- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
๏ จะกลับกล่าวถึงท้าววิรุญมาศ | เมื่อไสยาสน์หลับใหลในราชฐาน |
ครั้นสุริย์ฉายสายส่องโพยมมาน | กุมภัณฑ์พาลฟื้นกายค่อยคลายมนตร์ |
ทั้งสาวสรรค์แสนสุรางค์ในปรางค์มาศ | ต่างประหลาดหลากจิตคิดฉงน |
วิสูตรกั้นชั้นในไพชยนต์ | เป็นรอยคนฟันขาดประหลาดใจ |
ก็จอแจแซ่เสียงนางสาวสรรค์ | ท้าวกุมภัณฑ์เพ่งพิศคิดสงสัย |
ให้ดูนางโฉมฉายก็หายไป | เสียพระทัยท้าวระทดระทวยกาย |
แล้วลินลามายังห้องนางโฉมยง | ไม่เห็นองค์อรไทยิ่งใจหาย |
ทั้งความรักความแค้นแสนเสียดาย | ทอดพระกายลงบนแท่นนางกัลยา |
ยิ่งคิดยิ่งอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา |
ชิไฉนใครหนอบังอาจมา | สะกดพาสายสวาทไปจากวัง |
หรือลูกนางเทวีมันมีฤทธิ์ | มาตามติดแก้ไขเหมือนใจหวัง |
เหลือบเห็นสารที่บานพระแกลบัง | ให้แค้นคั่งอ่านตามเนื้อความมี ฯ |
๏ ในสาราว่าพระกาลมาผลาญยักษ์ | ชื่อพระลักษณวงศ์อันเรืองศรี |
มารับองค์พระมารดาในราตรี | ให้ยักษีเร่งยกโยธาตาม |
ไปทางทิศบูรพาป่าระหง | ให้สิ้นโคตรญาติวงศ์ไม่เข็ดขาม |
จะคอยรับสัประยุทธ์ในสงคราม | แม้มิตามจะมาล้างให้วางวาย ฯ |
๏ พอจบสารอ่านสิ้นให้แสนแค้น | กระทืบแท่นดั่งฟ้าคะนองสาย |
โอ้ลูกเท่าขี้ตามาท้าทาย | กูนี้หมายว่าใครที่ไหนมา |
จะตามล้างเสียให้วางชีวาวาตม์ | แล้วจากอาสน์ออกพระโรงท้าวยักษา |
สิงหนาทประกาศสั่งแก่เสนา | จงกรีธาพลมารชาญสงคราม |
ให้เร่งรัดจัดกันให้ทันแค้น | สักสิบแสนที่ชำนาญชาญสนาม |
อำมาตย์มารฟังสารรับสั่งความ | มาเกณฑ์ตามเทวราชขึ้นฆาตกลอง |
เภรีดังกังสดาลสะท้านเสียง | สนั่นเพียงโลมหังส์[๑]หนังสยอง |
พลพฤนท์ยินเสียงสำเนียงกลอง | ก็กึกก้องเกลื่อนกลาดมากลางแปลง |
ธรณินดินฟ้าโกลาหล | สุริยนอ่อนอับพยับแสง |
ล้วนเหี้ยมหาญชาญฤทธิเริงแรง | สองมือแกว่งสาตราแลอาวุธ |
ทั้งแหลนหลาวง้าวทวนธนูศร | กั้นหยั่นโล่โตมรอุตลุด |
ล้วนเริงร่านการณรงค์จะยงยุทธ์ | ฤทธิรุทรกัดกรามคำรามรณ |
เกณฑ์สลับทัพหลวงแลทัพหน้า | ทั้งปีกซ้ายปีกขวาดังห่าฝน |
เป็นหมู่หมวดตรวจเตรียมอลวน | สลับพลเข้าเป็นกระบวนทัพ |
พลหน้าดาดาษล้วนดาบดั้ง | พลหลังล้วนปืนยืนขยับ |
พลเขนเกณฑ์แซงทแยงรับ | พลหอกกลอกกลับแล้วแกว่งโยน |
พลทวนล้วนขี่สินธพชาติ | ดูองอาจเข้าศึกสะอึกโผน |
บ้างขี่แพะเลียงผาถลาโจน | กระโดดโดนกับมาพลางกลางสงคราม |
ได้สิบแสนแน่นนั่งอยู่คั่งคับ | จะคอยรับอสุราหน้าสนาม |
ผูกพญาคชสารชาญสงคราม | ตระหง่านงามแกล้วกล้าสองงาเงย |
งวงขยับจับหอกจะออกศึก | คอยสะอึกเอาชัยจะไสเสย |
ยืนทะยานไม่สะท้านชำนาญเคย | มาเทียบเกยคอยเสด็จท้าวกุมภัณฑ์ |
อันโยธาหน้าหลังก็เสร็จสรรพ | มนตรีกลับมาทูลขมีขมัน |
ข้าเกณฑ์พวกพลรบไว้ครบครัน | จะผายผันยาตราเวลาใด |
พณาสูรฟังทูลว่าเสร็จสรรพ | เสด็จกลับเข้าปราสาทอันสุกใส |
ก็เป็นลางกุมภัณฑ์จะบรรลัย | ให้อ่อนใจเซล้มลงกลางปรางค์ |
นางสาวสรรค์กัลยาบรรดาหญิง | ก็หวีดวิ่งเข้าประคองทั้งสองข้าง |
ท้าวกุมภัณฑ์พรั่นกายเพียงวายวาง | สารพางค์สั่นระรัวดังตีปลา |
แล้วแข็งจิตคิดไปใจจะขาด | โอ้ประหลาดมาเป็นลางหลากหนักหนา |
การณรงค์เห็นคงจะอัปรา | ท้าวยักษาแสนสลดระทดใจ |
พิศดูสาวสรรค์กำนัลนาฏ | วิรุญมาศอสุรานํ้าตาไหล |
ฝ่ายสนมกรมนางทั้งปรางค์ใน | ก็ร้องไห้แซ่เสียงด้วยโศกี[๒] |
พญามารลานโลมนางสาวสรรค์ | อย่าโศกาจาบัลย์จงฟังพี่ |
จะเป็นลางกลางณรงค์เมื่อราวี | ศึกเพียงนี้ยังไม่เป็นไรนัก |
แต่นาคครุฑภุชงค์อันองอาจ | ยังขยาดย่นย่อไม่ต่อศักดิ์ |
อยู่รักษาปรางค์ทองเถิดน้องรัก | แล้วขุนยักษ์ทรงเครื่องอันเรืองพราย |
ทั้งเกราะนวมสวมใส่สังวาลรัตน์[๓] | พาหุรัด[๔]ทับทรวงประดับสาย |
มงกุฎเก็จเพชรแจ่มแวมกระจาย | ดูแพรวพรายพร่างพร่างกระจ่างตา |
พระหัตถ์ซ้ายกรายแกว่งพระแสงศร | คทาธรทรงข้างพระหัตถ์ขวา |
พระขรรค์ขัดรัดองค์อลงการ์ | ออกยืนหน้าเกยแก้วกุญชรชัย |
ทั้งเถ้าแก่แซ่ซ้องนางสาวสรรค์ | มาพร้อมกันส่งเสด็จอยู่ไสว |
ช้างที่นั่งประทับกับเกยชัย | พลไกรตระเตรียมกุมสาตรา |
พญายักษ์หนักจิตให้คิดขาม | จึงตรัสถามโหรครูรู้ฤกษ์ผา |
อันไพรีหนีกูไปบูรพา | จะกรีธาทัพตามปัจจามิตร |
จะขัดข้องหรือจะคล่องไม่แคล้วคลาด | โหราราชจงแสดงให้แจ้งจิต |
โหรบังคมก้มกราบพระทรงฤทธิ์ | แล้วคูณคิดตามโชคโฉลกวัน |
ปีมะเส็งเดือนเก้าเป็นคราวเคราะห์ | ถูกจำเพาะทิพมาสจะโศกศัลย์ |
แรมสบสามค่ำสงัดพฤหัสวัน | แจ้งสำคัญเคราะห์กรุงกระษัตรา |
จึ่งยอกรอ่อนอุตมางค์เกล้า | พระเคราะห์ท้าวถึงสิ้นพระชันษา |
ด้วยตกศูนย์คูณต้องชาดชะตา | จงรอราหยุดยั้งระวังองค์ |
อันไพรีมีฤทธิ์เขาคอยรบ | ตามจะพบกันที่ในไพรระหง |
จะเสียทัพอัปรากลางณรงค์ | เป็นมั่นคงคำข้าโหราทาย ฯ |
๏ ปางอสุรินทร์ปิ่นภพพณาสูร | ได้ฟังทูลคำโหรพระทัยหาย |
ทั้งเป็นลางเห็นถูกกับโหรทาย | ระทวยกายอยู่บนเกยระกำใจ |
กอดพระหัตถ์ทัศนาบรรดาสนม | เคยเชยชมแนบชิดพิสมัย |
โอ้ตัวตายแล้วจะวายสวาทไป | ชลนัยน์คลอเนตรเจ้ากรุงมาร |
แต่อาลัยสาวสรรค์มิทันหาย | ซํ้าเสียดายปรางค์มาศราชฐาน |
ดูละม้ายเมืองแมนแดนวิมาน | แก้วประพาฬมรกตทับทิมแกม |
ดูเฉิดฉายลายจำลองทองจำหลัก | พรหมพักตร์ยอดปรางค์สล้างแหลม |
เราบรรลัยใครเลยจะซ่อมแซม | จะโรยแรมรักร้างไปห่างเวียง[๕] |
เสียดายวังทั้งท้องพระโรงรื่น | เคยครึกครื้นแตรสังข์ประดังเสียง |
เคยนั่งแท่นพร้อมแสนสุรางค์เรียง | อำมาตย์มารหมอบเมียงอยู่มากมูล |
ดุริยางค์วังเวงดังเพลงสวรรค์ | เราอาสัญสารพัดจะขาดสูญ |
ทั้งสาวสรรค์เสนาจะอาดูร | จะเพิ่มพูนทุกข์เทวษทุกวันคืน |
เสียดายแต่บัลลังก์ที่นั่งเย็น | เคยนั่งเล่นลมเฉื่อยระเรื่อยรื่น |
จะสูญสิ้นโศกเศร้าไม่ยาวยืน | ไม่ครึกครื้นแฝกแขมขึ้นแซมรก |
ยิ่งเศร้าหมองตรองตรมอารมณ์ตรึก | คะนึงนึกแล้วก็น่านํ้าตาตก |
โอ้นับวันแล้ววังจะร้างรก | ใครจะยกเมืองยักษ์เห็นสุดคิด |
เสียดายวังแล้วยังเสียดายยศ | ครั้นจะงดสงครามมิตามติด |
ก็อับอายเทวาสุราฤทธิ์ | ทศทิศก็จะหมิ่นประมาทพลอย |
เมื่อถึงกรรมจำวายชีวาวาตม์ | เป็นชายชาติช้างงาไม่ราถอย |
ขึ้นทรงคอคชสารตระหง่านลอย | พยุหะคอยโห่ลั่นขึ้นสามลา |
ได้ฤกษ์ดีตีฆ้องพิชัยฤกษ์ | ท้าวก็เลิกกองทัพขึ้นเวหา |
อากาศกลุ้มคลุ้มมืดในเมฆา | ทั้งดินฟ้าเลื่อนลั่นสนั่นบน |
ยมนาสาครบรรเลงคลื่น | มัจฉาตื่นกลอกกลับอยู่สับสน |
พญายักษ์ทรงช้างมากลางพล | ก็เกลื่อนกล่นกลาดกลุ้มในเมฆี |
ออกจากเมืองมยุราถึงป่าชัฏ | ทุกสิงสัตว์ซอกซอนสัญจรหนี |
ต้นยูงยางกลางดงเป็นผงคลี | พวกยักษีแผลงฤทธิ์นิมิตกาย |
บ้างเข่นเขี้ยวเคี้ยวกรามคำรามเสียง | ดังเปรี้ยงเปรี้ยงเหมือนอสนีคะนองสาย |
สาตราแกว่งแสงปลาบวะวาบพราย | พลนิกายรีบไปในอัมพร |
เที่ยวค้นคว้าหาไปในไพรสัณฑ์ | มาเกือบใกล้เขาประจันตสิงขร |
จะกล่าวถึงหน่อกระษัตริย์กับอัสดร | ขึ้นหยุดหย่อนอยู่บนยอดคิรีวัน |
เห็นมืดกลุ้มคลุ้มมาในอากาศ | ดูเกลื่อนกลาดกลบแสงพระสุริย์ฉัน |
กระหี่มเสียงเพียงลมสลาตัน | ก็หมายมั่นแม่นแท้ว่าทัพชัย |
บอกพญาม้าทรงอันองอาจ | วิรุญมาศยกมาหรือไฉน |
ม้าที่นั่งฟังสารแล้วแลไป | เห็นธงชัยริ้วริ้วเป็นทิวมา |
จึงทูลลักษณวงศ์ผู้ทรงโฉม | กลางโพยมโน่นยักษ์มาหนักหนา |
ริ้วริ้วทิวธงมันตรงมา | อสุรานับแสนแน่นอัมพร |
จงเตรียมองค์ทรงเครื่องอาวุธไว้ | ประเดี๋ยวใจมันจะมาถึงสิงขร |
พระฟังเตือนเยื้อนยิ้มกับอัสดร | แล้วทรงศรพระขรรค์อันฤทธี |
ขึ้นพญาม้าทรงอันองอาจ | เผ่นผงาดยืนยอดคิรีศรี |
ไม่หวาดหวั่นพรั่นใจด้วยไพรี | จะต่อตีกุมภัณฑ์ประจัญบาน ฯ |
๏ ฝ่ายทหารทัพหน้าพญายักษ์ | ไม่หยุดพักรีบไปในไพรสาณฑ์ |
แลเห็นหน่อกระษัตราอาชาชาญ | ยืนทะยานเหยียบยอดคิรีวัน |
ก็โห่ร้องเรียกกันอุตลุด | ปะมนุษย์แล้วระวังให้กวดขัน |
ทั้งทัพหน้าทัพหลังประดังกัน | ก็ล้อมรอบเขาประจันตคิรี ฯ |
๏ ฝ่ายพญาอสุราวิรุญมาศ | เผ่นผงาดมาถึงยอดคิรีศรี |
แลเห็นหน่อกระษัตรากับพาชี | อสุรีจำแน่ว่าลูกนาง |
ให้แหวกทัพขับช้างเข้ามาใกล้ | ดีพระทัยตบพระหัตถ์อยู่ผางผาง |
แกล้งปราศรัยไถ่ถามเนื้อความพลาง | ไหนเล่านางที่เจ้าไปพามา |
นิจจาเจ้าเบาใจกระไรหนอ | เสียแรงพ่อปลงรักเป็นหนักหนา |
หรือน้อยใจว่าเข้าไปถึงพารา | พ่อไม่มารับตามประเพณี |
เมื่อหลับอยู่มิได้รู้จริงจริงเจ้า | อย่าโศกเศร้าขัดข้องให้หมองศรี |
ขอเชิญแก้วแววตาไปธานี | อย่าราคีคิดแคลงระแวงความ ฯ |
๏ ปางพระลักษณวงศ์ได้ทรงฟัง | ให้แค้นคั่งตรัสตอบด้วยหยาบหยาม |
ว่าเหวยเหวยอสุราไอ้บ้ากาม | ช่างลวนลามพูดจาหน้าไม่อาย |
พระชนนีมีศักดิ์ดั่งเหมราช | มึงเหมือนชาติเช่นกาอย่ามาหมาย |
แต่บาทาหน้ามึงมิได้กราย | ไม่มีอายอาจเอื้อมอหังการ์ |
มึงถึงกรรมจำตายวันนี้แล้ว | พระขรรค์แก้วกูจะตัดเอาเกศา |
อีกแสนโกฏิโคตรมึงเร่งขับมา | อสุรามิได้รอดไปเมืองมาร ฯ |
๏ ปางพญาอสุรินทร์ได้ยินคำ | ให้เจ็บช้ำหฤทัยดั่งไฟผลาญ |
ตวาดก้องร้องเหม่ไอ้สามานย์ | จองหองหาญฮึกเหี้ยมไม่เจียมตน |
เมื่อเล็กเล็กสักเท่าเล็นทำเข่นเขี้ยว | ดูแรงเรี่ยวเหมือนแมงวัน[๖]ไม่คันขน |
พลางสั่งทัพขับพวกกุมภัณฑ์พล | โจมประจญจับตัวกุมารา |
พลมารผลาญแผลงสำแดงฤทธิ์ | กระชั้นชิดแล่นโลดโดดถลา |
เสียงพิลึกกึกก้องเป็นโกลา[๗] | กุมาราทรงพระขรรค์เข้าฟันฟอน |
เสียงฉับฉาดฟาดซ้ำเข้าเฉาะฉะ | ตายระดะกลาดกลิ้งริมสิงขร |
บ้างหันเหเซล้มระเนนนอน | อัสดรโดดขึ้นโพยมบน |
ยักษ์กระโจมโถมไล่ตะลุมล้อม | เข้าพรั่งพร้อมสาตราดั่งห่าฝน |
วลาหกผกโผนโจนประจญ | ฤทธิรณแผดร้องคะนองโจน |
เข้าโขกขบหลบโลดกระโดดดีด | ไอ้ยักษ์กีดปากกัดสะพัดโผน |
กระทืบถีบโถมถาถลาโจน | กระโดดโดนพลมารไม่ทานฤทธิ์ |
บ้างเจ็บจุกถูกตายลงนับแสน | บ้างขาแขนคอหักลงอักนิษฐ์ |
ยังทัพหนุนรุนกันกระชั้นชิด | พระทรงฤทธิ์น้าวแผลงพระแสงทรง |
ดั่งกระเดื่องเปรื่องเปรี้ยงเสียงสนั่น | ผลาญกุมภัณฑ์พลมารเป็นผุยผง |
บ้างตกตึงผึงผางลงกลางดง | จัตุรงค์แตกยับทั้งทัพชัย |
พญายักษ์คั่งแค้นแสนพิโรธ | เห็นรากโษสพลขันธ์นั้นตักษัย |
กระทืบไสคชสารอันชาญชัย | เข้าโลดไล่บุกบั่นประจัญบาน |
หน่อกระษัตริย์ชักอัสดรรับ | ยืนขยับเหยียบงาคชสาร |
ชักพระขรรค์ฟันฟาดเจ้ากรุงมาร | ดังสะท้านตกสะท้อนธรณี |
พญามารปานปิ้มจะม้วยมิด | ค่อยแข็งจิตอ่านเวทของยักษี |
ที่เจ็บกายหายสิ้นทั้งอินทรีย์ | อสุรีกลับเหาะขึ้นเมฆา |
ทรงพญาคชสารชาญกำแหง | โก่งพระแสงศรทรงของยักษา |
แผลงสนั่นลั่นโลกด้วยฤทธา | เป็นนาคานับแสนแน่นอัมพร |
จะขบกัดรัดรวบเอาสินธพ | เลี้ยวตระหลบโลดลอยแลสลอน |
แกว่งพระขรรค์กันองค์กับอัสดร | แล้วน้าวศรวางแผลงพระแสงพลัน |
เป็นครุฑราชผาดผยองทะยานจิก | ขยับหยิกเหยียบแย่งขยับหัน |
ปีกกระพือมือรวบภุชงค์พลัน | นาคก็อันตรธานด้วยครุฑา |
ราพณ์ร้ายน้าวสายแล้วแผลงศร | เป็นเพลิงร้อนเริงรุ่งพระเวหา |
วาบเปลวไฟไหม้โพลงในเมฆา | กุมาราวางศรไปรอนราญ |
เป็นฝนฟุ้งฟูมฟายกระจายสาด | ดังฟ้าฟาดเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงประหาร |
ฝนระงับดับไฟบรรลัยลาญ | เจ้ากรุงมารแสนแค้นแน่นพระทัย |
ทะลวงโลดโดดด้วยกำลังยักษ์ | ตีพระลักษณวงศ์สนั่นไหว |
หน่อกระษัตริย์ปัดป้องด้วยว่องไว | ฤทธิไกรแคล้วคลาดแก่สาตรา |
พระขึ้นศรน้าวสายหมายประหาร | แล้วแผลงผลาญถูกองค์ท้าวยักษา |
ศรกระจายปรายปรุทั้งกายา | ไอยราขาดใจบรรลัยลาญ |
ตัวพญาอสุราวิรุญมาศ | ก็เซพลาดจากคอคชสาร |
กระเด็นผางตกกลางสุธาธาร | แต่ขุนมารยังไม่ม้วยชีวาลา |
ดำรงกายร่ายเวทวิเศษขลัง | ก็ติดดั่งกายเดิมของยักษา |
เสียดายช้างพระที่นั่งหลั่งนํ้าตา | อสุราร่ำรักกุญชรชัย |
นิจจาเอ๋ยเคยขี่เป็นคู่ชีพ | สี่ทวีปย่อมขยาดอยู่หวาดไหว |
ครั้งนี้กลับอัปราอรินภัย | โอ้ที่ไหนจะชนะสงครามมัน |
แล้วแข็งจิตคิดอายเป็นชายชาติ | เผ่นผงาดด้วยกำลังดั่งกังหัน |
เข้ายืนกลางพลมารชาญฉกรรจ์ | ท้าวกุมภัณฑ์ตรัสสั่งแก่เสนา |
มึงแปลงกายเปลี่ยนกูอยู่สู้รบ | กูจะหลบหลีกไปในเวหา |
เอ็งอยู่หลังเข้าประดังตีประดา | แล้วล่อล่าเลิกทัพไปตามกัน |
แต่ตัวกูจะเข้าอยู่กลีบอากาศ[๘] | คิดพิฆาตข้าศึกให้อาสัญ |
แล้วขุนมารอ่านมนตร์กำบังพลัน | เหาะเข้าดั้นกลีบเมฆให้ลับตา |
อำมาตย์มารลานแลจนลับเนตร | จึงอ่านเวทแปลงรูปของยักษา |
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนองค์อสุรา | ทำศักดาขบฟันเข้าฟันฟอน |
พลกุมภัณฑ์ให้ขยั้นขยาดฤทธิ์ | ไม่อาจชิดใกล้องค์พระทรงศร |
พระโฉมยงทรงสวัสดิ์กับอัสดร | ฤทธิรอนไล่ล้างมากลางแปลง |
เสียงศรแผลงแครงโครมโพยมมาศ | ดั่งฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างสว่างแสง |
พวกพหลพลมารไม่ทานแรง | ก็พลัดแพลงหลีกหลบกระทบกัน ฯ |
๏ ฝ่ายทหารมารร้ายรูปนิมิต | เห็นสุดฤทธิ์โยธาจะอาสัญ |
ก็เอิกเกริกเลิกทัพให้กลับพลัน | เสียงสนั่นดินฟ้าพนาลี |
ประเดี๋ยวใจไปลิบจนแลลับ | ทั้งกองทัพพวกพลของยักษี |
หน่อกระษัตริย์อัสดรก็ยินดี | ลงหยุดยอดคีรีสำราญกาย |
พระปรึกษาม้าทรงด้วยการศึก | พี่ช่วยตรึกตรองการประมาณหมาย |
อันยักษีหนีรอดไม่วอดวาย | จะสูญหายหรือว่าทัพจะกลับมา |
อัสดรสอนองค์พระทรงฤทธิ์ | อย่าวางจิตกลศึกไอ้ยักษา |
ประเดี๋ยวยักษ์มันจะหนักกว่าก่อนมา | พ่ออุตส่าห์ตรึกการจะราญรอน |
กุมารลักษณวงศ์ผู้ทรงโฉม | ตรัสประโลมมิ่งม้าสโมสร |
ทีนี้มาแล้วจะฆ่าให้ม้วยมรณ์ | อัสดรอย่าได้พรั่นกุมภัพฑ์พาล |
แล้วนั่งเล่นเย็นสบายพระพายพัด | กับกัณฐัศว์แย้มสรวลเกษมศานต์ |
จะกล่าวถึงโยธาพญามาร | อลหม่านเลิกทัพไปลับตา |
มาพบองค์ทรงฤทธิ์วิรุญมาศ | ก็เกลื่อนกลาดอยู่ในกลีบพระเวหา |
เจ้ากรุงมารตรัสการแก่เสนา | จะคิดฆ่าไพรินให้สิ้นปราณ |
กูจะแกล้งแปลงกายเป็นโกสีย์ | ขุนเสนีจงนิมิตเป็นคชสาร |
พลกุมภัณฑ์นั้นแปลงเป็นบริวาร | พนักงานขับรำระบำกราย |
ทั้งหน้าหลังสั่งกันให้พร้อมจิต | แม้นสมคิดวางศรประหารสาย |
เห็นจะดีมีชัยด้วยง่ายดาย | จงแปลงกายเสียให้ทั่วทุกตัวตน ฯ |
๏ ขุนอำมาตย์รับราชบรรหาร | ก็จัดการกองทัพอยู่สับสน |
ข้างหน้าช้างให้มีนางระบำกล | เข้าระคนกับเทเวศถวายกร |
ทั้งสองข้างดุริยางคพิณพาทย์ | เทวราชฤทธิรงค์องค์อัปสร |
ต่างคนต่างนิมิตด้วยฤทธิรอน | เป็นรูปเทพอัปสรกัลยา |
แล้วมนตรีมีฤทธิ์นิมิตพลัน | เป็นช้างเอราวัณอันเลขา |
ทั้งสามเศียรสามหางสำอางตา | อลังการ์เครื่องประดับมณีดี |
เหมือนช้างทรงองค์ท้าวสหัสเนตร | งามวิเศษใหญ่ยิ่งคิรีศรี |
ในลำงาคชสารประมาณมี | สระโบกขรณีในงางอน |
ในสระศรีมีบัวขึ้นเจ็ดดอก | ดอกหนึ่งออกเจ็ดกลีบทรงเกสร |
กลีบหนึ่งมีนางฟ้าพะงางอน | ร่ายรำฟ้อนอยู่ในกลีบทั้งเจ็ดองค์ |
องค์หนึ่งบริวารประมาณเจ็ด | ก็พร้อมเสร็จสุดงามตามประสงค์ |
วิรุญมาศขุนมารชาญณรงค์ | ก็แปลงองค์เหมือนอมรินทรา |
ถือธำมรงค์ทรงสร้อยสังวาลย์สังข์ | ขึ้นนั่งหลังคชสารด้วยหรรษา |
สะพรั่งพร้อมล้อมล้วนแต่เทวา | สาวสวรรค์กัลยาประคองเคียง |
ก็ยกทัพกลับเกลื่อนมากลางเมฆ | ฟังวิเวกแตรสังข์ประดังเสียง |
ดุริยางค์วังเวงเพลงจำเรียง | สอดสำเนียงขับร้องบำเรออินทร์ |
ถึงที่รบพบองค์พระทรงศักดิ์ | พญายักษ์สมจิตคิดถวิล |
ให้เทวาบริวารประสานพิณ | จับระบำรำบินอยู่เบื้องบน ฯ |
๏ ปางพระลักษณวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | กับกัณฐัศวแลแหงนแสนฉงน |
เห็นเทเวศนางสวรรค์อยู่ชั้นบน | ที่กลางพลองค์เพชรปาณี |
ธำมรงค์ทรงข้างพระหัตถ์ขวา | ทรงเอราวัณราชหัตถี |
พระเคลิ้มองค์หลงอินทร์ด้วยยินดี | แต่พาชีแสนฉลาดประหลาดใจ[๙] |
ไม่วางจิตพิศดูหมู่เทเวศ | ก็แจ้งเหตุกลศึกไม่สงสัย |
เห็นเขี้ยวแก้วแวววาวราวกับไฟ | ก็ตกใจทูลเตือนกุมารา |
อย่าแลหลงมิใช่องค์พระอินทร์ดอก | เขี้ยวมันงอกอยู่ในโอษฐ์ของยักษา |
มันกลับแกล้งแปลงกายเป็นกลมา | อย่านิ่งช้าเชิญแผลงพระแสงทรง ฯ |
๏ พระฟังสารลานแลเห็นแน่นัก | รู้ว่ายักษ์ล่อลวงให้ลุ่มหลง |
ให้คั่งแค้นแน่นทรวงพระโฉมยง | เอาศรทรงอธิษฐานประสานกร |
เดชะคุณพ่อตามหาเมฆ | อดิเรกเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์ศร |
แม้นองค์อินทร์ศิลป์ชัยอย่าราญรอน | ขอให้ศรกลับกลายเป็นมาลา |
แม้นยักษ์ร้ายกายแปลงอย่าแคลงคลาด | ให้ตรึงตราดตรงทรวงท้าวยักษา |
แล้วผาดแผลงศรทรงมหึมา | ถูกอสุราราพณ์ร้ายกายกระดอน |
กระเด็นจากคชสารสะท้านลั่น | กายกุมภัณฑ์ตกผางกลางสิงขร |
ลิ้นกำลังยังแต่ใจอยู่รอนรอน | ยกพระกรตรัสเรียกเสนาใน |
ฝ่ายสุรางค์นางรำบำเรอราช | แลเห็นท้าววิรุญมาศจะตักษัย |
บ้างหนีหายกลายกลับเป็นยักษ์ไป | บ้างร้องไห้เหาะลงในพงพี |
ที่พวกยักษ์รักเจ้าก็เศร้าจิต | ประคองชิดพยุงองค์ท้าวยักษี |
เจ้ากรุงยักษ์พักตร์เผือดไม่สมประดี | พระอินทรีย์เลือดโซมชโลมองค์ |
จะสั่งพลมนตรีก็สุดสั่ง | สิ้นกำลังสิ้นเสียงสุดประสงค์ |
สิ้นกุศลผลกรรมมาจำนง | ก็ปลดปลงขาดใจบรรลัยลาญ |
ฝ่ายพวกพลโยธาบรรดายักษ์ | ร้องไห้รักอสุราน่าสงสาร |
แล้วอำมาตย์มาตยาเสนามาร | ก็ก้มกรานกราบหน่อกระษัตรา |
ขอเชิญองค์ทรงฤทธิ์อิศเรศ | ไปปกเกศครอบครองเมืองยักษา |
เป็นปิ่นปักยักษ์มารทั้งพารา | เป็นมหาเอกกระษัตริย์อสุรี ฯ |
[๑] โลมหังส์ แปลว่า ขนพอง
[๒] สมุดไทยเลขที่ ๑๔ ว่า "ก็ร้องไห้แซ่เสียงทุกนารี”
[๓] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “ทั้งเกราะนวมสวมใส่สังวาลช่วง”
[๔] พาหุรัด แปลว่า ทองรัดแขน กำไลแขน
[๕] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “จะโรยแรมร้างไกลไปจากเวียง”
[๖] แมงวัน = แมลงวัน
[๗] สมุดไทยเลขที่ ๑๔ ว่า “เสียงพิลึกกึกก้องลั่นโลกา”
[๘] กลีบอากาศ = กลีบฟ้า แปลว่า เมฆ
[๙] สมุดไทยเลขที่ ๒ ว่า “แต่พาชีแสนฉลาดให้หวาดใจ”