ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา

๏ จะกล่าวถึงลักษณวงศ์กับนงนุช สองกระษัตริย์แสนสุดละห้อยหา
จะแลเหลียวเปลี่ยวใจในหิมวา พระชลนาไหลนองทั้งสององค์
ให้หิวโหยโรยแรงกันแสงไห้ เดินมาในหิมวาป่าระหง
เห็นแต่สัตว์เสือช้างที่กลางดง ค่อยแอบองค์ด้อมเดินเนินคิรี
ครั้นสิ้นแสงสุริยาเข้าอาศัย บรรทมในเงื้อมง้ำคิรีศรี
เห็นดาวเดือนเกลื่อนฟ้าในราตรี พระเทวีขุกคิดถึงเวียงไชย
อันดวงเดือนเหมือนองค์พระทรงฤทธิ์ เมื่อสถิตปรางค์ทองอันผ่องใส
ดาวกระจ่างเหมือนนางสนมใน บำเรอไทขับกล่อมอยู่พร้อมมูล
โอ้ยามสิ้นวาสนานิจจาเอ๋ย ความเสบยเคยสบายก็หายสูญ
มานอนเหนือแผ่นผาให้อาดูร มีแต่พูนความทุกข์ระทมทน
พระกรกอดลูกน้อยไว้กับอก นํ้าตาตกพรั่งพรายดั่งสายฝน
จนฟ้าแจ้งแสงสีสุริยน นฤมล[๑]พาลูกลินลามา
สงสารสองกระษัตริย์ขัตติยวงศ์ เมื่อเดินดงได้เสวยแต่พฤกษา
ได้สามเดือนด้นดั้นอรัญวา ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด
บรรลุถึงสระหนึ่งในกลางเถื่อน มีบัวเผื่อนสัตตบุษย์ผุดไสว
จอกกระจับขึ้นสลับสลอนไป คงคาใสดั่งกระจกกระจ่างดี
มัจฉาว่ายรายเรียงมาเคียงคู่[๒] บ้างผุดฟู่พ่นนํ้าแล้วดำหนี
หมู่กุ้งก้ามลากก้ามร่ามวารี ดุกกระดี่ดำกระเดือกลงเสือกดิน
กระโห้ใหญ่ไล่ลัดสกัดกุ้ง ดิ้นสะดุ้งโดดดีดกระแสสินธุ์
สองกระษัตริย์ทัศนาในวาริน ตรลบกลิ่นเกสรขจรไกล
รื่นรื่นร่มรังน่านั่งเล่น พระพายพัดเย็นเย็นริมสระใหญ่
นางชวนองค์โอรสยศไกร เข้านั่งใต้ร่มรังริมฝั่งชล
ฟังสำเนียงเสียงนกวิหคหงส์ พิศวงวังเวงในไพรสณฑ์
เรื่อยเรื่อยเฉื่อยวายุโบกบน นฤมลเอนองค์ลงไสยา
เสนาะเสียงจักจั่นสนั่นแจ้ว ประคองกอดลูกแก้วเสน่หา
สองกระษัตริย์เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามา ก็นิทราหลับลงในดงดอน ฯ
๏ จะกลับกล่าวถึงท้าววิรุญมาศ เป็นเชื้อชาติขุนมารชาญสมร
ครองบุรีมยุราสถาวร วันนั้นจรออกเล่นพนาลัย
มาถึงที่ร่มรังริมฝั่งสระ ก็พอปะสองกระษัตริย์ซึ่งหลับใหล
ค่อยหมอบมองแล้วย่องขยับไป แอบต้นไม้มุ่งดูไม่เต็มตา
จะเข้าชิดคิดกลัวจะรู้สึก จึงรำลึกอ่านเวทของยักษา
สะกดไว้มิให้ฟื้นพระกายา อสุราเดินเมียงมาเคียงองค์
กุมารน้อยนอนแอบอยู่แนบข้าง พินิจนางแน่งน้อยนวลหง
ขนงเนตรเกศกรฉะอ้อนองค์ งามวงพระวิลาศ[๓]ดั่งดวงเดือน
ทั้งสองถันสันทัดสัตตบุษย์ ประเสริฐสุดสตรีไม่มีเหมือน
จะชมไหนงามนั่นให้ฟั่นเฟือน โอษฐ์เจ้าเยื้อนเหมือนจะยิ้มให้ชายเชย
ทั้งสองแก้มแจ่มดังลูกจันห่าม ชะช่างงามสุดดีเจ้าพี่เอ๋ย
ตัวพี่ชายไร้นางร้างคู่เชย ชะรอยบุญเราเคยเป็นคู่ชม
พี่จะเชิญยอดรักไปนคเรศ เป็นปิ่นเกศแสนสุรางค์นางสนม
ยิ่งกลัดกลุ้มรุมรึงอารมณ์ตรม จะใคร่ชมเชยชิดทั้งนิทรา
แล้วกลับตรึก[๔]นึกอายเสียดายศักดิ์ มาลอบลักสมสนิทเสน่หา
จะผันแปรแก้กลับพระมนตรา ให้แก้วตาได้สมประดีกาย
ถึงเรายักษ์เป็นศักดิ์กรุงกระษัตริย์ ศรีสวัสดิ์จะไม่รักอย่าพักหมาย
แล้วขุนมารอ่านมนตร์ให้เคลื่อนคลาย ประโลมสายสุดที่รักด้วยคำวอน
ทรามสวาทไสยาสน์อยู่ไยเล่า ขอเชิญเจ้าฟื้นกายเถิดสายสมร
พี่จะรับนิ่มน้องไปครองนคร ประคองกรรับขวัญนางกัลยา ฯ
๏ สงสารเจ้าเยาวลักษณ์ประโลมสวาท กัมปนาทลืมเนตรเห็นยักษา
พระทัยหายกายสั่นดั่งตีปลา หวาดผวากรีดกอดโอรสไว้
อสุรีผีป่ามันมาแล้ว พระลูกแก้วตื่นเถิดอย่าหลับใหล
กันแสงพลางสั่นพลางไม่ห่างไกล ก็มิได้รู้สึกสกนธ์กาย ฯ
๏ พญามารฟังสารนางกันแสง จึงกล่าวแกล้งเล้าโลมนางโฉมฉาย
แม่ขวัญเมืองอย่าเพ่อเคืองระคายชาย ใช่จะหมายมุ่งมาดมากินกัน[๕]
พี่เที่ยวเล่นเป็นลาภของพี่แล้ว มาพบแก้วนพเก้าสาวสวรรค์
แสนสวาทนาฏน้องดั่งชีวัน ขอเชิญขวัญนัยนาไปธานี
จะอภิเษกให้เป็นเอกสนมอื่น ทั้งแปดหมื่นสี่พันในกรุงศรี
พี่มิใช่ไพร่พลกฎุมพี ครองบุรีมยุราสถาพร
อันเรียมหรือคือองค์วิรุญมาศ กระษัตริย์ชาติพงศ์พรหมอดิศร
ขอถามแก้วกัลยาพังงางอน[๖] ไยมานอนริมสระทั้งสองรา
อันกุมารนั้นเป็นหลานหรือลูกเจ้า เชิญแม่เล่าให้พี่ฟังอย่ากังขา
เห็นดวงเนตรพี่นี้เวทนาตา ควรฤๅมาเป็นเช่นนี้น่าอัศจรรย์ ฯ
๏ เยาวมาลย์ฟังสารพณาสูร ยิ่งอาดูรดั่งชีวาจะอาสัญ
จะบอกความตามจริงทุกสี่งอัน ท้าวกุมภัณฑ์ก็จะพาไปธานี
จะสู้ตายมิให้ชายเป็นสองชื่น พลางสะอื้นอ้อนวอนท้าวยักษี
ซึ่งโปรดปรานมาเป็นการไมตรีดี พระคุณมีแม้นเหมือนพระบิดา
จะทูลความตามสัตย์ไม่เท็จถ่อย กุมารน้อยนี้เป็นองค์โอรสา
ข้าเดินดงหลงพลัดภัสดา[๗] จึงตามหาจะใคร่พบประสบกัน
แต่ลูกแก้วแววตากับข้าบาท ภูวนาถอย่าได้ฆ่าให้อาสัญ
จะได้กุศลพ้นที่จะรำพัน แล้วจอมขวัญรํ่าเรียกพระลูกรัก
พ่องามชื่นตื่นเถิดลูกรักแม่ มานิ่งแน่หลับสนิทเห็นผิดหนัก
ลุกขึ้นเถิดเราจะลาพญายักษ์ โอ้ลูกรักเป็นไฉนไม่ไหวองค์
พญายักษ์เล้าโลมโฉมเฉลา ยุพเยาว์ยอดสกุลดรุณหงส์
อย่าโศกศัลย์กันแสงจะเสียทรง ยุพยงจงร้างรักหักอาลัย
อันลูกนางดั่งหนึ่งกเฬวราก เปรียบเหมือนซากศพผีที่ตักษัย
ถึงพรหมินทร์อินทราสุราลัย จะปลุกให้รู้สึกเห็นสุดคิด
พี่ขอเชิญร้อยชั่งไปวังหลวง อย่าไปห่วงลูกเลยแม่ดวงจิต[๘]
ถึงผัวเจ้าเห็นเขาจะไม่คิด[๙] จึงเปลื้องปลิดชิงชังไม่หวังเชย
อนิจจาไม่น่าจะทิ้งขว้าง ควรหรือร้างกันเสียได้เจียวใจเอ๋ย
เหมือนพี่ชายแล้วไม่วายสวาทเลย ถนอมเชยมิให้นางระคางนวล ฯ
๏ นางฟังสารอสุราจะพาพราก ให้จำจากลูกน้อยกลอยสงวน
แสบกำสรดให้ระทดฤทัยครวญ โอ้กรรมใดจึงมากวนให้เกิดการณ์
สองพระกรข้อนทรวงเข้าฮักฮัก กอดพระลักษณวงศ์ด้วยสงสาร
เป็นกรรมแล้วแก้วแม่จะแดดาล พญามารจะพามารดาไป
สุดอยู่แล้วแก้วตาของแม่เอ๋ย กระไรเลยไสยาสน์ไม่หวาดไหว
ร้องเรียกพลางนางทรงโศกาลัย สะอื้นไห้วอนว่าพญายักษ์
พระทรงภพจบพื้นชมพูทวีป อย่าด่วนรีบจาบจ้วงจงหน่วงหนัก
เป็นเจ้านายใช่จะไร้นารีรัก จะเสียศักดิ์สุริยวงศ์พระทรงชัย
อันนารีมีคู่ประคองแล้ว ไม่ผ่องแผ้วมลทินปัดไถม[๑๐]
ถึงเพชรนิลจินดาดวงวิไล เมื่อหม่นไหม้เศร้าหมองราคีมัว
ถึงเฉิดฉายก็สลายสลดสี เหมือนน้องนี้ได้ร่วมภิรมย์ผัว
เสียสกุลพูนกรรมในกายตัว ด้วยลูกผัวเขายังผูกอาลัยลาน
จะทนทุกขเวทนาอยู่ช้านัก ด้วยเปลวอัคนิรุทร[๑๑]ประหารผลาญ
งิ้วนรกถึงสิบหกองคุลีการ เป็นหนามกร้านคมกริบดั่งกรดตรึง
จงตรึกตรองน้องนี้ก็มีผัว จะเกลือกกลั้วเวรานั้นมาถึง
จงรอรั้งยั้งจิตคิดรำพึง จะตรากตรึงบาปกรรมไปทำไม ฯ
๏ พญายักษ์ฟังนางทางสนอง น้อยหรือน้องพจนาจะหาไหน
ชักทำเนียบเปรียบปรายให้ตายใจ เหมือนแม่ไม่อนุกูลก็สูญกัน
คัมภีร์พุทธบัญญัติวิบัติบาป ก็ซับทราบอยู่ในทรวงทุกสิ่งสรรพ์
แม้นเมียเขาเราคบก็บาปครัน ที่ข้อนั้นเข้าใจเป็นไรมี
นี่โฉมตรูอยู่เดียวพี่เก็บได้ ที่ไหนใครเล่าเป็นผัวของโฉมศรี
จะขึ้นงิ้วเสียเพราะงามก็ตามที[๑๒] ได้กระนี้แล้วไม่วางเจ้าอย่างเดียว
เชิญไปชมสมบัติในเมืองยักษ์ จะหน่วงหนักอยู่ไยในไพรเขียว
ล้วนสัตว์เสือร้ายร้องคะนองเกรียว จะหน่วงเหนี่ยวเนิ่นช้าอยู่ว่าไร ฯ
๏ นางฟังสารมารร้ายพระกายสั่น ให้หวาดหวั่นเวทนานํ้าตาไหล
ระกำจิตคิดคิดก็เจ็บใจ โศกาลัยกอดลูกไว้กับกาย
โอ้พ่อลักษณวงศ์ของแม่เอ๋ย เวราสิ่งใดเลยไม่รู้หาย
ไม่ม้วยมอดคลอดแล้วจะกลับตาย[๑๓] ราพณ์ร้ายจะมาพรากให้จากไป
แม่จะม้วยอยู่ด้วยพระลูกแก้ว ไม่จรจากเจ้าแล้วอย่าสงสัย
ถึงยักษาฆ่าฟันให้บรรลัย จะตายไปตามกรรมได้ทำมา ฯ
๏ วิรุญมาศเห็นนางไม่ห่างบุตร ด้วยแสนสุดอาลัยโอรสา
เร่งพิโรธโกรธกระทืบพสุธา แกว่งสาตราขุนมารทะยานกาย
ไม่ไปจริงเจียวหรือเจ้าเฝ้าสะอื้น ที่จะคืนชีวิตอย่าคิดหมาย
ให้สองศพทบทับลำดับกาย[๑๔] ขยับกรายเหมือนจะฟันนางกัลยา
นุชนาฏหวาดหวีดกระกรีดร้อง กรประคองกอดองค์โอรสา
พญายักษ์ยิ้มพลางวางสาตรา อนิจจาดวงจิตไม่คิดกาย
จะตายจริงเจียวฤๅไรในใจนุช พี่นี้สุดแสนรักไม่รู้หาย
ถนอมนางกว่าจะวางชีวาวาย ไฉนสายสุดที่รักไม่เห็นใจ ฯ
๏ นางฟังปลอบตอบคำพญายักษ์ จะให้ทิ้งลูกรักอย่าสงสัย
ถ้าแม้นไม่ฆ่าฟันให้บรรลัย จะยอมไปเป็นข้าพญายักษ์
ซึ่งจะชมสมสู่นั้นสู้ม้วย จะตายด้วยสัตย์ไซร้ให้ประจักษ์
ที่จะไปไกลบุตรเห็นสุดนัก พญายักษ์จงฟันให้บรรลัย
เจ้ากรุงมารฟังสารสายสมร ไม่อาวรณ์แก่ชีวิตจะตักษัย
ชักพระแสงแกว่งปลาบดั่งเปลวไฟ น้อยหรือใจรักลูกยังผูกพัน
อันลูกนางก็จะล้างให้ม้วยมิด เจ้าอย่าคิดว่าจะคงชีวาสัญ
มิไปวังก็ไม่ฟังนางแจ่มจันทร์ ท้าวกุมกัณฑ์เงื้อพระแสงจะราญรอน
สาวสวรรค์ขวัญหายกายระทด กอดโอรสแนบกายสายสมร
พญายักษ์ยั้งทันไม่ฟันฟอน นางวิงวอนไหว้กราบท้าวกุมภัณฑ์
จงรั้งรอพ่อทูลกระหม่อมแก้ว น้องจะไปด้วยแล้วอย่าหุนหัน
พญายักษ์ยิ้มพลางทางรำพัน เออเท่านั้นก็จะแล้วดอกแก้วตา
แม้นนงลักษณ์รักลูกเหมือนแกล้งลูก อย่าขืนผูกความรักให้หนักหนา
ไปเชยชมสมบัติในพารา อันลูกยาเจ้าอย่าได้อาลัยเลย
สงสารนางมิได้วางพระลูกรัก โอ้พ่อลักษณวงศ์ของแม่เอ๋ย
แม่จะจากพรากพลัดพ่อทรามเชย ผู้ใดเลยเขาจะมาพยายาม
เราแม่ลูกสองคนเที่ยวทนทุกข์ ลำบากบุกหิมวาพนาหนาม
สงสารนักลูกรักยังอ่อนความ จะรู้ที่ติดตามไปแห่งใด
แม้นมารดรจะมิจรด้วยขุนยักษ์ จะประหารลูกรักให้ตักษัย
กรรมเอ๋ยกรรมจำเป็นก็จำไป สุดอาลัยแม่แล้วนะลูกน้อย
สองพระกรข้อนทรวงเข้ารํ่าไห้ ชลเนตรหลั่งไหลลงผ็อยผ็อย
เสียงสะอื้นครื้นเครงบรรเลงลอย ประคองกอดลูกน้อยไว้แนบกาย
พญามารเล้าโลมนางโฉมยง พระนุชจงดับโศกให้เสื่อมหาย
พลางเข้าเรียงเคียงน้องประคองกาย พระหัตถ์ซ้ายจูงนางมากลางดง ฯ
๏ สงสารนุชสุดแสนอาลัยนัก เมื่อขุนยักษ์พาไปในไพรระหง
เจ้าเหลียวหลังยั้งยืนดำรงองค์ เห็นลูกรักลักษณวงศ์สนิทนอน
อุระนางพ่างเพียงจะโทรมทรุด ให้แสนสุดจะยั้งกายสายสมร
นางกลิ้งเกลือกเสือกองค์ในดงดอน ชุลีกรไหว้กราบทุกเทวัญ
ขอเดชะเทพเจ้าทุกเขาเขิน พนมเนินรุกขมูลเมืองสวรรค์
ทุกระยะหย่อมหญ้าลดาวัลย์ ช่วยป้องกันลูกน้อยที่ไนไพร
แล้วนุชนาฏยาตรเยื้องมากับยักษ์[๑๕] จบลับพักตร์ลูกยาน้ำตาไหล
อสุราพารีบให้เร็วไว นางโหยไห้ตามทางมากลางดง
แจ้วแจ้วแว่วเสียงกระเหว่าร้อง สนั่นก้องมิ่งไม้ไพรระหง
ให้วับวาบซาบทรวงนางโฉมยง เหมือนลูกลักษณวงศ์เจ้าตามมา
นางเหลียวหลังยั้งยืนสดับเสียง ผิดสำเนียงลูกรักโอ้ปักษา
ชลนัยน์ไหลโซมพระพักตรา อสุราเดินดึงตะบึงไป
ครั้นมาถึงหว่างเวิ้งเชิงสิงขร เห็นวานรฝูงหนึ่งวิ่งไสว
นางเบือนพักตร์กวักเรียกวานรไพร เปลื้องสไบโฉมยงที่ทรงมา
หยุดสะอื้นยื่นให้วานรน้อย แล้วกล่าวถ้อยสั่งถึงโอรสา
แม้นโฉมงามติดตามมารดามา ว่ายักษ์พาแม่ไปในไพรวัน
ฝูงกระบี่มีจิตคิดสงสาร ก็ลนลานรับผ้านางจอมขวัญ
แล้วหลีกตัวกลัวภัยท้าวกุมภัณฑ์ ให้โศกศัลย์สังเวชนางเทวี
อสุราพาเดินไปโดยด่วน ประจวบจวนนคเรศบุรีศรี
พอสุริยงลงลับเหลี่ยมคีรี ถึงธานีพานางเข้าปรางค์ทอง
ชักวิสูตรรูดรอบกำบังชิด สำราญจิตยักษีไม่มีหมอง
แล้วขุนมารออกนั่งบัลลังก์ทอง เรียกสนมทั้งผองมาบอกพลัน
ไปวันนี้มีลาภอันเลิศแล้ว ได้นางแก้วมาแต่ป่าพนาสัณฑ์
พอสมจิตกูคิดมานานครัน พามาไว้ในสุวรรณแท่นรัตน์
นางโฉมยงยังทรงกันแสงสะอื้น จะเชยชื่นถูกต้องก็ข้องขัด
เองจงไปเล้าโลมให้โสมนัส แม้นประดิพัทธ์แล้วจะพูนรางวัลครัน
สาวสนมก้มกราบเจ้ากรุงยักษ์ มาชวนชักพวกเพื่อนแล้วผายผัน
ค่อยแหวกม่านคลานเรียงมาเคียงกัน ถึงสุวรรณแท่นรัตน์ชัชวาล
ต่างถวายวันทาด้วยปราโมทย์ คอยเงี่ยโสตฟังพจนาสาร
บ้างนวดฟั้นบาทายุพาพาล บ้างอยู่งานพัดวีให้ทรามวัย
บ้างนบนอบปลอบประโลมนางโฉมยง แม่อย่าทรงกำสรดกันแสงไห้
พญายักษ์รักจริงอย่ากริ่งใจ บุญของแม่จะได้เป็นมิ่งเมือง
ช่วยดับเข็ญเย็นเกล้าข้าสาวสรรค์ อย่าทรงกันแสงเลยแม่เนื้อเหลือง
ชมสมบัติพัสถานในบ้านเมือง ให้รุ่งเรืองโสมนัสสวัสดี ฯ
๏ สงสารเจ้าเยาวลักษณ์วิไลโลก กันแสงโศกอยู่ในแท่นมณีศรี
ได้ฟังฝูงกัลยามาพาที ยิ่งโศกีร่ำไห้มิได้วาย
สะอื้นพลางทางห้ามสาวสนม อย่าบังคมน้องเลยสิ้นทั้งหลาย
ข้าโศกศัลย์นับวันจะวางวาย จะกระจายแจ้งเล่าให้เข้าใจ
ภัสดาข้านี้ก็มีแล้ว จึงได้เกิดลูกแก้วจนเติบใหญ่
พึ่งพลัดกันสัญจรมานอนไพร กับลูกน้อยกลอยใจเป็นเพื่อนกัน
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยมาเข้าอาศัย ข้าหลับใหลในป่าพนาสัณฑ์
อสุราพาพรากมาจากกัน ฝูงกำนัลยังไม่แจ้งประจักษ์ใจ
ไม่หมายรักศักดิ์แสงของยักษา มิวันนี้ก็วันหน้าจะตักษัย
ที่จะเชยสองชายอย่าหมายใจ เจ้ากลับไปทูลเถิดเหมือนถ้อยคำ ฯ
๏ สนมนางต่างแจ้งประจักษ์จิต บ้างก็คิดเวทนาเจ้างามขำ
ทั้งผัวพรากจากบุตรสุดระกำ มีแต่รํ่าโศกาให้อาดูร
สุดจะวอนแล้วก็จรมาจากอาสน์ อภิวาททูลสนองพณาสูร
นางเทวีมีแต่จะอาดูร ตั้งแต่พูนทุกข์เทวษไม่เว้นวาย
ข้าเล้าโลมโฉมยงไม่ปลงรัก กันแสงหนักถึงลูกไม่รู้หาย
เห็นสุดจิตที่จะคิดให้เคลื่อนคลาย เชิญเสด็จผันผายไปปลอบนาง
อสุรินทร์ยินคำสาวสนม ว่าทรามชมนิ่มน้องยังหมองหมาง
ให้สุดแสนอาลัยที่ในนาง ค่อยย่องย่างเข้ามายืนที่ฉากบัง
เห็นโฉมยงทรงโศกกันแสงไห้ คิดจะใคร่เข้าประคองแล้วถอยหลัง
แต่ขยับแล้วกลับมายืนยั้ง[๑๖] เงี่ยโสตฟังกัลยาโศกาลัย
เห็นงามชื่นเจ้าสะอื้นอยู่ฮักฮัก พญายักษ์พลอยทรงกันแสงไห้
แต่ง่วงเหงาอยู่ที่เสาปราสาทไชย ด้วยตัวไม่คู่ควรกับนงคราญ ฯ
๏ ปาง[๑๗]สุวรรณอำภาสุดาแม่ เจ้าตั้งแต่โศกเศร้าน่าสงสาร
ระกำอกด้วยมาตกในมือมาร จะรุกรานร่วมรักภิรมยา
กรรมเอ๋ยกรรมจะทำอย่างไรได้ เห็นจะไม่พ้นมือเจ้ายักษา[๑๘]
จึงตั้งจิตพิษถาน[๑๙]ด้วยสัจจา เดชะข้าซื่อสัตย์ต่อสามี
ขอพรหมินทร์อินทร์จันทร์ทุกชั้นฟ้า อย่าให้ข้าเสียตัวด้วยยักษี
แม้นกุมภัณฑ์มันจะมาทำยายี ประเวณีที่ในกายจงหายไป
พิษถานพลางทางคิดถึงลูกรัก ซบพระพักตร์ทรงสะอึกสะอื้นไห้
เขนยทองนองนํ้าพระชลนัยน์ หฤทัยสายสมรยิ่งร้อนรน
วิรุญมาศเมียงมองตามช่องฉาก ด้วยเพลิงราคร้อนรุ่มทุกขุมขน
สุดกำลังที่จะรั้งอารมณ์ทน ขึ้นนั่งบนแท่นทองประคองกร
ค่อยโลมลูบปฤษฎางค์แล้วพลางปลอบ เจ้างามประกอบลํ้าเทพอัปสร
จงกลืนกลั้นโศกาอย่าอาวรณ์ จะกล่อมมิ่งสมรให้นิทรา
แล้วเอนแอบแนบข้างประคองชิด นางป้องปิดปัดหัตถ์ท้าวยักษา
ทรงกันแสงแกล้งกล่าวด้วยวาจา ให้ยักษาเจ็บซํ้าด้วยคำคม
ไม่มีอายชายเชื้อมิจฉาชาติ ใจฉกาจผิดอย่างปางประถม
ทำกาเมสุมิจฉาเป็นอารมณ์ เที่ยวชิงชมเชยชิดไม่คิดอาย
ให้ลูกพรากจากแม่ไม่สังเวช เป็นชายเชษฐ์อกุศลกว่าคนทั้งหลาย[๒๐]
ช่างไม่อายสามนต์พลนิกาย ไม่ขอเห็นเช่นชายเหมือนกุมภัณฑ์ ฯ
๏ อสุรินทร์ยินคำนางรํ่าว่า ยิ่งสุดแสนเสน่หาแล้วรับขวัญ
เจ้างามงอนช่างฉะอ้อนทุกสิ่งอัน อย่าโศกศัลย์แสนแค้นให้เคืองนวล
เจ้าโกรธขึ้งถึงจะว่าให้สาหัส ไม่เคืองขัดโฉมงามทรามสงวน
ถึงจะตายกึไม่วายสวาทนวล แม่อย่าควรคิดเคืองระแวงแคลง
พลางถนอมอุ้มนางขึ้นวางตัก นางข่วนหยิกพลิกผลักแล้วกันแสง
ยักษ์กระหวัดรัดรวบเอาโดยแรง ดั่งครุฑแย่งจับพญาวาสุกรี
เปรียบมหาราหูอันใหญ่หลวง ขยอกดวงสุริยาในราศี
เดชะสัตย์อธิษฐานของเทวี ประเวณีสูญหายจากกายนาง
พญายักษ์ขวยเขินแล้วเมินพักตร์ ประหลาดนักนิ่งนึกอางขนาง
กระถดถอยปล่อยปละสละวาง ประหลาดนางนี้มาเป็นอย่างไรไป
หมายจะพามาเลี้ยงเป็นเคียงคู่ เอออกกูเป็นกรรมทำไฉน
แม้นใครรู้ดูน่าละอายใจ ทำกระไรกระนี้นะอกกู
จะบอกใครให้แจ้งก็อายจิต จำจะปิดอย่าให้แซ่ถึงสองหู
ดำริพลางทางตรัสแก่โฉมตรู เจ้าเรียนรู้เป็นไฉนนางไฉยา
เจ้ามีผัวตัวนางก็มีบุตร ไยมาสุดสิ้นความเสน่หา
ไม่เคยเห็นเหมือนเช่นกัลยา แม่เมตตาบอกความแต่ตามจริง
สงสารเจ้าเยาวลักษณ์วิไลโฉม งามประโลมยอดขัตติยาหญิง
เห็นความสัตย์สุจริตประสิทธิ์จริง คะนึงนิ่งนึกในพระทัยนาง
อันทีนี้อสุรีไม่ทำได้[๒๑] จะพูดไว้มิให้มีราคีหมาง
ดำริแล้วแก้วตาจึงว่าพลาง พระไปร้างจากลูกมาเชยชม
แต่ร้องไห้ยังไม่วายน้ำตาตก ก็สุดอกที่จะร่วมภิรมย์สม
แม้นโปรดน้องอย่าให้หมองในอารมณ์ กำลังกรม[๒๒]แล้วก็สุดจะเกรงกัน
ถึงเนิ่นนานการรักย่อมหนักหน่วง ตามกระทรวงให้เป็นสุขเกษมสันต์
มิทจิตแล้วก็มิทใจ[๒๓]กัน อย่าหุนหันเสน่หาจงปรานี ฯ
๏ เจ้ากรุงมารฟังสารยิ่งแสนชื่น เพียงจะกลืนไว้ในทรวงท้าวยักษี
ไม่นึกแหนงพจนาในวาที อสุรีเสียรู้เพราะหลงรัก
ประคองหัตถ์รับขวัญแล้วบรรหาร น่าสงสารยุพเรศจำเริญศักดิ์
อย่าถือโทษโกรธเลยนางนงลักษณ์ เพราะความรักสุดที่เรียมจะรอรา
แต่นี้ไปพี่มิให้เจ้าเคืองขัด ศรีสวัสดิ์อย่าได้ทรงกันแสงหา
แม่ทรามชมจงบรรทมเถิดแก้วตา แล้วยักษาจากแท่นสุวรรณพลัน
จัดสนมกรมนางล้วนน้อยน้อย ให้เคียงคอยปรนนิบัตินางจอมขวัญ
นางสำหรับขับกล่อมก็พร้อมกัน แล้วกุมภัณฑ์กำชับสนมใน
ใครทำให้ขวัญเมืองเจ้าเคืองขัด กูจะตัดเศียรเสียให้ตักษัย
สั่งเสร็จเสด็จเข้าปราสาทไชย มิได้ไปสู่แท่นนางเทวี ฯ
๏ ฝ่ายสนมสาวสรรค์กำนัลนาฏ ก็แซ่ซ้องมาปราสาทนางโฉมศรี
ที่ฝูงนางดุริยางคดนตรี ก็ดีดสีขับกล่อมขึ้นพร้อมกัน
พนักงานเครื่องต้นสุคนธรส คอยประณตนอบน้อมนางจอมขวัญ
บ้างอยู่งานให้สำราญจำเริญครัน ในสุวรรณปรางค์รัตน์ชัชวาล ฯ
๏ ปางพระยอดเยาวเรศวิเศษหญิง วิโยคยิ่งคั่งแค้นแสนสงสาร
คิดถึงลักษณวงศ์ในดงดาน โอ้ว่าป่านฉะนี้เจ้าจะอยู่เดียว
เมื่อฟื้นกายสายสมรไม่เห็นแม่ เจ้าจะแลลิงโลดตะลึงเหลียว[๒๔]
จะอ้างว้างกลางดงอยู่องค์เดียว จะเหลือบเหลียวแลรอบขอบคิรี
สุดกำลังแล้วจะนั่งกันแสงไห้ จะแลเหลียวเปลี่ยวใจในไพรศรี
จะกู่ก้องร้องเรียกพระชนนี เมื่อสุดเรียกแล้วจะตีอุระครวญ
ปางพระสุริโยทัยจะใกล้ค่ำ พ่อจะรํ่าโหยไห้อาลัยหวน
ผีโป่งป่ากระหึมอยู่ครึมครวญ จะลามลวนหลอกหลอนริมทางเดิน
ความรักแม่แม่ตายจะตายด้วย ไม่มอดม้วยแล้วมาร้างให้ห่างเหิน
โอ้กรรมกรรมทำไว้ให้เผอิญ พ่อจะเดินป่าเปลี่ยวผู้เดียวดาย
ยิ่งโศกแสนอาดูรพูนเทวษ ชลเนตรซึมโซมไม่ขาดสาย
ไม่เสื่อมสร่างว่างเว้นเวลาคลาย ระกำกายกรอมกรม[๒๕]อารมณ์นาง
ถึงสมบัติพัสถานในเมืองยักษ์ ไม่หาญหักความโศกที่หมองหมาง
จนเผือดผอมซูบพระรูปนาง[๒๖] อยู่ในปรางค์เพชรรัตน์อสุรา ฯ


[๑] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ใช้ว่า “นิรมล”

[๒] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “มัจฉาชาติว่ายเคียงมาเป็นคู่”

[๓] วิลาศ = นลาฎ แปลว่า หน้าผาก

[๔] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “กรึก”

[๕] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “ใช่พี่หมายมาดมาจะกินกัน”

[๖] พังงางอน = พะงางอน

[๗] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “ข้าเดินดงหลงพลัดกับภัสดา”

[๘] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “อย่าเป็นห่วงถึงเขาเลยนะดวงจิต”

[๙] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “ถึงผัวเจ้าพี่เห็นเขาจะไม่คิด”

[๑๐] ปัดไถม แปลว่า ฝ้าบางๆ ที่เกิดขึ้นที่สิ่งของ ทำให้ของนั้นคล้ำมัว

[๑๑] อัคนิรุทธ แปลว่า เพลิงกาฬ

[๑๒] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “จะขึ้นงิ้วเพราะนางงามก็ตามที”

[๑๓] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “ไม่ม้วยมอดรอดแล้วจะกลับตาย”

[๑๔] ฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า “ลำดับตาย”

[๑๕] ฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า “แล้วนุชนาฏยาตรามากับยักษ์”

[๑๖] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ และฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า “แต่ขยับแล้วก็กลับมายับยั้ง”

[๑๗] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ใช้ “ป่าง” ทุกแห่ง

[๑๘] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ และฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า “เห็นจะไม่พ้นมือท้าวยักษา”

[๑๙] พิษถาน = อธิษฐาน

[๒๐] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ และฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า “เป็นชายเศษอกุศลกว่าคนทั้งหลาย”

[๒๑] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “อันครั้งนี้อสุรีไม่ทำได้”

[๒๒] กรม = ตรม

[๒๓] มิทจิตมิทใจ = มิตรจิตมิตรใจ โบราณชอบใช้อย่างนั้น

[๒๔] สมุดไทยเลขที่ ๒๕ ว่า “จะเล็งแลลิงโลดละลานเหลียว”

[๒๕] กรอมกรม = ตรอมตรม

[๒๖] ฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า จนเผือดผอมกรอมซูบพระรูปนาง”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ