๏ ปางพระลักษณวงศ์ทรงสดับ |
ให้วาบวับหวั่นไหวพระทัยฉงน |
เอะแล้วมิ่งสมรเสมอชนม์ |
นฤมลม้วยแล้วหรือแก้วตา |
สะท้อนถอนหฤทัยให้ระทด |
แสนกำสรดอัดอั้นพระนาสา |
เจียนจะตกพระที่นั่งอลังการ์ |
พระพักตราเศร้าสลดจนหมดนวล |
พระจากอาสน์สิงหนาทสนั่นเสียง |
เรียกเสลี่ยงเร็วไวพระทัยหวน |
ขุนนางนำสองข้างอย่างกระบวน |
เสด็จด่วนออกจากนิเวศน์วัง |
ขืนอารมณ์ก้มพระพักตร์หักเทวษ |
ไม่เหลียวเนตรมุ่งมาดสวาทหวัง |
พระทรวงร้อนพ่างเพียงจะพองพัง |
จนกระทั่งถึงที่ฟันกัลยา |
พระเห็นองค์เกสรสมรมาศ |
พระเศียรขาดเคียงองค์โอรสา |
กุมารน้อยเห็นองค์พระบิดา |
ก็โศกาแด่วดิ้นอยู่แดยัน |
พระทรงฤทธิ์พิศดูก็ร้จัก |
ว่าเมียรักร่วมชมภิรมย์ขวัญ |
ก็โจนจากพระที่นั่งบัลลังก์พลัน |
พระทรงธรรม์อุ้มองค์กุมารา |
พระกรหนึ่งกอดองค์อนงค์นาฏ |
ปิ้มจะขาดชนม์ชีพสังขาร์ |
โศกสะอื้นกลุ้มกลัดหัทยา |
กระษัตรากอดศพสลบลง ฯ |
๏ อำมาตย์ตื่นตีอกตกประหม่า |
ก็โศกาเศร้าจิตพิศวง |
สำคัญว่าทรงยศเธอปลดปลง |
สลบลงเกลื่อนกลาดออกดาษไป |
พวกตำรวจตัวสั่นให้ขวัญหาย |
ก็วนวายวิ่งวุ่นอยู่หวั่นไหว |
บ้างก็วิ่งเข้ายังพระวังใน |
บังคมไททูลสารกระษัตรา ฯ |
๏ ปางท้าวกรดสุริกาลชาญสมร |
โฉมมณีอัมพรเสน่หา |
องค์ยี่สุ่นสุมาลีศรีสุดา |
ก็โศกากำสรดระทดทรวง |
พร้อมสนมกรมนางสล้างสลอน |
บทจรออกจากพระวังหลวง |
ทรงที่นั่งทั้งสามตามกระทรวง |
ลินลาศล่วงถึงองค์พระทรงชัย |
เห็นพระองค์ทรงภพสลบนึ่ง |
กับศพมิ่งสมรมิตรพิสมัย |
ผวาเข้ากอดองค์พระทรงชัย |
สะอื้นไห้เกลือกองค์ลงกลางดิน |
พระสุรเสียงกันแสงก็แห้งเหือด |
พระพักตร์เผือดเพิ่มพูนอาดูรดิ้น |
สลบหลับกับองค์พงศ์นรินทร์ |
สองยุพินก็สลบสลับเคียง |
สาวสนมกรมในร้องไห้แซ่ |
ดั่งเสียงแตรกังสดาลประสานเสียง |
ล้มระเนนเอนกายอยู่รายเรียง |
สลบเพียงจะพินาศนิราศชนม์ ฯ |
๏ จะกล่าวถึงอาชาวราฤทธิ์ |
สำราญจิตเที่ยวไปในไพรสณฑ์ |
บังเกิดเหตุเภทพาลบันดาลตน |
สยองขนเสียวซ่านสะท้านกาย |
เดินสะท้อนอัสดรสะดุ้งหวาด |
เอะประหลาดเป็นไฉนน่าใจหาย |
ชะรอยองค์ทรงธรรม์จะอันตราย |
ก็ผันผายรีบเหาะระเห็จทะยาน |
แล้วควบเข้าธานีบุรีรัตน์ |
เงียบสงัดทุกปราสาทราชฐาน |
อัสดรร้องถามนายทวาร |
ก็แจ้งการณ์เสร็จสิ้นทุกสิ่งอัน |
มโนมัยดังใจจะขาดเด็ด |
เหาะระเห็จด้วยกำลังดังกังหัน |
มาถึงที่เห็นองค์พระทรงธรรม์ |
เธอกอดศพสาวสวรรค์วิสัญญี |
ทั้งภูวนาถนางมณีนวลหง |
อีกเอกองค์ยี่สุ่นมเหสี |
กำนัลนางพระสนมแลมนตรี |
วิสัญญีดาษดาสุธาดล |
มโนมัยชลนัยน์ลงพรากพราก |
ประหลาดหลากเพ่งพิศคิดฉงน |
ไฉนหนอโฉมฉายจึ่งวายชนม์ |
นฤมลนี้นวลอนงค์ใด |
อันนางนี้ดูดูเหมือนรู้จัก |
ยิ่งพิศพักตร์งามขำก็จำได้ |
อนิจจาแม่เกสรมาบรรลัย |
เหตุไฉนนุชน้องจึ่งต้องฟัน |
สินธพทอดตัวเสือกลงเกลือกกลิ้ง |
โอ้จะทิ้งพี่ไว้ให้โศกศัลย์ |
พี่สู้ยากกับองค์พระทรงธรรม |
มาพบกันแก้วตาก็มาตาย |
โอ้พระทองสองศรีของพี่เอ๋ย |
ไม่แจ้งเลยเป็นไฉนนี่โฉมฉาย |
ไม่อยู่แล้วม้าแก้วจะสู้ตาย |
ก็ทอดกายหมอบซบสลบลง |
น่าสงสารกระษัตราวราราช |
อนงค์นาฏทรามสงวนนวลหง |
อนาถนิ่งกลิ้งทอดระทวยองค์ |
ดูดั่งดงกัทลีเมื่อลมพาน ฯ |
๏ ปางนั้นเทพดาวลาหก |
แสนวิตกพิศวงด้วยสงสาร |
ให้เมฆมิดปิดแสงพระสุริย์การ |
โพยมมานพายุพยับพราย |
พระพิรุณฟุ้งฟ้าเป็นฟองฝอย |
ละอองย้อยหยัดหยาดไม่ขาดสาย |
วายุหวนม้วนหอบเกสรปราย |
กลิ่นกระจายหอมชื่นระรื่นรส |
สี่กระษัตริย์ต้องอำมฤครื่น |
ก็ค่อยฟื้นกายาขึ้นมาหมด |
ทั้งพญาอาชาม้าพยศ |
อำมาตย์หมดสาวสนมก็สมประดี ฯ |
๏ พระทรงฤทธิ์อิศราวราเดช |
ลืมพระเนตรดูศพมเหสี |
ยิ่งกันแสงโศกศัลย์พันทวี |
ประคองศีรษะนางขึ้นวางเพลา |
พระโอรสก็ตื่นสะอื้นอ้อน |
สองพระกรกอดลูกน้อยให้สร้อยเศร้า |
โอ้พ่อดวงนัยนาเวราเรา |
พ่อทูนเกล้าแลดูพระมารดา |
พระทรงศรกรกอดพระลูกรัก |
แล้วผินพักตร์ทูลองค์พระนาถา |
ข้าแต่องค์ทรงฤทธิ์พระบิดา |
นี่กัลยาร่วมรักที่จากกัน |
เจ้าเป็นพราหมณ์ตามมาเป็นข้าอยู่ |
ลูกไม่รู้เข่นฆ่าให้อาสัญ |
ชีวิตลูกวาบวับจะดับพลัน |
ขอทูลลาทรงธรรม์ทั้งสององค์ |
ทูลพลางทางกันแสงเข้ากอดศพ |
พระทรงภพพ่างเพียงจะผุยผง |
พระชนกชนนีทั้งสององค์ |
ก็พลอยทรงกันแสงประโลมพลาง |
พระบิตุเรศว่าพ่อเกศมงกุฎแก้ว |
เป็นกรรมแล้วตามสนองให้หมองหมาง |
พระชนนีว่าเวทนานาง |
นิราศร้างภัสดาอุตส่าห์ตาม |
พระบิตุรงค์ว่าพ่อจงรอรั้ง |
อย่าโศกฟังพจนาบิดาห้าม |
จะกันแสงโศกคัลย์รำพันความ |
อันโฉมงามคู่ชื่นไม่คืนชนม์ |
พระชนนีว่าพ่อศรีสว่างโลก |
จงดับโศกพ่อเร่งบำเพ็งผล |
จะดูดีกว่าที่เทวษทน |
จึ่งเห็นว่ารักนฤมลเฉลิมเมือง |
พระบิตุเรศว่าเป็นเหตุเพราะหุนหวน |
ไม่ใคร่ครวญให้ตระหนักประจักษ์เรื่อง |
จึ่งเสียนางนพคุณแม่บุญเรือง |
แต่พอเคืองก็ด่วนให้ฆ่าพีบ |
พระทรงศักดิ์ฟังสารโองการเสร็จ |
ดั่งจักรเพชรมาพิฆาตขาดสะบั้น |
ให้กริ้วนางพลางทูลสนองพลัน |
มิเพราะนางแจ่มจันทร์หรือจอมไตร |
พึ่งเห็นฤทธิ์นางยี่สุ่นสกุลหงส์ |
น้อยหรือลงโทษพราหมณ์ก็เป็นได้ |
สำออยอ้อนทูลเสนออำเภอใจ |
ไว้ทำไมฟันตามแม่ทรามรัก |
ฉวยพระแสงองค์สั่นจะฟันฟาด |
บิตุราชกอดองค์พระทรงศักดิ์ |
บิดาขอโทษองค์นางนงลักษณ์ |
พระลูกรักมิได้รู้ว่าพราหมณ์นาง |
สำคัญว่าชายชัดสัมผัสต้อง |
ยี่สุ่นน้อยนุชน้องจึ่งหมองหมาง |
ใช่อิจฉาโฉมฉายให้วายวาง |
เจ้าทูลทางพิศวาสบาทบงสุ์ ฯ |
๏ แสนสงสารยี่สุ่นดรุณเรศ |
เจ้าก้มเกศหมายแน่ว่าผุยผง |
ชลนัยน์ไหลซาบลงอาบองค์ |
กันแสงทรงรํ่าไห้พิไรทูล |
พระจอมเกศนัยน์เนตรของน้องแก้ว |
ถ้ารู้แล้วหรือยุพินจะสิ้นสูญ |
เพราะไม่แจ้งว่าสุดาจึ่งอาดูร |
นเรนทร์สูรเล่าก็หมายว่าชายจริง |
อันเจ้าพราหมณ์เป็นชายแต่ภายนอก |
จึ่งย้อนยอกด้วยวิสัยเป็นใจหญิง |
อนิจจาน่าน้อยนํ้าใจจริง |
แม่ยอดมิ่งจอมขวัญมาบรรลัย |
ใช่จะใส่โทษพราหมณ์ด้วยความเท็จ |
สุดจะเด็ดดวงจิตถวายได้ |
ขอเทเวศที่เศวตฉัตรชัย |
จงเห็นใจแจ้งจริงในสิ่งความ |
ได้ยกโทษนางทูลเป็นทางแค้น |
ด้วยหมายแม่นว่าชายมาหยาบหยาม |
ชีวิตน้องขอถวายจะตายตาม |
พระโฉมงามฟันน้องให้มรณา ฯ |
๏ พงศ์กระษัตริย์ขัดแค้นแสนพิโรธ |
ล้วนแต่โทษเจ้าไม่ผิดไม่อิจฉา |
ใครจะรู้เท่าทันในปัญญา |
ช่างเจรจาองอาจประมาทเรา |
ไยจึ่งอ้างเทวัญในชั้นกลาง |
แม่จงอ้างเอาพระอินทร์เป็นไรเล่า |
นี่หากเกรงบิตุรงค์ดอกนงเยาว์ |
หาไม่เกล้าก็จะกลิ้งอยู่กลางทาง |
ตรัสพลางทางนองพระชลเนตร |
ประคองเกศเกสรให้หมองหมาง |
สะอื้นไห้โหยหวนถึงนวลนาง |
โอ้จะร้างพี่แล้วหรือแก้วตา |
เพราะพี่จึ่งพระยุพินสิ้นชีวิต |
จะน้อยจิตผัวรักนี้หนักหนา |
พี่ไม่แจ้งว่าเจ้าแปลงเป็นพราหมณ์มา |
สำคัญว่าสายสวาทเป็นชาติพราหมณ์ |
ไยไม่เล่าพี่เลยแม่ยอดหญิง |
ที่สัตย์จริงกริ่งใจได้ไถ่ถาม |
โอ้สมรมิ่งมิตรมาปิดความ |
รักษางามสงวนกายจนวายชนม์ |
เสียดายนุชสุดสายสวาทพี่ |
คู่ชีวีร่วมไร้ในไพรสณฑ์ |
เมื่อยามยากเห็นหน้าประสาจน |
นฤมลเวียนทูลชะอ้อนวอน |
เมื่อไรจะถึงธานินทร์พระปิ่นเกล้า |
จะได้เฝ้าบิตุรงค์พระทรงศร |
ไม่ทันเห็นบิตุเรศพระมารดร |
ดวงสมรแม่มาม้วยชีวาวัน |
โอ้เจ้าดวงชีวีของพี่เอ๋ย |
ไม่ควรเลยแก้วตาจะอาสัญ |
ให้ตบตีโฉมงามนี้ครามครัน |
สารพันที่จะทำทั้งจำจอง |
อันชายใดที่จะชั่วเหมือนตัวพี่ |
แสวงหามเหสีเป็นเพื่อนสอง |
ครั้นพบพักตร์ไม่รู้จักว่าคู่ครอง |
กลับมาฆ่านิ่มน้องน่าน้อยใจ |
พี่ฆ่าแม่แล้วไม่อยู่จะสู้ม้วย |
มารับด้วยดวงจิตพิสมัย |
พี่พูดด้วยพุ่มพวงแม่ดวงใจ |
เป็นไรไม่พาทีด้วยพี่เลย |
แม่งามปลื้มลืมเนตรขึ้นดูพี่ |
อย่าโศกีเศร้าหมองเลยน้องเอ๋ย |
พี่ขอเชิญโฉมงามแม่ทรามเชย |
ไปเสวยไอศวรรย์เถิดขวัญตา |
ยุบลเมืองแม่ยังเคืองไม่คืนเข้า |
จะพาเจ้ายาจิตขนิษฐา |
ไปเฝ้าองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา |
ยังพาราณสีบุรีเรา |
พี่ผิดแล้วแก้วพี่ไม่มีผิด |
จะควรคิดเคืองแค้นสักแสนเท่า |
พี่ขอโทษโฉมยงแม่นงเยาว์ |
ขอเชิญเจ้าไปเป็นจอมกระหม่อมนาง |
ลุกขึ้นเถิดพระยุพินปิ่นสนม |
มาบรรทมที่ละอองจะหมองหมาง |
พิไรวอนข้อนทรวงไม่วายวาง |
สะอื้นพลางทางตรัสกับอัสดร |
พี่ม้าแก้วแต่แว่วแสวงหา |
มาดูหน้าน้องทิพเกสร |
ไมรู้เลยหลงฆ่าพะงางอน |
โอ้พี่อัสดรของน้องอา |
สินธพทูลว่าพระจอมกระหม่อมเอ๋ย |
กระไรเลยทรงศักดิ์ไม่ปรึกษา |
นางโฉมตรูมาอยู่ในพารา |
ข้าอาชามิได้แจ้งประจักษ์ใจ |
นวลละอองพระมิได้อาลัยเลี้ยง |
ผิดแต่เพียงนี้สิยังต้องตักษัย |
มิได้แจ้งกิจจาอาชาไนย |
นํ้าพระทัยลืมข้าบาทมูล |
เป็นกระษัตริย์ตรัสความไม่งามสม |
ยามภิรมย์ราไชยมไหศูรย์ |
มาฆ่าองค์อัคเรศเกศตระกูล |
เหมือนพระทูนเกล้าแกล้งให้ฟอนฟัน |
แม่นงนุชสุดสิ้นชีวิตแล้ว |
ข้าม้าแก้วทูลลาจะอาสัญ |
อย่าเลี้ยงเลยภูวนาถจงฟาดฟัน |
ขอตายตามแจ่มจันทร์แม่ดวงใจ |
พระทรงศรกรกอดพี่ม้าแก้ว |
ได้ผิดแล้วเป็นกรรมจะทำไฉน |
พี่อาชาฆ่าฉันให้บรรลัย |
สองพิไรเศียรซบสลบลง ฯ |
๏ พระชนกชนนีก็ตีอก |
ตื่นตระหนกหวาดจิตพิศวง |
อุ้มสัมผัสหัตถ์ต้องประคององค์ |
ยิ่งโศกทรงกันแสงสะอื้นครวญ |
ดำรัสเรียกนํ้าหอมกระออมแก้ว |
วิไลแล้วปนปรุงจรุงหวน |
พรมชโลมโซมจันทน์ยิ่งรัญจวน |
รสรำเพยเชยชวนพระชนม์คืน |
กรุงกระษัตริย์กับอัสดรเดช |
ต้องวาเรศประพรมอารมณ์รื่น |
โศกสว่างสร่างสมประดีคืน |
ทั้งสองฟื้นฟายชลนานอง |
พระบิตุรงค์ปลอบองค์โอรสราช |
สายสวาทจงบรรเทาอย่าเศร้าหมอง |
เราเชิญศพทรามสงวนนวลละออง |
ได้ตรึกตรองคิดถวายพระเพลิงพลัน ฯ |
๏ ลักษณวงศ์ทรงฟังบิตุเรศ |
วายเทวษสร่างโศกกันแสงศัลย์ |
วางพระเศียรกัลยาสุดาจันทร์ |
ประภาษพลันพลางสั่งเสนาใน |
จงจัดโกศรองเรืองทั้งเครื่องครบ |
เชิญพระศพดวงจิตพิสมัย |
เสนารับอภิวันท์แล้วครรไล |
ก็เร่งรีบเร็วไวเข้าในวัง |
จัดพระวอพรรณรายอันพรายแพร้ว |
ทั้งโกศแก้วเครื่องแห่แลแตรสังข์ |
วิ่งสล้างวางสลอนออกจากวัง |
ก็ไปยังสนามพระศพนาง |
เชิญพระศพโฉมยงลงพระโกศ |
ใส่วอโชติเพชรรัตน์ฉวัดฉวาง |
กลองชนะครุมโครมประโคมพลาง |
ดุริยางค์แตรสังข์ประดังกัน |
ส่วนพระยอดสงสารกุมารน้อย |
สนมคอยเข้าถนอมพระจอมขวัญ |
สถิตที่อันลออวอสุวรรณ |
พระวอนั้นนำวอพระชนนี |
ข้างหลังโกศวออัยการาช |
แล้ววออาสน์องค์อัยกีศรี |
แล้วที่นั่งหริรักษ์พระจักรี |
แล้ววอสีนพคุณยี่สุ่นทรง |
เสียงครึมครึมแตรสังข์ประดังเสียง |
ระยะเรียงวอตามงามระหง |
ครั้นถึงวังพรั่งพร้อมพระญาติวงศ์ |
เชิญพระโกศโฉมยงเข้าปรางค์ทอง |
ทั้งแตรสังข์ดังสนั่นเนียรนาท |
ทั้งปี่พาทย์มโหระทึกก็กึกก้อง |
มนตรีรายรอบเรียงเคียงประคอง |
เชิญพระศพนวลละอองออกสรงชล |
สี่กระษัตริย์ทรงถือกระออมอบ |
อาบพระศพขวัญเมืองด้วยเครื่องต้น |
ระรื่นกลิ่นเสาวรสระคนปน |
จอมสกลชลเนตรนั้นนองเนือง |
เอาอาภรณ์พื้นเพชรเฉลิมภพ |
ให้พระศพโฉมยงเจ้าทรงเครื่อง |
พระปิ่นโลกโศกศัลย์ไม่บรรเทือง |
พระทรงเครื่องคั่งคับระยับองค์ |
ประโลมแก้วกานดายุพาพักตร์ |
ขอเชิญเจ้าเยาวลักษณ์นวลหง |
บรรทมในโกศสุวรรณอันบรรจง |
พี่จะแอบข้างองค์ทุกคืนวัน |
กันแสงสั่งให้เชิญพระศพน้อง |
ลงโกศทองพรรณรายอันฉายฉัน |
ยกประเทืองขึ้นบนแท่นสุวรรณพลัน |
ให้รายชั้นแต่งตั้งต้นไม้ทอง |
เครื่องประดับอภิรุมชุมสาย |
ให้เรียงรายเรียบกั้นเป็นชั้นช่อง |
ตั้งปทุมพุ่มกอพนมกอง |
ดูเรืองรองเทียนเรียงประทีปราย |
เพดานเกลื่อนพวงภู่อุบะกลาด |
อัจกลับประดับดาษวิเชียรฉาย |
วิสูตรทองรองเรืองประเทืองพราย |
ให้สอดสายฉากเวียนฉวัดวง |
แล้วแต่งนางนวลละอองมาร้องไห้ |
รํ่าพิไรเรื่องความตามประสงค์ |
ดนตรีแตรสังข์พร้อมให้ล้อมวง |
สำหรับคุมประโคมองค์ทุกยามตี |
แล้วแจกหมายต่อต่อเป็นข้อขัน |
ประกาศกันโกนเกล้าทั้งกรุงศรี |
แสนสงสารสาวสาวเมื่อคราวนี้ |
จะเศร้าศรีเสียผมให้ตรมใจ |
ปรึกษานางเพื่อนเรือนเจ้าเพื่อนรัก |
อกจะหักแล้วจะทำอย่างไรได้ |
ห้าตำลึงแม้เขาจะเอาไป |
ถ้าคุ้มได้แล้วหนอไม่ขอเลย |
อย่าน้อยใจนั่งคิดให้จิตเจ็บ |
รักษาเล็บไว้ให้ยาวเถิดเจ้าเอ๋ย |
ทับทิมเพลาะซัดเข้าอย่าเบาเลย |
แป้งชะมดชดเชยก็พอชม |
ซังตายว่าข้าวิตกอกจะแตก |
เขาโกนแกรกใจหายเสียดายผม |
นํ้าตากับน้ำชุบเป็นเกลียวกลม |
ทำพูดถมโทษมีดว่าเจ็บจริง |
ครั้นยามค่ำสนธยาภาณุมาศ |
ไปปราสาทพรั่งพร้อมล้วนหม่อมหญิง |
เข้านั่งเรียงร้องไห้ใจประวิง |
บ้างร้องจริงสงสารด้วยกานดา |
ที่ซังตายทำร้องทำนองครั่น |
เห็นเพื่อนกันโศกซมก็ก้มหน้า |
หัวร่อปลอมเอาหอมขยี้ตา |
ทำปากอ้าร้องโอ้พระโพธิ์ทอง |
เสียงร้องไห้โศกศัลย์อยู่ซั้นแซ่ |
ทั้งเสียงแตรกังสดาลประสานก้อง |
สีซอสีสอดเสียงสำเนียงกลอง |
ปี่พาทย์ฆ้องปี่ชวาวิเวกวัง ฯ |
๏ ส่วนพระจอมหลักโลกยิ่งโศกเศร้า |
เสด็จเข้าเคียงโกศไม่วายหวัง |
ชักวิสูตรรูดรายพระฉายบัง |
พิลาปหลั่งชลเนตรลงเนืองนอง ฯ |
๏ เปิดพระโกศมิ่งมิตรพิศพักตร์ |
โศกสลักทรวงในฤๅทัยหมอง |
สะอื้นอ้อนกรกอดพระโกศทอง |
ชลเนตรตกต้องพระปรางนาง |
เอาผ้าทรงลงซับชลเนตร |
ภูวเรศมิได้คิดอางขนาง |
ละห้อยโหยโรยแรงกันแสงพลาง |
โอ้ว่าปรางแม่ยังอุ่นละมุนมือ |
พระน้องนิ่งอยู่ไยในพระโกศ |
ยังคุมโทษโกรธเกรี้ยวอยู่เจียวหรือ |
แม่อย่าให้ชาวเมืองเขาเลื่องลือ |
ประจานชื่อพี่ชั่วไปทั่วทิศ |
เชิญพระน้องไปบรรทมปัจถรณ์ |
พี่จะนอนอิงแอบแบบสนิท |
เสียแรงพี่อ้อนวอนสมรมิตร |
แม่ดวงจิตมิได้ลืมพระเนตรแล |
เสียดายนางช่างงามเมื่อยามรัก |
พิศพักตร์ผ่องเพียงจะเคียงแข |
วันนี้เศร้าศรีสวัสดิ์วิบัติแปร |
พระพักตร์แพ้จันทร์เพ็งไม่เปล่งนวล |
น้ำพระทัยนุชนาฏสวาทพี่ |
แต่แรกรุ่นดรุณีศรีสงวน |
พี่เข้าเคียงงามชื่นทุกคืนชวน |
เจ้าหยิกข่วนพี่ไม่บอกพระอัยกา |
เมื่อยามจากจอมมิตรขนิษฐนาฏ |
ไปตามราชชนนีผู้นาถา |
แม่ทอดองค์ลงทรงพระโศกา |
เฝ้าวอนว่าพระนักสิทธ์จะติดตาม |
พระดาบสปลอบน้องอย่าร้องไห้ |
ยิ่งพิไรโศกสั่งไม่ฟังห้าม |
ช่างชะอ้อนวอนวิงทุกสิ่งความ |
แม่โฉมงามแสนสุดสวาทเรียม |
ปางประสบชนนีศรีพิภพ |
สำเร็จรบหมู่มารอันหาญเหี้ยม |
พี่คิดถึงทรามชมให้กรมเกรียม |
กลับมารับงามเสงี่ยมก็พบกัน |
โอ้แต่นี้ปางใดจะได้พบ |
แม่งามลบตัดช่องไปสวรรค์ |
นํ้าพระทัยแก้วตาสุดาจันทร์ |
สารพันมิได้ช้ำระกำใจ |
จะหางามสามภพตลบหา |
จะหาเหมือนแก้วตาพอหาได้ |
จะหาจิตเหมือนนุชนี้สุดใจ |
หาทั้งไตรโลกีไม่มีปาน |
ปางดำเนินเดินป่าพนาสณฑ์ |
ประสาจนปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
เห็นบุปผาพวงชัดระบัดบาน |
ยุพาพาลทูลถามนามกร |
พี่บอกแล้วงามขำก็ซํ้าถาม |
แม่แย้มเย้ายวนความสโมสร |
เห็นวิหคต่างต่างที่ทางจร |
ก็วิงวอนถามนามสกุณา |
พี่แกล้งเชือนเบือนบอกให้ผิดชื่อ |
ก็หยิกยื้อคมเนตรให้เชษฐา |
โอ้วันนี้เป็นไฉนเจ้าไฉยา |
ไม่เจรจาชักชวนให้ชื่นใจ |
เมื่อยามร้อนเรานอนที่เนินผา |
แม่เอาใบพฤกษามาพัดให้ |
เมื่อยามหนาวแนบข้างไม่ห่างไกล |
พี่เคยได้รับขวัญทุกวันคืน |
โอ้วันนี้นิ่มนุชสุดสวาท |
ไม่ร่วมอาสน์เคียงเขนยให้เชยชื่น |
มาทิ้งให้โศกสุดจะกลํ้ากลืน |
จะขัดขืนเคืองแค้นไม่ควรเลย |
พี่สู้ทิ้งธานินทร์พระปิ่นเกศ |
เพราะเป็นห่วงดวงเนตรนะน้องเอ๋ย |
มากลับฆ่าคู่ชมภิรมย์เชย |
ผู้ใดเลยเขาจะชมว่าเชื้อชาย |
จะแบกหน้าพาชั่วไปเวียงไชย |
เขารู้ไปว่าพี่ฆ่านางโฉมฉาย |
จะเลื่องชื่อลือชั่วจนตัวตาย |
สุดจะบ่ายบากหน้าไปหาใคร |
มิขอคืนเวียงไชยให้ใครหยาม |
จะตายตามมิ่งมิตรพิสมัย |
สงสารจอมจักรพงศ์ผู้ทรงชัย |
สะอื้นไห้กอดโกศไม่วางกร |
ขืนอารมณ์ข่มโศกเสด็จกลับ |
ยิ่งทุกทับหฤทัยสะท้อนถอน |
ระทวยองค์ทรงยืนไม่ย่างจร |
แล้วหวนย้อนมาเปิดพระโกศมอง |
จะคลาไคลแล้วมิใคร่จะคลาดแคล้ว |
จนไก่แก้วแจ้วขันสนั่นก้อง |
แสงหิรัญรุ่งเรื่อขึ้นเรืองรอง |
ท้าวยังครองเทวษครันไม่บรรทม |
สิบห้าวันรุ่งสว่างอยู่อย่างนี้ |
ไม่พาทีถามทักนักสนม |
ไม่แต่งองค์สรงเสวยไม่เชยชม |
มีแต่ตรมตรึกรํ่าระกำตรอม |
เฝ้าอุ้มองค์โอรสากุมาเรศ |
แสบเทวษจนพระกายนั้นผ่ายผอม |
นักสนมนางท้าวทั้งเจ้าจอม |
ก็พลอยตรอมเหงาเงียบสงัดวัง ฯ |
๏ พระนรินทร์ปิ่นเมืองเรืองพระยศ |
แสนกำสรดถึงพระนุชนั้นสุดหวัง |
ครั้นโศกศัลย์บรรเทาเบาประทัง |
เสด็จยังท้องพระโรงอันเรืองพราย ฯ |