- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
๏ พระฤๅษีแจ้งคดีแต่หนหลัง[๑] | อนิจจังอนัตตาน่าสงสาร |
จากสมบัติพลัดแม่มาแดดาล | แล้วเล็งญาณแจ้งจิตในกิจจา |
ว่านางทิพเกสรพระหลานรัก | กับพระลักษณวงศ์เสน่หา |
เคยเป็นคู่สู่สมภิรมยา | พระสิทธาแย้มยิ้มละไมไป |
หากโฉมตรูเจ้าไม่รู้ในความรัก | แล้วทรงศักดิ์ตรัสแจ้งแถลงไข |
บิดาเจ้าหลงรักอียักษ์ไพร | ไม่อาลัยลูกเมียจนเสียการ |
เมื่อมารดาเจ้าพามานอนนั้น | ท้าวกุมภัณฑ์พาไปในไพรสาณฑ์ |
ไปอยู่เมืองมยุราพญามาร | ไม่ช้านานเจ้าจะพบประสบกัน |
อยู่ศาลาตาเถิดจะสั่งสอน | ให้รุ่งเรืองฤทธิรอนจึงผายผัน |
แล้วสั่งสอนธิดาวิลาวัณย์ | จงรักกันพี่น้องทั้งสองรา |
อย่าหยาบหยามจำความที่ตาสั่ง | เมื่อภายหลังจะได้พึ่งพระเชษฐา |
แล้วเธอเลือกเผือกมันที่มีมา | ให้นัดดาสองเสวยสว่างใจ |
สุริยงลงลับในไพรสัณฑ์ | กระจ่างแจ้งแสงจันทร์พฤกษาไสว |
แล้วชวนสองหลานน้อยผู้กลอยใจ | เข้านอนในอาศรมแล้วสวดมนต์[๒] |
ทั้งคาถาอาคมอันเลิศแล้ว | ให้คลาดแคล้วสาตราเป็นห่าฝน |
นฤมิตบิดเบือนในกายตน | ถึงอับจนจวนตัวไม่กลัวตาย |
หน่อกระษัตริย์สังวัธยายเวท | ซึ่งวิเศษจำได้ดังใจหมาย |
ทั้งเวทมนตร์บ่นคล่องไม่เคลื่อนคลาย | แสนสบายอยู่ในบรรณศาลา ฯ |
๏ อยู่วันหนึ่งจึงองค์พระทรงพรต | ลูกไม้หมดจะไปสอยผลพฤกษา |
สั่งกุมารหลานรักทั้งสองรา | วันนี้ตาจะออกไปในไพรพนม |
เจ้าอยู่หลังสังวัธยายเวท | อยู่แต่เขตศาลาพระอาศรม |
พระสั่งสอนแล้วจรเข้าไพรพนม | สำราญรมย์เที่ยวในพนาดร |
๏ ฝ่ายกุมารลักษณวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | โสมนัสจำคำฤๅษีสอน |
อุตส่าห์บ่นมนตราสถาพร | เจ้าไม่จรจากบรรณศาลา |
นางโฉมยงองค์ทิพเกสร | เฝ้าวิงวอนชักชวนพระเชษฐา |
พ่อตาไปไกลลับไม่กลับมา | เล่นชิงช้าเถิดอย่าบ่นพระมนตร์เลย |
พระฟังนางทางตอบว่าตาสั่ง | แม้นผิดพลั้งตาจะตีเจ้าพี่เอ๋ย |
เวลานี้พี่ไม่เล่นแล้วทรามเชย | พระแกล้งเลยเล่าบ่นพระมนตรา |
นางเกสรค้อนควักแล้วผินผัน | ได้เห็นกันดีแล้วพระเชษฐา |
แต่นี้ไปใครอย่าได้มาพูดจา | ไม่ปรารถนาเรียกพี่แต่นี้ไป |
พระแกล้งเฉยเลยเล่าแต่คาถา | กัลยาแค้นเพียงเลือดตาไหล |
เข้านั่งเคียงส่งเสียงให้แซ่ไป | ทะยานใจจังฑาล[๓]พระโฉมยง |
พระรู้แจ้งว่านางแกล้งมาส่งเสียง | ไม่ทุ่มเถียงลุกหนีนวลหง |
นางโฉมงามวิ่งตามมาเคียงองค์ | จะให้ลักษณวงศ์เจ้าลืมมนตร์ |
หน่อกระษัตริย์ขัดเคืองชำเลืองค้อน | แม่เกสรนี่มาแกล้งทุกแห่งหน |
เขาลุกหนีแล้วยังเที่ยวจังฑาลคน | จนเวทมนตร์ลืมเลือนออกเบือนไป |
นางฟังคำซํ้าแค้นเข้าหยิกข่วน | เขาได้กวนหรือมาลงเอาเขาได้ |
ปากของใครใครก็ร้องให้ก้องไป | เจ้าหัวใจหรือมาห้ามจำนรรจา |
พระรับหัตถ์ปิดป้องประคองไว้ | อุ่ยอะไรมาหยิกเอาหนักหนา |
ทะยานใจเขาไม่ไปเล่นชิงช้า | พ่อตามาเถิดจะฟ้องให้ต้องตี |
ไยมิฟ้องข้าจะร้องกระนั้นแหละ | แกล้งกระแทะ[๔]เข้าไปผลักพระโฉมศรี |
ลักษณวงศ์เดินตรงเข้ากุฎี | กุมารีตามหลังมานั่งเคียง |
พี่ฟ้องแล้วหรือยังมานั่งนิ่ง | ถ้าฟ้องจริงแล้วจะร้องให้สุดเสียง |
พระถอยหนีศรีสวัสดิ์เข้านั่งเคียง | ขยับเรียงไล่ล้อทำลิ้นเลียน |
ยิ่งว่าก็ยิ่งกวนไปเจียวนะ | ไม่ฟังละคงจะฟ้องให้ต้องเฆี่ยน |
เขายิ่งหนีแล้วก็ยิ่งล้อเลียน | ตัวไม่เรียนแล้วมาร่านทะยานใจ |
นางฟังคำซํ้าค้อนว่าเคืองจริง | ก็นั่งนิ่งโศกานํ้าตาไหล |
พระหยอกนางไยนวลมิกวนไป | สาแก่ใจสิจะฟ้องลองดูที |
แล้วแย้มยิ้มพริ้มพรายด้วยหายโกรธ | จึงเอื้อนโอษฐ์สัพยอกนางโฉมศรี |
คิดว่ากล้าไยมากลัวเอาเต็มที | กลัวต้องตีจงไปหยิบแตงโมมา |
จริงหรือนั่นฉันจะเอาไอ้ลูกโต | แถมส้มโอให้อีกพระเชษฐา |
พี่ไม่ฟังขืนจะยังฟ้องพ่อตา | เล่นชิงช้าฉันไม่ไปช่วยชัก |
แล้วกอดจูบพูดจาประสาเด็ก | ด้วยเล็กเล็กอยู่ทั้งสองไม่ถือศักดิ์ |
นางเกสรวอนชวนพระทรงลักษณ์ | ไปขึ้นชักชิงช้าเล่นให้เย็นใจ |
พระฟังคำซํ้าชวนเป็นหลายครั้ง | มิตามมั่งก็จะขัดอัชฌาสัย |
จะจู้จี้ขี้คร้านรำคาญใจ | จึงว่าไปซีไปเล่นเสียเห็นวัน |
กุมารีดีใจเข้ากอดรัด | หน่อกระษัตริย์พานางทางผายผัน |
พระแกล้งเมินเดินไปมิใคร่ทัน | นางแจ่มจันทร์วิ่งไปจนลับตา |
พระแกล้งร้องเวยวายตะกายวิ่ง | สมรมิ่งตกใจเป็นหนักหนา |
ร้องกราดกรีดหวีดวิ่งผวามา | ถึงเชษฐากอดไว้ไม่วางมือ |
ทำเป็นกลัวตัวสั่นรำพันบอก | ผีมันหลอกข้าน้อยไปแล้วหรือ |
ไอ้ปากอ้าตากลวงเท่ากำมือ | ร้องหือหืออยู่ตรงข้างหนทางไป |
นางฟังความคร้ามจิตด้วยใจหญิง | หมายว่าจริงมั่นคงไม่สงสัย |
ก็พากันกลับมาศาลาลัย | เก็บดอกไม้ไว้ท่าพระอาจารย์ ฯ |
๏ ฝ่ายพระองค์ทรงพรตปรากฏกล้า | ได้พฤกษาเต็มสองกระเช้าสาน |
กลับกุฎีถึงที่ศาลาลาน | เรียกกุมารกระษัตราธิดาดวง |
มานั่งพร้อมล้อมข้างแล้ววางหาบ | ตาได้ลาภมาฝากแต่เขาหลวง |
แล้วทรงธรรม์ปันให้มะม่วงพวง | ของทั้งปวงปริงปรางออกวางพลัน |
ทั้งเผือกมันเลือกกองให้สองหลาน | พระทรงญาณขึ้นนั่งบัลลังก์ฉัน |
เป็นสุขทุกราตรีทิวาวัน | จะนับวันนั้นนานประมาณปี |
กุมารลักษณวงศ์ก็ทรงฤทธิ์ | แสนประสิทธิ์มนตร์เวทวิเศษศรี |
ชำนิชำนาญการณรงค์จะราวี | พระฤๅษีให้ศรพระขรรค์ชัย |
เจ้าลองแรงแผลงเล่นทุกเย็นเช้า | อำนาจน้าวก่งศิลป์แผ่นดินไหว |
ไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามผู้ใดใคร | กำเริบใจจะประจญประจัญบาน |
วันหนึ่งเข้าไสยาเวลาดึก | อนาถนึกคั่งแค้นแสนสงสาร |
คิดถึงแม่แต่จากกันก็ช้านาน | โอ้ป่านนี้[๕]ทูลกระหม่อมจะกรอมใจ |
รำลึกถึงลูกน้อยจะสร้อยเศร้า | ทุกคํ่าเช้าจะกำสรดกันแสงไห้ |
จะแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าแล้วเศร้าใจ | ด้วยอยู่ในเงื้อมมือพญามาร |
โอ้แม่คุณทูลเกล้าของลูกเอ๋ย | พระแม่เคยอยู่ปราสาทราชฐาน |
เวรใดให้แม่ไปแดดาล | พระกุมารทรงโศกโศกาลัย |
สะอึกสะอื้นกำสรดระทดจิต | สุขุมคิดคั่งแค้นไม่หลับใหล |
จนไก่แก้วแจ้วขันสนั่นไป | วิหคไพรตื่นจากรังอยู่พรั่งพร้อม |
นํ้าค้างร่วงปทุมมาลย์ก็บานชื่น | รื่นรื่นลมเชยระเหยหอม |
สงสารหน่อกระษัตราอุรากรอม | แล้วอดออมกลั้นไว้ในอารมณ์ |
ครั้นรุ่งเช้าดาวบสบรรทมตื่น | สำราญรื่นนั่งหน้าพระอาศรม |
ลักษณวงศ์ตรงเข้ามาบังคม | แล้วทรามชมทูลลาสิทธาจารย์ |
หลานรำลึกตรีกถึงพระแม่เจ้า | จะโศกเศร้าแสนสุดน่าสงสาร |
พระเจ้าตาว่าอยู่ในเมืองมาร | แม้นนิ่งนานชนนีจะมรณา |
หลานขอลาตาตามไปเมืองยักษ์ | สังหารหักโคติวงศ์[๖]ไอ้ยักษา |
แม้นม้วยยับแล้วจะรับมารดามา | พระเจ้าตาช่วยชี้หนทางตาม ฯ |
๏ พระฤๅษีฟังสารพระหลานรัก | เห็นแหลมหลักเหล็กเพชรไม่เข็ดขาม |
จึงตรัสว่าตาหรือจะห้ามปราม | จะแจ้งความเวียงไชยให้ไคลคลา |
แต่ตัวตาปรารมภ์ปรารภนัก | ด้วยหลานรักยังอ่อนพระชันษา |
กลศึกลึกเหลือจะอุปมา | ยิ่งมหาสินธุแสนทวี |
อันความรักมักเสียความรู้สิ้น | ใครดูหมิ่นมักม้วยลงเป็นผี |
นั่นแหละหลานการกลในโลกีย์ | คือดนตรีรูปรสสุคนธา |
อันโลกีย์นี้หลานประมาณสาม | คือรสกามรสกลิ่นรสภักษา |
ยังไม่หวานปานรสวาจา | เป็นขายอย่าหมิ่นชายระคายแคลง |
เข้าณรงค์จงดำริให้เหลือหลาย | ศึกไม่วายแต่ตะวันนั้นยอแสง |
อย่าคํ่าตามพระอาทิตย์คิดระแวง | ที่ตาแจ้งจงจำคำตาไว้ |
อันเมืองยักษ์จักไปนั้นไกลสุด | ข้ามสมุทรหิมวาพฤกษาไสว |
จะชุบม้าให้พาเจ้าเหาะไป | ได้ชิงชัยช่วยเจ้าเบากำลัง |
แล้วปั้นรูปพาชีด้วยขีผึ้ง[๗] | พระหัตถ์คลึงภาวนาคาถาขลัง |
เป็นพญาพาชีมีกำลัง | แล้วตรัสสั่งสอนราชนัดดา |
ถึงเมืองยักษ์จักปลอมเข้ากรุงศรี | เอาพาชีเสกซ่อนท้าวยักษา |
ให้น้อยเข้าเท่าเล็บแล้วไคลคลา | อันมิ่งม้าเจ้าอย่าไว้ให้ไกลกาย |
อย่าพลาดพลั้งจงระวังพระขรรค์ศร | เมื่อยามนอนเจ้าอย่าตื่นให้เที่ยงสาย |
สิ้นอาวุธแล้วเหมือนสุดชีวาวาย | พระหลานชายเจ้าจะไปจงไชโย |
ที่เภทภัยสารพัดกำจัดแคล้ว | ให้ผ่องแผ้วเป็นบรมสุโข |
จงปรากฏทุกทิศอิศโร | มีเดโชไชยะชนะยักษ์ ฯ |
๏ พระรับพรอ่อนเกศลงกราบไหว้ | ให้อาลัยพระมุนีผู้มีศักดิ์ |
สะอึกสะอื้นขืนข่มอารมณ์รัก | แล้วผินพักตร์ตรัสสั่งนางกัลยา |
แม่เกสรอยู่ก่อนเถิดนะน้อง | อย่าหม่นหมองมิ่งแม่จงสุขา |
พี่รำลึกตรึกถึงพระมารดา | จำจะลาพลัดพรากไปจากกัน |
เยาวมาลย์ฟังสารยิ่งสร้อยเศร้า | ให้เปลี่ยวเปล่าหฤทัยนางจอมขวัญ |
ตามประสาทารกที่รักกัน | มิอาจกลั้นชลนาด้วยอาลัย |
ทั้งสองกรข้อนอกว่าโอ้พี่ | จะแกล้งหนีน้องแล้วหรือไฉน |
อยู่อยู่หรือมาจู่จากอกไป | จะทิ้งให้น้องเที่ยวคนเดียวกรอม |
ยามเย็นจะได้เล่นกับใครเล่า | เหมือนพี่เจ้ารักน้องประคองถนอม |
ถึงหยิกข่วนกวนหน่อยค่อยอดออม | ชิงอะไรพี่ก็ยอมให้ดีดี |
ทีนี้อยู่คนเดียวจะเปลี่ยวแล้ว | ใครจะเก็บดอกแก้วให้น้องนี่ |
ถึงพวงงามก็จะงามอยู่ตามที | ตั้งแต่นี้จะร่วงลงโรยรา |
พี่เคยเย้ายั่วน้องให้ร้องไห้ | ประเดี่ยวใจก็มาปลอบให้หรรษา |
พี่อย่าไปเลยเป็นไรนะพี่อา | อยู่กับข้าจะได้เล่นปิดตากัน |
เราเคยวิ่งชิงลูกมะตูมหล่น | ทั้งสองคนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
พี่ได้สุกน้องได้อ่อนก็ผ่อนกัน | สารพันพี่เจ้าจะตามใจ |
แต่นี้เอ๋ยใครเลยจะชวนเล่น | ทุกเช้าเย็นมีแต่น้องจะร้องไห้ |
ใครจะปลอบน้องเล่าให้เบาใจ | เมื่อแลไปก็จะเห็นแต่รังเรียง |
น้องเคยร้องข้าเจ้าหงส์พี่ทรงรับ | เมื่อน้องขับพี่ก็ขานประสานเสียง |
เราเคยกินเคยอยู่เป็นคู่เคียง | เมื่อยามเที่ยงเล่นนํ้าในลำธาร |
เมื่อสาดพี่พี่คิดสาดแต่พอสู้[๘] | ถึงเข้าหูเข้าตาไม่ว่าขาน |
แต่นี้ไปไหนน้องจะชื่นบาน | เมื่อเล่นธารจะได้สาดกับผู้ใด |
น้องเคยเล่นชิงช้าเชษฐาชัก | กระชากหนักกลัวน้องจะร้องไห้ |
เมื่อทีพี่น้องแกล้งให้แกว่งไกว | กระชากไปลอยลอยไม่ว่าเลย |
แต่นี้ไปไหนเล่าจะเห็นพักตร์ | โอ้พี่ลักษณวงศ์ของน้องเอ๋ย |
ไม่สงสารเกสรที่วอนเลย | พี่ไม่เคยที่จะขัดให้เคืองใจ |
พี่สิ้นรักน้องแก้วเสียแล้วหรือ | จึงดึงดื้อเข้าดงไปจงได้ |
โอ้โอ๋อนิจจาไม่อาลัย | ว่าจะไปแล้วก็ไปเอาจริงจริง |
เคยขุดดินมาปันแล้วปั้นเล่น | เป็นหมีเม่นนกเนื้อแลเสือสิงห์ |
พี่ประดิษฐ์ปั้นเล่นเห็นเป็นจริง | ใส่ล้อเลื่อนลากวิ่งพนันกัน |
โอ้สุดแสนสงสารเกสรเอ๋ย | จะชวดเชยรูปสัตว์ที่พี่ปั้น |
พระพี่เอ๋ยอยู่เถิดเป็นเพื่อนกัน | จะได้ปั้นล้อเล่นเหมือนก่อนมา |
เพลาบ่ายชายแสงพระสุริยน | เราสองคนเคยแข่งขนานหน้า |
เข้าชิงรับจับหาบพระพ่อตา | ถึงศาลาชิงเลือกเอาเผือกมัน |
พี่เคยเล่นเล่นอยู่ด้วยน้องแก้ว | จะหักใจไปแล้วเข้าไพรสัณฑ์ |
เมื่อยามเย็นก็จะเย็นยะเยือกครัน | โอ้นับวันก็จะเปลี่ยวอยู่เดียวดาย |
ถึงเพลาสระสรงลงสระศรี | เคยชวนพี่ลงเล่นกระสินธุ์สาย |
เก็บกระจับปันกันพนันทาย | แล้วกำทรายกองปั้นเนินบรรพต |
เอากระจับเข้าประดับเป็นปักษิณ | กินรากินรินขมิ้นสด |
แล้วชี้บอกหยอกกันว่าบรรพต | เอานํ้ารดให้ละลายกระจายไป |
โอ้ที่ไหนจะได้เล่นเหมือนเช่นหลัง | จะตั้งนั่งโศกานํ้าตาไหล |
เอ็นดูน้องเถิดพี่อย่าเพ่อไป | ต่อปีหน้าฟ้าใหม่จึ่งไคลคลา |
ถ้าพี่ไปแล้วน้องจะไปด้วย | น้องจะช่วยรบยักษ์ให้หนักหนา |
จะขอไปเป็นเพื่อนพระพี่ยา | แม้นพี่มิเมตตาจะลาตาย |
สองพระกรข้อนทรวงสะอื้นอ้อน | ทินกรร้อนกล้าเพลาสาย |
ทั้งเสโทโซมทั่วสกนธ์กาย | ยิ่งฟูมฟายชลนัยน์พิไรครวญ |
พระกุมารทรงฟังก็สังเวช | ชลเนตรหยดย้อยละห้อยหวน |
ประคองกอดสาวสวรรค์แล้วรัญจวน | แม่นิ่มนวลนิ่งเถิดอย่าโศกา |
พี่รีบจรแล้วพี่จะรีบกลับ | จะมารับดวงจิตขนิษฐา |
ครั้นจะนิ่งก็เหมือนทิ้งพระมารดา | ให้ก่นกินนํ้าตาจนตรอมตาย |
เทพเจ้าก็จะชวนกันสรวลเย้ย | พระน้องเอ๋ยอดสูไม่รู้หาย |
ใครเลยเขาจะเห็นว่าเป็นชาย | แม้นวอดวายเสียดีกว่ามีชนม์ |
ด้วยเป็นการผ่านเกล้านะเจ้าพี่ | จึงจำลาจรลีระเหหน |
ค่อยอยู่เถิดนิ่มน้องจงครองตน | นฤมลแม่จงอยู่กุฎีพลาง |
นางเกสรฟังเหตุพระเชษฐา | สองพระกรข้อนอุราเข้าผางผาง |
ร้องไห้ดิ้นเพียงจะสิ้นชีวาวาง | ไม่เสื่อมสร่างโศกสมประดีเลย ฯ |
๏ พระดาวบสโศกาผวากอด | โอ้แม่ยอดนัยนาของตาเอ๋ย |
เจ้าจงฟังตาห้ามเถิดทรามเชย | อย่าร้องไห้ไปเลยนะหลานยา |
อันพี่ของนัดดานี้ตาเห็น | คงจะเป็นจอมทศทิศา |
สังหารมารย่อยยับจะกลับมา | เขาก็รักนัดดาดั่งดวงใจ |
พี่เจ้าไปครั้งนี้นะศรีสวัสดิ์ | เหมือนไปหาสมบัติมาไว้ให้ |
หลานจะได้สำราญเมื่อนานไป | จะเป็นใหญ่ยอดหญิงสนมนาง |
นิ่งเถิดนิ่งเถิดแม่ทูนหัว | เอ็นดูตัวผุดผ่องจะหมองหมาง |
อย่าร้องไห้ไปเลยจะเป็นลาง | เขาจะไปกลางทางจะเสียที |
ลักษณวงศ์ไปแล้วกลับมานะ | เจ้าอย่าละทิ้งน้องให้หมองศรี |
ตาเล่าก็ชรามายายี | ไมรู้วันชีวีจะวางวาย ฯ |
๏ สองกุมารฟังสารฤๅษีสอน | ก็ค่อยผ่อนโศกเศร้าบรรเทาหาย |
นางเกสรวอนว่ากับพี่ชาย | จะผันผายไปแล้วอย่าอยู่นาน |
แม้นว่าพบมารดาในเมืองยักษ์ | พี่จงลักกลับหลังยังสถาน |
หรือจะคิดตอบตามสงครามมาร | รีบประหารเสียให้ยับแล้วกลับมา |
พระทรงฟังเกสรฉะอ้อนไห้ | ชลนัยน์คลอเนตรทั้งซ้ายขวา |
แล้วจูบกอดพลอดสั่งกันสองรา | บังคมลาบาทบงสุ์พระทรงญาณ |
พระฤๅษีชี้บอกหนทางให้ | พ่อรีบไปตามทิศเฉียงอีสาน |
จะพบเมืองมยุราพญามาร | แล้วพระหลานจะได้พบพระชนนี |
พระรับคำจำได้ทุกสิ่งสรรพ์ | จับพระขรรค์ศรทรงอันเรืองศรี |
เผ่นขึ้นนั่งหลังนิลพาชี | จรลีทักษิณได้สามลา |
ขยับองค์ลงเท้ากระทืบโกลน | สินธพโผนเผ่นขึ้นพระเวหา |
พระทรงญาณหลานสาวเปล่าอุรา | ไม่พริบตาแลตามจนลับองค์ ฯ |
๏ หน่อกระษัตริย์ทัศนาพระอาศรม | ลับพนมแนวไม้ไพรระหง |
พระชลนัยน์ไหลหลั่งชโลมลง | ระทวยองค์ลงกับหลังอาชาไนย |
อัสดรร่อนรีบเข้ากลีบเมฆ | แสนวิเวกหวาดหวั่นพระทัยไหว |
เข้าดั้นหมอกออกเมฆมาไรไร | กำหนดได้มรคาสิทธาทาย |
คว้างคว้างดั่งวายุพาพัด | จนกำดัดแสงแดดออกแผดสาย |
พยับส่องต้ององค์อยู่พรายพราย | พระโฉมฉายชักพญาอาชาชาญ |
คล้อยคล้อยลอยลงในสิงขร | อัสดรเดินไปในไพรสาณฑ์ |
สบายกายด้วยพระพายรำเพยพาน | สุธาธารราบรื่นดั่งทรายโรย |
รื่นรื่นชื่นกลิ่นผกามาศ | บุปผชาติลมชายไม่หายโหย |
พระหอมกลิ่นสุกรมเมื่อลมโชย | ยิ่งดิ้นโดยกรมจิตคิดรำจวน |
เห็นนางนกกกลูกประคองกอด | สะท้อนทอดหฤทัยอาลัยหวน |
เหมือนแม่เจ้าคราวกอดถนอมนวล | เลี้ยงสงวนลูกไว้ไม่ไกลกาย |
พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงผ็อยผ็อย | ยิ่งละห้อยโหยไห้มิใคร่หาย |
ขืนอารมณ์ชมรุกขะเรียงราย | ริมเชิงชายสิงขรดูอ่อนเอน |
มะเดื่อดกตกเกลื่อนระดาดาษ | ก็โอภาสผลแดงดั่งแสงเสน |
วายุโบกโยกโยนโอนระเนน | ในบริเวณหว่างสิขรินทร์เรียง |
แก้วกระทุ่มกุ่มกระถินทั้งฝิ่นฝาง | กระโดนพะยอมยางยูงพะยูงเหียง |
เรียบเสลาเถาสลิดสลับเรียง | นกเขาเคียงคู่คูบนยอดแค |
กิ่งมะไฟไก่ฟ้าเข้าแฝงกิ่ง | นางนวลนิ่งแนบนางไม่ห่างแห |
ฝูงกระลิงเลียบกิ่งต้นแกแล | รอกกระแตเต้นตื่นออกรื่นเริง |
จิกมะดันจันมะดูกกระดึงหอม | เลียบกระดอมกิ่งกระโดดโลดเถลิง |
ชะลูดสอดสลอดแทรกเป็นซุ้มเชิง | แลละเลิงโลดลิ่วละลิบบน |
ม่วงละมุดมูกมันแมงเม่าโมก | กระสังโศกสักขีสีเสียดสน |
ตาตุ่มเตงเปงปีบตีนเป็ดปน | เสาวคนธ์ฟูฟุ้งจรุงใจ |
แล้วชมสัตว์จัตุบาทอันกลาดป่า | มฤคาโคกระทิงวิ่งไสว |
โคเถลิงเริงร้องคะนองไพร | กิเลนไล่นางกิเลนตลบซอน |
ฝูงจิ้งจอกออกจากชะวากผา | บ้างเห่าหาเห็ดแหกกระหึ่มหอน |
คชสีห์มีงวงสองงางอน | ทั้งไกรสรโตเต้นมาตามกัน |
บ้างยืนหยัดดัดกายแล้วเกาขน | ลงเกลือกตนกลางเตียนแล้วเหียนหัน |
คชสารร่านเริงกำเริบมัน | ก็ยืนยันซึมโยกเผยอตา |
พงศ์กระษัตริย์ทัศนาในป่าสูง | เพลินด้วยฝูงนกเนื้อในเชิงผา |
ชมสิงขรชะง่อนงํ้าเงื้อมสุธา | ล้วนศิลาเลื่อมเลื่อมเป็นลายลาย |
ดูกระจ่างดั่งกระจกแอร่มแจ่ม | วะวาบแวมวาววับระยับฉาย |
ดูพร่างพร่างลางก้อนเป็นทรายพราย | ชะโงกหงายแหงนตระหง่านเป็นธารกลาง |
เสียงน้ำโถมโครมกระแทกสะท้านเสียว | ดูกลิ้งเกลียวพุ่งพลั่งดังผางผาง |
ศิลาพังดังกระทบกระเทือนทาง | กะกังกางโกงก้องลงดินกึง |
ที่ลางแห่งแสงใสค่อยไหลเชื่อม | เงากระเพื่อมแลเห็นแผ่นผาผึง |
ที่เห็นโปร่งน้ำปรุเป็นผลุพรึง | บ้างลึกซึ้งแซกซอกในตรอกทราย |
พระชมพลางทางรออัศวราช | ยุรยาตรลงสรงกระแสสาย |
ทั้งม้าทรงลงธารสำราญกาย | แสนสบายขึ้นมานั่งยังคิรี |
๏ จะกล่าวลึงวานรริมเนินผา | ที่รับฝากภูษาของโฉมศรี |
บ้างโลดโผนโจนเล่นริมคิรี | ฝูงกระบี่ร่ายไม้[๙]มาใกล้ธาร |
แลเห็นลักษณวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | กับกัณฐัศว์ฤทธิแรงกำแหงหาญ |
ลิงพินิศพิศวงพระกุมาร | ประโลมลานเลิศลํ้าในโลกา |
แลละม้ายคล้ายองค์นางนงลักษณ์ | ที่ขุนยักษ์ลักไปให้ภูษา |
หรือโอรสโฉมงามติดตามมา | ฝูงลิงป่าเรียกเพื่อนมาเกลื่อนไป |
แล้วเมียงมองร้องถามด้วยสงสาร | พระกุมารนี้เจ้ามาแต่เมืองไหน |
มีทุกข์ร้อนหรือว่าจรมาโดยใจ | ท่านชื่อไรบอกนามแต่ตามจริง |
หน่อนรินทร์ยินพานเรศถาม | ให้แคลงความนึกในพระทัยกริ่ง |
แล้วยิ้มพลางทางตรัสแก่ฝูงลิง | ธุระสิ่งไรเจ้าจึงถามความ |
ตัวเรานี้มีทุกข์นั้นเหลือทุกข์ | จึงจำบุกหิมวาพนาหนาม |
ด้วยยักษ์ลักมารดาเรามาตาม | เรามีนามลักษณวงศ์ผู้ทรงฤทธิ์ |
ท่านเที่ยวอยู่รู้บ้างหรือไม่ดอก | กระบี่บอกให้แจ้งประจักษ์จิต |
ฝูงกระบิลยินคำพระทรงฤทธิ์ | ก็แจ้งจิตว่าเป็นบุตรนางเทวี |
จึงหยิบเอาภูษานั้นมาให้ | แล้วลิงไพรบอกความถึงโฉมศรี |
อุสราพามาริมคิรี | นางเทวีสั่งความให้ตามไป |
พระรับผ้าวานรมาเพ่งพิศ | ประจักษ์จิตมั่นคงไม่สงสัย |
สลดจิตคิดเพียงจะขาดใจ | ชลนัยน์นองเนตรไม่หยุดเลย |
เอาภูษาผ้าทรงขึ้นทูนเกล้า | โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย |
ความรักลูกผูกใจกระไรเลย | เวราเคยทำไว้ให้ไกลกัน |
ลูกตามหามาเห็นแต่ภูษิต | แม่เปลื้องปลิดฝากไว้ในไพรสัณฑ์ |
โอ้สงสารป่านฉะนี้จะโศกครัน | จะนับวันคอยลูกทุกค่ำคืน |
รินรินกลิ่นแม่ยังจำได้ | ยิ่งอาลัยทอดองค์ลงสะอื้น |
ให้อัดอั้นเจ้ากลั้นโศกากลืน | สลบลงยังพื้นพระธรณี ฯ |
๏ ฝ่ายอาชาวานรเห็นแน่นิ่ง | ต่างก็วิ่งเข้าพยุงพระโฉมศรี |
บ้างหักกิ่งบุปผาสุมาลี | มาพัดวีหอมรื่นค่อยฟื้นกาย |
ฝ่ายพญาม้าทรงก็โลมเล้า | อย่าโศกเศร้านักเลยพ่อโฉมฉาย |
เราได้ความแล้วจะตามไปแก้อาย | ลุยทลายให้เป็นภัสม์ธุลีลง |
ถึงร้องไห้ไหนจะพบพระแม่เจ้า | จะช้าเปล่าอยู่ไยในไพรระหง |
เร่งตรึกการที่จะราญรณรงค์ | เราก็คงจะได้พบพระมารดร |
ลักษณวงศ์ทรงฟังอาชาปลอบ | ก็ชื่นชอบสว่างโศกสโมสร |
จึงเอื้อนอรรถวัจนากับวานร | คราวนี้ร้อนเราจะรีบไปเมืองยักษ์ |
แม้นเสร็จสรรพแล้วจะกลับมาแทนคุณ | ที่การุญเราก็รู้อยู่ประจักษ์ |
ฝูงกระบิลยินคำให้คิดรัก | จึงชี้ช่องเมืองยักษ์แล้วอวยชัย |
จงไปดีมาดีศรีสวัสดิ์ | ให้ฆ่าสัตว์รากโษส[๑๐]มันตักษัย |
พระรับพรกุมศรพระขรรค์ชัย | ก็เผ่นขึ้นมโนมัยอันชัยชาญ |
อัศวราชผาดโผนผยองเหาะ | จากละเมาะพุ่มพฤกษะไพรสาณฑ์ |
เขม้นมุ่งกรุงยักษ์ลอยทะยาน | พระกุมารโศกทรงกันแสงครวญ |
รำลึกถึงมารดานํ้าตาไหล | พระพายโบกกลิ่นสไบให้หอมหวน |
รินรินกลิ่นแม่มารัญจวน | ลูกหอมหวนซับซาบนาสามา |
เหมือนมารดรนอนแนบกับลูกรัก | ไม่ยลพักตร์ได้พบแต่ภูษา |
แม่ทรามชมชมลูกทุกเวลา | จนตกมายากไร้ไม่วายรัก |
โอ้เมื่อใดลูกจะได้บังคมบาท | ให้สมมาดพบแม่แน่ประจักษ์ |
จะหักหาญผลาญโคติวงศ์ยักษ์ | อันลูกรักมิได้คิดชีวิตแล้ว |
จะวอนตายวายเป็นก็ตามบุญ | ขอแทนคุณแม่ทูลกระหม่อมแก้ว |
ขอเทวาพาไปอย่าได้แคล้ว | แจ้วแจ้วสุรเสียงเจ้าโศกา |
สุริยงลงลับเหลี่ยมสิงขร | พระจันทรแจ่มแจ้งพระเวหา |
พระรีบชักอัสดรเหาะร่อนมา | พอจันทราจวบจวนจะลับลง |
เห็นเขาหนึ่งยอดเยี่ยมเป็นเหลี่ยมย่อ | ดั่งทรงศอปักษาพญาหงส์ |
พระชักชวนอัสดรให้ร่อนลง | ก็ตรงเข้าหยุดพักสำนักนอน ฯ |
[๑] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “พระฤๅษีแจ้งยุบลแต่หนหลัง”
[๒] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “แล้วก็ชวนพระกุมารอันชาญชัย เข้านอนในอาศรมแล้วสอนมนตร์”
[๓] จังฑาล = จัณฑาล ในที่นี้มีความหมายว่า รังแก หรือแกล้ง
[๔] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “แกล้งกระแซะ...”
[๕] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “โอ้สงสาร....”
[๖] โคติวงศ์ = โคตรวงศ์
[๗] ขีผึ้ง = ขี้ผึ้ง โบราณเรียกอย่างนั้น
[๘] สมุดไทยเลขที่ ๑๓ ว่า “เมื่อสาดพี่พี่ก็สาดแต่พอสู้”
[๙] ร่ายไม้ แปลว่า โหนไปเป็นจังหวะตามกิ่งไม้
[๑๐] รากโษส = รากษส