- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
๏ ปางพระหน่อนฤบาลชำนาญศร | ฤทธิรอนเฟื่องฟ้าทุกราศี |
เห็นพหลพลยักษ์เข้าภักดี | พระจึงมีพจนารถประภาษพลัน |
ว่าเหวยเหวยอสุรินสิ้นทั้งหลาย | อันเจ้านายของมึงก็อาสัญ |
เอ็งนอบน้อมยอมถวายบังคมคัล | จะโปรดพวกกุมภัณฑ์ให้พ้นตาย |
จงจัดแจงแต่งตั้งพลับพลาสี | ริมคิรีท้องธารกระแสสาย |
จะเชิญเสด็จมารดรผ่อนสบาย | แล้วแบ่งพลนิกายไปกรุงไกร |
แต่งม้ารถคชสารทหารแห่ | ทั้งสังข์แตรดนตรีปี่ไฉน |
แสนสุรางค์นางสนมกำนัลใน | มารับเราเข้าไปในพารา |
อันซากศพอสุรินทร์สิ้นชีวิต | เอ็งแจ้งกิจญาติวงศ์ของยักษา |
กูยกให้ตามใจเจตนา | จะปลงศพอสุราก็ตามที |
อำมาตย์มารกรานกราบหน่อกระษัตริย์ | มาเกณฑ์จัดแบ่งพลของยักษี |
ให้ไปแจ้งกิจจาในธานี | เหมือนอย่างมีเทวราชพระบัญชา |
ที่พวกทัพกลับเมืองก็กลับหลัง | ไม่รอรั้งรีบไปในเวหา |
ที่ไหนไพร่ตัดไม้ปลูกพลับพลา | บ้างเกี่ยวคากรองแฝกแยกกันไป |
ครั้นเสร็จสรรพพลับพลาในป่ากว้าง | ริมระหว่างธารท่าชลาไหล |
หน่อกระษัตริย์เบิกบานสำราญใจ | ก็ชวนมิ่งมโนมัยลินลามา |
ถึงถํ้าแก้วแล้วเปิดศิลาปิด | พระทรงฤทธิ์เสด็จเข้าในคูหา |
ยกพระบาทยาตรเยื้องชำเลืองมา | พระมารดาเห็นลูกก็ดีใจ |
นางผวามารับโอรสราช | ขึ้นนั่งอาสน์ศิลาแล้วปราศรัย |
พ่อรบกับยักษ์มารประการใด | แม่เอาใจจิตผูกถึงลูกรัก |
สนั่นเสียงเพียงถํ้าจะควํ่าทรุด | แม่แสนสุดวิตกเพียงอกหัก |
แล้วเงียบไปใจแม่นี้ทึกทัก | กลัวลูกรักเจ้าจะอัปราชัย ฯ |
๏ พระฟังสารมารดรแล้วอ่อนเกศ | จึ่งยกเหตุทูลแจ้งแถลงไข |
ลูกสงครามครั้งนี้ก็มีชัย | ท้าวกุมภัณฑ์บรรลัยด้วยฤทธี |
ที่เหลือตายยอมถวายนครยักษ์ | ให้ลูกรักเข้าไปครองบุรีศรี |
ลูกจึ่งเกณฑ์อสุราไปธานี | ให้คดีลือเลื่องทั้งเมืองยักษ์ |
แล้วให้กลับมารับทั้งรถรัตน์ | ตามกระษัตริย์จอมเจิมเฉลิมศักดิ์ |
เชิญเสด็จมารดาอย่าช้านัก | ไปหยุดพักอยู่เพียงพลับพลาพลาง ฯ |
๏ เยาวมาลย์ฟังสารพระลูกเล่า | พระทัยเจ้าคลายร้อนที่หมองหมาง |
เข้ากอดจูบลูบไล้พระปฤษฎางค์ | นุชนางรับขวัญรำพันชม |
พ่อล้างผลาญมารร้ายวายชีวิต | ดูเรืองฤทธิ์กับที่รูปไม่เห็นสม |
แต่ตกยากจากอกแล้วอดนม | บุญนิยมจึงได้รอดไม่วอดวาย |
สองกระษัตริย์โสมนัสอยู่เหนืออาสน์ | แล้วนางนาฏชวนลูกให้ผันผาย |
เสด็จจากแท่นแก้วอันแพรวพราย | ทั้งโฉมฉายลูกยาอาชาไนย |
ค่อยย่องเหยียบเลียบริมคิรีศรี | มาถึงที่พลับพลาที่อาศัย |
สองพระองค์ตรงขึ้นพลับพลาไชย | เข้าห้องในนั่งแท่นแสนสำราญ |
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยง | จะเลี้ยวลงลับไม้ในไพรสาณฑ์ |
ลมพระพายชายพัดรำเพยพาน | ผกากาญจน์เกสรขจรโปรย |
วิเวกเสียงปักษีชะนีน้อย | ขึ้นโหนห้อยกกิ่งไม้พิไรโหย |
นํ้าค้างย้อยปรอยปรายกระจายโปรย | ก็รื่นโรยรสเร้าเสาวคนธ์ |
นางนอนแนบแอบองค์โอรสราช | บุปผชาติชื่นใจในไพรสณฑ์ |
ฝ่ายอำมาตย์ยักษาบรรดาพล | ครั้นสุริยนยํ่าฆ้องก็กองไฟ |
เป็นหมู่หมวดตรวจเตรียมกันพรั่งพร้อม | ระวังล้อมรอบพลับพลาที่อาศัย |
สองกระษัตริย์โสมนัสบรรทมใน | ก็หลับใหลไสยาสน์บนอาสน์ทอง ฯ |
๏ จะกล่าวถึงกองทัพที่กลับหลัง | โดยกำลังเหาะทะยานผันผยอง |
บรรลุถึงกรุงไกรดังใจปอง | ตรงลงท้องพระโรงรัตน์ชัชวาล |
ทั้งในนอกบอกความกันตามเรื่อง | พระมิ่งเมืองบรรลัยอยู่ไพรสาณฑ์ |
ทั้งสาวสรรค์กัลยาวงศามาร | ได้แจ้งการตรอมจิตคิดรำจวน |
พิไรรํ่ากำสรดออกแซ่เสียง | สำเนียงเพียงลมเพชรหึงหวน |
สะอึกสะอื้นกลืนกลั้นรัญจวนครวญ | ก็ปั่นป่วนอยู่ในท้องพระโรงรี |
แต่พลบคํ่ายํ่าฆ้องเฝ้าร้องไห้ | จนอุทัยรุ่งรางสว่างศรี |
ฝ่ายเสนากลัวว่าจะช้าที | แจ้งคดีวงศาพญามาร |
อันพารานี้เป็นของพระทรงฤทธิ์ | เราควรคิดออกไปเชิญสู่สถาน[๑] |
จะร้องไห้อยู่ก็เห็นไม่เป็นการ | พนักงานรถรัตน์จงจัดแจง |
ทั้งดนตรีสังข์แตรแห่กระษัตริย์ | ผูกกัณฐัศว์คชสารชาญกำแหง |
ที่แห่หน้าพาชีเสื้อสีแดง | จงเร่งแต่งไปให้งามตามกระทรวง |
ข้างในวังทั้งสุรางค์นางสนม | ทุกหมู่กรมหน้าหลังในวังหลวง |
จงไปตามพนักงานการทั้งปวง | ใครหนักหน่วงราชกิจจะผิดครัน ฯ |
๏ ฝ่ายบรรดาข้าหลวงทุกหมู่หมวด | ก็เตรียมตรวจกะเกณฑ์กันกวดขัน |
ที่นายช้างพลางผูกกุญชรพลัน | ล้วนเครื่องไหมเบญจพรรณจัดประจง |
ผูกกระโจมโคมกระจ่างช่างประเทียบ | ได้ระเบียบแบบเดินดำเนินหงส์ |
พลายฉกรรจ์สรรค์ผูกเป็นช้างทรง | ดูอาจองงางอนขึ้นชอนชด |
ข้างขุนรถรถเรียบเทียบกัณฐัศว์ | มยุรฉัตรกรรชิงทั้งกลิ้งกลด |
กงปะแหรกแอกงอนดูอ่อนชด | สองข้างรถมีนางสุรางค์เรียง |
บ้างดีดสีตีโทนประสานทับ | เป็นลำดับดีดพิณประสานเสียง |
ทั้งสังข์แตรแห่ห้อมอยู่พร้อมเพรียง | สง่าเพียงรถเพชรปาณี |
พระญาติวงศาพนาสูร | ให้อาดูรจำไปในไพรศรี |
ที่พวกชายวงศาขึ้นพาชี | พวกนารีขี่ช้างกระโจมทอง |
อันรถแก้วที่สำหรับรับเสด็จ | ก็พร้อมเสร็จด้วยสุรางค์นางทั้งผอง |
ขุนเสนีจัดตรวจเป็นหมวดกอง | ได้พร้อมกันลั่นฆ้องเข้าสามที |
ออกจากวังตั้งหน้าเข้าป่าสูง | บรรดาฝูงสัตว์สิงก็วิ่งหนี |
สะเทือนทางกลางดงเป็นผงคลี | เสียงพาชีคชสารทะยานเริง |
เสียงรถทรงกงกระดอนสะท้อนโขด | กลิ้งกระโดดกระเดื่องดังกำลังเถลิง |
ฝูงวิหคผกผินบินกระเจิง | มาตามเวิ้งหว่างเขาลำเนาเนิน |
พระญาติวงศ์ทรงโศกกันแสงไห้ | ด้วยตรอมใจเจ็บอกระหกระเหิน |
ทั้งรถรัตน์อัสดรก็เร่งเดิน | เขม้นเมินมาในป่าพนาลี |
พระสุริย์ฉายบ่ายคล้อยพระเวหา | ถึงพลับพลาริมเนินคิรีศรี |
ก็หยุดรถจัตุรงค์ในพงพี | ขุนเสนีนักสนมชุมนุมกัน |
ทั้งพวกญาติวงศาพญายักษ์ | ค่อยฝืนพักตร์ดับโศกกันแสงศัลย์ |
มาพร้อมพรั่งยังหน้าพลับพลาพลัน | บังคมคัลลักษณวงศ์กับนงลักษณ์ |
แล้วทูลเชิญสรรเสริญสองกระษัตริย์ | ควรเป็นขัตติยวงศ์อันทรงศักดิ์ |
ด้วยไพร่ฟ้าสามนต์ทั้งเมืองยักษ์ | ยอมสมัครหมายพึ่งพระบารมี ฯ |
๏ ปางสุวรรณอำภาพญาหญิง | ซึ่งเป็นมิ่งมารดาพระโฉมศรี |
เห็นวงศ์ยักษ์นักสนมกับเสนี | พระเทวีน้อมโน้มประโลมพลัน |
ว่าดูราเสนาสนมนาฏ | ทั้งพระญาติยักษาที่อาสัญ |
เพราะโลภหลงไม่ดำรงในราชธรรม์ | ท้าวกุมภัณฑ์ดื้อดึงจนถึงตาย |
ก็เพื่อเพราะผลกรรมได้ทำไว้ | อย่าน้อยใจอสุรินสิ้นทั้งหลาย |
อันศพซากรากษสที่วอดวาย | ท่านทั้งหลายตามแต่จะตรองการ |
จะรอคอยอสุราอย่าปรารภ | เมื่อเสร็จศพจะไปมไหสถาน |
ตามแต่จิตคิดถึงพญามาร | ไม่ทัดทานห้ามปรามเราตามใจ ฯ |
๏ ฝ่ายเสนาวงศาวิรุญมาศ | แสนสวาทวาจาที่ปราศรัย |
ถวายบังคมลาแล้วคลาไคล | พากันไปหาศพริมคีรี |
ในท่ามกลางหว่างเวิ้งพนาเวศ | น่าสมเพชซากศพพวกยักษี |
ญาติกามาเห็นก็โศกี | บ้างปะพี่พบน้องระเนนตาย |
เที่ยวร้องไห้ไปลากเอาซากศพ | มาประจบขาแขนที่ขาดหาย |
บ้างดีใจไปเห็นพ่อตาตาย | แช่งแม่ยายให้มันม้วยไปด้วยกัน |
แต่ลุยเลือดหลีกทางมากลางศพ | ก็มาพบศพท้าวยักษาที่อาสัญ |
อนาถนิ่งพิงเพิงศิลาชัน | ก็ชวนกันวิ่งเข้าประคองเคียง |
แล้วครวญครํ่ารํ่าไห้ละห้อยหา | ทั้งวงศาเถ้าแก่ออกแซ่เสียง |
บ้างกลิ้งเกลือกเสือกกายอยู่รายเรียง | สำเนียงเพียงเพรียกพร้องเรไรไพร |
พระวงศาว่าโอ้พระภูวนาถ | สละราชสมบัติมาตัดษัย |
สนมนางว่าพระร้างนิราศไกล | เสด็จไปเมืองฟ้าเอกากาย |
อำมาตย์มารว่าสงสารพระทรงเดช | เคยปกเกศอสุรินสิ้นทั้งหลาย |
พระวงศาว่าโอ้น่าเสียดาย | พระวอดวายเราจะเวทนานาน |
สาวสนมว่าพระร่มมหาโพธิ | พระเคยโปรดให้เป็นสุขเกษมศานต์ |
พวกเสนาว่าโอ้พระภูบาล | เหมือนเมืองมารล่มลงในนที |
พระวงศาว่านิจจาพระจอมทวีป | มาสิ้นชีพอยู่ในเชิงคิรีศรี |
กำนัลนางว่าจะร้างไปแรมปี | ตั้งแต่นี้นับเดือนจะเลือนลับ |
เสนาในว่าพิชัยฉัตรแก้ว | ทำลายแล้วโอ้อกจะตกอับ |
ญาติวงศ์โศกาว่าอาภัพ | แต่โกศทองรองรับไม่มีเลย |
นางสาวสรรค์กันแสงว่าสมเพช | มาทอดเกศกับสุธานิจจาเอ๋ย |
พวกเสนาว่าแต่นี้ไม่มีเสบย | จะยากเย็นเป็นเชลยทั้งเมืองยักษ์ |
บ้างเกลือกกลิ้งนิ่งแน่ลงแดดิ้น | อสุรินวิตกเพียงอกหัก |
สะอื้นอ่อนข้อนทรวงอยู่ฮักฮัก | ทั้งพวกยักษ์รํ่าไรอยู่ไปมา |
แล้วแข็งจิตคิดอ่านในการศพ | จะทำเป็นมณฑป[๒]ด้วยบุปผา |
ประสายากพรากพลัดพระพารา | พอไพร่ฟ้าได้ถวายพระเพลิงไป |
ก็พร้อมพรั่งบ้างชวนกันถากถาง | ให้กว้างขวางพอประดับมณฑปได้ |
บ้างจัดการร้านม้าเป็นโครงใน | บ้างแยกไปเที่ยวหาดอกมาลี |
ที่มีกลิ่นแบ่งบานตระการแสง | ทั้งขาวแดงหมอกม่วงสลับสี |
ได้ต่างต่างกลางป่าบรรดามี | พวกนารีเรียงรอบเข้ารุมกัน |
บ้างตรองตรึงขึงคาดเป็นราชวัติ | ทั้งธงฉัตรพริ้งเพริศดูเถิดฉัน |
เอารายรอบมณฑปไว้ครบครัน | แล้วร้อยพันผูกเครื่องข้างเบื้องบน |
มณฑปนั้นชั้นหนึ่งเป็นรูปสัตว์ | สิงโตอัดเงาะป่าตาถลน |
เป็นกวางทองย่องย่างอย่างพยนต์ | กระบือชนเสือร้ายตะกายมอง |
ล้วนสัตว์ป่าน่ารักทั้งแรดช้าง | แล้วร้อยวางจัดสรรที่ชั้นสอง |
รูปกระไนไก่ดงทั้งหงส์ทอง | ปีกประคองเหมือนจะขันสนั่นเนิน |
หัสดินอินทรีทั้งกาสัก | วายุภักษ์หงส์ห่านทะยานเหิน |
ดัพ[๓]นั้นชั้นสามงามเจริญ | พิศเพลินรูปเพทยาธร[๔] |
สัประยุทธ์ฉุดชิงนารีผล | นฤมลแม้นเทพอัปสร |
บ้างอุ้มแอบแนบใส่สะเอวจร | กินรร่อนเรียงรำระบำบิน |
ถึงชั้นสี่มีล้วนเทวราช | ถือดอกปาริชาติอันเฉิดฉิน |
แกมกับเทพธิดายุพาพิน | รูปพระอินทร์ชั้นห้าสง่าครัน |
สะพายศรกรซ้ายก็กุมสังข์ | ถือเพชรทั้งธำมรงค์ทรงพระขรรค์ |
เสด็จนั่งหลังคชาเอราวัณ | มีเทวัญแห่แหนออกแน่นไป |
ที่หกชั้นนั้นร้อยเป็นรูปครุฑ | ฤทธิรุทรเผ่นผงาดอยู่หวาดไหว |
ขยับขยิกจิกวาสุกรีไกร | แลวิไลเลิศแล้วด้วยมาลี |
ถึงชั้นเจ็ดเป็นสมเด็จพระหริวงศ์ | อิศวรทรงอุสุภราชอันเรืองศรี |
มณฑปงามสรรพประดับดี | จึ่งเชิญศพยักษีใส่หีบจันทน์ |
แล้วยกหีบขึ้นพระแท่นแผ่นศิลา | อสุรารันทดกำสรดศัลย์ |
ร้องไห้แซ่เสียงระงมพนมวัน | ดั่งจักจั่นแจ้วแจ้ววังเวงใจ |
โอ้พงศ์พรหมพระบรมนาถา | จะลินลาเสวยสวรรค์ในชั้นไหน |
เหล่าข้าน้อยจะพลอยตามเสด็จไป | ด้วยเคยได้พึ่งร่มพระโพธิ์ทอง |
ทูลกระหม่อมจอมโลกโมลีศรี | จะหาไหนมิได้มีเสมอสอง |
มาสูญสิ้นวาสนาฝ่าละออง | จะคงครองตัวตามเสด็จใคร |
อสุราล้มเสือกลงเกลือกกลิ้ง | กำนัลนิ่งล้มกลาดดาษไสว |
เสียงสะอื้นครืนครั่นสนั่นไพร | ดั่งไศลจะเลื่อนทำลายลง |
บ้างก็หมอบยอบเศียรษมาโทษ | ด้วยมาโนชญ์นึกความตามประสงค์ |
แล้วถวายเพลิงพลันด้วยบรรจง | ประยูรวงศ์กันแสงสนั่นดัง |
กลองประโคมโครมครั่นสนั่นครึก | มโหระทึกเซ็งแซ่ทั้งแตรสังข์ |
ลมรำเพยเชยเพลิงโพลงประดัง | ด้วยกำลังเพลิงผลาญประหารพลัน |
ฟุ้งตลบกลบกลิ่นด้วยเครื่องหอม | รำจวนจอมภูผาพนาสัณฑ์ |
ให้มืดทั่วมัวคลุ้มด้วยกลุ่มควัน | สุริยันเมฆกลัดพิบัติบน ฯ |
[๑] สมุดไทยเลขที่ ๑๔ และฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า “เราควรคิดออกไปเชิญมาสู่สถาน”
[๒] สมุดไทยเขียนว่า “มรฑป”
[๓] ดัพ = ดับ แปลว่า ลำดับ
[๔] เพทยาธร = พิทยาธร