนเสียงแม่แลเหลียวละลานใจ |
เป็นเสียงไก่วังเวงบรรเลงลอย |
หยุดสะอื้นขืนจิตคิดระทด |
นํ้าพระเนตรไหลหยดลงผ็อยผ็อย |
พระสุริยงทรงเวชยันต์ลอย |
สว่างพร้อยพุ่มพฤกษ์อยู่พรายพราย |
สงสารลักษณวงศ์ทรงกันแสง |
ไม่รู้แห่งทางไปให้ใจหาย |
บาทระยำยับย่อยเป็นรอยราย |
ค่อยทรงกายเซซังมากลางดง ฯ |
๏ ขอยกเรื่องกล่าวเนื่องถึงดาวบส |
อันทรงพรตอยู่ในไพรระหง |
ตบะกิจฤทธิ์เรืองจำเริญองค์ |
หนังเสือทรงผูกชฎาประคำคล้อง |
พระมุนีมีนามมหาเมฆ |
อดิเรกฤทธีไม่มีสอง |
สำรวมฌานมัสการพระเพลิงกอง |
อยู่ในห้องหิมวาพนาลี |
เธอได้นางกลางสัตตบงกช |
พระดาวบสเลี้ยงไว้ในไพรศรี |
หอมรำจวนนวลเนื้อกุมารี |
ดั่งมาลีเสาวรสเรณูนวล |
พระฤๅษีมีศักดิ์ก็รักใคร่ |
ให้อยู่ในอาศรมสุดสงวน |
จนประมาณนานเนิ่นจำเริญนวล |
อายุล้วนแปดขวบประจวบกัน |
จึงตั้งนามตามศักดิ์สายสมร |
ชื่อทิพเกสรสาวสวรรค์ |
พระสิทธาหาเลี้ยงทุกคืนวัน |
อยู่ในบรรณศาลาสิทธาจารย์ |
ครั้นรุ่งเช้าดาวบสจะเข้าป่า |
แสวงหาผลไม้ในไพรสาณฑ์ |
จึงสอนแก้วกัลยายุพาพาล |
เยาวมาลย์แม่อย่าไปไกลศาลา |
ชิงช้าตาผูกไว้จงไกวเล่น |
เวลาเย็นแล้วอย่าลืมเก็บบุปผา |
ครั้นเสร็จสอนคอนคานสาแหรกคลา |
เข้าสู่ป่าตามเพศพระชีไพร ฯ |
๏ จะกล่าวถึงลักษณวงศ์พงศ์กระษัตริย์ |
โทมนัสเศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
ได้เจ็ดวันดั้นเดินผู้เดียวไป |
พอเกือบใกล้อาศรมก็สุดแรง |
เห็นศาลาหน้ามุขตระหง่านเงื้อม |
ดูละเลื่อมเหลืองแลระยับแสง |
มีเสาหงส์ธงปลิวอยู่กลางแปลง |
ให้คลางแคลงสงสัยอยู่ไปมา |
นี่อาศรมฤๅษีหรือผีสร้าง |
อยู่ที่กลางวุ้งเวิ้งชะวากผา |
ถึงตายเป็นก็ให้เห็นประจักษ์ตา |
กุมารารีบไปในไพรวัน |
ถึงกุฎีฤๅษีริมสิงขร |
เห็นนางทิพเกสรสาวสวรรค์ |
กุมารีศรีสวัสดิ์วิไลวรรณ |
อยู่หน้าบรรณศาลาเอกากาย |
ไม่เห็นองค์ทรงศักดิ์พระนักสิทธ์ |
นิ่งพินิจนึกในพระทัยหมาย |
อันนักสิทธ์ย่อมสถิตอยู่เดียวดาย |
เหมือนนิยายเล่าไว้แต่ไรมา |
อาศรมนี้ก็เป็นที่ฤๅษีแล้ว |
ไยนางแก้วจึงมาอยู่น่ากังขา |
จะว่าคู่สู่สมภิรมยา |
ดูกานดาเด็กนักไม่ควรความ |
จะนิ่งอยู่ไหนจะรู้เนื้อความเล่า |
จำจะเข้าให้ใกล้ได้ไถ่ถาม |
แล้วตรงมาศาลาพังงางาม |
เจ้าถามตามประสาเด็กด้วยยินดี |
นี่แน่นางใครมาสร้างพระอาศรม |
ของทรามชมหรือของพระฤๅษี |
ก็ผู้ใหญ่ไปไหนไม่เห็นมี |
อยู่กุฎีองค์เดียวน่าเปลี่ยวใจ ฯ |
๏ ปางทิพเกสรบวรนาฏ |
เห็นองค์ราชกุมารมาปราศรัย |
เป็นกุศลคู่สร้างแต่ปางไกล |
ให้มีใจโสมนัสสวัสดี |
จึงตอบความตามเด็กไม่ขวยเขิน |
พี่ช่างเดินมาได้ในไพรศรี |
ตัวคนเดียวเที่ยวเดินในพงพี |
ไม่กลัวผีเสือช้างช่างกล้าครัน |
นี่อาศรมพ่อตาข้าสร้างไว้ |
ท่านยังไปเที่ยวเก็บพฤกษาฉัน |
มานั่งนี่เถิดพี่ได้พูดกัน |
ทั้งเผือกมันของข้ายังถมไป |
หน่อกระษัตริย์ฟังสารสำราญจิต |
เข้านั่งชิดกัลยาแล้วปราศรัย |
แม่อารีดีจริงพี่ขอบใจ |
จะเล่าให้แจ้งความแต่ตามตรง |
พี่ชื่อลักษณวงศ์พงศ์กระษัตริย์ |
จากสมบัติมาในไพรระหง |
กับมารดรนอนค้างอยู่กลางดง |
เมื่อฟื้นองค์หาแม่ไม่เห็นเลย |
ตัวคนเดียวเที่ยวมาในป่าสูง |
เห็นแต่ฝูงสิงสัตว์แลน้องเอ๋ย |
แสนกันดารบ้านเมืองไม่มีเลย |
อดเสวยข้าวน้ำระกำครัน |
พี่โหยหิวโรยแรงมานานนัก |
แทบว่าจักบรรลัยในไพรสัณฑ์ |
พระฤๅษีดีดอกหรือดุดัน |
อยู่ด้วยกันยังจะได้หรือไฉยา ฯ |
๏ นางฟังเล่าเข้าใจให้สงสาร |
เจ้าลบลานเข้าไปเลือกลูกพฤกษา |
ทั้งม่วงปรางนางหยิบมานานา |
แสบท้องมากินเถิดอย่าเกรงใจ |
พระฤๅษีใจดีไม่ดุดอก |
จะช่วยบอกพ่อตาให้อาศัย |
ได้วิ่งเล่นเย็นเช้าสบายใจ |
เก็บดอกไม้ถวายตาเพลาเย็น |
ชิงช้าตาผูกไว้ที่ต้นแก้ว |
พี่กินแล้วข้าจะพาไปไกวเล่น |
พี่เคยไกวหรือว่าไกวยังไม่เป็น |
พี่แลเห็นแล้วหรือที่ตรงนี้ไป ฯ |
๏ พระฟังนางค่อยสว่างที่ความทุกข์ |
พลอยสนุกยิ้มแย้มอยู่แจ่มใส |
มากินของด้วยกันหน่อยจึงค่อยไป |
แล้วทรามวัยเจ้าเสวยทั้งสององค์ |
จนอิ่มหนำสำเร็จสำรวลสรวล |
พระเชิญชวนจูงนางนวลหง |
ไหนชิงช้าพาไปเถิดโฉมยง |
แล้วสององค์เดินเรียงมาเคียงกัน |
ขึ้นชิงช้าหาเชือกทำสายชัก |
ทั้งพระลักษณวงศ์สาวสวรรค์ |
ช้าเจ้าหงส์ส่งเสียงประสานกัน |
ดังจักจั่นแจ้วแจ้วในดงดอน |
ไม่ขวยเขินด้วยสองยังเด็กนัก |
อารมณ์รักเหมือนเพื่อนสโมสร |
จนบ่ายแสงสุริย์ศรีวรีวร |
ชวนกันจรลงสรงพระคงคา |
แล้วโฉมงามทรามสงวนนวลหง |
ชวนพระลักษณวงศ์เก็บบุปผา |
ที่ปลูกไว้ใกล้บรรพศาลา |
เก็บจำปาพุทธชาดอัญชันปน |
ยี่สุ่นแซมแกมกับชมพูเทศ |
การะเกดชุมแสงทั้งสร้อยสน |
บ้างหล่นกลาดดาษกลางแผ่นดินดล |
เสาวคนธ์รื่นรสเรณู |
พระเก็บพุดหยุดยื่นให้โฉมศรี |
กุมารีรับจากหัตถ์แล้วทัดหู |
เก็บสุกรมชมชื่นแล้วยื่นชู |
สำรวลเรียงเคียงคู่กันสองรา |
แล้วชวนกันผันผายมาอาศรม |
สองภิรมย์นั่งร้อยพวงบุปผา |
เวลาด่วนจวนเจ้าพ่อตามา |
ทั้งสองราเล็งแลชะแง้คอย ฯ |
๏ จะกล่าวถึงบาทบงสุ์พระทรงพรต |
เที่ยวเลี้ยวลดเลือกหาพฤกษาสอย |
ได้กล้วยกล้ายหลายพรรณทั้งมันกลอย |
ตะวันคล้อยกลับมาศาลาลัย |
ถึงกุฎีพระฤๅษีก็ปลงหาบ |
กุมารกราบพระสิทธานํ้าตาไหล |
พระสิทธาทัศนาเห็นหน่อไท |
ไม่แจ้งใจจึ่งถามเนื้อความพลัน |
กุมารานี่มาแต่ไหนเล่า |
ช่างเท่าเท่ากับเกสรสาวสวรรค์ |
หน่อกระษัตริย์มัสการพระทรงธรรม์ |
กันแสงศัลย์เล่าเรื่องแต่แรกมา |
พระมารดาข้าพลัดกำจัดจาก |
ความลำบากหลานรักนี้หนักหนา |
พบพระองค์จงช่วยชูชีวา |
ขอศึกษาเป็นศิษย์พระทรงญาณ ฯ |