- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
๏ ปางพระหน่อบดินทร์ปิ่นกระหม่อม | ท้าวถนอมสายสมรเกสรสวรรค์ |
เสด็จอยู่คูหาสิบห้าวัน | พระทรงธรรม์จินดาถึงธานี |
จึ่งตรัสชวนมิ่งมิตรขนิษฐ์น้อย | แม่ยอดสร้อยอยู่ไยในไพรศรี |
เชิญไปสู่ปรางค์สุวรรณอันรูจี | ไปเป็นศรีจอมสาวสนมนาง |
พระนุชฟังบังคมบรมนาถ | ตัวข้าบาททุกข์ทนกมลหมาง |
ดังหนามแยงยอกกายไม่วายวาง | เชิญเสด็จคืนปรางค์ปราสาททอง |
พระทรงยศพจมานกับกินเรศ | แม่ดวงเนตรนงเยาว์อย่าเศร้าหมอง |
เราก็ได้เชยชิดสนิทครอง | ขอเชิญน้องไปด้วยกันเถิดขวัญตา ฯ |
๏ กินรีตีทรวงใจจะขาด | แสนสวาทอาลัยพระเชษฐา |
ร้องไห้พลางทางทูลทั้งนํ้าตา | อนิจจาร้างรักจะหักไป |
อันข้าน้อยสุดรักพระทรงฤทธิ์ | เป็นสุดคิดที่จะตามเสด็จได้ |
ด้วยเป็นสัตว์เชื้อวงศ์อยู่พงไพร | ผิดวิสัยที่จะอยู่กับผู้คน |
โอ้เจ้ามิ่งดวงสมรกินรแก้ว | พี่รู้แล้วว่าเคยอยู่แต่ไพรสณฑ์ |
เป็นสุดรักที่จะร้างให้ทุกข์ทน | นฤมลแม่จงอยู่ในอุทยาน |
พี่จะให้ทำห้องด้วยทองทึบ | สะพรั่งพรึบพร้อมหน้าสนมขนาน |
จักบำเรองามขำให้สำราญ | เยาวมาลย์มิให้หมองละอองนวล |
พระยอดมิตรพิสวาสของน้องแก้ว | แจ้งอยู่แล้วว่าพระรักบำรุงสงวน |
แต่หากเห็นว่าไปอยู่ไม่คู่ควร | ซึ่งตรัสชวนมิได้ตามพระบัญชา |
พระจะเคืองด้วยว่าขัดจงตัดเศียร | ให้ตายกลาดดาษเดียรอยู่กลางป่า |
รักสนิทมิได้คิดแก่ชีวา | วาสนามิได้พึ่งบทมาลย์ |
สุดอาลัยจนใจแล้วทูนเกล้า | ด้วยเกรงเขาติฉินทุกถิ่นสถาน |
จะมีแต่ทุกข์ทับอัประมาณ | ในอุระจะรานระบมใจ |
โอ้แต่นี้ภูวไนยจะไกลเนตร | จะทนเทวษก้มหน้านํ้าตาไหล |
ยามกินก็จะกินแต่ชลนัยน์ | ยามนอนก็จะไห้ไม่วายครวญ |
สู้เสียตัวมิได้กลัวจะเสียศักดิ์ | ไม่เห็นรักที่จะร้างให้ห่างหวน |
โอ้อกเอ๋ยไม่เคยจะครํ่าครวญ | ทั้งเสียนวลแล้วมิหนำจะซํ้าตรอม |
พระอย่าด่วนเสด็จไปให้ไกลพักตร์ | กำลังรักยังไม่วายคลายถนอม |
พระไม่โปรดปรานีประนอมยอม | เชิญพระจอมจักรพงศ์มาทรงฟัน |
จะสู้สิ้นชีวิตทั้งพี่น้อง | พระจงลองฤทธิแรงพระแสงขรรค์ |
ให้ลือว่ากินรานี้อาธรรม์ | สิ้นชีวันเพราะหลงทะนงรัก ฯ |
๏ พระทรงฟังสาวสวรรค์รำพันว่า | ดั่งอุรานั้นจะรานสะท้านหัก |
ชลเนตรโซมซาบลงอาบพักตร์ | ให้หน่วงหนักอยู่มิใคร่จะไคลคลา |
พระน้องเอ๋ยใช่พี่ไม่มีสวาท | ใจจะขาดเสียด้วยความเสน่หา |
สุดอาลัยพี่แล้วนะแก้วตา | ด้วยเกรงองค์อิศราบิดาเรา |
พี่ทูลลาว่าจะมาสิบห้าเวร[๑] | ก็เกินเกณฑ์โองการพระผ่านเกล้า |
จะจำลาโฉมยงแม่นงเยาว์ | อย่าโศกเศร้าเลยนะน้องจงครองตัว ฯ |
๏ ห้ายุพินกินเรศเกศสมร | ให้อาวรณ์ทูลกระหม่อมพระจอมผัว |
ปลอบเกสรนิ่มน้องอย่าหมองมัว | เราร่วมผัวเรียงพักตร์เพราะรักชม |
พยาบาทคาดโทษเจ้าโกรธพี่ | จงหยิกตีตบด่าให้สาสม |
พี่รู้ตัวชั่วแล้วนะทรามชม | แม่อย่ากรมกรอมใจไปนักเลย |
เจ้าได้เคืองพี่ก็ขอษมาแม่ | แต่นี้แลลับแล้วนะน้องเอ๋ย |
เวลานอนเคยกล่อมถนอมเชย | แม่คู่เคยร่วมยากจะจากไป |
นางเกสรโฉมยงให้สงสาร | ดั่งเพลิงผลาญทรวงรุ่มกันแสงไห้ |
ที่ข้อแค้นเคืองระคายก็หายไป | รับอภัยกินราทั้งห้านาง |
น้องไม่ถือโทษภัยอะไรพี่ | อย่าราคีเคืองข้องทั้งสองข้าง |
ทั้งพี่ศรีสวัสดิ์รัตนานาง | จะจำร้างจากรักแล้วขอลา |
ช่วยชีวิตแล้วก็เลี้ยงถึงเพียงนี้ | พระคุณพี่ใส่ไว้เหนือเกศา |
เคยสำราญร่วมสุขทุกเวลา | อนิจจาวิบากมาจากกัน |
เสียดายแท่นปัจถรณ์ที่นอนน้อย | เสียดายสร้อยมาลัยในไพรสัณฑ์ |
เสียดายเสียงขับขานประสานกัน | เสียดายวันที่เรารำระบำเวียน |
เสียดายเอ๋ยเคยฟังสำเนียงหงส์ | เสียดายดงรุกขชาติสะอาดเลี่ยน |
เสียดายสระปทุมมาศดาษเดียร | เสียดายเขาตะละเขียนวิเชียรพราย |
เสียดายพี่เคยพาให้ข้าเที่ยว | จะแลเหลียวเปลี่ยวไปหัวใจหาย |
พี่จงอยู่เป็นสุขสนุกสบาย | แม้นมิตายคงเตือนพระพี่มา |
สงสารเจ้าเยาวลักษณ์อัคเรศ | แสนเทวษรํ่ารักนางปักษา |
ฝ่ายพระยอดยิ่งกระษัตริย์ภัสดา | พระบัญชาปลอบนุชนารี |
แม่กินเรศนงเยาว์อย่าเศร้านัก | พระเยาวลักษณ์นิ่มน้องอย่าหมองศรี |
แล้วอุ้มองค์ขนิษฐาขึ้นพาชี | พระจักรีนั่งหน้าสุดาจันทร์ |
กัณฐัศว์โถมขึ้นโพยมทะยานเหยาะ | ละลิ่วเหาะเผ่นผยองลำพองผัน |
ทั้งห้านางกินรินบินตามพลัน | จรจัลไปส่งพระทรงยศ |
ทั้งสององค์เหลียวหลังมาสั่งสาร | เยาวมาลย์แม่อย่ารำไห้กำสรด |
จงพากันผายผันไปบรรพต | อย่ารันทดเลยน้องจะหมองนวล |
พระตรัสแล้วลงเท้ากระทืบโกลน | สินธพโจนเร่งรีบระเห็จหวน |
กินรีร้องไห้พิไรครวญ | แล้วบินหวนหันกลับมาคิรี ฯ |
๏ ปางพระหน่อนฤเบศเกศกระษัตริย์ | โสมนัสด้วยองค์มเหสี |
ดวงสมรกรกอดพระจักรี | กระซิกซี้ยิ้มยวนสำรวลกัน |
พระเอี้ยวเอนอินทรีย์ทำทีจะพลัด | ศรีสวัสดิ์ร้องหวีดไม่มีขวัญ |
กรกระหวัดรัดองค์พระทรงธรรม์ | พระผินผันจูบปรางแล้วยิ้มเยาะ |
อุตส่าห์ปิดผ้าห่มนมจะตก | เมื่อหันหกทรามเชยไม่เคยเหาะ |
ไฮ้อะไรหลอกล้อหัวร่อเยาะ | ทำปากเปราะช่างไม่อายแก่ปากเลย |
นางหยิกข่วนตีผลักเอาหนักหนา | พระเชษฐาว่าเท่านั้นเถิดน้องเอ๋ย |
แล้วยิ้มหยอกบอกไม้ให้นางเชย | กระไรเลยพฤกษาเป็นท่าทาง |
ดูท่วงทีพุ่มสลับลำดับชั้น | เหมือนอัฒจันทร์ที่ในวังตั้งกระถาง |
ทั้งลูกดอกดั่งเด็ดประดับวาง | เหมือนหนึ่งช่างแซมใส่ดอกไม้จีน |
ดูใบก้านงามคล้ายกับไม้ดัด | กิ่งสลัดหักแล่งดั่งแกล้งสีน[๒] |
ดูนกจับตัวเต้นไม่เห็นตีน | เหมือนนกจีนที่เขาทำดูขำครัน |
ไม้ในวังตั้งวางกระถางเทศ | แม่ดวงเนตรจะได้ชมเกษมสันต์ |
ดีกว่าไม้ในป่าพนาวัน | สารพันที่จะเพลินจำเริญตา |
แล้วชวนนางชมช้างที่กลางดอน | เท่าสุกรเดินเต็มเที่ยวเล็มหญ้า |
ทั้งเตี้ยค่อมเผือกเนียมอเนกา | ที่ตัวบ้าบ่มมันกระบึงแทง |
สองภิรมย์ชมดงสโมสร[๓] | กำดัดร้อนสุริยานั้นกล้าแข็ง |
พระชักอาชาชาญทะยานแรง | ลงตำแหน่งเนินโขดคิรินทร |
ไศลเลื่อมแลล้วนศิลาลาย | ดูพรอยพรายแพรวพรรณประภัสสร |
เป็นแง่งอกออกเงื้อมชะโงกงอน | ชโลทรไหลปรุเป็นพุพราย |
พระทรงโฉมโลมชวนนวลหง | ลงสระสรงวารินกระสินธุ์สาย |
ชลาไหลไกรกรอกกระจายพราย | สองสบายชวนกันลงสรงชล |
พระทรงศักดิ์วิดวักวารินสาด | นุชนาฏสาดรับอยู่สับสน |
นางเบือนพักตร์หลับเนตรไม่ทานทน | ภูวดลได้ทีก็จูบพลัน[๔] |
พระทรงสีปฤษฎางค์ให้นางน้อง | พระหัตถ์ลอดสอดต้องปทุมถัน[๕] |
นางเบือนพักตร์ปิดป้องของสำคัญ | ช่างน่าขันทำง่ายง่ายไม่อายเลย |
ให้สีหลังสีไหล่ไปสีอก | ไม่อายนกกลางป่าเจ้าข้าเอ๋ย |
อนิจจาเชษฐาไม่แกล้งเลย | มือนี้เคยน่าตัดให้ขาดไป |
พระทรงผินปฤษฎางค์ให้นางสี | พระเทวีแย้มสรวลแล้วข่วนให้ |
อุยหน่านางช่างสีดีสุดใจ | นางทรามวัยก็ว่ามือของฉันเคย |
สองพระองค์สรงสาคเรศเสร็จ | แล้วเสด็จสอยผลพฤกษาเสวย |
สองสนิทชิดชมภิรมย์เชย | แสนเสบยหอมรสสุมาลี |
พระชวนน้องนั่งหน้าศิลาลาด | พลางประพาสชมสัตว์ในไพรศรี |
กระจงโจนวิ่งตามจามรี | คชสีห์โตสิงห์กระทิงโทน |
เม่นมองย่องออกจะหยอกเม่น | กระต่ายเต้นตามนางกระต่ายโผน |
จิ้งจอกจรไล่หยอกจิ้งจอกโจน | กิเลนโลนไล่นางกิเลนพลัน |
นางโฉมงามถามองค์พระทรงเดช | กระต่ายเพศพงศ์ชาติประหลาดขัน |
ไม่รู้กินวารีเป็นนีรันดร์[๖] | อัศจรรย์เหตุผลนั้นกลใด ฯ |
๏ พระสดับวาทินยุพินถาม | จึ่งแจ้งความตามสารบุราณไข |
นี่แน่น้องพี่จะเล่าให้เข้าใจ | กระต่ายไพรเดิมลงกินคงคา |
ตะเข้[๗]มันแลเห็นเขม้นหมาย | พอกระต่ายลงกินที่ตีนท่า |
ก็โผล่โพล่งพังพาบแล้วคาบพา | คำรามร่าฮือฮือกระหึ่มครวญ |
กระต่ายน้อยนึกฉลาดตวาดว่า | เหวยกุมภาอย่าคิดให้ผิดผวน |
ร้องฮื่อฮื่อกูไม่คร้ามคำรามครวญ | ไม่เห็นควรกลัวเกรงเท่าขี้ตา |
ถ้าเอ็งร้องฮ่าฮ่าแล้วข้ากลัว | พ่อทูนหัวลูกขอวานอย่าว่า |
ตะเข้โตโง่เง่าเขลาปัญญา | ก็ร้องอ่าขึ้นเห็นว่าเป็นดี |
ครั้นร้องฮ่าอ้าปากไม่ทันหับ | กระต่ายผลับโดดโพล่งโขย่งหนี |
อ้ายกุมภิลลิ้นขาดออกทันที | ด้วยต้องฝีเท้าถีบกระต่ายไพร |
ตั้งแต่นั้นกุมภีไม่มีลิ้น | กระต่ายกลัวกุมภิลไม่ลงได้ |
จึ่งสู้กินนํ้าค้างอยู่กลางไพร | จะเท็จจริงอย่างไรไม่รู้เลย ฯ |
๏ นางสนองว่าเสนาะเพราะนะพี่ | กระต่ายนี้ปรีชาเจ้าข้าเอย |
ทรงพระสรวลสำรวลรื่นชื่นเสบย | นางทรามเชยถามถึงพยัคฆา |
เหตุไฉนเสือร้ายจึ่งลายพร้อย | ก็ชะรอยจะมีเหตุนะเชษฐา |
มีสิน้องเรื่องเริ่มแต่เดิมมา | เป็นตำราเล่าความตามนิยาย |
ยังมีชายหนึ่งชราอนาโถ | ชื่อตาโคเข็ญขัดเที่ยวตัดหวาย |
พยัคฆ์ย่องมองหมอบค่อยยอบกาย | เขม้นหมายที่จะขบตาโคกิน |
ตาเฒ่าเหลียวหลังพบประสบเสือ | แกกลัวเหลือลานจิตคิดถวิล |
ทำอุบายหมายลวงพยัคฆิน | อุเหม่มึงไอ้ทมิฬจะทำไม |
ไม่รู้หรือว่าจะเกิดกุลาหล[๘] | ทั้งฝูงคนสิงสัตว์จะตัดษัย |
นํ้าจะท่วมถึงฟ้าสุราลัย | ฝูงมัจฉาปลาใหญ่จะกินเดือน |
กูรีบรัดตัดหวายอุบายฉลาด | จะแขวนญาติวงศาบรรดาเพื่อน |
คงจะรอดชีวินสิ้นทั้งเรือน | ไอ้ขี้เรื้อนมึงไม่รอดจะวอดวาย |
ไอ้เสือกลัวตัวสั่นพรั่นชีวิต | คลานเข้าชิดวอนไหว้เหมือนใจหมาย |
เจ้าจอมตาช่วยข้าอย่าให้ตาย | พ่อเอาหวายผูกคอลูกแขวนที |
ตาโคเฒ่าผูกคอไอ้เสือโคร่ง | ขึ้นแขวนโยงเขย่งไว้มิให้หนี |
แล้วเฆี่ยนหลังเสือร้ายเป็นลายรี | พยัคฆีดิ้นขาดกระโดดไป |
ไอ้เสือร้ายลายพร้อยเป็นรอยหวาย | ก็สืบสายเป็นตระกูลไม่สูญได้ |
เขาเล่าความตามกันออกลั่นไป | พี่จำได้ก็เล่าให้เจ้าฟัง ฯ |
๏ นางเกสรตอบสารพระผ่านเศียร | ชะช่างเจียนจัดความเอาตามหวัง |
โอ้แม่ยอดยาจิตอนิจจัง | เล่าให้ฟังแล้วยังล้อให้ลานใจ |
พระตรัสพลางกางกรเข้ากอดโฉม | สองประโลมเชยชิดพิสมัย |
ระรวยรื่นบุปผาสุมาลัย | นางทรามวัยทรงธรรม์ก็บรรทม |
สินธพเที่ยวเลี้ยวลดไปเล็มหญ้า | ในเงื้อมผาท่าธารเกษมสม |
พระพายพัดเฉื่อยชื่นรื่นอารมณ์ | แล้วไล่ชมนางม้าอาชาไนย ฯ |
๏ จะกล่าวถึงมหิงสาวิชาธร | ระเห็จร่อนเหาะมาหน้าไศล |
แลเห็นสองไสยาสน์ประหลาดใจ | แลวิไลนวลละอองทั้งสององค์ |
วิชาธรร่อนลงจากเวหา | เข้าแอบผามองชิดพิศวง |
แสนสวาทกัลยาสง่าทรง | นึกจำนงจะใคร่ชมภิรมย์รัก |
แม่งามสุดผุดผ่องละอองเอี่ยม | ไม่มีเทียมอรไททั้งไตรจักร |
หลับก็ยิ้มงามเหมือนจะเยื้อนทัก | วรพักตร์ผ่องเพียงพระจันทร |
มหิงสาคลุ้มคลั่งกำลังรัก | หมายจะลักเทวีศรีสมร |
เอาโอสถเสกปรายขจายจร | ละอองอ่อนตกต้องทั้งสององค์ |
วิชาธรโสมนัสไม่ขัดข้อง | ขยับย่องเข้าอุ้มนางนวลหง |
ขึ้นใส่เอวเร็วรีบฤทธิรงค์ | ก็เหาะตรงลอยลมละลิ่วไป |
ครั้นแลลับกลับแก้มนต์สะกด | ยังระทดระทวยหลับหาตื่นไม่ |
ประจงจูบลูบชมพอชื่นใจ | แล้วปลุกให้งามชื่นเจ้าตื่นพลัน ฯ |
๏ สงสารเจ้าเยาวมาลย์มิ่งสมร | สนิทนอนนิทราเกษมสันต์ |
วิชาธรชมชิดคิดสำคัญ | ว่านางนั้นบรรทมกับภูมี |
ต้องสะกดระทดให้ฟั่นเฟือน[๙] | นางหลงเบือนกอดคว้าคิดว่าพี่ |
วิชาธรมิได้วางนางเทวี | แต่พอได้สมประดีไม่มีใจ |
นางข่วนหยิกพลิกผลักเอาหนักมือ | ส่งเสียงรื้อร้องรํ่านํ้าเนตรไหล |
ไม่เห็นองค์ภูวนาถเพียงขาดใจ | นางทรามวัยอ่อนจิตด้วยคิดกลัว |
เจ้าหลับเนตรกรีดกรีดวะหวีดร้อง | มาช่วยน้องด้วยเถิดพระทูนหัว |
พระบรรทมเป็นไฉนไม่รู้ตัว | ไอ้คนชั่วพาพรากมาจากองค์ |
วิชาธรวอนปลอบว่ายอดรัก | อย่าโศกหนักเลยแม่นิ่มนวลหง |
อันผัวนางงามตื่นไม่คืนคง | เห็นจะปลงชีวิตด้วยพิษยา |
นางได้ฟังดั่งพระขรรค์มาบั่นเกล้า | ยิ่งโศกเศร้าร้อนแรงกันแสงหา |
ดิ้นสะบัดจะให้พลัดลงมรคา | สิ้นปัญญาอ่อนพับลงกับกร |
มหิงสาตัวสั่นมิ่งขวัญหาย | แสนเสียดายเยาวเรศวิเศษสมร |
เห็นแน่นิ่งกลัวมิ่งจะม้วยมรณ์ | ก็รีบร่อนลงยังเขาศิลาลาย |
ให้ทรามวัยไสยาสน์บนอาสน์ผา | เอาชลามาชโลมให้โฉมฉาย |
เอาดอกไม้รอรื่นให้ตื่นกาย | กลิ่นกระจายหอมฟุ้งจรุงใจ |
แสนสงสารสาวน้อยเจ้าค่อยฟื้น | ยิ่งสะอื้นโศกศัลย์รำพันไห้ |
โอ้พี่ร่วมพิศวาสประหลาดใจ | เป็นไรไม่เร่งรีบมาตามเมีย |
พระทรงฤทธิ์ลือภพเคยรบรับ | ไม่มาจับไอ้อาธรรม์นี้ฟันเสีย |
ให้สมนํ้าหน้าไอ้โขมดขโมยเมีย | ชอบแต่ตัดเศียรเสียจึ่งสมกัน |
วิชาธรฟังสารสำราญชื่น | ดั่งรสรื่นอำมฤคในเมืองสวรรค์ |
แม่งามพริ้งพูดเพราะเสนาะครัน | ถึงชีวันพี่จะวายไม่หายรัก |
มนุษย์นี้มีกลิ่นไม่สิ้นสร่าง | ขอเชิญนางไปภิรมย์ให้สมศักดิ์ |
อยู่พิมานไกรลาสสะอาดนัก | พี่ก็ศักดิ์สุริวงศ์เป็นเทวัญ |
นางสดับดั่งพระแสงมาแทงโสต | ยิ่งพิโรธเคืองแค้นแสนกระสัน |
ช่างมีหน้าอวดว่าเป็นเทวัญ | ชาวสวรรค์เป็นขโมยไม่เคยมี |
ไม่มีสัตย์สารพัดจะพูดหยาบ | ไม่กลัวบาปเลยอะไรที่ไหนนี่ |
เมื่อเมียเขาหรือมาคิดให้ผิดที | อเวจีจะเป็นเรือนสำหรับตน |
ยมพระบาล[๑๐]จะประหารด้วยหอกดาบ | อย่าทำหยาบเลยเห็นไม่เป็นผล |
โอ้สุดาดวงสมรเสมอชนม์ | ปัญญายลรู้ยิ่งทุกสิ่งการ |
แม้นเมียเขาใครคบมาแนบอก | ลงนรกเหมือนอย่างน้องสนองสาร |
เว้นแต่พี่ถึงจะทำก็สำราญ | ด้วยยมพระบาลกับพี่เป็นเกลอกัน |
แม้นรู้ว่าพี่ร่วมรักสมัครสมร | จะอวยพรให้พี่ชมภิรมย์ขวัญ |
ว่าพลางกางกรจะกอดพลัน | สาวสวรรค์เงื้อง่าศิลาแลง |
วิชาธรถอยหลังยั้งขยาด | อนงค์นาฏหวาดหวั่นยิ่งกันแสง |
สะอื้นไห้หวนโหยจนโรยแรง | ไม่เหือดแห้งนัยน์เนตรนั้นนองชล ฯ |
๏ จะกล่าวถึงจันทาวิชาธร | เที่ยวสัญจรร่อนเหาะในเวหน |
ได้ยินเสียงร้องไห้พิไรรน | หยุดฉงนยั้งชะงักชะแง้มอง |
จึ่งแลเห็นโฉมทิพเกสร | วิชาธรจะเข้าประสมสอง |
นางไม่ยอมโศกานํ้าตานอง | นวลละอองขึ้งเคียดให้เกลียดชัง |
จันทาแสนพิสวาสด้วยทรงโฉม | จะจู่โจมชิงชมให้สมหวัง |
จึ่งร้องเหวยไอ้ลิงผู้หญิงชัง | หน้าทุรังไม่ควรกับนางงาม |
ถ้ากูกับเนื้อเย็นจะเห็นสม | ถึงจะชมก็สุภาพไม่หยาบหยาม |
ไม่เหมือนมึงหน้าบ้าทำตะกราม[๑๑] | แต่คนงามก็ไม่รู้สงวนครอง |
มหิงสาฟังสารดั่งขวานขว้าง | เห็นไอ้ค่างหน้าขนทำจองหอง |
ดูกระโดดโลดไล่ดั่งใจปอง | ตวาดร้องรุกรบประจบรับ |
ทั้งสองฤทธิ์สู้รบกันฉับฉาด | เข้าแย้งฟาดเยื้องฟันประจัญจับ |
พระขรรค์กระทั่งดังกระจายประกายวับ | ขยิกขยับแทงพรวดเข้าพร้อมกัน |
ทั้งสองตนตกตึงลงผึงแผ่ | ก็นอนแน่มรณาชีวาสัญ |
โลหิตนองสองศพประกบกัน | เพราะโมหันธ์หวงสวาทจนวอดวาย |
ทั้งสองฮึกโอหังจนสังขาร์ | เพราะตัณหาพาชีพให้ฉิบหาย |
กเฬวรากซากศพประกบตาย | ริมเชิงชายสิขเรศคิรีวัน ฯ |
๏ สงสารมิ่งเยาวมิตรขนิษฐา | เห็นวิทยาวางวายชีวาสัญ |
สยดสยองหย่องเกล้าโลมาชัน[๑๒] | ให้หวาดหวั่นวิญญาณ์ยุพาพาล |
เห็นโลหิตไหลนองลงกองกลาด | นุชนาฏเบือนหน้าน่าสงสาร |
ให้นึกกลัวอสุรกายที่วายปราณ | เยาวมาลย์ลงจากสิขรินทร์ |
ค่อยลินลาศเลียบตามเนินไศล | สันโดษเดียวเปลี่ยวใจในไพรสิณฑ์ |
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงรินริน | คิดถึงปิ่นปกเกล้ายิ่งเศร้าใจ |
โอ้พระมิ่งทูลกระหม่อมของเมียเอ๋ย | ไม่แจ้งเลยว่าอยู่หนตำบลไหน |
เมื่อนิทราหลับอยู่กับภูวไนย | จะใกล้ไกลไม่แจ้งแห่งหนทาง |
หยุดสะอื้นยืนทอดฤทัยถอน | สองพระกรข้อนทรวงเข้าผางผาง |
โอ้เอ้กรรมเมียได้ทำแต่ก่อนปาง | จึ่งจำร้างมาเร่อยู่เอองค์ |
นางกู่ก้องร้องเรียกอยู่แจ้วแจ้ว | เสียงแว่วแว่วเร่งคิดพิศวง |
ฟังสำเนียงมิใช่เสียงจักรพงศ์ | นางทอดองค์ลงสะอื้นพิไรครวญ |
นิจจาเอ๋ยป่านฉะนี้พระทรงภพ | จะปรารภรํ่าไห้ไม่วายหวน |
จะท่องเที่ยวตามองค์อนงค์นวล | จะครํ่าครวญอยู่กับม้าอาชาชาญ |
โอ้ชีพเมียเห็นไม่เหลือเป็นเหยื่อสัตว์ | กรรมวิบัติแจ้งจำนงมาจงผลาญ[๑๓] |
ยิงสะอึกสะอื้นไห้อาลัยลาน | ยุพาพาลสุดสิ้นกำลังลง |
ชลเนตรฟูมฟองลงนองพักตร์ | แทบเจียนจักมอดม้วยเป็นผุยผง |
สุดจะฝืนขืนจิตดำรงองค์ | สลบลงกับพื้นพระธรณี |
รุกขมูลพิมานบันดาลเงียบ | เย็นระเยียบเยือกระย่อทั้งไพรศรี |
สงสารนุชสุดสิ้นวิสัญญี | ทั้งโกกีลากาก็ซบเซา |
ทุกอกสัตว์ในพนัสไพรระหง | ก็งวยงงเงียบง่วงสงัดเหงา |
พลอยสงสารโศกทรงด้วยนงเยาว์ | ทุกลำเนาแนวเนินพนมวัน |
พระพายพัดเกสรมารื่นรื่น | ค่อยชุ่มชื้นฟื้นกายสาวสวรรค์ |
ค่อยดำรงกายาสุดาจันทร์ | ให้หวาดหวั่นวิเวกวังเวงใจ |
อนิจจาโอ้ว่าเกสรเอ๋ย | อย่าบ่นเลยเห็นชีพจะตักษัย |
ไหนจะพบจักรพงศ์ผู้ทรงชัย | จะด้นดั้นครรไลไปตามกรรม |
แม้นกุศลผลสร้างแต่ปางก่อน | ไม่ม้วยมรณ์ก็จะมาอุปถัมภ์ |
คงประสบพบองค์พระทรงธรรม | ขอเทพช่วยแนะนำวิถีทาง |
พระสุริย์ฉายบ่ายคล้อยค่อยลีลาศ | นุชนาฏเปลี่ยวใจในไพรกว้าง |
พฤกษไพรครวญครึ้มกระหึ่มคราง | อนงค์นางขวัญหายไม่วายกลัว |
ครั้นยอแสงสุริย์ศรีชะนีน้อย | เที่ยวโหนห้อยโหยไห้เรียกหาผัว |
เลียงโหวยโหวยวิเวกจิตยังคิดกลัว | โอ้เหมือนตัวน้องเรียกพระทรงธรรม์ |
แสนสงสารเกสรสมรแม่ | เจ้าเฝ้าแต่กำสรดกันแสงศัลย์ |
ครรไลพลางทางชมพนมวัน | โอ้ผลจันทน์เหมือนเมียจากกำจัดจร |
สาวหยุดเหมือนเมียหยุดวิโยค | ต้นโศกเหมือนเมียโศกถึงทรงศร |
นิลพัทเหมือนหนึ่งพักตร์วิชาธร | ต้นรักซ้อนเหมือนมันร่อนให้แรมรา |
โอ้เปล้าเหมือนหนึ่งปลิดให้เปลี่ยวข้าง | ผลมะทรางเหมือนเมียเที่ยวแทรกหา |
นํ้านองเหมือนเมียนองชลนา | โอ้พะวาเหมือนเมียวอนทุกเทวัญ |
ยังนึกหวนครวญไห้ไม่วายโหย | สันโดษโดยเที่ยวเดินในไพรสัณฑ์ |
บรรลุถึงรังรุกขเทวัญ | เป็นช่อชั้นชิดชื้อชะอื้อลม |
สงสารนุชทรุดนั่งกำลังเหนื่อย | ลมพัดเฉื่อยเรื่อยรื่นอารมณ์สม |
ฝูงสกุณกู่ก้องร้องระงม | นางทรามชมเอนองค์ลงไสยา |
เสนาะเสียงเรไรระหริ่งรี่ | ดังซอสีกล่อมจิตขนิษฐา |
หอมระรื่นชื่นรสสุมาลา | ก็นิทราหลับลืมอาลัยลง ฯ |
๏ จะกล่าวถึงเทวัญอันเรืองฤทธิ์ | ที่สถิตรังใหญ่ไพรระหง |
แลเห็นยอดอนงค์นางสำอางองค์ | ไยมาหลงท่องเที่ยวผู้เดียวเดิน |
ชะรอยนางพลัดผัวจึ่งมัวหมอง | มาตรอมตรองกลุ้มอกระหกระเหิน |
วิโยคยากย่อยยับระยำเยิน | ช่างกล้าเดินมาได้ในดงดาน |
แม้นไม่ช่วยจักม้วยชีวาสัญ | ท้าวเทวัญให้มีจิตคิดสงสาร |
แล้วออกจากวิมานรัตน์ชัชวาล | บันดาลเพศเป็นพราหมณ์ชรากาย |
ถือไม้เท้าก้าวย่างมาข้างนุช | แล้วยืนหยุดปลอบปลุกนางโฉมฉาย |
เจ้างามชื่นฟื้นสมประดีกาย | ชำเลืองชายนัยนาเห็นตาพราหมณ์ |
ถือไม้เท้ายืนนิ่งอยู่ตรงหน้า | กัลยานึกพรั่นประหวั่นหวาม |
จะดีร้ายไม่แจ้งประจักษ์ความ | พะงางามยกหัตถ์ขึ้นมัสการ |
เทพพราหมณ์ถามยอดกัลยาหญิง | สมรมิ่งมาไยในไพรสาณฑ์ |
เอกากายเดินดั้นในดงดาน | ไม่กลัวพวกภัยพาลจะราวี |
น่าเอ็นดูเยาวลักษณ์อัคเรศ | มาทนเทวษเดินดั้นกันแสงศรี |
หรือหนึ่งเสียเภตราหรือธานี | หรือสามีพลัดพรากจึ่งจากจร |
อย่ากลัวเลยเรามิใช่ไอ้รากโษส | ตาเป็นโคตรพรหมพงศ์สโมสร |
จะขอถามกัลยาพะงางอน | อยู่นครธานีบุรีใด ฯ |
๏ ปางอนงค์ฟังองค์เทวฤทธิ์ | สำคัญคิดว่าเป็นพราหมณ์ไม่สงสัย |
จะบอกพราหมณ์ความแค้นแน่นพระทัย | ชลนัยน์คลอเนตรลงรินริน |
เมื่อเดิมหลานเอากำเนิดในโกเมศ | พระทรงเวทเลี้ยงไว้ในไพรสิณฑ์ |
มาภายหลังมีหน่อธิบดินทร์ | พลัดพรากนครินทร์สัญจรมา |
ชื่อพระลักษณวงศ์อันทรงฤทธิ์ | กับหลานน้อยแสนสนิทเสน่หา |
ครั้นเติบใหญ่ไปหาพระมารดา | ครั้นอยู่มามุนินทร์ก็สิ้นชนม์ |
หลานนี้ตั้งแต่จะตวงนํ้าตารํ่า | เที่ยวครวญครํ่าร่อนเร่ระเหระหน |
พอกินรามาช่วยไม่วายชนม์[๑๔] | ห้านางนฤมลพามาคิรี |
ค่อยเสื่อมสร่างบางเบาบรรเทาโศก | พอพระจอมดิลกโลกเฉลิมศรี |
ไปรับข้าพามายังธานี | ลงหยุดยอดคิรีในราวไพร |
บรรทมหลับอยู่กับองค์พระทรงศร | วิชาธรมันสะกดให้หลับใหล |
แล้วอุ้มหลานมากลางนภาลัย | ลงหยุดยอดเขาใหญ่พิไรวอน |
หลานนี้มิได้ปลงจำนงจิต | รำลึกคิดถึงองค์พระทรงศร |
พอวิทยาหนึ่งพบเข้ารบรอน | ก็ม้วยมรณ์มรณังทั้งสองนาย |
แล้วหลานเที่ยวซัง[๑๕]ไปในไพรสิณฑ์ | ก่นแต่กินนํ้าเนตรไม่ขาดสาย |
นางเล่าพลางกำสรดระทดกาย | ยิ่งฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ |
๏ เทวฤทธิ์คิดแสนสงสารนัก | ด้วยเยาวลักษณ์โศกศัลย์รำพันไห้ |
จึ่งปลอบมิ่งมณฑาสุมาลัย | จงหักใจลงเสียบ้างให้บางเบา |
จะช่วยแปลงโฉมงามเป็นพราหมณ์น้อย | อย่าเศร้าสร้อยโศกศัลย์เลยโฉมเฉลา |
เป็นหญิงเที่ยวเดี่ยวโดดทุกลำเนา | โอ้ผู้ใดใครเขาจะกลัวเกรง |
เหมือนมาลีคลี่กลิ่นตระหลบหอม | จะตามตอมเฝ้ารุมกันคุมเหง |
เอกากายชายหรือจะมาเกรง | โอ้ตัวเองก็จะอายไม่วายวัน |
แล้วถอดเทพธำมรงค์ออกส่งให้ | เอาสอดใส่นิ้วก้อยเถิดสาวสวรรค์ |
จะกลับกลายเป็นพราหมณ์พรหมจรรย์ | ถ้าแม้นขวัญนัยนาพบสามี |
จงถอดใส่นิ้วนางเถิดนงนุช | เพศบุรุษก็จะสูญดอกโฉมศรี |
เจ้างามสรรพรับแหวนด้วยยินดี | อภิวันท์อัญชลีเทพไท |
เอาธำมรงค์ทรงภพขึ้นจบเกศ | พระคุณดั่งบิตุเรศจะหาไหน |
มาโปรดเกล้าคราวจบให้พ้นภัย | พระคุณใครจะเสมอไม่มีปาน |
แล้วสอดใส่นิ้วก้อยขนิษฐา | กลับกายาเป็นพราหมณ์มหาศาล |
วิไลลํ้าเครื่องทรงอลงการ | สร้อยสังวาลพร้อมสรรพประดับกาย |
อันเพศพระยุพินก็สิ้นสูญ | โฉมอดูลดวงพักตร์ดั่งเพ็งฉาย |
ประไพพริ้มเพราเพริศประเสริฐชาย | เทพไทจึ่งภิปรายแก่งามงอน |
ถึงใครทักว่าเป็นหญิงอย่าเกรงขาม | จะแปลงนามยอดเสน่ห์พราหมณ์เกสร |
แม้นจะตามภัสดาพะงางอน | เฉียงอุดรบูรพาจะพบพาน |
ลุงจะลาจรจัลแล้วขวัญเนตร | อย่าพูนเทวษนักเลยยอดสงสาร |
แล้วบังกายบ่ายหน้าเหาะทะยาน | ไปวิมานรุกขมูลสำราญองค์ ฯ |
๏ สาวสวรรค์ครั้นเห็นตาพราหมณ์หาย | ก็มั่นหมายว่าเทพไทไพรระหง |
น้อมศิโรตม์บังคมบรมพงศ์ | พระคุณจงเป็นสุขสถาพร |
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงลามเนตร | น่าสังเวชนงรามพราหมณ์เกสร |
แล้ววันทาพฤกษไพรครรไลจร | เข้าดงดอนเดินดั้นสันโดษเดียว |
แลสล้างนางไม้ในไพรสิณฑ์ | สกุณินเพรียกพร้องในไพรเขียว |
ผลมะปรางค่างกระรอกทักออกเกรียว | เห็นนกเปล้าจับเปลี่ยวอยู่ปลายยาง |
โอ้ตัวน้องเหมือนนกวิหคเปล้า | มาเปลี่ยนเปล่าทุกข์ทนกมลหมาง |
ดำเนินพลางฟายชลนาพลาง | มาตามทางหว่างรุกขฉายา ฯ |
[๑] สิบห้าเวร = สิบห้าวัน
[๒] สีน = สิน แปลว่า ตัดหรือฟันให้ขาด
[๓] สมุดไทยเลขที่ ๓ และเลขที่ ๑๖ ว่า “สองภิรมย์ชมสัตว์สโมสร”
[๔] สมุดไทยเลขที่ ๑๖ ว่า “ภูวดลจุมพิตยุพินพลัน”
[๕] สมุดไทยเลขที่ ๑๖ ว่า “พระหัตถ์ลอดสอดต้องทั้งสองถัน”
[๖] นีรันดร์ = นิรันดร์
[๗] ตะเข้ = จระเข้
[๘] กุลาหล = โกลาหล
[๙] สมุดไทยเลขที่ ๓ ว่า “ต้องสะกดระทดใจให้ฟั่นเฟือน”
[๑๐] ยมพระบาล = ยมบาล แปลว่า ผู้เฝ้าขุมนรก
[๑๑] สมุดไทยเลขที่ ๑๖ ว่า “ไม่เหมือนมึงหน้ากากทำตะกราม”
[๑๒] สมุดไทยเลขที่ ๓ ว่า “สยดสยองเศียรเกล้าโลมาชัน”
[๑๓] สมุดไทยเลขที่ ๓ และเลขที่ ๑๖ ว่า “กรรมวิบัติแกล้งจำนงมาจงผลาญ”
[๑๔] สมุดไทยเลขที่ ๑๖ ว่า “พอกินรามาช่วยไม่ม้วยชนม์”
[๑๕] ซัง = เซซัง