- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
๏ จักเริ่มเรื่องเบื้องบทยศราช | พระหน่อนาถพรหมทัตนรังสรรค์ |
โฉมพระลักษณวงศ์ผู้ทรงธรรม์ | เธอกระสันถึงองค์พระนงนุช |
สาวสนมนับหมื่นไม่ชื่นเนตร | แสนเทวษทวีเป็นที่สุด |
พระอาทิตย์เธอประเทืองขึ้นเรืองรุด | พระทรงภุชเธอเสด็จคลาไคล |
เข้าเฝ้าสองทูลกระหม่อมพระจอมภพ | ประนมนบทูลแจ้งแถลงไข |
ลูกขอลาบาทบงสุ์พระทรงชัย | จะออกไปรับนางกลางอรัญ |
จำสนองคุณน้องให้จงมาก | เมื่อยามยากนางถนอมกระหม่อมฉัน |
ขอทูลลาบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | สิบห้าวันก็จะคืนมาบังคม ฯ |
๏ พรหมทัตตรัสสนองหน่อนเรศ | พ่อดวงเนตรตรัสจริงทุกสิ่งสม |
พระบิดาจะเสด็จด้วยทรามชม | ไปบังคมบาทบงสุ์พระทรงพรต |
พระชนนีตรัสเล่าว่าเจ้าแม่ | จะยกแห่เป็นกระบวนให้ถ้วนหมด |
แม่จะไปเพื่อนองค์พระทรงยศ | ราชรถเชิญไปรับเอานางมา |
พระโอรสทูลสนองสองกระษัตริย์ | ซึ่งทรงตรัสรับใส่ในเกศา |
ควรมิควรสุดแต่จะกรุณา | พระอิศราทั้งสองจงครองวัง |
ศัตรูหมู่ไพรีมันมีมาก | พระจรจากจะวุ่นวายขึ้นภายหลัง |
เชิญพระองค์ดำรงราชวัง | ลูกจะบังคมลากับพาชี |
เจ้าพ่อผู้ดวงจิตของบิดา | ซึ่งว่ามาก็ต้องทำนองที่ |
ตามแต่ใจจงไปกับเสนี | เป็นท่วงทีสงครามให้งามครัน |
ข้าแต่องค์ทรงฤทธิ์บิตุเรศ | ซึ่งโปรดเกศตรัสถนอมกระหม่อมฉัน |
จักเดินทางกลางป่าเห็นช้าครัน | เสนานั้นลำบากยากสกนธ์ |
ไม่ต้องการให้ประชานินทาฉาว | ลูกจะรีบเหาะหาวในเวหน |
กับสินธพรีบรัดไปบัดดล | พอได้นางนฤมลจะรีบมา ฯ |
๏ โอ้เจ้าพ่อปิยบุตรสุดสวาท | จะนิราศแรมวังอนาถา |
บิดานี้โรคจำเริญเกินชรา | ไม่รู้วันมรณาเมื่อไรเลย |
จงอยู่เพื่อนพ่อก่อนเถิดลูกแก้ว | พ่อตายแล้วเจ้าจงไปเถิดลูกเอ๋ย |
อย่าเพ่อตัดห่วงใยอาลัยเลย | ทุกวันนี้พ่อเสบยด้วยดวงใจ |
ทูลกระหม่อมจอมเกล้าพระเจ้าพ่อ | จักรั้งรอทานทัดให้ตัดษัย |
แม้นอยู่เมืองก็จะเคืองด้วยตรอมใจ | จักบรรลัยลงสักวันเป็นมั่นคง ฯ |
๏ สองกระษัตริย์ฟังอรรถพระโอรส | แสนกำสรดอั้นอึ้งตะลึงหลง |
ต่างเคียงเข้าประคองทั้งสององค์ | สุดจะทรงตรัสห้ามต้องตามใจ |
พระบิดาว่าโอ้พระยอดรัก | ดังใครควักนัยนาก็ว่าได้ |
พระชนนีว่าทีนี้จะเห็นใคร | ดังดวงใจแม่พรากออกจากกาย |
นางโกสุมว่าพระพุ่มมหาโพธิ์ | จะสันโดษเสด็จไปน่าใจหาย |
พระวงศาว่าทีนี้จะเปล่าดาย | แสนสบายเจ้าพระคุณเคยอุ่นวัง |
พระบิดาว่าพ่อไปจงไชเยศ | อย่าเทวษทุกข์ทนเหมือนหนหลัง |
พระมารดาว่าพ่อจรไปจากวัง | ให้สมหวังได้องค์อนงค์นาง ฯ |
๏ ปางพระปิ่นปิโยวโรรส | น้อมประณตรับพรทั้งสองข้าง |
พระเยื้องบาทยุรยาตรออกจากปรางค์ | ทรงสำอางเครื่องทรงอลงกรณ์ |
พระหัตถ์จับศรสุวรรณพระขรรค์เพชร | บรมวงศ์ส่งเสด็จอยู่สลอน |
ขึ้นทรงม้าพระที่นั่งอลังกรณ์ | อัสดรเผ่นผยองลำพองทะยาน |
ลอยละลิ่วปลิวลิบเข้ากลีบเมฆ | แสนวิเวกเอองค์น่าสงสาร |
เคยทรงรถบดบังพระสุริย์กานต์ | มาทรมานแดดลมระบมองค์ |
พระสุริยงทรงกลดกำดัดกล้า | ชักอาชาลงไปในไพรระหง |
สุธารื่นพื้นราบดั่งปราบปลง | รุกขชาติดาษดงเป็นดอกดวง |
ที่มีผลคลี่ผลเป็นพวงเผ่น | วิหคเห็นหรรษาเข้าแหนหวง |
บินแล่นลัดลิงโลดโดดทะลวง | กระโจมจ้วงจับจิกกันจอแจ |
จัตุบาทเบิ่งบึ้งสะบัดบาท | มฤคราชวิ่งวนเวียนแสว |
ละเลิงไล่โลดเล่นละลานแล | เย้าตอแยหยอกเล่นทะยานชม |
เขาเขินคันโขดขดเป็นขอบขาด | นํ้าฟองฟาดฟูมฟุ้งเป็นฝอยฝน |
ศิลาโปปุ่มเปาะเป็นปมปน | ดูแวววนวู่วามวะวาบแวว |
หน่อกระษัตริย์ทัศนาพนาเวศ | ภูวเรศลินลากับม้าแก้ว |
ข้ามคิรีสีขเรศพนมแนว | ภาณุมาศคลาดแคล้วพระเมรุธร |
พอสิ้นแสงสุริยันพระจันทร์แจ่ม | พระเข้าแรมยั้งหยุดในสิงขร |
สงัดเสียงปักษาทิชากร | ชะนีวอนเหวยเหวยวิเวกดง |
เรไรแจ้วจักจั่นสนั่นจ้า | เย็นยะเยือกทุกหย่อมหญ้าป่าระหง |
พระทรงยศไสยากับม้าทรง | รำลึกถึงบิตุรงค์กับมารดา |
ป่านฉะนี้เจ้าประคุณพระทูนเกศ | จะทุกข์เทวษถึงลูกเสน่หา |
ไหนจะเว้นวายเสวยชลนา | อนิจจาเป็นกรรมมาจำไกล |
อกเอ๋ยเคยอยู่บูรีเรือง | มาขุ่นเคืองนอนสะเทินเนินไศล |
เคยบรรทมบรมอาสน์อันอำไพ | อนงค์ในขับเสนอบำเรอเรียง |
เพราะรักน้องต้องจรมานอนอนาถ | วิเวกหวาดสัตว์ร้องคะนองเสียง |
เห็นแต่มิ่งอัสดรมานอนเคียง | ไม่พอเพียงที่จะพากันมาทุกข์ |
พระคิดถึงบิตุราชมาตุรงค์ | กันแสงทรงโศกีไม่มีสุข |
คิดจะคืนนคราผวาลุก | แล้วขุกคิดถึงสมรให้อ่อนใจ |
แม่ดวงเนตรของพี่ไม่มีสอง | ละอออองงามขำพี่จำได้ |
พี่มาแล้วยอดสร้อยอย่าน้อยใจ | จะเชิญให้นิ่มน้องไปครองวัง |
พระคำนึงถึงนวลรัญจวนจิต | ก็ลืมคิดทุกข์ทนในหนหลัง |
ลืมกระษัตริย์สองพระองค์ดำรงวัง | พระลืมทั้งความยากลำบากองค์ |
บรรทมผ็อยม่อยลงหลับสนิท | ทรงนิมิตว่าลูบโลมโฉมระหง |
ละเมอสอดกอดพญาอาชาทรง | รู้สึกองค์ท้าวก็ปลุกมโนมัย |
ลุกขึ้นเถิดพี่พญาม้าสินธพ | พระสุริย์ศรีส่องภพสบสมัย |
พระตรัสแล้วขึ้นพญาอาชาไนย | มโนมัยเหาะทะยานขึ้นเมฆา |
ข้ามคีรีสิขราพนาสัณฑ์ | ถ้วนเจ็ดวันแต่เหาะในเวหา |
เวลาบ่ายชายแสงพระสุริยา | ถึงแว่นแคว้นศาลาสิทธาจารย์ |
ยื่นพระหัตถ์ตรัสชี้ว่าพี่ม้า | ดูตรงหน้าคีรีอันพิศาล |
โน่นแน่ที่ศาลาพระอาจารย์ | พฤกษาสารขึ้นกลาดประหลาดใจ |
อัสดรร่อนลงตรงที่ชี้ | เห็นกุฎีเพลิงผลาญสังหารไหม้ |
หน่อกระษัตริย์หวั่นหวาดประหลาดใจ | พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย |
โอ้พี่อัศวราชประหลาดแล้ว | ทั้งน้องแก้วอัยกามาสูญหาย |
ชะรอยเพลิงไหม้กุฏิ์ทรุดทลาย | พากันตายวายชีพในอัคคี |
หรือกระษัตริย์ยักษาพาราไหน | ประพาสไพรลักนางไปปรางค์ศรี |
พระอัยกาอาดูรพูนทวี | แล้วโศกีโศกศัลย์จนบรรลัย |
เมื่อสิ้นบุญเจ้าประคุณพระนักสิทธ์ | จึ่งเพลิงติดลามมาศาลาไหม้ |
จริงกระนี้หรือพี่อาชาไนย | ประหลาดใจหนักหนาพี่พาชี |
พระตรัสพลางทางเล็งเพ่งพระเนตร | ดูสังเกตอุปจาร[๑]สถานที่ |
เห็นกระดูกเกลื่อนกลาดตรงกุฎี | พระจักรีอัดอั้นตันพระทัย |
พระกรกอดกัณฐัศว์แล้วตรัสรํ่า | แสนระกำกันแสงสะอื้นไห้ |
อัสดรกำสรดสลดใจ | นํ้าตาไหลพรากพรากรำพันครัน |
หน่อกระษัตริย์ตรัสว่าพี่ม้าแก้ว | เห็นแน่แล้วอัยกาเราอาสัญ |
พระน้องน้อยพลอยม้วยไปด้วยกัน | กระดูกนั้นดูกลาดอยู่กลางดิน ฯ |
๏ สินธพว่าอนิจจาทั้งตาหลาน | เพลิงสังหารม้วยมุดลงสุดสิ้น |
โอ้แต่นี้มิได้เห็นพระมุนิน | จะกลืนกินแต่ทุกข์ระทมทน |
หน่อกระษัตริยตรัสว่าจอมกระหม่อมหลาน | น่าสงสารบรรลัยในไพรสณฑ์ |
พระรักหลานเปรียบปานกับหลานตน | ทั้งเวทมนตร์บ่นบอกแล้วหยอกเชย |
เมื่อหลานลาเฝ้ารํ่าแต่กำชับ | เมื่อหลานกลับมิได้เห็นพระคุณเอ๋ย |
ยังมิได้ทันแทนพระคุณเลย | โอ้อกเอ๋ยกรรมกรรมให้จำไกล |
โอ้แม่ทิพเกสรสมรมิ่ง | เจ้าม้วยจริงหรือว่าน้องไปอยู่ไหน |
หรือว่าแค้นด้วยว่าคอยจึ่งน้อยใจ | เจ้าแกล้งไปหลบพี่หรือน้องอา |
แม่มาเถิดพี่จะพาขึ้นม้าแก้ว | บรรลัยแล้วหรือพี่เรียกไม่มาหา |
สะอื้นพลางทางทอดนัยนา | ดูสุดาโดยแดนศาลาลัย |
เห็นสัตว์สิงวิ่งลับแล้วกลับหาย | เขม้นหมายว่ามิ่งมิตรพิสมัย |
ผวาวิ่งเรียกน้องอยู่ก้องไพร | สายสุดใจมาเถิดนะแม่มา |
พระสอดส่องมองเขม้นไปเห็นสัตว์ | สะอื้นอัดอั้นทรวงยิ่งโหยหา |
เจ้าพี่เอ๋ยแม้นม้วยมรณา | เจ้ากลับมารับด้วยจะม้วยตาม |
จะหาไหนได้สองเหมือนน้องรัก | แม่สมศักดิ์อัคเรศเกศสนาม |
ทั้งตรีโลกจะมาเรียงไม่เคียงงาม | ทรามสวาทควรถนอมเป็นจอมมิตร |
หรือเทวัญองค์ใดพอใจโฉม | ลักไปโลมในวิมานสำราญจิต |
แม้นรู้จักเทวาสุราฤทธิ์ | จะต่อติดสงครามไม่ขามเลย |
พี่ทิ้งชนกชนนีบุรีราช | เพราะความสวาทน้องนี้เจ้าพี่เอ๋ย |
มิพบพักตร์โฉมตรูไม่อยู่เลย | จะตายตามทรามเชยในดงดอน |
สงสารหน่อกระษัตราจุฬาโลก | กันแสงโศกดิ้นโดยถึงดวงสมร |
ตะโกนก้องร้องหาด้วยอาวรณ์ | อัสดรร้องไห้อาลัยลาน ฯ |
๏ จะกล่าวถึงนกแก้วทั้งคู่น้อย | ตะวันคล้อยกลับมาพฤกษาสาร |
เห็นหน่อกระษัตริย์กับอัศวาชาญ | เที่ยวทะยานเพิ่มพูนอาดูรโดย |
เจ้าปักษาทั้งสองจึ่งร้องถาม | พระโฉมงามเป็นไฉนจึ่งไห้โหย |
น่าสงสารพักตร์แจ่มมาแรมโรย | อาดูรโดยด้วยอันใดที่ในดง |
พระฟังความปักษาจึ่งปราศรัย | ข้าขอบใจวงศาพญาหงส์ |
เรานี้หรือชื่อลักษณวงศ์ | มาตามองค์มิ่งสมรเกสรน้อย |
เจ้านกเอ๋ยรู้เห็นเป็นไฉน | ศาลาลัยไหม้พับลงยับย่อย |
ทั้งองค์พระอัยกานัดดาน้อย | ประหลาดพลอยสูญหายไปแห่งใด |
นกแก้วพลอดว่าพระยอดขัตติเยศ | พระทรงเดชหรือเป็นศิษย์พิสมัย |
อันพระองค์ทรงธรรม์นั้นบรรลัย | นางทรามวัยกันแสงแสนทวี |
ได้ยินร้องไห้หาเชษฐานัก | แล้วรํ่ารักโศกศัลย์ถึงฤๅษี |
ให้กลัดกลุ้มคลุ้มคลั่งไม่สมประดี | ทั้งสองกรข้อนตีอุระครวญ |
นางจะผูกคอตายวายชีวิต | ฉันนี้คิดสงสารทรามสงวน |
ฉันร้องห้ามปรามนางแล้วทางชวน | พอห้านวลกินรีนั้นบินมา |
ลงประคองร้องห้ามแล้วถามเรื่อง | เข้าปลดเปลื้องผ้าพันจากกัณฐา |
นางชวนกันปลงศพพระอัยกา | เผาศาลาม้วยไหม้บรรลัยลง |
แม่เกสรสั่งเหตุถึงเชษฐา | กินรพาไปในไพรระหง |
คุณพ่อหรือชื่อลักษณวงศ์ | จงรีบตรงตามนางทางอุดร ฯ |
๏ จักรพงศ์ทรงฟังหลั่งนํ้าเนตร | แสนสังเวชพุ่มพวงดวงสมร |
เจ้าแก้วเอ๋ยจงนำทางนางกินร | ให้บิดรได้พบพระมารดา |
นิ่งเถิดทูนเกล้าอย่าเศร้าสร้อย | ช้าลักหน่อยกินรีจะมาหา |
เขาเคยปันเวนเปลี่ยนเวียนกันมา | มาคอยท่าหาท้าวอยู่ทุกวัน |
พระกุมารฟังสารวิหคห้าม | เห็นงามความปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
เก็บมาลาบูชาอัฐิพลัน | พระทรงธรรม์ประทับนั่งอยู่หน้าเนิน ฯ |
๏ ปางนั้นสายสมรกินรน้อย | ก็บินลอยเลื่อนฟ้าเวหาเห็น |
โผทะยานผ่านผาถึงหน้าเนิน | เห็นภูธรก็สะเทิ้นทำร่อนรา |
ชำเลืองตาดูโฉมประโลมเนตร | กินเรศนึกรักเป็นหนักหนา |
ฉะช่างงามอร่ามครันเป็นขวัญตา | ถ้าได้เป็นภัสดาจะดีจริง |
นี่แล้วหรือชื่อพระลักษณวงศ์ | สมกับองค์เกสรสมรมิ่ง |
ให้นึกรักทรงฤทธิ์คิดประวิง | ตัวเป็นหญิงมารยาทำน่าอาย |
ภูวนาถดูนางไม่วางเนตร | ที่เทวษอาดูรก็สูญหาย |
พระชายเนตรแย้มเยื้องชำเลืองชาย | แล้วเปรียบปรายเป็นสำนวนจะชวนนาง |
เจ้าแก้วเอ๋ยพี่มาคอยเจ้าน้อยหรือ | มาจับมือพี่เถิดน้องอย่าหมองหมาง |
กินรีฟังฉะอ้อนสุนทรทาง | ในทรวงนางซาบเสียวกระสันใจ |
สนองเทียบเปรียบทักเจ้าปักษา | เจ้าแก้วขาหากินข้างถิ่นไหน |
มาก่อนหน้าช้านานอยู่หรือไร | ผลไม้ได้มานั้นน่ารัก |
สกุณแก้วฟังสนองทั้งสองข้าง | รู้ว่านางรักองค์พระทรงศักดิ์ |
ทั้งพระลักษณวงศ์ก็คงรัก | จึงพลอดชักชี้ชวนนํ้านวลดี |
เจ้าแก้วเอ๋ยสาวรักแล้วสาวกอด | เชิญแม่ยอดกินราลงมานี่ |
จะให้ลูกไม้ทองเป็นของดี | แม่ไม่มีเอาไปนอนถนอมชม |
ฉะเจ้านกน่าแค้นช่างแสนงอน | นี่ใครสอนพูดเล่นไม่เห็นสม |
เขาพูดด้วยแล้วก็ลามเป็นความคม | เกลียดคารมข้าไม่อยากจะฟังความ |
แม่งามพริ้งนิ่มเนื้อไม่เชื่อฉัน | อะไรนั่นแลเหลืองเรืองอร่าม |
ขอเชิญแม่มานี่จะบอกความ | ท่านมาตามหม่อมแม่เกสรเรา |
แม่สาวน้อยคอยท่าจะพาท้าว | ไม่ชวนกล่าวปราศรัยอย่างไรเล่า |
เจ้าพ่อจ๋าเรียกองค์นางนงเยาว์ | นี่พงศ์เผ่ากินราที่พานาง ฯ |
๏ หน่อกระษัตริย์ทัศนาสนองถ้อย | แม่นิ่มน้อยกินราลงมาล่าง |
พี่ขอถามความหน่อยเถิดน้องนาง | อย่าถือทางเดียดฉันเลยขวัญตา |
นางกินรค้อนให้มิใคร่สนอง | กระบวนลองลวงเล่ห์เสน่หา |
ฉันไม่ไปว่าอะไรก็ว่ามา | พระสุริยาจวนคํ่าจะลาไป |
อนิจจานงลักษณ์พักตร์บุหลัน | พระสุริยันยังสูงเป็นไหนไหน |
มานี่หน่อยเถิดจะถามถึงทรามวัย | เจ้าหรือไรพวกเกสรนางฉายา |
เกสรไหนใครข้าไม่รู้จัก | กลัวจะลักชื่อเขามาเสกว่า |
ว่ารู้จักแล้วจงเล่าแต่เดิมมา | ถ้าเป็นน้องของเชษฐาจะเห็นจริง |
ฉะน้อยหรือแม่ปิ่นกินเรศ | เจ้าดวงเนตรลิ้นลมคารมหญิง |
จะเล่าให้เนื้อเย็นเจ้าเห็นจริง | ขอเชิญมิ่งแม่มานั่งแล้วฟังความ |
ฉันนั่งนี่ได้ดอกกระหม่อมพี่ | เล่าคดีเถิดใครเขาไม่ห้าม |
เจ้าลูกอินกินรรัตน์กำดัดงาม | จะเล่าความตามจริงให้น้องฟัง |
กินรีฟังท้าวเธอกล่าวอ้อน | กำเริบร้อนมุ่งมาดสวาทหวัง |
ก็บินลงแอบผาศิลาบ้าง | ทำแฝงฟังเหลือบชายชม้ายมอง |
พระกุมารเสด็จเรียงเข้าเคียงนั่ง | กินรน้อยถอยหลังขยับย่อง |
พระตรัสว่าแนบอกแม่นกทอง | วันนี้น้องมาพบกับพี่ชาย |
พี่จะเล่าเริ่มเรื่องแต่เดิมที | ข้าเป็นพี่เกสรเจ้าโฉมฉาย |
แสนสนิทพิศวาสมิคลาดคลาย | ตัวพี่ชายชื่อพระลักษณวงศ์ |
พี่ไปเฝ้าพระมารดรแล้วจรกลับ | จะมารับทรามสงวนนวลหง |
ร้องไห้หาปักษาก็บอกตรง | ว่าโฉมยงกินรานั้นพาไป |
เจ้าโฉมงามทรามปลอดแม่ยอดสร้อย | เกสรน้อยสุขทุกข์เป็นไฉน |
เอ็นดูพี่แก้วตาจงพาไป | ให้พี่ได้พานพบประสบกัน ฯ |
๏ กินรฟังเหตุผลแต่หนหลัง | เห็นสัจจังแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
จึ่งทูลความตามตรงแก่ทรงธรรม์ | นี่หากว่าได้ฉันจึ่งรอดตาย |
โอ้เจ้ายอดมาลัยแม่ใจบุญ | มิลืมคุณมิ่งมิตรอย่าคิดหมาย |
ไม่มีทองแหวนแก้วอันแพรวพราย | มีแต่กายพี่จะกอดเจ้าแทนคุณ |
ไฮ้อะไรเชษฐามาว่าฉัน | ไม่เห็นขันแต่สักนิดมาคิดวุ่น |
ไม่อยากได้ของตอบที่ขอบคุณ | ฉันเอาบุญดอกอย่ายอไม่ขอฟัง ฯ |
๏ อนิจจาโฉมเฉลาเยาวลักษณ์ | จะห้ามรักนี้มันได้ที่ไหนมั่ง |
ไม่ชอบกอดหรือแม่ยอดยุพยัง | ขอจูบมั่งแทนคุณพออุ่นกาย |
ให้ตายเถิดเกิดมาก็พึ่งเห็น | เมื่อตัวเป็นทุกข์หมองถึงน้องหาย |
ร้องไห้หาชลนามิทันวาย | ชอบแต่หมายวอนว่าให้พาไป |
กลับมาชวนเสน่หาว่าสนุก | เจ้าเคยสุขลงคอที่ข้อไหน |
แม่นิ่มเนื้อนวลละอองทองอุไร | งามวิไลแต่พี่เห็นก็ลืมตรอม |
เขาว่างามเหมือนกินรช่างอ่อนพริ้ง | งามจริงจริงดูแฉล้มทั้งแก้มหอม |
ฉันไม่งามอย่ามาลามนะคุณจอม | ไม่งามพร้อมเหมือนเกสรเธองอนงาม |
เจ้าเนื้อเกลี้ยงจะมาเถียงนัยน์ตาพี่ | เกสรศรีเป็นรองสักสองสาม |
หม่อมอย่ายอฉันก็พอจะรู้ความ | เชิญมาตามเถิดจะพาไปหาเมีย |
อนิจจาเนื้อเย็นเขาเป็นน้อง | อย่าชี้ช่องชวนเลิกให้ฤกษ์เสีย |
ถ้าได้แม่ยอดหญิงเป็นมิ่งเมีย | เห็นไม่เสียพอสมเสมอกัน |
ฉะหม่อมว่าสารพันช่างสรรตรัส | ฉันเป็นสัตว์สกุณาพนาสัณฑ์ |
กับมนุษย์หรือจะเปรียบไม่เทียบทัน | อย่ารำพันไปให้ยากไม่อยากรัก |
อนิจจาโฉมยงแม่นงนุช | พระอุณรุทภุชพงศ์ผู้ทรงศักดิ์ |
กับกินรก็ได้สมภิรมย์รัก | เยาวลักษณ์แม่ก็รู้อยู่เต็มใจ |
กระนั้นสิหม่อมรักจึ่งชักเรื่อง | ผูกให้เนื่องนึกว่าแต่ท่าได้ |
เรื่องไม่มีแกล้งประดิษฐ์ให้ติดใจ | ที่ไหนใครเขาจะไม่รู้เท่าทัน |
โอ้แม่ปิ่นกินรีมณีเนตร | ไม่สมเพชพี่เลยเจ้าสาวสวรรค์ |
พระตรัสพลางกุมกรกินรพลัน | แล้วรำพันนิ้วกลมช่างสมเล็บ |
แม่เล็บแดงแสงชาดประหลาดสี | เล็บเช่นนี้ถึงจะหยิกไม่อยากเจ็บ |
ไฮ้อะไรยึดมือแล้วยื้อเล็บ | จะไม่เจ็บแล้วหรือมาดื้อทน |
วางฉันนะหม่อมพี่เดี๋ยวนี้ร้อง | ตามเถิดน้องกลัวใครในไพรสณฑ์ |
เป็นน่าแค้นข่มเหงไม่เกรงคน | เห็นว่าจนแล้วก็ทำเอาตามใจ |
ไม่วางหรือยังจะดื้อเฝ้ายื้อยุด | เป็นมนุษย์ใครจะทำอะไรได้ |
ช่างไม่อายผีสางที่กลางไพร | เมื่อกลับไปเถิดจะบอกพี่กินรี |
โอ้เจ้าดวงมณฑาผกาแก้ว | ได้ผิดแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่ |
จะวางแล้วขอต้องที่ของดี | จูบสักทีเถิดจะฟ้องก็ตามใจ |
ฉะคารมแก้วแก่นช่างแค่นแคะ | เดี๋ยวนี้แหละเล็บจะลงอย่าสงสัย |
ไม่รักเล็บดอกจะหักก็หักไป | น่าน้อยใจด้วยไม่จับแต่มือเลย |
นิจจานุชสุดแสนสวาทพี่ | ได้เพียงนี้แล้วอย่าร้องเลยน้องเอ๋ย |
ถึงจะฆ่าเสียก็ตามเถิดทรามเชย | ไม่วางเลยสู้ม้วยลงด้วยงาม |
ไม่น่าขันเข้าที่ไหนจะไปละ | วางเถิดคะข่มเหงไม่เกรงขาม |
ทำสะบัดหยิกข่วนกระบวนงาม | พระยิ่งลามโลมชิดเข้าติดพัน |
อุ้มอนงค์ตรงเข้าคูหาห้อง | พระหัตถ์ต้องพวงพุ่มปทุมถัน |
นางผลักหัตถ์ปัดป้องประคองกัน | พระทรงธรรม์สวมสอดกอดประคอง |
ดั่งเทวาจับระบำรำฟ้อน | สโมสรชื่นชมประสมสอง |
เกิดวิบัติสัตว์สิงวิ่งคะนอง | ก็กึกก้องอัศจรรย์ทั้งโลกา |
สองภิรมย์สมพาสสวาทเพิ่ม | เชยเฉลิมชมชื่นเสน่หา |
กินรีศรีสวัสดิ์รัตนา | บังคมแทบบาทาพระภูธร |
เชิญเสด็จไปคิรีมณีรัตน์ | พระทรงสวัสดิ์จะได้พบพี่เกสร |
ป่านฉะนี้คอยหาจะอาวรณ์ | ทินกรจวนเย็นเร่งยาตรา ฯ |
๏ พระฟังโฉมโลมน้องประคองกอด | แม่ยิ่งยอดยาจิตขนิษฐา |
พลางสำรวลยวนหยอกแล้วออกมา | เรียกอาชาพาชีขึ้นขี่ทรง |
กินรินบินโถมโพยมมาศ | นฤนาถรีบตามนางงามระหง |
ถึงประตูคูหาก็ถาลง | สี่อนงค์กินราออกมาพลัน |
เห็นพระหน่อสุริวงศ์เธอทรงเครื่อง | เหลือบชำเลืองเพ่งพิศจิตกระสัน |
บ้างทำอายแอบหลังเข้าบังกัน | บ้างจรจัล[๒]เข้าไปแจ้งแก่เทวี |
แม่เกสรเชษฐาเจ้ามาแล้ว | จงผ่องแผ้วนิ่มน้องอย่าหมองศรี |
สมรมิ่งแจ้งความก็จรลี | เห็นพระพักตร์เจ้าพี่ก็ดีใจ |
ผวากอดบาทบงสุ์พระทรงศักดิ์ | แล้วซบพักตร์โศกานํ้าตาไหล |
พระทรงสวัสดิ์อัดอั้นตันพระทัย | ให้สงสัยพิศวงนางนงนุช |
เมื่อน้อยน้อยนวลลํ้าเจ้าขำขาว | ครั้นรุ่นสาวเรืองสีงามที่สุด |
ดั่งนางแก้วรุ่งเรืองเมืองมนุษย์ | สมเป็นมิ่งมงกุฎสนมนาง |
พระทัยเปลี่ยนเวียนแปลกเมื่อแรกพบ | นางน้อมนบรู้ว่าน้องให้หมองหมาง |
พระลดองค์ลงประคองพระน้องนาง | กันแสงพลางรับขวัญไปทันที |
กินราห้านางก็เศร้าใจ | พลอยร้องไห้สงสารทั้งสองศรี |
แล้วชวนเชิญโฉมตรูกับภูมี | เข้าสู่ที่ถํ้าแก้วอันแพรวพราย ฯ |
๏ ปางอัครวิไลประไพพักตร์ | ทั้งความรักความแค้นไม่เหือดหาย |
นางแค้นค้อนทูลคดีพระพี่ชาย | ไปสบายน้อยหรือด่วนเสด็จมา |
เจ้ามิ่งแม่ขวัญเมืองอย่าเคืองพี่ | แสนทวีความเทวษของเชษฐา |
เจียนจะไม่ได้คืนชีวีมา | ด้วยทำศึกยักษาสงครามกัน |
พอเสร็จศึกว่าจะกลับมารับน้อง | ก็ขัดข้องติดต่อเป็นข้อขัน |
ต้องยกทัพกลับคืนนครพลัน | ฆ่าอีมารอาธรรม์มันวายชนม์ |
พี่นึกถึงโฉมฉายไม่วายนึก | ด้วยติดศึกขัดข้องเป็นสองหน |
พอเสร็จศึกรีบรัดมาบัดดล | แม่ยอดมิ่งนฤมลอย่าหมองนวล ฯ |
๏ จริงแล้วคะผ่านเกล้าเฝ้าแต่ขัด | ชะช่างตรัสคิดขึ้นมาก็น่าสรวล |
สักสิบศึกแสนเข็ญไม่เห็นควร | รบกับนวลนางกระษัตริย์เห็นขัดจริง |
ทั้งศิลป์ศรอาชาวราฤทธิ์ | ตาประสิทธิ์ให้พระองค์ล้วนยงยิ่ง |
แม้นจะรบศึกสู้ศัตรูจริง | จะสมสิ่งปรารถนาไม่ช้าเลย |
ชะรอยช้าด้วยบรรทมสมสนุก | ทุกสิ่งสุขยิ่งยงสรงเสวย |
นี่ลาแล้วหรือจึ่งได้มาไกลเชย | อย่าช้าเลยอยู่หลังจะคลั่งใจ ฯ |
๏ โอ้เจ้าพักตร์จันทร์เพ็งเปล่งจำรัส | เป็นความสัตย์พี่ไม่แกล้งแถลงไข |
อนงค์อื่นหมื่นนางอยู่ปรางค์ใน | ไม่ชอบใจแล้วก็เฉยให้เลยชัง |
แม่อย่าว่าเช่นนั้นเลยขวัญเนตร | พี่แสนเทวษมิได้ขาดสวาทหวัง |
สู้สละนคเรศนิเวศน์วัง | เพราะความรักร้อยชั่งจึ่งหักมา |
แม้นมิเชื่อแล้วก็เนื้อว่ากรรมพี่ | ไม่ปรานีเนื้อเย็นจงเข่นฆ่า |
ไม่มีหอกดาบแล้วหรือแก้วตา | ยื่นมือมาพี่จะให้พระขรรค์คม ฯ |
๏ นางโฉมยงยิ้มเยื้องชำเลืองค้อน | เห็นชาวดอนแกล้งว่าให้สาสม |
ไม่คิดหลังแล้วจะทำเหมือนคำคม | ให้ทรามชมที่ในวังนั้นนั่งตรอม |
คิดคิดก็ให้แค้นเลือดตาไหล | เพราะเจ็บใจโศกเศร้าจนซูบผอม |
น้อยหรือคอยเช้าคํ่าระกำตรอม | จนพระจอมอัยกามาบรรลัย |
นางทูลพลางทางเช็ดชลเนตร | แล้วก้มเกศกันแสงสะอื้นไห้ |
หน่อกระษัตริย์รับขวัญไปทันใด | สายสุดใจมิ่งแม่อย่าโศกเลย |
เจ้างามสุดกระษัตรีในสี่ทวีป | จนสิ้นชีพมิให้หมองเลยน้องเอ๋ย |
เป็นกรรมแล้วแก้วตาอย่าว่าเลย | เชิญไปเชยไอศวรรย์ในเวียงวัง ฯ |
๏ นางรัตนาฟังสนองสองสนิท | ให้แค้นจิตคิดถึงเนื้อความหลัง |
เมื่อแรกนั่งฟังความยังอำปลัง | ครั้นฟังฟังรู้ว่าเมียก็เสียใจ |
ลุกทะลึ่งผึงผางสะบัดขน | ทำบิดก้นยักคอแล้วพ้อให้ |
พี่ทั้งสี่กินราช้าอยู่ไย | เรามาไปนิทราประสานก |
ทั้งสี่นางฟังน้องเจ้าร้องว่า | เห็นกิริยานั้นประหลาดก็ลูบอก |
ชะรอยน้องรัตนาเจ้าลามก | จำจะปกปิดความจึ่งงามใจ |
คิดแล้วอ้อนวอนเกสรสวรรค์ | นิ่งเท่านั้นเถิดน้องอย่าร้องไห้ |
แม่อยู่กับเชษฐาจะลาไป | พี่จะนอนห้องในแล้วน้องอา |
ว่าแล้วเข้าถํ้าอันอำพน | ทั้งห้าคนนอนนึกเสน่หา |
จะใครได้หน่อกระษัตริย์เป็นภัสดา | จนเวลาเกือบรุ่งพระสุริยง ฯ |
๏ ปางพระหน่อบดินทร์นรินทร์ราช | ประโลมนาฏนุชน้องนวลหง |
พระจุมพิตชิดน้องประคององค์ | นางโฉมยงเสน่หาพระสามี |
ไม่เคยชายกายสั่นประหวั่นหวาด | ภูวนาถเล้าโลมนางโฉมศรี |
เกิดวิกลโลกาทั้งราตรี | เทวดาในราศีเสียดายนาง |
กระฉ่อนฉาวข่าวลือระบือเลื่อง | ที่รู้เรื่องข้อนทรวงเข้าผางผาง |
ทั้งดินฟ้าครื้นเครงทำเพลงพลาง | ดั่งเขาตีดุริยางค์อยู่คนเดียว |
พยุกล้าฟ้าร้องคะนองเปรี้ยง | สนั่นเสียงปู่เจ้าภูเขาเชียว |
บ้างก็ร้องเฮโลแล้วโห่เกรียว | บ้างไล่เลี้ยวจับนางอยู่กลางแปลง |
ฝนสวรรค์ลั่นฟูอยู่ฟุ้งฟ้า | เมขลาล่อแลบออกแปลบแสง |
รามสูรเดือดดาลทะยานแรง | ก็กวัดแกว่งขว้างขวานเป็นควันดัง |
แสงแก้วแวบแปลบพักตร์ยักษ์ขยิก | นางแบพลิกปาปับขยับปั๋ง |
แวบเปรี้ยงเสียงเปรื่องกระเดื่องดัง | นางล่อพลั้งล้มแผละจนแก้วพลัด |
อสุราแกว่งขวานประหารเฉาะ | ถูกจำเพาะกลางแปลงตะแคงขัด |
อสุราแรงโรมกระโจมรัด | นางพลิกพลัดฉวยแก้วแล้วกำกาง |
หน่อนรินทร์ร่วมรักสมัครสมร | ทิพากรเรืองแสงขึ้นสางสาง |
ตื่นบรรทมปลุกน้องประคองพลาง | รุ่งสว่างงามชื่นจงตื่นพลัน ฯ |
๏ ห้ายุพินกินเรศวิเศษสัตว์ | นึกกำดัดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
เลือกเอาผลพฤกษาออกมาพลัน | ก็ชิงกันเข้าถวายพระภูบาล |
บ้างก็ว่าของฉันนี้หวานชิด | สุกสนิทรสชาติประหลาดหวาน |
บ้างก็ว่าของฉันดีไม่มีปาน | ทั้งหิมพานต์หาเปรียบไม่เทียบเลย |
บ้างก็ว่าของฉันนี้ยอดอย่าง | ของสองนางนั้นพระองค์อย่าหลงเสวย |
บ้างก็ว่าของฉันนั้นน่าเชย | ถึงเสวยแล้วก็หวานไม่ปานปูน |
รัตนาทูลพลันของฉันขม | ดีแต่ดมแล้วก็ทิ้งให้กลิ้งสูญ |
พระทรงฟังกินราทั้งห้าทูล | ให้เพิ่มพูนประดิพัทธ์ในหทัย |
จึ่งตรัสปลอบตอบสนองของทั้งหมด | อร่อยรสยอดดีจะมีไหน |
ไม่ทันกินแต่พอดูก็ชูใจ | ลูกไม้ในหิมวานี้น่ารัก |
ทำเนตรน้อยชม้อยเยื้องชำเลืองหยอก | เป็นใบ้บอกอาลัยให้ประจักษ์ |
โฉมทิพเกสรก็ค้อนควัก | เอาดอกรักมาขยำแล้วกำปราย |
พระภูบาลแย้มสรวลชวนเสวย | เวลาเลยแจ่มแจ้งจนแสงสาย |
กินราห้าคนกระวนกระวาย | เขม้นหมายที่จะร่วมภิรมย์เชย |
นางสร้อยสุวรรณาจึ่งพาที | วันนี้พี่เวียนเกล้านะเจ้าเอ๋ย |
พากันไปสี่คนเถิดทรามเชย | กระไรเลยพระเคราะห์จำเพาะเป็น |
ทั้งสี่นางต่างว่าข้าก็เจ็บ | กายเป็นเหน็บปวดเศียรนี้แสนเข็ญ |
ฉันก็เคืองนัยนานํ้าตากระเด็น | พื้นแต่เป็นพิการด้วยมารยา |
นางพี่ว่าข้านี้จะอยู่ก่อน | เจ้าจงจรยาจิตอย่าอิจฉา |
ทั้งสี่นางยิ้มเยาะนางกัลยา | ไม่ลินลาคงไข้จะหายพลัน |
แล้วสี่นางกินรีก็ลีลาศ | เที่ยวประพาสในป่าพนาสัณฑ์ |
ปางอนงค์องค์นางสร้อยสุวรรณ | แก้ประกันน้องสาวได้สมคิด |
ทำมารยาราคีเป็นทีไข้ | หนาวสุดใจปวดเศียรให้เวียนจิต |
แล้วเล่นตาเตือนองค์พระทรงฤทธิ์ | รำจวนจิตเข้าห้องแล้วร้องคราง |
พระกุมารรู้แยบคายสายสวาท | ยุรยาตรเข้าห้องประคองข้าง |
เกสรน้อยพลอยเชือนไปเยือนนาง | เข้านวดพลางคมค้อนพระสามี |
หน่อกระษัตริย์ขัดเคืองชำเลืองค้อน | ดังแสงศรแย้งยิงกันเสียดสี |
นางกินรค้อนแค้นแสนทวี | เห็นได้ทีแล้วก็ทูลพระภูธร |
ถึงเจ็บไข้ไม่เสบยก็เคยหาย | ด้วยอาบสายสินธุบนสิงขร |
จะทนบินไปเล่นชโลทร | ก็สุดจรครั้งนี้ด้วยเจ็บครัน |
โฉมพระลักษณวงศ์ผู้ทรงยศ | จึ่งตอบรสพจนารถสาวสวรรค์ |
เป็นไรมีพี่จะพาสุดาจันทร์ | พระกรกันอุ้มเผยอพยุงนาง |
นางเกสรสุดแค้นให้แน่นอก | นํ้าตาตกทรวงตรมอารมณ์หมาง |
จะหวงหึงคิดถึงพระคุณนาง | เป็นสุดอย่างที่จะคิดให้ผิดใจ |
แต่พอพี่กินรีนั้นผินพักตร์ | เข้าหยิกผลักเชษฐาไม่ปราศรัย |
พระทรงศักดิ์สู้ทนด้วยจนใจ | ภูวไนยพากินรีเดิน |
พระยกดวงสุดาขึ้นม้าแก้ว | ขึ้นทรงแล้วลินลาเวหาเหิน |
ครั้นถึงยอดบรรพตาศิลาเนิน | พระชวนเชิญโฉมงามเข้าเงื้อมเงา |
ประคองพลางทางสนองพระน้องรัก | แม่เจ็บหนักจริงเจียวหรือโฉมเฉลา |
ประสานสอดกอดกันก็บรรเทา | ยุพเยาว์ยอดรักอย่าหนักใจ ฯ |
๏ สร้อยสุวรรณมารยาว่าน่าแค้น | ช่างไม่แสนเวทนาช่างว่าได้ |
อย่าทำฉันขืนทำให้ชํ้าใจ | อย่าหมายได้เลยไม่คิดชีวิตตาย ฯ |
๏ โอ้เจ้าดอกการะเกดวิเศษสี | ไม่รักพี่แล้วโรคไม่ยักหาย |
เมื่อโกรธหมอแล้วที่ไหนจะไม่ตาย | เห็นไม่คลายโรคาที่อาดูร |
อันพี่ชายตั้งใจจะรักษา | เอาชีวาน้องไว้มิให้สูญ |
จะช่วยชูชีพไว้ให้ไพบูลย์ | อนุกูลดอกจะแก้ให้เต็มมือ |
แล้วจุมพิตปรางปรุงจรุงรื่น | เข้าเชยชื่นถันน้องประคองถือ |
เกิดพยับเป็นพยุกระพือฮือ | นกก็ปรื๋อบินปร๋อถลาลอย |
สองภิรมย์ชมเชยเสวยสวาท | กินรนาฏหายโรคที่โศกสร้อย |
พอเพลาสายัณห์ตะวันคล้อย | ก็เหาะลอยลงจากคิรีวัน ฯ |
๏ สมรมิ่งเกสรก็ค้อนควัก | ด้วยนางรักทูลกระหม่อมพระจอมขวัญ |
ซักไซ้ถามความกรมด้วยเกรงกัน | พี่สร้อยสุวรรณเจ็บหายค่อยคลายใจ |
เมื่อสักครู่อัศจรรย์ออกลั่นโลก | ภูเขาโยกโคลงคลอนขย้อนไหว |
น่ากลัวถํ้าจะทำลายกระจายไป | ประหลาดใจนักพี่สุวรรณา ฯ |
๏ สร้อยสุวรรณคั่งแค้นแสนถวิล | ไม่ได้ยินอัศจรรย์เหมือนเจ้าว่า |
เมื่อราตรีกึกก้องเป็นโกลา | ที่จะว่าสิมิว่าแม่หน้านวล |
ทั้งสองข้างต่างคนต่างขยับ | จักรพงศ์ทรงสดับแล้วแย้มสรวล |
อัศจรรย์ครั้งไรที่ไหนนวล | เออก็ควรหรือไม่รู้ถึงหูเลย |
พระตรัสพลางปลอบน้องทั้งสองโฉม | ทรามประโลมแม่อย่าหมองเลยน้องเอ๋ย |
ทั้งนี้เป็นกุศลหนหลังเคย | เจ้าร่วมเสบยเคยสบายอย่าหน่ายกัน |
ทั้งสองนางทูลพลางฉันไม่เคือง | ตาชำเลืองค้อนข่มกันคมสัน |
พระยิ้มพลางทางเย้าให้แย้มกัน | จนสุริยันเยื้องรถลงไรไร ฯ |
๏ ส่วนสี่นางกินรินก็บินร่อน | มาสิงขรคูหาที่อาศัย |
สุดสวาทในองค์พระทรงชัย | เอามาลัยจับจูบถวายพลัน |
พระโฉมเฉิดเลิศเล่ห์เสน่ห์หญิง | รับเอามิ่งมาลาแล้วรับขวัญ |
พี่ขอบใจน้องเหลือแม่เนื้อจันทน์ | เรารักกันแก้วตาอย่าราคี |
กินรีสี่สาวก็กล่าวพ้อ | แล้วหยอกล้อเนื้อเย็นผู้เป็นพี่ |
พี่เวียนเกล้าหนาวกายค่อยหายดี | โรคอย่างนี้มักเป็นไม่เว้นคืน |
ทั้งห้านางต่างพ้อแล้วล้อหลอน | นางเกสรก้มหน้าไม่ฝ่าฝืน |
ให้อัดอั้นกลั้นกลํ้านํ้าตากลืน | ไม่มีชื่นอกช้ำระกำใจ |
ทั้งห้านางกินราสามิภักดิ์ | ได้ร่วมรักทรงฤทธิ์พิสมัย |
ต่างนางต่างก็แจ้งประจักษ์ใจ | ดีกันไปมิได้เดียดรังเกียจกัน ฯ |