- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
๏ จะกล่าวถึงเกสรสมรน้อย | แสนละห้อยโหยไห้ในไพรสัณฑ์ |
กลับเป็นพราหมณ์ตามองค์พระทรงธรรม์ | เจ้าทรงครรภ์โอรสกำหนดนาน |
รูปนิมิตปิดป้องไม่มองเห็น | จึ่งดูเป็นชายชาติอันอาจหาญ |
ระทมทนเวทนามาช้านาน | แสนกันดารดั้นดงมาองค์เดียว |
ยังมีนายพรานไพรไล่มฤค | ดูพิลึกคลาไคลในไพรเขียว |
นายพรานเห็นพราหมณ์ด้นมาคนเดียว | คิดเฉลียวหว่าหวาดประหลาดใจ |
แฝงพฤกษาเพ่งพิศพินิจนิ่ง | ดูเพริศพริ้งนวลละอองงามผ่องใส |
เอี่ยมสะอาดอ้อนแอ้นอ่อนละไม | แลวิไลกิริยาเหมือนนารี |
รูปจริตเป็นหญิงทุกสิ่งสม | เว้นแต่นมมิได้เหมือนนารีศรี |
นะแน่งน้อยนวลหน้าจะปรานี | ไฉนนี่จึ่งมาเที่ยวคนเดียวเดิน |
แล้วทักถามว่าเจ้าพราหมณ์จะไปไหน | เจ้าตกใจงงงวยให้ขวยเขิน |
ทรุดพระองค์ลงแอบอยู่แนบเนิน | พรานก็เดินเข้าไปให้ใกล้พราหมณ์ |
อย่าตกใจนะเจ้าอย่าเศร้าสร้อย | เจ้าหนุ่มน้อยรูปหล่อพี่ขอถาม |
จะไปไหนจงแจ้งแสดงความ | ได้เดินตามทางเถื่อนเป็นเพื่อนกัน ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์กลัวแก้ตัวไปตามขัด | น้องนี้พลัดพวกเพื่อนในไพรสัณฑ์ |
มาเที่ยวชมแนวป่าพนาวัน | ก็พลัดกันมีกรรมให้จำเป็น |
จะคืนเข้าธานีบุรีราช | ก็แคล้วคลาดหาทางไม่พบเห็น |
ก็หมายตนว่าตายไม่หมายเป็น | ทุกเช้าเย็นอกชํ้าระกำกาย |
มาพบพี่ดีใจเห็นไม่ม้วย | เอ็นดูด้วยพาไปเหมือนใจหมาย |
จะไปไหนก็จะไปเป็นเพื่อนตาย | ยังมากมายหรืออยู่ทางจะถึงเมือง |
พรานสดับสุนทรอันอ่อนหวาน | ให้สงสารที่เจ้าแจ้งแสดงเรื่อง |
อนิจจาเคราะห์กรรมให้จำเคือง | มาไปเมืองเถิดนะเจ้าลำเพาพาล |
อันยุบลนคราเป็นผาสุก | แสนสนุกปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
อันพระจอมขัตติยาสุธาธาร | เธอพึ่งผ่านพาราได้ห้าวัน |
พี่พรานเจ้าเล่าไปอย่างไรพี่ | เจ้าธานีพึ่งเสวยมไหศวรรย์ |
ทรงพระนามชื่อไรพระใจธรรม์ | พระชนม์นั้นหนุ่มแก่สักเพียงไร |
เจ้าเพื่อนรักทรงศักดิ์เป็นหนุ่มน้อย | ดูแช่มช้อยชูชิดพิสมัย |
ชื่อพระลักษณวงศ์ผู้ทรงชัย | ภูวไนยเสด็จมากับพาชี |
ในคำข่าวว่าท้าวเธอแสนเทวษ | เที่ยวตามองค์อัคเรศมเหสี |
มาหลงรักพระธิดาเจ้าธานี | เกิดโกลีรณรงค์กับทรงภพ |
ท้าวชนะทรงฤทธิ์บิตุเรศ | ก็เกรงเดชภูธรขจรจบ |
จึ่งได้นางครองเมืองเรืองพิภพ | พระเลิศลบเห็นจะลืมสุดาเดิม |
ละเลิงจิตพิศวงหลงสวาท | ด้วยนุชนาฏนงรามงามเฉลิม |
น่าสงสารกัลยาสุดาเดิม | จะคลั่งเคลิ้มเที่ยวหลงพะวงตาม ฯ |
๏ พราหมณ์สดับพจมานสารแถลง | ดั่งศรแผลงทรวงปลาบให้วาบหวาม |
ก็รู้ว่าผัวรักประจักษ์ความ | ทรวงเจ้าพราหมณ์เพียงจะพังกำลังแค้น |
ชลนัยน์ไหลหลั่งลงผอยผอย | ทำชม้อยดูมือที่ถือแหวน |
นายพรานว่าน้องน้อยอย่าพลอยแค้น | เป็นทุกข์แทนมเหสีกระษัตรา |
นางนั้นเป็นพี่น้องหรือร้องไห้ | ชำเลืองไปดูแหวนที่หัตถา |
หรือธำมรงค์ขององค์นางกัลยา | เจ้าโศกาถึงเจ้าของหรือน้องรัก |
พราหมณ์แถลงแกล้งกล่าวเป็นราวเรื่อง | อันขวัญเมืองโฉมตรูไม่รู้จัก |
ได้ฟังเรื่องนุชนาฏนิราศรัก | วิตกนักถึงเมียที่อยู่เมือง |
เจ้าอยู่หลังสาวน้อยจะคอยหา | จะโศกากำสรดไม่ปลดเปลื้อง |
นิราศร้างไกลนางมาห่างเมือง | เหมือนหนึ่งเรื่องสองกระษัตริย์ที่พลัดกัน |
อันแหวนนี้ทรามเชยเจ้าเคยถือ | เอาติดมือมาใส่ในไพรสัณฑ์ |
ยิ่งเห็นแหวนแสนสะอื้นทุกคืนวัน | สุดจะกลั้นกลืนโศกจึ่งโศกี |
เจ้าลวงพรานมิให้แคลงกินแหนงจิต | ยิ่งคิดคิดก็ยิ่งแค้นพระโฉมศรี |
โอ้โอ๋อนิจจาพระสามี | ไม่เห็นทีที่จะขาดสวาทเชย |
เสียแรงน้องติดตามด้วยความยาก | หวังจะฝากชีวานิจจาเอ๋ย |
ชะน้อยหรือนํ้าพระทัยกระไรเลย | เมื่อยามเชยมิให้ชํ้าด้วยคำคม |
แต่ล้วนว่าถึงจะตายไม่วายรัก | ทั้งไตรจักรพี่ไม่ปองเป็นสองสม |
มิทันไรได้คู่ไว้ชูชม | เกสรเอ๋ยอกจะกรมจะกรอมตาย |
รู้กระนี้ก็จะอยู่ในคูหา | ถึงวอนว่าก็ไม่รักอย่าพักหมาย |
เพราะหลงลมจึ่งต้องยากลำบากกาย | แสนเสียดายพิสวาสจะขาดกัน |
เสียแรงมาจะให้พบประสบพักตร์ | จะสิ้นรักหรืออย่างไรไฉนนั่น |
เข้าถวายตัวอยู่ได้รู้กัน | เมื่อทรงธรรม์ลืมแล้วจะลาตาย |
เจ้าน้อยจิตคิดแค้นแสนเทวษ | ชลนานองเนตรไม่ขาดสาย |
กันแสงโศกสะอื้นไห้มิใคร่คลาย | ข้างฝ่ายนายพรานป่าก็ปรานี |
จึงร้องห้ามว่าเจ้าพราหมณ์อย่าร้องไห้ | ตัดอาลัยเสียเถิดพ่อไม่พอที่ |
จะเป็นทุกข์ตรมใจไปไยมี | อันนารีตามตลาดดาษดา |
ถึงแม้นเสียเมียเก่าหาเอาใหม่ | คงจะได้สมมาดปรารถนา |
รูปเจ้าพราหมณ์งามเพลินจำเริญตา | กลัวแต่ว่าสาวสาวจะใส่ใจ |
ว่าแล้วนายพรานก็ชวนพราหมณ์ | พากันข้ามโขดเขินเนินไศล |
ละเลาะลัดตัดทางมากลางไพร | มาถึงชานเวียงไชยอันใหญ่ยง |
นายพรานชี้ตรงนี้แล้วยอดปรางค์ | แลสล้างสุกอร่ามงามระหง |
ปราสาทนี้ของพระลักษณวงศ์ | ปราสาทนั้นบิตุรงค์ของนงนุช |
เจ้าพราหมณ์เห็นปรางค์ไชยมไหศวรรย์ | เกษมสันต์ยินดีเป็นที่สุด |
ดังหนึ่งได้เห็นองค์พระทรงภุช | ก็ยั้งหยุดยืนนิ่งอยู่กลางทาง |
พรานเตือนว่าอย่าหยุดเข้าฉุดหัตถ์ | พราหมณ์สะบัดมิให้ต้องกลัวหมองหมาง |
เจ้าขวยเขินเดินไปตามใจนาง | พูดกันพลางชวนเดินดำเนินมา ฯ |
๏ ครั้นถึงบ้านพรานเชิญเจ้าพราหมณ์น้อง | สำรวลร้องเรียกขึ้นบนเคหา |
แล้วบอกลูกสาวสรรค์กัลยา | นี่น้องข้าเพื่อนยากกันกลางไพร |
เจ้าเป็นคนหลงทางมากลางเถื่อน | มาพบกันเป็นเพื่อนได้ปราศรัย |
เจ้าก็เป็นคนซื่ออย่าถือใจ | เอาฟืนไฟหมากพลูบุหรี่มา |
ลูกสาวพรานเห็นพราหมณ์ช่างงามพริ้ง | ก็เวียนวิ่งออกมามองตามช่องฝา |
เสียงแกรกแกรกแหวกลอดแล้วสอดตา | จัดแจงหาหมากพลูบุหรี่พวง |
เจ้าพราหมณ์ค่อยปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | อาศัยพรานทำสุภาพไม่จาบจ้วง |
ที่ล้าเลื่อยเหนื่อยกายค่อยคลายทรวง | อยู่เสบยเลยล่วงมาหลายวัน |
แล้วรำจวนหวนจิตคิดถวิล | ถึงพระปิ่นจักรพงศ์ผู้ผัวขวัญ |
อยู่อย่างนี้ที่ไหนจะพบกัน | จำจะผันผ่อนเข้าถวายตัว |
จึ่งอ้อนวอนพรานไพรปราศรัยสนอง | พี่พาน้องไปถวายพระอยู่หัว |
เมื่อพระองค์ทรงโปรดได้ตั้งตัว | ค่อยยังชั่วแล้วไม่ลืมพระคุณเลย ฯ |
๏ นายพรานฟังเห็นชอบตอบสนอง | ดีแล้วน้องคิดงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย |
เข้าเป็นข้าท้าวไทเสียให้เคย | ได้เสบยพี่ชายสบายใจ |
พรุ่งนี้รุ่งสุริยาจะพาเจ้า | เข้าไปเฝ้าจอมภพจบสมัย |
เจ้าพราหมณ์ฟังชื่นชอบให้ขอบใจ | ยิ้มละไมแย้มพรายกับนายพราน |
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสว่างกระจ่างฉาย | ทั้งสองนายปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
แล้วแต่งตัวนุ่งห่มให้สมการ | เจ้าพราหมณ์พรานชวนกันรีบครรไล |
ทั้งหญิงชายเห็นพราหมณ์งามเฉิดฉัน | สะกิดกันว่าคนนี้อยู่ที่ไหน |
นางสาวสาวแลดูให้ชูใจ | กระแอมไอพอให้เหลียวแล้วเลี้ยวบัง |
ทั้งสองนายมาถึงท้ายสนม | ชวนกันชมสินค้าตามหน้าถัง |
มีร้านรายขายผ้าจนหน้าวัง | เจ้าแขกนั่งอยู่กับเมียฝีปากนาง |
เห็นเจ้าพราหมณ์ร้องเรียกออกเพรียกแซ่ | มาดูแพรข้าขายลายสล้าง |
ถึงไม่ซื้อก็มานั่งกินหมากพลาง | ผ้าลายอย่างถ้าเจ้านุ่งก็สมตัว |
เจ้าพราหมณ์อายชายเนตรชำเลืองค้อน | ข้างโน้นวอนข้างนี้ว่าก็น่าหัว |
บ้างขายของซื้อกันออกพันพัว | ปะตะกั่วทองแดงทะเลาะกัน |
นายพรานพราหมณ์ตามกันด้วยหรรษา | ก็รีบมาเข้าวังนรังสรรค์ |
มนตรีเตรียมอัดแออยู่แจจัน | เจ้าพราหมณ์พรั่นไม่เคยเข้าในวัง |
พวกอำมาตย์หนุ่มหนุ่มเข้ารุมล้อ | ไม่ตอบต่อเดินไปดั่งใจหวัง |
ถึงทวารท้องพระโรงลับแลบัง | สองนายนั่งคอยเสด็จภูวไนย |
พราหมณ์คะนึงถึงแหวนแสนวิเศษ | ที่เทเวศหิมพานต์ประทานให้ |
ถ้าคนเห็นอยู่ฉะนี้จะมีภัย | จะแก้ไขบังตาประชาชน |
จึ่งยอกรขึ้นวางเหนือหว่างเกศ | ขอเทเวศเทพไทในไพรสณฑ์ |
ช่วยป้องปิดนัยนาประชาชน | อย่าให้คนเห็นแหวนอันอำไพ |
ด้วยเดชะนุชนาฏเจ้าปรารถนา | เทพดาก็บันดาลกำบังให้ |
ประสิทธิ์สมที่ประสงค์จำนงใจ | ไม่มีใครเห็นธำมรงค์เรือง ฯ |
๏ ปางพระลักษณวงศ์ผู้ทรงศรี | เข้าสู่ที่สระสรงแล้วทรงเครื่อง |
เสด็จออกยังท้องพระโรงเรือง | ขุนนางเนืองหมอบก้มประนมกร |
ทั้งสองนายก้มกรานคลานเข้าเฝ้า | แล้วน้อมเกล้าบังคมพระทรงศร |
เจ้าพราหมณ์พรั่นในอุราให้อาวรณ์ | ชำเลืองดูภูธรไม่วางตา |
ประจักษ์แจ้งว่าทูลกระหม่อมผัว | ค่อยคลายกลัวกลับคิดเสน่หา |
รำลึกถึงความสวาทนิราศมา | เจ้าก้มหน้าชลเนตรละลุ่มลง |
พระทรงเดชทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์น้อย | ช่างแช่มช้อยชูจิตพิศวง |
ตะลึงแลเพ่งพิศพินิจทรง | เหมือนอนงค์งามพริ้งทุกสิ่งอัน |
ละม้ายเหมือนเกสรสมรมาศ | คิดประหลาดแต่ที่ไม่มีถัน |
เหตุไฉนเข้ามาแล้วจาบัลย์ | อัศจรรย์อั้นอึ้งตะลึงไป ฯ |
๏ นายพรานไพรพรั่นจิตให้คิดขาม | กระซิบห้ามพราหมณ์น้องอย่าร้องไห้ |
ศิโรราบกราบทูลขึ้นทันใด | ขอเดชะทรงชัยเฉลิมวงศ์ |
เจ้าพราหมณ์นี้เป็นน้องกระหม่อมฉัน | เจ้าหมายมั่นภักดีโดยประสงค์ |
ขอถวายตัวเป็นทาสบาทบงสุ์ | พระผู้ทรงธรณีจงโปรดปราน |
พระทรงฟังเอื้อนอรรถแล้วตรัสถาม | ดูราพราหมณ์วงศามหาศาล |
ไฉนเป็นเชื้อวงศ์กับพงศ์พราน | ดูอาการแปลกกันนี่ฉันใด |
ขอเดชะพระจอมกระหม่อมโลก | เจ้าพราหมณ์น้อยนี้วิโยคละห้อยไห้ |
ผู้เดียวเดินหลงทางมากลางไพร | หม่อมฉันได้พามาถึงธานี ฯ |
๏ จักรพงศ์ทรงฟังให้สังเวช | คะนึงเหตุหวนหามเหสี |
ความก็แม้นรูปก็เหมาะเหมือนเทวี | พระจักรีหวั่นหวาดประหลาดใจ |
ร้องเรียกพราหมณ์งามเพรามาเฝ้าชิด | นิ่งพินิจพิศวงให้สงสัย |
พระชม้อยพราหมณ์น้อยชม้ายไป | ประสานสองต้องนัยนากัน |
จึ่งตรัสถามว่าเจ้าพราหมณ์นี้ชื่อไร | เหตุไฉนเข้ามาแล้วจึ่งโศกศัลย์ |
เจ้าพราหมณ์ก้มพักตร์แล้วจาบัลย์ | ให้อัดอั้นอยู่ในอกไม่อาจทูล |
คิดจะใคร่แจ้งความเสียตามสัตย์ | ให้เคืองขัดคั่งแค้นไม่เสื่อมสูญ |
ทั้งเจียมตัวเอกายิ่งอาดูร | ไร้ประยูรวงศ์ญาติจะพาดพิง |
มาตกอยู่ธานีบุรีเขา | เหมือนโคเข้าฝูงราชสีห์สิงห์ |
ถึงพระจอมภูวนาถสวาทจริง | อันเมียมิ่งมันจะทำให้รำคาญ |
แต่หวนหวนป่วนจิตให้คิดขาม | ครั้นซํ้าถามก็มิใคร่จะทูลสาร |
จึ่งกลั่นแกล้งแต่งรสพจมาน | กระหม่อมฉานนามกรเกสรพราหมณ์ |
คิดถึงเพื่อนพิศวาสนิราศจาก | เมื่อยามยากเห็นหน้าในป่าหนาม |
ไม่แจ้งจิตเมียรักประจักษ์ความ | จะติดตามหรือว่าไม่อาลัย |
ข้างหนึ่งมีปรีดาให้ผาสุก | ข้างหนึ่งทุกข์เศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
ระทดถึงความหลังให้คลั่งใจ | จึ่งร้องไห้ถึงเรื่องนิราศมา ฯ |
๏ พระนรินทร์ยินนามพราหมณ์เกสร | เหมือนชื่อสมรมิ่งมิตรขนิษฐา |
ดังหนึ่งแสงอัคนิรุทจุดอุรา | พระหัทยาไหวหวาดประหลาดนัก |
แข็งพระทัยตรัสว่านิจจาเจ้า | เหมือนตัวเราที่วิตกเพียงอกหัก |
ด้วยนิราศมเหสีเป็นที่รัก | เยาวลักษณ์เจ้าจะอยู่ในแดนใด |
เจ้าพราหมณ์พลัดซัดมาในป่ากว้าง | เจ้าปะบ้างพบเห็นเป็นไฉน |
อันชื่อเจ้าก็เหมือนนามนางทรามวัย | โอ้ปางใดจะได้พบประสบกัน |
หม่อมฉันไม่เห็นใครในไพรสาณฑ์ | พบแต่พรานคลาไคลในไพรสัณฑ์ |
ได้รอดมาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ | ขอชีวันอยู่ใต้บาทบงสุ์ ฯ |
๏ จอมกษัตริย์ฟังความพราหมณ์สนอง | ให้หม่นหมองนิ่งคิดพิศวง |
อันคำพร้องต้องตามเนื้อความตรง | หรือโฉมยงติดตามเป็นพราหมณ์มา |
ดูรูปโฉมคล้ายคล้ายละม้ายเหมาะ | เสียงเสนาะมิได้ผิดขนิษฐา |
ถ้ามีถันแล้วไม่ผิดวนิดา | ทั้งพักตรามิได้ผิดพระเทพี |
รักเจ้าพราหมณ์เหมือนหนึ่งนุชสุดสวาท | ภูวนาถคล้ายเคลิ้มว่าโฉมศรี |
โปรดประทานสไบบางที่อย่างดี | ร้องเรียกพราหมณ์จรลีเข้าข้างใน |
แล้วตรัสบอกนางยี่สุ่นมเหสี | เจ้าพราหมณ์นี้โสภาจะหาไหน |
เจ้าเป็นคนหลงทางมากลางไพร | พรานเขาได้มาถวายเป็นขวัญตา |
ยื่นพระขรรค์เรืองงามให้พราหมณ์เชิญ | ดูจำเริญน่ารักเปนหนักหนา |
ส่วนพระยอดสมรมิตรพระธิดา | ก็ตรัสว่างามทัด[๑]กระษัตรี |
เจ้าพราหมณ์แค้นแสนเคืองชำเลืองค้อน | อุระร้อนหวงหึงมเหสี |
แล้วชำเลืองแลดูพระภูมี | แสนทวีทรวงช้ำระกำใจ |
เมื่อนางยิ้มสัพยอกก็จำแย้ม | กลแกมมิได้ขัดอัชฌาสัย |
เจ้าชอบชิดแสนสนิททั้งวังใน | ให้ปลื้มใจล้วนว่าแต่น่าเชย |
เขาเย้าหยอกหยิบดอกจำปาทิ้ง | ก็สู้นิ่งทำเมินสะเทิ้นเฉย |
เขาพูดแอบแยบเยื้องไม่เคืองเลย | ทุกคนเคยร้องเรียกว่าพ่อพราหมณ์ ฯ |
๏ จักรพงศ์ทรงภุชสุดสวาท | ยามประภาษเย้าหยอกไม่หยาบหยาม |
เสวยแล้วโปรดปรานประทานพราหมณ์ | ให้นางห้ามเลื่อนเทียบใส่เตียบทอง |
ยามบรรทมบนบรมแท่นรัตน์ | เจ้าพราหมณ์พัดบำเรอเสนอสนอง |
พอใจตรัสชมโฉมประโลมลอง | สองต่อสองแย้มสรวลสำรวลกัน |
เจ้าพราหมณ์ทูลเลียงเลียบประเทียบเรื่อง | หม่อมฉันมาอยู่เมืองเกษมสันต์ |
พึ่งละอองบาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | ลืมกระสันถึงนิราศสวาทมิตร |
พระองค์ครองราไชยมไหศวรรย์ | สารพันยศศักดิ์อัคนิษฐ์[๒] |
มีพระมิ่งมเหสีสมรมิตร | ประไพพิศเพียงเทพกัลยา |
เสวยสุขดังศักดิ์จักรพรรดิ | ยอดกระษัตริย์ในทศทิศา |
เห็นจะลืมสาวสวรรค์กัลยา | ที่นิราเริศร้างไปห่างไกล ฯ |
๏ พระจอมเมืองฟังเรื่องเจ้าพราหมณ์ถาม | จึ่งตรัสความตามตรงไม่สงสัย |
เวลาเพลินก็ให้เพลินจำเริญใจ | ลืมอาลัยนุชนางแต่ลางวัน |
รำลึกถึงเพื่อนยากนั้นมากนัก | ใช่ว่าจักหลงใหลมไหศวรรย์ |
แต่หวนหวนจะไปหาสุดาจันทร์ | แล้วผ่อนผันคอยข่าวให้แน่ใจ |
เจ้าพราหมณ์ฟังพจนาว่าลืมหลัง | ให้แค้นคั่งพ่างเพียงเลือดตาไหล |
เจ้าน้อยจิตคิดกริ่งแล้วนิ่งไว้ | ถอนใจใหญ่หมอบพัดกระษัตรา |
พระฟังสารทราบเสียวเฉลียวจิต | เออพี่ผิดแล้วแม่ยอดเสน่หา |
โฉมเจ้าพราหมณ์ทำทีจะโศกา | ดูกิริยาเห็นประหลาดอนาถนัก |
พระเสแสร้งแกล้งเรียกแม่เกสร | เจ้าพราหมณ์ค้อนตอบองค์พระทรงศักดิ์ |
กระหม่อมฉันใช่องค์นางนงลักษณ์ | พระเบือนพักตร์แย้มพรายละอายใจ |
จึงตรัสว่าเจ้าพราหมณ์นี่งามนัก | เราก็รักเหมือนหนึ่งมิตรพิสมัย |
ถ้าแม้นเป็นสตรีจะดีใจ | เราจะให้เป็นจอมกระหม่อมนาง ฯ |
๏ เจ้าพราหมณ์ตอบมธุรสพจนารถ | พระจอมราชทรงตรัสเห็นขัดขวาง |
อันชาติชายหรือจะกลายไปเป็นนาง | ไม่มีอย่างพระอย่าเย้ยให้ยวนใจ |
แม้นเป็นได้ถึงจะเป็นก็เห็นเปล่า | พระผ่านเกล้าจะเลี้ยงสักเพียงไหน |
ชะน้อยหรือเจ้าพราหมณ์ไม่เชื่อใจ | เจ้าเป็นได้ก็เป็นให้เห็นจริง |
ได้ฟังความพราหมณ์น้อยก็ยิ้มยิ้ม | ประไพพริ้มมิได้ตอบแล้วหมอบนิ่ง |
จักรพงศ์ทรงฤทธิ์คิดประวิง | ให้กริ่งกริ่งตรึกตรองจะลองพราหมณ์ |
อันพระแสงนี้สุดบุรุษรัก | สำหรับจักกลับกลอกออกสนาม |
ถ้าเป็นหญิงรักใคร่จะได้งาม | ก็เห็นความแต่เพียงแหวนนี้แสนรัก |
จะให้เลือกหยิบของทั้งสองสิ่ง | เป็นชายหญิงจะได้ดูรู้ประจักษ์ |
คิดแล้วหยิบธำมรงค์วางตรงพักตร์ | กับพระขรรค์ยอดรักไว้เคียงกัน |
จึ่งตรัสว่าอันของทั้งสองสิ่ง | เป็นที่รักหนักยิ่งกว่าสิ่งสรรพ์ |
แต่รักเจ้ายิ่งกว่าของทั้งสองนั้น | เราหมายมั่นว่าจะให้ดั่งใจจง |
เจ้าพราหมณ์น้อยชอบใจสิ่งไรเจ้า | จงเลือกเอาสิ่งเดียวโดยประสงค์ |
เจ้าพราหมณ์น้อยอภิวาทบาทบงสุ์ | แล้วหยิบเอาธำมรงค์อันรูจี |
พระจอมราชสุริยวงศ์ทรงพระยศ | เห็นปรากฏตามลองยิ่งหมองศรี |
อาดูรดิ้นจินดาให้ราคี | โอ้เจ้าพี่หรือมาแกล้งจำแลงกาย |
เป็นแต่เงาไหวไหวในกระจก | สุดจะยกออกชมให้สมหมาย |
จะว่านุชนิ่มเนื้อหรือเชื้อชาย | ดูคล้ายคล้ายเคลือบแคลงระแวงใจ |
พระปิ่นปักจักรพงศ์ดำรงโลก | กระสันโศกพิศวงให้สงสัย |
ดูเจ้าพราหมณ์เหมือนนางค่อยสร่างใจ | ลืมอาลัยห้ามแหนแสนอนงค์ |
ลืมภิรมย์สมสนิทพิศวาส | พระนุชนาฏยี่สุ่นดรุณหง |
ไม่วายพิศวาสพราหมณ์อันงามทรง | ละเลิงหลงมิได้ลืมอาลัยลาน |
ปางพระองค์ไสยาสน์บนอาสน์แก้ว | ให้ผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ |
เจ้าพราหมณ์น้อยเคียงแท่นแสนสำราญ | คอยรับรสพจมานโองการเธอ |
ปางเสวยพระกระยาวรารส | พราหมณ์ประณตน้อมนอบหมอบเสนอ |
ถวายพัชนีวีบำเรอ | ภูธรเธอทัศนาเป็นอาจิณ |
ปางเสด็จจรลีเข้าที่สรง | พราหมณ์สีบาทบงสุ์พระทรงศิลป์ |
บิดภูษาผ้าทรงองค์นรินทร์ | พราหมณ์ยุพินเสน่หาพระสามี |
ปางพระองค์ทรงแต่งเรื่องอิเหนา | พราหมณ์ก็เข้าเคียงเขียนอักษรศรี |
เมื่อท้าวติดพราหมณ์ก็ต่อได้พอดี | ท้าวเธอมีพิศวาสประภาษชม |
เจ้าพราหมณ์น้อยปราโมทย์ยิ่งโปรดนัก | ยิ่งกว่าองค์นงลักษณ์นักสนม |
จนห้ามแหนแสนเคืองทุกคนตรม | อกระทมไปทุกคนด้วยจนใจ ฯ |