- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
๏ พระโอรสฟังอรรถที่ตรัสห้าม | ก็เห็นงามตามเสาวนีย์ไข |
จึ่งทูลตอบให้ชอบหฤทัย | ลูกไม่ไปแล้วพระแม่อย่าเคืองเลย |
พระโอรสทูลไท้อาลัยสมร | โอ้แม่ทิพเกสรของที่เอ๋ย |
จะตายเป็นพี่ไม่เห็นอย่างไรเลย | โอ๋อกเอ๋ยสารพัดวิบัติเป็น |
สองกระษัตริย์ตรัสปรึกษาสนอง[๑] | จนแสงทองส่องสว่างกระจ่างเห็น |
พงศ์กระษัตริย์เสด็จยังที่นั่งเย็น | ท้าวไม่เป็นอันจะตรัสดำรัสความ |
ดำรัสเรียกโหราพฤฒาเฒ่า | ก็ตรัสเล่าความฝันแล้วซักถาม |
โหรคำนวณด่วนคูณแล้วทูลความ | ว่าโฉมงามอยู่ดีไม่มีภัย |
โฉมสมรโศกเศร้าถึงเราหรือ | ขอเดชะออกชื่อนํ้าตาไหล |
เจ้าผอมซูบรูปร่างหรืออย่างไร | ขอรับใส่เกล้ากระหม่อมเสมอตัว |
พระน้องโศกเศร้าทุกข์หรือสุขบ้าง | ขอรับนางโศกบ้างแต่ยังชั่ว |
ทุกวันนี้นางคะนองหรือครองตัว | ขอเดชะนางกลัวพระอัยกา |
พระฤๅษีตีบ้างหรืออย่างไร | หามิได้ฤๅษีเสน่หา |
คงจะพบกับเราหรือเปล่านา | ขอเดชะเบื้องหน้าจะพบนาง |
อารามรักซักโหรเอาเจียนอยู่ | โหรารู้ทูลไห้มิให้หมาง |
พระทรงฟังเห็นชอบระบอบนาง | ตบพระหัตถ์ผางผางประทานทอง |
ค่อยวายโศกทรงแย้มสำรวลสรวล | ก็ตรัสความตามควรเขาทูลสนอง |
แล้วพระองค์ทรงนึกค่อยตรึกตรอง | จะคืนครองนคราพระบิตุรงค์ |
จึงตรัสนึกถึงพญาอาขาชาญ | อันสำราญอยู่ในโรงเรืองระหง |
เป็นม้าศึกมีชัยในณรงค์ | ซื่งพระองค์รักเคียงคู่ชีวา ฯ |
๏ ฝ่ายพญามโนมัยที่ใช้ชิด | ก็แจ้งจิตรู้ใจว่าให้หา |
โผนทะยานผ่านพวกขุนนางมา | เข้าหมอบแทบบาทาพระทรงธรรม์ |
พระทรงศรช้อนคางขึ้นวางเพลา | จึ่งตรัสเล่าที่พระองค์เธอทรงฝัน |
แล้วเล่าความมารดาที่วอนพลัน | พระทรงธรรม์ปรึกษากับพาชี |
สินธพฟังตอบความว่างามแล้ว | เชิญพระแก้วไปบำรุงซึ่งกรุงศรี |
จำต้องทำตามคำพระชนนี | ครองบุรีแล้วจึงกลับมารับนาง |
เออพญาพาชีพี่ว่าชอบ | จำประกอบอย่าให้เคืองทั้งสองข้าง |
เราทิ้งน้องไว้ในป่ากับตาพลาง | ช่วยกันล้างกุลียุค[๒]เสียให้ยับ |
เหวยมนตรีสี่พระยาเสนานาย | จงบาดหมาย[๓]เกณฑ์กันให้เสร็จสรรพ |
อีกเจ็ดวันจะยาตราโยธาทัพ | ตัวเรากับมารดรจะจรลี |
จะยกพลขึ้นพื้นโพยมเมฆ | ไปเมืองเอกนคราพาราณสี |
ครั้นสั่งเสร็จเสด็จเฝ้าพระชนนี | ทูลคดีแจ้งข้อจรดล ฯ |
๏ ฝ่ายพระยายศไกรบรรลัยกัป | ก็กะเกณฑ์กองทัพอยู่สับสน |
ทุกหมู่หมวดตรวจตราอลวน | ประชุมพลพื้นพวกพลมาร |
ให้ยักษ์ขุนคชสิทธิ์นิมิตเพศ | เป็นช้างชัยไอยเรศพญาสาร |
ทั้งรถบุษบกรัตน์ชัชวาล | จัดแจงการพร้อมเสร็จในเจ็ดวัน ฯ |
๏ ปางพระจอมเมืองมารชำนาญฤทธิ์ | สำราญจิตปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ถึงคำรบครบถ้วนเข้าเจ็ดวัน | เสียงสนั่นพลทัพประเทียบช้าง |
พระบรรทมบนที่มณีแท่น | สนมแน่นรายเรียงอยู่เคียงข้าง |
พอเพลาจวนรุ่งขึ้นรางราง | เดือนสว่างโพยมพยับก็อับนวล |
เสด็จตื่นบรรทมแล้วเข้าที่ | สรงสนานวารีอันหอมหวน |
นางอยู่งานขานขับสำเนียงนวล | กระหึ่มหวนโทนทับรับสีซอ |
พระภูธรทรงนั่งบัลลังก์ราบ | พระองค์อาบละอองปทุมท่อ |
เป็นสายสาดปราดปรายกระจายปรอ | ไหลเป็นช่อลงชโลมพระวรกาย |
ครั้นเสร็จสรงทรงเครื่องอบสำอาง | อนงค์นางน้อมทูลประเทียบถวาย |
แล้วทรงเครื่องสุวรรณพรรณราย | สนับเพลาพราวพรายกระจายเรียง |
ภูษาทรงนํ้าทองเป็นของเทศ | ช่อวิเศษลายเกี้ยวเลี้ยวเฉลียง |
ดอกก้านแย่งช่อหกกระหนกเรียง | มุกดาเคียงดาษดอกเป็นดวงดี |
ชายแครงกรองทองมังกรเกี้ยว | ฉลุเขี้ยวแมงทับ[๔]สลับลี |
เจียระบาดคาดดวงสุวรรณมณี | วาสุกรีกลีบเกล็ดล้วนกรองทอง |
เข็มขัดคาดทองคำประจำยาม | เป็นแวววามวิเชียรทุกช่อช่อง |
ฉลององค์อลงกตด้วยยศทอง | ทับทรวงกรองศอถมราชาวดี |
กุดั่นดุนประดับพลอยล้วนย้อยหยด | มรกตนิลแนมแอร่มสี |
ทองพระกรฉลุหลังฝังมณี | ทับทิมสีโมราเข้ารายเม็ด |
ธำมรงค์รังแตนนพรัตน์ | นิ้วพระหัตถ์สอดใส่ทั้งสิบเสร็จ |
มรกตพิรอดล้วนยอดเพชร | แต่ละเม็ดตีค่าถึงควรเมือง |
ทรงมงกุฎโกเมนอร่ามขำ | รายประจำไพฑูรย์ละเลื่อมเหลือง |
กุณฑลเพชรแวววามอร่ามเรือง | มลังเลืองเลื่อมจับกรรเจียกจอน |
เหน็บพระขรรค์ชัยแก้วเป็นแวววับ | พระหัตถ์ขวาคว้าจับพระแสงศร |
เสด็จขึ้นเกยทรงอลงกรณ์ | ดั่งอินทรในทิพพิมานทอง |
ให้เชิญเสด็จมารดรบวรราช | สนมนาฏไปทูลกิจจาสนอง |
ฝ่ายโฉมยงองค์เอกนวลละออง | พระทรงเครื่องเรืองรองระยับองค์ |
เสด็จจากห้องปรางค์สำอางสะอาด | ดูลินลาศงามจำเริญดำเนินหงส์ |
สถิตยังเกยทองทั้งสององค์ | ดั่งสุริยงเคียงกันกับจันทร |
ฝ่ายสนมแต่งตัวตามเสด็จ | ไม่ทันเสร็จสรรพวิ่งอยู่สลอน |
บ้างคว้าผวยฉวยเพลาะไปห่มนอน | หวีกระจกห่อซ่อนไปแก้จน |
บ้างผัดหน้าทาแป้งแล้วแต่งจัด | สารพัดเอาไปไม่ขัดสน |
ไม้สอยผมซนเสือกอยู่เหลือกลน | ห่อกระเหม่าติดตนไปตามมี |
บ้างบอกเพื่อนเตือนว่าอย่าลืมแหนบ | อุตส่าห์แอบผูกพันไปกับหวี |
บ้างเก็บไรประจุบันพอทันที | ที่ไม้สอยผมมีเอาซ่อนไป |
บ้างไปยืมลายอย่างของนางเพื่อน | ถ้าถ้วนเดือนจึ่งจะคิดค่าเช่าให้ |
บ้างได้สีทับทิมก็กริ่มใจ | สอดซับในดำเพลาะหัวเราะเริง |
ที่ไม่ทันแต่งตัวยังมัวการ | น่าสงสารผมเฝ้าออกยุ่งเหยิง |
ที่วิ่งส่องมองกระจกกระจะกระเจิง | นํ้ามันแข็งลนเพลิงแล้วทาพลาง |
เหล่าอนงค์หน้านวลแต่ล้วนสาว | เนื้อดำขาวสองสีดูสล้าง |
ตามเสด็จทูลกระหม่อมพระจอมปรางค์ | พอสางสางแสงทองก็พร้อมกัน ฯ |
๏ ฝ่ายนรินทร์ปิ่นกระษัตริย์ตรัสประภาษ | กับโอรสวิรุญมาศที่อาสัญ |
ชื่อท้าววิรุญวงศ์พงศ์กุมภัณฑ์ | ให้เสวยไอศวรรย์ของบิดา |
ฝ่ายพระยายศไกรบรรลัยกัป | ก็แยกทัพเป็นพยุหะรถา |
ให้กองท้าวกาลพักตร์กุมารา | เป็นงอนงารถทรงแลธงชัย |
ให้กาลวกยกแยกเป็นแอกรถ | ให้กองทศคิรีเป็นทัพใหญ่ |
ให้กองทัพเทพวงศ์เป็นกงไก | อินทชัยอินทศักดิ์เป็นกำดุม |
ให้เพชกันเป็นเพลาเข้าสอดแทรก | ให้เพชกรเป็นปะแหรกเข้าแทรกสุม |
นาคชิตเป็นที่นั่งบัลลังก์กุม | นาคชุมอุปถัมภ์เป็นท้ายงอน |
ทัพหลวงเป็นเศวตฉัตรฉาย | พรรณรายน่ารักประภัสสร |
รถที่นั่งรถตามงามบวร | อัสดรนำพักตร์พระจักรา |
บรรลัยกัปแยกทัพแล้วสรรพเสร็จ | เชิญเสด็จพระนรินทร์ปิ่นมหา |
ฝ่ายพระองค์ทรงสวัสดิ์กระษัตรา | เสด็จทรงไอยราคชาธาร |
นางโฉมยงทรงรถบุษบก | สินธพเทียมเตรียมยกยืนขนาน |
รถเครื่องรถนางพนักงาน | งอนตระหง่านธงปลิวเป็นทิวชาย ฯ |
๏ ได้ฤกษ์ชั้นลั่นฆ้องถึงสามหน | ขยายพลยกเขยื้อนเคลื่อนขยาย[๕] |
พรายอากาศดาษโพยมพยับพราย | เรียงรถรายท้ายรถระดะเรียง |
ครึกครื้นเครงโครมประโคมครึก | เสียงพิลึกเลื่อนลั่นสนั่นเสียง |
เอียงพิภพสิงขรจะอ่อนเอียง | พิมานเพียงพลาดทับกับพิมาน |
ช่องพระแกลเทพแลอยู่ทุกช่อง | ประสานเสียงกรีดร้องซ้องประสาน |
มารแห่โห่ทั่วทุกตัวมาร | ชลธารเป็นระลอกกระฉอกชล |
นกตื่นแตกพรูทุกหมู่นก | ฝนก็ตกฟ้าคลุ้มชอุ่มฝน |
พลมารกลุ้มกลํ้าทั้งอำพน | ตาลานลนแกว่งดาบออกปลาบตา |
ช้างที่นั่งลอยเลิศประเสริฐช้าง | หน้าสล้างดูงามทั้งสามหน้า |
งาจะช้อนดาวตกทั้งหกงา | งวงจะคว้าเดือนงามทั้งสามงวง |
กระษัตริย์ทรงองค์เลิศประเสริฐกระษัตริย์ | ช่วงชวัดแสงเครื่องดูเรืองช่วง |
ดวงพระพักตร์ผ่องเหมือนกับเดือนดวง | อินทร์ไม่ล่วงเลยท้าวเมื่อเทียบอินทร์ |
รถมณีสีสว่างกระจ่างรถ | ฉินฉะอ้อนงอนชดดูเฉิดฉิน |
ยุพินทรงเอกองค์พระยุพิน | นางอัปสรทั้งสิ้นไม่เกินนาง |
ที่นั่งช้างช้างล้อมอยู่พร้อมหมด | ที่นั่งรถรถล้อมอยู่พร้อมสล้าง |
พลกลาดกลาดกลบในนภางค์ | ดูคว้างคว้างมืดคลุ้มในเมฆา |
ครั้นเวลาสายัณห์ตะวันอ่อน | ทิชากรบินไขว่ในเวหา |
การเวกหัสดินรีบบินมา | มยุเรศสัตวาแลโนรี |
พระชมฝูงปักษาในอากาศ | พิศวาสปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ครั้นสุริยนสนธยาเข้าราตรี | พระตรัสสั่งเสนีมิทันนาน |
ให้นิมิตที่พักตำหนักยั้ง | ลงรอรั้งอาศัยในไพรสาณฑ์ |
ครั้นเพลารุ่งศรีรวีวาร | ก็ยกทัพเหาะทะยานไปทางบน |
ปางพระหน่อสุริย์วงศ์ดำรงทวีป | ให้เร่งรีบจัตุรงค์มากลางหน |
ลางทีขี่พญากุญชรชน | ลางทีจรดลด้วยอัสดร |
ยกพหลเหาะระเห็จมาเจ็ดวัน | ก็ลุถึงเขตขัณฑ์เขาสิงขร |
ที่บิดาให้ฆ่าพระมารดร | พระภูธรเคลือบแคลงไม่แจ้งใจ |
พระชักพาชีเคียงเข้าเรียงรถ | น้อมประณตชนนีแล้วทูลไข |
ถึงแว่นแคว้นบิตุรงค์พระทรงชัย | ที่นี่แล้วหรือไรเขาฆ่าเรา |
พระเทพีพิศดูก็จำได้ | พ่อสายใจของแม่นี่แลเจ้า |
อนิจจาจอมจักรไม่รักเรา | สั่งให้เขาฆ่าแม่กับลูกน้อย |
ตรัสพลางทางกันแสงสะอื้นไห้ | พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงผ็อยผ็อย |
นํ้าเนตรร่วงดังพวงมาลาลอย | ยิ่งเศร้าสร้อยสุดแค้นแสนทวี |
หน่อกระษัตริย์โศกาทรงพิลาป | แล้วตรัสกราบทูลห้ามไปตามที่ |
อย่ากันแสงโศกศัลย์เลยพันปี | อันครั้งนี้จะได้เห็นฝีมือกัน |
พระทูนแล้วชักแก้วกัณฐัศว์ถอย | ลินลาลอยมาในกลางพลขันธ์ |
ดำรัสสั่งบรรลัยกัปไปฉับพลัน | ท่านจงร้องบอกกันทั้งกองทัพ |
บรรดาพวกพลเราล้วนเหล่ายักษ์ | จงเปลี่ยนพักตร์แปลงกายให้กลายกลับ |
เป็นมนุษย์เนืองนองทั้งกองทัพ | แล้วจงขับพลพร้อมเข้าล้อมเมือง |
พระบิดาเธอเห็นว่าเป็นยักษ์ | จะโศกหนักกำสรดไม่ปลดเปลื้อง |
แล้วอย่าให้ใครทำให้ช้ำเคือง | แก่ชาวเมืองถ้วนทั่วทุกตัวคน |
บรรลัยกัปรับสารโองการตรัส | ก็รีบรัดบอกทัพอยู่สับสน |
พลมารรู้ทั่วทุกตัวคน | นิมิตตนเป็นมนุษย์อเนกนันต์ |
ทัพกระทั่งถึงนครพอค่อนรุ่ง | ก็แยกยุ่งพร้อมล้อมแล้วโห่ลั่น |
เอิกเกริกเกลื่อนกลาดประกาศกัน | ล้อมสำเร็จเจ็ดชั้นเป็นหลั่นลด |
ที่มารมีเดชาบรรดาศักดิ์ | นิรมิตตำหนักให้ปรากฏ |
เป็นที่อยู่แห่งองค์พระทรงยศ | ทั้งโรงรถรายเรียงอยู่เคียงกัน |
เสียงช้างร้องก้องกึกโกญจนาท[๖] | อาชาชาติคำรนคำรามลั่น |
พลมารพร้อมเพรียกร้องเรียกกัน | เสียงสนั่นดังเมืองจะเปรื่องทลาย |
พลเมืองตื่นอึงตะลึงลุก | ตะโกนปลุกเรียกกันจนขวัญหาย |
บ้างเก็บของออกมากองอยู่วุ่นวาย | สำคัญหมายว่าไฟมาไหม้เมือง |
บ้างเรียกผัวมัวคว้าผวาฉุด | จนผ้าหลุดทรุดนั่งลงทั้งเครื่อง |
บ้างบอกเมียตัวสั่นว่าขวัญเมือง | ถึงฝืดเคืองพี่ไม่ทิ้งเจ้ามิ่งเมีย |
ที่นอนเศร้าเข้าปลุกก็ลุกเซ่อ | ละเมอเพ้อหัวร่อร้องขอเบี้ย |
ฝันว่าซื้อของกินเอาลิ้นเลีย | อีนางเมียร้องตวาดก็ตกใจ |
บ้างสำคัญว่ากบฏมันคดคิด | ให้พรั่นจิตตกตะลึงไม่อึงได้ |
ที่ลูกอ่อนร้องอึงคะนึงไป | บ้างตีอกตกใจตะโกนกัน |
เจ้าเจ๊กตื่นวิ่งแหกเข้าแบกหมู | แม่อีหนูอุ้มเป็ดระเห็จหัน |
เจ้าเซ็นเต้นตีอกออกงกงัน | พวกนางญวนป่วนปั่นไม่สมประดี |
ครั้นรู้ว่าข้าศึกมาล้อมเมือง | ก็จัดเครื่องของพร้อมจะด้อมหนี |
พวกพระยาเสนาแลมนตรี | ก็กรูกรีเตรียมตนทุกคนไป ฯ |
๏ ปางบรมพรหมทัตกระษัตรา | ตกประหม่าอกสั่นอยู่หวั่นไหว |
พระทรงเผยพระแกลแล้วแลไป | เห็นกองไฟลุกแดงกำแพงราย |
แสงอาวุธวาววาบอยู่ปลาบแปลบ | ดังฟ้าแลบเรืองรอบทั้งขอบค่าย |
เห็นพวกพลคนหลากอยู่มากมาย | มันตั้งรายล้อมรอบเป็นขอบคัน |
พระดูดูรู้ว่าเป็นข้าศึก | ตกพระทัยให้นึกประหวั่นขวัญ |
เอะอะไรไพรีจึ่งมีพลัน | อัศจรรย์อยู่ดีดีก็มีมา |
เสด็จเดินในมนเทียรแล้วเวียนกลับ | พระหัตถ์จับพระแสงขรรค์อันคมกล้า |
ให้อัดอั้นตันในพระอุรา | ดังปืนยายอกกายไม่วายคิด |
สาวสนมกรมในทั้งวังหลวง | ก็ตีทรวงตัวสั่นประหวั่นจิต |
เสียงกรีดกรีดหวีดร้องดั่งต้องพิษ | กลัวชีวิตวิ่งวุ่นออกขุ่นวัง |
บ้างลุกทะลึ่งผ้าหลุดด้วยสุดกลัว | ครั้นรู้ตัวแล้วก็หยุดลงทรุดนั่ง |
ฉวยเอาผ้าพันพุงอยู่รุงรัง | ด้วยกำลังขวัญบินจนสิ้นอาย |
บ้างไม่มีผ้าห่มเปิดนมแร่ | โดนลับแลงงงมจนล้มหงาย |
บ้างไม่ทันตั้งตัวด้วยกลัวตาย | เหยียบกระจกจนกระจายตะกายคลำ |
บ้างตื่นคว้าหาประตูไม่รู้พบ | หลงตลบเข้าไปโดนกระโถนควํ่า |
บ้างเหยียบเครื่องแป้งแตกแหลกระยำ | เอามือคลำเสียดายของร้องไห้รัก |
บ้างตัวสั่นงันงกจนตกเตียง | เอามือเหวี่ยงเข้าไปต้องคันฉ่องหัก |
ที่เล่นเพื่อนเบือนกอดนางยอดรัก | ครั้นกึกกักก็กระโดดหน้าต่างไป |
บรรดาหม่อมจอมเจ้าแลท้าวนาง | ก็วิ่งวางจากห้องแล้วร้องไห้ |
พากันขึ้นเฝ้าองค์พระทรงชัย | แต่วิ่งไปวิ่งมาละล้าละลัง ฯ |
๏ ฝ่ายอนงค์อสุรีศรีสมร | ให้อาวรณ์วาบหวามถึงความหลัง |
เป็นลางกรรมจะมาทำให้มรณัง | ให้แต่ตั้งคิดถึงตัวด้วยกลัวตาย |
นางกอดบาทภูธรแล้ววอนถาม | อันสงครามครั้งนี้บุรีไหน |
จะเป็นทัพสุริย์วงศ์พระองค์ใด | แต่ก่อนไรเคยคะนึงหรือพึ่งมี |
พวกท้าวนางพลางทูลขึ้นพร้อมพร้อม | ทูลกระหม่อมเคราะห์เมืองกระไรนี่ |
กระหม่อมฉันเคยพึ่งพระบารมี | อันครั้งนี้ศึกติดเห็นผิดใจ ฯ |
๏ ได้ทรงฟังทูลความดั่งหนามยอก | มิอาจออกโอษฐ์ตรัสดำรัสไข |
พระเสด็จเยื้องย่องเข้าห้องใน | กันแสงไห้รักองค์ด้วยสงคราม |
แต่ก่อนไกลใครเลยจะต่อสู้ | อันศัตรูรู้ฤทธิ์ก็คิดขาม |
เห็นกูแก่จึ่งด่วนมาลวนลาม | จะก่อความให้เป็นควันทั้งแขวงเมือง |
ศึกกระษัตริย์นี้อนาถประหลาดนัก | ไม่ประจักษ์แจ้งข่าวแลราวเรื่อง |
อยู่อยู่หรือก็จู่เข้าล้อมเมือง | ชะรอยเรืองฤทธิ์เลิศประเสริฐชาย |
อันครั้งนี้กรุงไกรกระไรหรือ | จะคงชื่อหรือจะควํ่าสลํ่าสลาย |
ไม่เล็งเห็นเหล่าทหารที่ชาญชาย | จะยักย้ายรบรับกับไพรี |
จะสิ้นบุญเคยคงดำรงวัง | หรือจะยังสืบทรงซึ่งกรุงศรี |
ปัจจามิตรมาประชิดอยู่เต็มที | อันครั้งนี้เป็นไฉนไม่รู้เลย |
โอ้เจ้าลักษณวงศ์พระลูกแก้ว | ถ้าอยู่แล้วจะได้พึ่งเจ้าพ่อเอ๋ย |
เป็นเวรกรรมดลใจกระไรเลย | ให้พ่อเฉยคิดชังเจ้าบังอร |
ป่านฉะนี้แม่ลูกกระดูกขาด | จะเกลื่อนกลาดทิ้งกลิ้งริมสิงขร |
มิพอที่จะมาม้วยด้วยมารดร | เป็นกรรมก่อนเจ้าได้ทำจึ่งจำตาย |
ถ้าพ่ออยู่จะได้สู้ปัจจามิตร | พ่อคิดคิดถึงเจ้าแล้วใจหาย |
ถ้าพ่ออยู่หรือจะมีอันตราย | นี่พ่อตายไพรีได้ทีปอง |
จอมกระษัตริย์คิดคะนึงถึงโอรส | ทรงกำสรดสะอื้นไห้พระทัยหมอง |
แสนเทวษชลเนตรลงเนืองนอง | จนแสงทองส่องสว่างในอัมพร |
เสด็จเข้าที่สรงแล้วทรงเสวย | ไม่เสบยในพระทัยสะท้อนถอน |
ทอดพระเนตรดูสนมประนมกร | ล้วนแต่ร้อนในอุรานํ้าตาคลอ |
พระยิ่งพิศก็ยิ่งคิดสงสารนัก | ผินพระพักตร์น้ำพระเนตรไม่ขาดสอ |
แข็งพระทัยสติตั้งไม่รั้งรอ | พระตรัสยอยกสนองประคองใจ |
ไอ้ข้าศึกนี้มันฮึกไม่เห็นฤทธิ์ | อันชีวิตมันจะคงอย่าสงสัย |
พวกไอ้ชาติเชื้อพาลทะยานใจ | จะบรรลัยด้วยผลกรรมมันทำมา |
มานะกระษัตริย์ตรัสไปพระทัยหวาด | แล้วยุรยาตรเสด็จยังที่ข้างหน้า |
ขุนนางแน่นหมอบกลาดดาษดา | เห็นแต่หน้าซูบเศร้าอยู่ทุกคน |
เจ้าพระยาแลพระยาเสนามาตย์ | บังคมบาททูลสนองอนุสนธิ์ |
ขอพระเดชปกเกศประชาชน | อันพวกพลข้าศึกเห็นหนักครัน ฯ |
๏ องค์พระจอมราเชนทร์นเรนทร์สูร | ได้ฟังทูลว่าทัพนั้นขับขัน |
จึงตรัสสั่งเสนาพระยาพลัน | จงเกณฑ์กันรายประจำบนกำแพง |
เอาปืนใหญ่ใส่ป้อมให้พร้อมไว้ | ทั้งช่องน้อยช่องใหญ่ให้ขันแข็ง |
จงรีบด่วนเร่งรัดไปจัดแจง | ประตูแดงลั่นดาลอย่าไว้ใจ |
ขุนนางรับพจมานโองการตรัส | ก็รีบรัดจัดการสนั่นไหว |
เที่ยวเกณฑ์คนวิ่งวุ่นออกขุ่นไป | ทุกป้อมใหญ่ให้ฝรั่งขึ้นนั่งราย |
มนตรีตรวจการเสร็จสำเร็จแล้ว | ก็คลาดแคล้วเข้าไปทูลเนื้อความถวาย |
เข้าเฝ้าพร้อมอยู่ทุกหน้าพระยานาย | คอยอุบายโองการพระผ่านเมือง |
จอมกระษัตริย์ท้าวตรัสปรึกษาศึก | ตามบันทึกกิจการบุราณเรื่อง |
ขุนนางทูลประเทียบตามเนื้อความเมือง | ดำริเรื่องที่จะรับกับไพรี ฯ |
๏ ปางพระลักษณวงศ์ผู้ทรงโฉม | ครั้นโพยมรุ่งแจ้งอรุณศรี |
สั่งให้หาแต่บรรดาหมู่มนตรี | พระจึ่งมีพจนารถไปโดยจง |
เราจะให้อสุรีเข้าตีประดัง | ประเดี๋ยวก็จะพังเป็นผุยผง |
แต่หากเกรงทรงฤทธิ์บิตุรงค์ | จำจะคงคิดทำให้นํ้านวล |
ท่านจงแต่งเรื่องราชอักษร | ให้ภูธรเธอส่งอีองค์สงวน |
แม้นไม่ส่งองค์นางสำอางนวล | ออกมาชวนชนช้างกันกลางคัน |
จงแต่งสารราบราบบำราบท้าว | จงกลั่นกล่าวให้คารมนั้นคมสัน |
ดูกำลังฟังลองทำนองกัน | จงจัดสรรสี่ทูตให้จำทูล |
มารมนตรีรับสั่งแล้วแต่งสาร | ตามโองการภูเบนทร์นเรนทร์สูร |
แล้วจัดขุนอสุรีสี่สกูล[๗] | ให้จำทูลราชสารใส่พานทอง |
แล้วส่งทูตทั้งสี่ออกจากทัพ | พากันกลับเฝ้าท้าวแล้วทูลฉลอง |
ฝ่ายราชทูตเชิญสารพานประคอง | ตามทำนองในทำเนียบระเบียบการ |
ถึงประตูเรียกผู้รักษาพลัน | ใครอยู่นั่นรับเราผู้ถือสาร |
เร็วเร็วเถิดเปิดเหวยเผยทวาร | ตามบุราณราชกิจอย่าปิดทาง |
นายประตูดูดูก็รู้แน่ | ไขประแจเปิดบานทวารผาง |
ราชทูตสี่นายไปตามทาง | พวกขุนนางมารับไปฉับพลัน |
จึงเชิญสารพานทองประคองถนอม | เข้าเฝ้าจอมผู้ดำรงมไหศวรรย์ |
ทั้งสี่ทูตก็ประนมบังคมคัล | หมอบอยู่ชั้นห้องกลางขุนนางเนือง |
อำมาตย์ถวายสารนิพนธ์จนพระหัตถ์ | จอมกระษัตริย์คลี่สารออกอ่านเรื่อง |
ในศุภสารว่าพระผ่านบุรีเรือง | พระนามเมืองมยุรามหานคร |
เป็นปิ่นปักหลักโลกเฉลิมภพ | ดิลกลบลือพระฤทธิ์ทุกทิศสยอน |
มีพระยศจดฟ้าสถาพร | ทุกนครเข็ดขยาดพระเดชา |
ทั้งไตรจักรยักษ์มนุษย์สุดสถาน | ถวายสารน้อมเศียรทุกทิศา |
ใครบ่ต่อรอฤทธิ์อิศรา | ทุกพระยาธานีถวายนาง |
แต่เมืองนี้เป็นไฉนจึ่งไม่ถวาย | พระทัยหมายแค้นเคืองระคางหมาง |
บัดนี้มีพระประสงค์อนงค์นาง | ที่เป็นอย่างยอดยิ่งสนมใน |
จึ่งกรีธาพยุหะมาประชิด | จะลองฤทธิ์กันให้เห็นว่าเป็นไฉน |
หรือเกรงฤทธิ์จะไม่คิดออกชิงชัย | จะยอมให้โฉมยงเร่งส่งมา |
แม้นมิส่งองค์สุดาออกมาถวาย | จะลอยชายจับนางมาล้างฆ่า |
หรือมีฤทธิ์ถือองค์จงออกมา | ขึ้นขี่คอไอยรามาชนกัน ฯ |
๏ พระทรงสารอ่านสิ้นถวิลหวาด | ตรัสประภาษสั่งทูตให้ผายผัน |
ท่านจงไปกราบทูลกระษัตริย์พลัน | อีกสามวันชนช้างกันกลางแปลง |
พระตรัสไปด้วยพระทัยเธอมานะ | ในอุระเสียวเสียวสยดแสยง |
สะท้านทรวงความโศกนั้นสุดแทง | ดั่งศรแย้งยิงเสียดสกนธ์กาย |
ราชทูตทูลลาลินลากลับ | ไปถึงทัพเข้าทูลเนื้อความถวาย |
ว่าพระจอมโลกาเธอท้าทาย | ว่าจะชนช้างพลายในสามวัน |
ได้ทรงฟังทราบสารพระผ่านภพ | คิดจะรบหลอกหลอนทั้งผ่อนผัน |
จึ่งตรัสสั่งบรรลัยกัปไปฉับพลัน | เมื่อถึงวันเราจะทรงคชาชาญ |
จะล่อให้ท้าวไล่ในเชิงล่า | ท่านจงพาพวกพหลพลทหาร |
กลับเป็นยักษ์รีบเร่งเหาะทะยาน | จับอีมารยักษ์มาอย่าฆ่าฟัน[๘] |
พระสั่งเสร็จแล้วเสด็จเข้าสู่ที่ | ทั้งสองศรีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
พระโอรสมารดาปรึกษากัน | ถึงทรงธรรม์ธิบดินทร์นรินทร ฯ |
๏ ปางบรมพรหมทัตขัตติเยศ | คะนึงเหตุเรื่องราชอักษร |
รักพระองค์เกรงด้วยจะม้วยมรณ์ | รักสมรมเหสีก็สุดใจ |
คิดจะส่งแล้วก็กลับจะคิดสู้ | เป็นสุดรู้ที่จะทำอย่างไรได้ |
คิดจะตายก็เสียดายนางทรามวัย | คิดจะให้ก็จะขาดสวาทชม |
ให้เชิญโฉมวนิดาเจ้ามาเฝ้า | จึ่งตรัสเล่าศุภสารแก่จอมสนม |
นี่แลน้องมันทำเป็นเล่ห์ลม | แม่ทรามชมเจ้าจะคิดประการใด |
นางโฉมงามทูลไปด้วยใจยักษ์ | แต่น้องรักก็จะสู้ศัตรูได้ |
ด้วยรู้มนตร์เชี่ยวชาญชำนาญใจ | หัสนัยน์โปรดปรานประทานพร |
สาอะไรกับมนุษย์เท่านี้นี่ | แต่ยักษียังไม่ทานวิ่งซานซ่อน |
น้องจะขอทำการไปแทนกร | จะแปลงเป็นภูธรแล้วจรลี |
จะทรงช้างชาญสมรกุญชรชาติ | ไปตวาดข้าศึกให้แตกหนี |
จะวิตกไปไยกับไพรี | พระทรงศักดิ์จักรีอย่าตรอมใจ ฯ |
๏ พระจอมเมืองฟังมิ่งมเหสี | ความยินดีชื่นชอบอัชฌาสัย |
ค่อยบรรเทาเบาทุกข์ในพระทัย | ดั่งหนึ่งได้น้ำทิพมาสรงองค์ |
ถึงวันครบตามความสงครามนัด | กรุงกระษัตริย์เสด็จออกพระโรงระหง |
สั่งให้เตรียมพลรัตน์จัตุรงค์ | ทั้งกุญชรช้างทรงที่นั่งพลาย |
ประดับด้วยอาภรณ์บวรรัตน์ | เศวตฉัตรลอยเลิศดูเฉิดฉาย |
ทั้งช้างดั้งช้างเดียงออกเรียงราย | พลนิกายคับคั่งทั้งวังใน |
ส่วนโฉมยงองค์กัลยายักษ์ | เอานํ้าสังข์สรงพักตร์ให้ผ่องใส |
ทรงเกราะแก้วเพชรรัตน์อันอำไพ | แล้วสอดใส่เครื่องทรงอลงกรณ์ |
ทรงมงกุฎมรกตอันสดสุก | เป็นแววลุกจับพักตร์ประภัสสร |
ล้วนแต่ทรงเครื่ององค์พระภูธร | โฉมสมรงามเหมือนกระษัตรา |
เสด็จเข้าเฝ้าองค์พระทรงราชย์ | บังคมบาทอภิวันท์ด้วยหรรษา |
ฝ่ายบรมพรหมทัตกระษัตรา | พระบัญชารับขวัญไปทันที |
แม่อาสาพี่ไปดังใจถวิล | เหมือนพระอินทร์ทิ้งจักรมาให้พี่ |
ขอให้น้องมีชัยแก่ไพรี | ระวังองค์จงดีเถิดดวงใจ |
เขาเป็นชายฝ่ายน้องนี้เป็นหญิง | การศึกยิ่งหลายกระบวนอย่าด่วนได้ |
อย่าชะล่าหลงละเลิงกระเจิงไป | เราก็ใจเขาก็จิตจงคิดเกรง |
เป็นมนุษย์เหมือนกันอย่าหมิ่นกัน | เสียเชิงชั้นแก้ไขให้เหมาะเหม็ง |
พี่จะออกไปประจัญกับมันเอง | ไม่กริ่งเกรงฤทธิไกรไอ้ไพรี |
พระตรัสพลางจูงนางขึ้นเกยรัตน์ | นางโฉมยงทรงสวัสดิ์ขึ้นหัตถี |
ทรงพระแสงง้าวงามอร่ามดี | ดูท่วงทีเหมือนบุรุษเห็นสุดงาม |
พลพร้อมน้อมก้มบังคมคัล | โห่สนั่นถ้วนครบคำรบสาม |
ได้ฤกษ์เลิกโยธาสง่างาม | พฤฒาพราหมณ์แกว่งเคาะบัณเฑาะว์นำ |
เสียงฆ้องกลองก้องกึกพิลึกลั่น | พัลวันพลวุ่นออกขุ่นคลํ่า |
พอทัพกึงพระทวารบันดาลกรรม | เป็นลางทำฉัตรกั้นสะบั้นลง |
อสุรีตกใจตะลึงนิก | ถึงการศึกเศร้าจิตพิศวง |
มานะยักษ์ฮักฮึกนึกทะนง | ไสคเชนทร์ช้างทรงออกจากวัง ฯ |
[๑] สมุดไทยเลขที่๕ ว่า “สองกระษัตริย์ตรัสตรึกปรึกษาสนอง”
[๒] กุลียุค = กลียุค
[๓] บาดหมาย = บัตรหมาย แปลว่า หนังสือเกณฑ์ของทางราชการ
[๔] แมงทับ = แมลงทับ
[๕] ตั้งแต่กลอนวรรคที่ว่า “ขยายพลยกเขยื้อนเคลื่อนขยาย” ถึง “นางอัปสรทั้งสิ้นไม่เกินนาง” แต่งเป็นกลบทครอบจักรวาล
[๖] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “เสียงช้างร้องกึกก้องกัมปนาท”
[๗] สกูล = สกุล
[๘] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “จับอีมารมัดมาอย่าฆ่าฟัน”