- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวพรหมทัตประพาสไพร ได้นางยักษ์แปลงเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๒ ท้าวพรหมทัตตรัสสั่งประหารพระมเหสีและพระราชโอรส แต่เพชฌฆาตปล่อยไป
- ตอนที่ ๓ นางสุวรรณอำภากับลักษณวงศ์เดินดงขณะบรรทม ท้าววิรุญมาศปลุกนางแล้วพาไปเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๔ ลักษณวงศ์ตามหามารดาจนได้พบนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๕ ลักษณวงศ์อยู่เรียนวิชากับพระฤๅษี สำเร็จแล้วไปตามหาพระมารดาที่เมืองมยุรา
- ตอนที่ ๖ ลักษณวงศ์พบพระมารดาที่เมืองมยุรา แล้วเชิญเสด็จหนีออกจากเมือง
- ตอนที่ ๗ ท้าววิรุญมาศรบกับลักษณวงศ์ แล้วต้องศรสิ้นชีพ
- ตอนที่ ๘ ทำศพท้าววิรุญมาศ
- ตอนที่ ๙ ลักษณวงศ์ครองเมืองมยุรา
- ตอนที่ ๑๐ ลักษณวงศ์เสด็จกลับเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๑ ลักษณวงศ์เสด็จเข้าเมืองพาราณสี
- ตอนที่ ๑๒ นางทิพเกสรไปอยู่กับห้ากินรี
- ตอนที่ ๑๓ ลักษณวงศ์เดินทางไปรับนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๑๔ ลักษณวงศ์พานางทิพเกสรกลับเมือง ขณะบรรทม วิชาธรลักนางไปทำให้พลัดกัน
- ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๑๖ ท้าวกรดสุริกาลอภิเษกลักษณวงศ์กับนางยี่สุ่น ครองเมืองยุบล
- ตอนที่ ๑๗ พราหมณ์เกสรพบนายพราน ครั้นทราบข่าวลักษณวงศ์ จึงขอให้มาเข้าถวายตัว
- ตอนที่ ๑๘ นางยี่สุ่นหึง แต่งอุบายให้ประหารพราหมณ์เกสร
- ตอนที่ ๑๙ ลักษณวงศ์โศกถึงนางทิพเกสร
- ตอนที่ ๒๐ ทำศพนางทิพเกสร
ตอนที่ ๑๕ ลักษณวงศ์ตามหานางทิพเกสรไปถึงเมืองยุบล แล้วได้นางยี่สุ่นเป็นพระชายา
๏ ขอยกเรื่องโฉมงามเจ้าพราหมณ์น้อย | ที่โศกสร้อยสืบเสาะแสวงหา |
จะกล่าวถึงลักษณวงศ์ทรงศักดา | ต้องมนต์ยาวิชาธเรศสนิทนอน |
ครั้นมนต์ยาเสื่อมสร่างสว่างเนตร | พอสุริเยศเยี่ยมเมรุสิงขร |
พิรุณโรยโปรยปรายละอองออน | ก็ซับซาบเกสรสุมาลี |
หอมฟุ้งจรุงรสเรณูรื่น | มาชวยชื่นนาสาพระโฉมศรี |
พลิกผวาคว้ากอดพระเทวี | ไม่พบศรีสวาทเศร้าเปล่าอุรา |
เอะประหลาดหลากจิตผิดสังเกต | ลืมพระเนตรเหลียวซ้ายแล้วแลขวา |
ไม่ยลพักตร์เยาวลักษณ์ดวงสุดา | ก็โหยหาครวญครํ่ารํ่าพิไร |
กันแสงทรงโศกศัลย์ถึงขวัญเนตร | เยาวเรศยาจิตพิสมัย |
โอ้โอ๋แก้วแววตาสุมาลัย | เออผู้ใดพาพรากไปจากทรวง |
แม้นมิได้พานพบประสบมิตร | มิขอคิดคืนหลังเข้าวังหลวง |
จะเที่ยวตามแก้วตากานดาดวง | ระกำทรวงสู้ม้วยด้วยทรามวัย |
แม้นใครคืนเยาวลักษณ์อัคเรศ | ถึงดวงเนตรยอดรักจะควักให้ |
เราไม่คิดฆ่าฟันให้บรรลัย | อันความสัตย์นี้จะไว้แก่เทวา |
พี่เสียใจสุดใจพี่อยู่แล้ว | เหมือนเสียแก้วนัยน์เนตรทั้งซ้ายขวา |
เสียแรงเรืองฤทธิรณจนลือชา | มาเสียเมียแนบอุราน่าอับอาย |
เมื่อครั้งก่อนอ่อนฤทธิ์แล้วอ่อนร่าง | พระมารดาอยู่กับข้างก็สูญหาย |
ต้องวิโยคโศกหนักพอหักอาย | ถึงพวกชายก็จะเห็นหัวอกกัน |
อันครั้งนี้สุดอายหัวอกโศก | ทั้งตรีโลกก็จะชวนกันสรวลสันต์ |
ชอบแต่ฟาดฟันกายให้ตายพลัน | ครองชีวันยืนอยู่หรือดูดี |
สงสารนักจักรพงศ์ดำรงโลก | กันแสงโศกโหยไห้ในไพรศรี |
แต่พลบคํ่าสนธยาเข้าราตรี | จนรุ่งศรีเรืองแสงสุริยง |
อัสดรวอนทูลว่าทูลเกล้า | อย่าโศกเศร้ารำพึงตะลึงหลง |
มิใช่ว่าตื่นอยู่ได้รู้องค์ | เขาขืนคงชิงนางจะน้อยใจ |
หลับสนิทแล้วเขาคิดสะกดเล่า | นี่หากเขามิได้ฆ่าให้ตักษัย |
เสียแต่ยอดเยาวลักษณ์จงหักใจ | เร่งตามไปให้พบประสบกัน |
แต่พระรามสุริย์วงศ์อันทรงเดช | กับดวงเนตรสีดาสาวสวรรค์ |
ทั้งพระลักษมณ์อนุชาฤทธาครัน | อยู่ด้วยกันสามองค์ดำรงรัก |
แต่ตื่นอยู่แล้วน้องประคองข้าง | ยังเสียนางโฉมยงผู้ทรงศักดิ์ |
ละเลิงหลงด้วยพยศทศพักตร์ | มาเสียศักดิ์อับอายแก่ชายชาญ |
เธอยังคิดมานะสละอาย | เที่ยวสืบสายเรื่องราวฟังข่าวสาร |
จนได้นางล้างโคตรกุมภัณฑ์พาล | พอแก้การอัปยศด้วยเดชา |
จงดับโศกเชิญเสด็จระเห็จเหาะ | เที่ยวสืบเสาะมิ่งมิตรขนิษฐา |
ดีร้ายจะได้เหมือนพระรามา | ได้ดูหน้าข้าศึกฮึกคะนอง |
พระทรงยศฟังรสสุนทรเรื่อง | ค่อยปลดเปลื้องบรรเทาที่เศร้าหมอง |
ขึ้นทรงม้าอาชาไนยดั่งใจปอง | เผ่นผยองล่องฟ้าเที่ยวหานาง |
กระเหว่าแว่วดังเสียงสำเนียงนุช | ขยับหยุดฟังเปล่าเห็นเขาขวาง |
ทอดพระเนตรแลหาทุกท่าทาง | พระดูพลางเรียกพลางมากลางดง |
เที่ยวลัดเลาะเสาะแสวงทุกแห่งหน | สุดจะค้นเหาะหาในป่าระหง |
โหยละห้อยลอยฟ้ากับม้าทรง | เห็นนครร่อนลงเที่ยวสืบความ |
แล้วปลอมแปลงแต่งกายให้คล้ายเขา | ดูลาดเลาหลอกหลอนแล้ววอนถาม |
ไม่ได้ข่าวร้อยชั่งก็ตั้งตาม | พยายามยากแค้นเป็นแสนตรม |
ไม่เป็นอันบรรทมกรมเทวษ | เสวยแต่ชลเนตรจนซูบผอม |
พระองค์อบแต่ละอองจนหมองมอม | กำลังตรอมมิได้ตรงลงสรงชล |
เที่ยวไปทุกธานีบุรีรุด | ยิ่งสืบนุชก็ยิ่งสูญอนุสนธิ์ |
ค่อยเลื่อนฟ้ามองหานฤมล | ถึงยุบลนครังอลังกรณ์ |
จอมกษัตริย์ครองเมืองเรืองพระยศ | ชื่อท้าวกรดสุริกาลชาญสมร |
มเหสีชื่อมณีอัมพร | จอมสมรเอกองค์อนงค์ใน |
มีพระราชธิดาวราพักตร์ | วิไลลักษณ์เลิศลํ้าในตํ่าใต้ |
ชื่อยี่สุ่นสุมาลีศรีประไพ | นางทรามวัยชันษาสิบห้าปี |
โฉมพระลักษณวงศ์ทรงสวัสดิ์ | พระชักอัสดรลงในสวนศรี |
รำถึกถึงพระคุณพระมุนี | เสกพาชีขอดชายภูษาทรง |
แล้วลินลามาตามพนัสสวน | มีแต่ล้วนจำปาแลกาหลง |
เห็นกระท่อมทับยายอยู่ชายดง | จักรพงศ์ค่อยคลายสบายบาน |
ตำหนักสร้างกลางสวนแสนสนุก | มีหน้ามุขทางลงสรงสนาน |
ไม่เห็นคนรักษาพยาบาล | พระกุมารหยุดพักตำหนักใน |
ทอดพระเนตรเห็นยายอยู่ชายสวน | พระคิดควรจะไปหาเข้าอาศัย |
จำจะแปลงไปให้เห็นว่าเข็ญใจ | ทำอย่าให้ยายเฒ่ารู้เท่าทัน |
แล้วเปลื้องเครื่องอาภรณ์ศรพระแสง | เอาห่อแฝงซุกซ่อนในสวนขวัญ |
จึ่งเสด็จลินลามาโดยพลัน | จรจัลเข้าไปหายายมาลี |
เห็นมาลายายปลิดประดิษฐ์ร้อย | เป็นพวงสร้อยสนสับประดับสี |
พระแย้มโอษฐ์พจมานไปทันที | คุณยายนี้ช่างร้อยมาลัยงาม ฯ |
๏ ยายมาลีเห็นองค์พระทรงศักดิ์ | ให้นึกรักภูวไนยแล้วไถ่ถาม |
พ่อหนุ่มน้อยอยู่ไหนนะโฉมงาม | ทำไมลามเข้ามาเล่นในอุทยาน |
คุณยายจ๋าหลานจนเป็นคนยาก | แสนลำบากบุกป่าพนาสาณฑ์ |
กับน้องน้อยเวทนามาช้านาน | เยาวมาลย์นุชน้องเจ้าหายไป |
อนิจจาอนิจจังน่าสังเวช | บังเกิดเหตุยากเข็ญเป็นไฉน |
นี่พ่ออยู่ธานีบุรีใด | เออทำไมจึ่งมาในป่าดง |
เป็นลูกใครรูปร่างเหมือนอย่างเขียน | ดูงามเจียนรูปเจ้าราวกับหงส์ |
พระฟังยายซักความถามถึงวงศ์ | จักรพงศ์แจ้งเรื่องจนจบความ ฯ |
๏ แม่ยาย[๑]เจ้าหลานจะเล่าก็ใจหาย | เจียนจะตายอยู่ในป่าพนาหนาม |
เป็นบุญไม่มรณาได้มาตาม | แม่รู้ความน้องข้าบ้างหรืออย่างไร |
ชื่อเกสรรูปนางนั้นร่างน้อย | กำลังละห้อยพักตร์น้องก็หมองไหม้ |
ได้ฟังข่าวเล่ากันเป็นฉันใด | ใครเขาไปได้นางอย่างพรางเลย ฯ |
๏ อนิจจังฟังว่าก็น่ารัก | ไม่รู้จักเยาวมาลย์นะหลานเอ๋ย |
ไม่รู้ข่าวเล่าความนางทรามเชย | แม่ละเลยหลงพี่ไปแห่งใด |
โอ้แม่คุณฉันชํ้าระยำยาก | บุกลำบากเหนื่อยมาขออาศัย |
ไม่เห็นตัวพ่อตานี้อาลัย | ตาไปไหนจึ่งอยู่แต่แม่ยาย ฯ |
๏ พ่อเอ๋ยยายจะเล่าถึงเฒ่าชั่ว | แก่แต่ตัวนํ้าใจนี้ใจหาย |
แต่หลงรักชาววังคลั่งไม่วาย | จวนจะตายยังเที่ยวเพ้อละเมอรัก |
พ่อจะอยู่ด้วยยายหรือสายใจ[๒] | ยุพเรศชื่อไรไม่รู้จัก |
ฉันชื่อลักษณวงศ์ผู้ทรงลักษณ์ | ขอหยุดพักพึ่งแม่แต่พอคลาย |
อุเหม่เจ้าลักษณ์น่ารักเจียวหลานแก้ว | จะอยู่แล้วบังอรจงสอนง่าย |
อย่าคบพาลพาผิดมาติดยาย | ค่อยสบายแล้วพ่อจึ่งจรจัล |
พ่ออยู่แล้วแก้วตารักษาเหย้า | ยายจะเข้าไปเฝ้าสาวสวรรค์ |
ชื่อยี่สุ่นสุมาลีศรีสุวรรณ | พระนางนั้นเป็นราชธิดา |
เอามาลัยไปถวายประดับองค์ | นางจะทรงออกนั่งที่ข้างหน้า |
พรุ่งนี้จะสระสนานประสานงา | ผัดพญาช้างทรงชื่อกรงทอง |
สั่งแล้วเอามาลัยเข้าไปถวาย | นางโฉมฉายงามศรีไม่มีสอง |
บังคมลามาเรือนเตือนพระทอง | อย่าเศร้าหมองพรุ่งนี้จะมีงาน ฯ |
๏ พระสดับวาทียายมาลีโลม | คิดถึงโฉมเกสรยอดสงสาร |
แม้นมาด้วยพี่จะพายุพาพาล | ชมคเชนทร์สระสนานสำราญใจ |
เดชะบุญพรุ่งนี้ให้พี่พบ | ให้ประสบมิ่งมิตรพิสมัย |
พระนิ่งนึกบรรทมยิ่งตรมใจ | จนอาทิตย์อุทัยประเทืองเรือง |
พนักงานช้างมิ่งวิ่งระเห็จ | ตีสิบเบ็ด[๓] เสร็จสรรพประดับเครื่อง |
ขุนนางขี่คองามอร่ามเรือง | ทนายตามนองเนืองถือเครื่องยศ |
พฤฒาเฒ่าถือสังข์มานั่งแซ่ | ทั้งเกณฑ์แห่กองหัตถ์ก็จัดหมด |
ทั้งพวกห้อเหี้ยมหาญพานพยศ | ก็เตรียมหมดคอยองค์พระทรงภพ |
ทั้งชายหญิงวิ่งพรูมาดูดาษ | เอี่ยมสะอาดห่มนุ่งฟุ้งตรลบ |
โฉมพระลักษณวงศ์ดำรงภพ | เที่ยวตลบหาองค์อนงค์นาง ฯ |
๏ ปางพระกรดสุริกาลเกศกระษัตริย์ | พร้อมขนัดนางงามตามสล้าง |
ทั้งเอกอัครธิดาพญานาง | องค์สำอางยี่สุ่นสุมาลี |
เสด็จขึ้นพลับพลาหน้าสนาม | เรืองอร่ามพราวพรับระยับศรี |
ส่วนโฉมยงองค์ยี่สุ่นสุมาลี | พระเทวีเยี่ยมพักตร์ดังเพ็งจันทร์ |
ดูชายหญิงยืนนั่งสะพรั่งพักตร์ | เห็นพระลักษณวงศ์ทรงกระสัน |
ส่วนพระหน่อสุริย์วงศ์ผู้ทรงธรรม์ | ก็ผินผันพักตร์พบประสบตา |
พระชายเนตรเคียงคมประสมเนตร[๔] | ร่ายพระเวทแล้วประทับด้วยคาถา |
ทั้งสององค์หลงเล่นนัยนา | เขาแห่มาพรั่งพรูไม่ดูเลย |
ตั้งโห่แห่แตรสังข์ประดังเสียง | คชาเคียงเรียงหน้างาจะเสย |
หัสดินทร์เป็นลำดับประทับเกย | พราหมณ์ก็เอ่ยโองการพระอิศรา |
นํ้าสังข์โรยโปรยประศีรษะช้าง | ยืนสล้างเริงเรียงอยู่เคียงหน้า |
แล้วปล่อยห้อควบปลิวเป็นทิวมา | ดูบาทาดั่งว่าลอยมากลางลม |
ให้คนขยันสันทัดเข้าผัดช้าง | พอผัดผางช้างพวยจะฉวยผม |
งวงกับพัดปัดใกล้มันไล่กลม[๕] | ข้างถลมคนถลำปะรำมิด |
อ้ายช้างแย่งแทงซ้ำปะรำหัก[๖] | ไล่สลักคว้าไขว่กันหวิดหวิด |
อ้ายคนผัดวิ่งรุดจนสุดฤทธิ์ | อ้ายช้างชิดฉวยแย่งแล้วแทงตาย |
ครั้นคนครืนตื่นอึงอุตลุด | วิ่งสะดุดล้มควํ่าคะมำหงาย |
บ้างผ้าลุ่ยของตกหกกระจาย | อ้ายคนร้ายคอยรูดเอาแหวนทอง |
สระสนานการเสร็จเสด็จเข้า | พระนงเยาว์ยี่สุ่นก็มุ่นหมอง |
ไม่ยลพักตร์ยอดรักพระรูปทอง | นวลละอองอาดูรพูนทวี |
พระกุมารมาดหมายสายสวาท | ไม่เห็นนาฏนุชน้องก็หมองศรี |
ต่างองค์ต่างตรมไม่สมประดี | พระจักรีปั่นป่วนรัญจวนใจ ฯ |
๏ ยายมาลีเห็นองค์พระทรงศักดิ์ | ไม่เบือนพักตร์พูดจาทักปราศรัย |
แต่กลับมาก็ไสยาสน์ประหลาดใจ | จึ่งปราศรัยพจมานกับหลานรัก |
พ่อพุ่มพวงดวงเนตรเหตุไฉน | ไม่เล่าให้ยายฟังแจ้งประจักษ์ |
สระสนานการสุขสนุกนัก | พ่อยอดรักดูสบายหรือสายใจ ฯ |
๏ พระนรินทร์ยินยายภิปรายถาม | พระจำจิตแจ้งความเฉลยไข |
หลานไม่รู้ว่าสำราญประการใด | ในอกใจไฟจี้ก็เจียนกัน |
พ่อดวงเนตรเหตุไรไฉนหลาน | จึ่งรำคาญเคืองแค้นแสนกระสัน |
แม่ยายเอ๋ยอกพองเป็นหนองครัน | ดังใครหันหน้าปืนจ้องยืนยิง |
ด้วยเจ็บใจจากน้องหมองเทวษ | ไม่วายเนตรสอดหาสมรมิ่ง |
ได้เห็นองค์นงรามนั้นงามจริง | เจ้าครอกหญิงยอดราชธิดา |
เจ้าทรงโฉมเฉิดฉินเป็นปิ่นสมร | ช่างเหมือนแม่เกสรขนิษฐา |
แต่หลงแลดูนางไม่วางตา | พยักหน้านางยิ้มก็ยินดี |
ครั้นดูนานเห็นผิดจริตนุช | เพียงจะทรุดแทรกพื้นแผ่นดินหนี |
นางจะเคืองพระทัยหรือไมตรี | ไม่รู้ที่จะประมาณในการคิด |
ทั้งแสนทุกข์ถึงน้องต้องวิโยค | ทั้งแสนโศกถึงตัวด้วยกลัวผิด |
ทั้งความรักนิ่มนุชก็สุดฤทธิ์ | เห็นสุดคิดหลานแล้วเจ้าคุณยาย ฯ |
๏ ยายมาลีตีอกดูเอาเถอะ | ทำหลงเลอะเล่นข้าให้ฉิบหาย |
พ่อแก้วตาจะมาพาให้ยายตาย | จงผันผายไปให้พ้นจากเรือนเรา |
เจ้าคุณยายอย่าตะพายแต่โมโห | จะสุโขโอ่เอี่ยมขึ้นเทียมเขา |
จะขี่วอช่อฟ้าหลังคาเพรา | คนคุกเข่าขอรับประนมกร |
อันเดือนนี้ในโฉลกเป็นโชคหลาน | โหราจารย์ทายไว้จะได้สมร |
ตกที่นั่งจักรีพระสี่กร | พระเคราะห์จรคุมจันทร์จะได้เมีย |
แต่จะได้ที่พึ่งเป็นผู้เฒ่า | เป็นคนเข้าปราศรัยจะได้เสีย |
พิเคราะห์ความเห็นงามข้างได้เมีย | แม่อย่าเสียใจลาภจะสูญลอย ฯ |
๏ ไม่ได้แล้วแก้วตาอย่าว่าเล่น | ไม่ทันเห็นก็จะยับเป็นสับฝอย |
ยิ่งยากแล้วยังมาซํ้าระยำพลอย | อย่ากล่าวถ้อยเจรจาจงคลาไคล |
พระกุมารเห็นยายไม่คลายโกรธ | จึ่งเอื้อนโอษฐ์พจนาแล้วปราศรัย |
เอ็นดูหลานคนเข็ญไม่เห็นใคร | เมื่อแม่ไม่เมตตาก็ถ้าจน |
ยายได้ฟังสุนทรอันอ่อนหวาน | สงสารหลานจะต้องเร่ระเหระหน |
จึ่งปลอบว่าขวัญตารักษาตน | จงเจียมจนพ่อคุณอย่าวุ่นวาย |
พระอ่านมนต์สญชีพ[๗]ให้ยายชื่น | เห็นไม่ขืนอารมณ์คงสมหมาย |
จึ่งว้าวอนอ่อนหวานประโลมยาย | อันหลานชายนี้มาตรองทำนองความ |
ตัวก็จนแล้วเป็นคนไม่มีจ้าว[๘] | มีแต่คาวปากคนว่าหยาบหยาม |
จะขอเข้าเป็นข้าพะงางาม | เมื่อถึงยามทุกข์ร้อนได้ผ่อนเย็น |
ช่วยทูลทีเถิดแม่ยายถวายฉัน | ที่การนั้นก็จะทำไปตามเข็ญ |
เป็นขอเฝ้าฉันก็เหลาไม้กลัดเป็น | พอวิ่งเต้นตามเสด็จพระธิดา |
แม้นกุศลหนหลังประทังช่วย | ก็คงรวยดั่งมาดปรารถนา |
รับเบี้ยหวัดซัดเพลาะให้เหมาะตา | ได้เสื้อผ้าเงินทองมาเลี้ยงยาย |
สองสนองสนทนาปรึกษากัน | พระสุริยันเลี้ยวลับดับดวงหาย |
พระรูปทองหมองหมางไม่วางวาย | คิดถึงสายสมรมิตรไม่นิทรา |
เข้ายามหนึ่งพระคะนึงถึงยามสอง | แต่ตรึกตรองรำจวนให้หวนหา |
จนยามสามยํ่ายามเป็นสามครา | พระกรก่ายพักตราแล้วบรรทม |
สวาทมิตรจิตจงจนทรงฝัน | ว่าสาวสวรรค์เจ้ามาแนบพระทรวงสม |
ละเมอทรงพระสรวลสำรวลชม | แต่โลมลมจนพระกรนั้นอ่อนเอียง |
สะดุ้งฟื้นตื่นคว้าริมฝาเฝือง | ออกปล่างเปรื่องเชี่ยนขันสนั่นเสียง |
พระเนตรลายหมายแน่ว่านางเมียง | พระส่งเสียงร้องเชิญนางโฉมงาม |
แม่ขวัญเมืองเคืองพี่หรือน้องแก้ว | มาถึงแล้วมิ่งมิตรอย่าคิดขาม |
พระเดินตรงหลงคว้าพะงางาม | เลียงโครมครามยายตื่นรู้สึกตัว |
จึ่งร้องทักหลานรักอะไรนั่น | ไม่มีขวัญเลยนะพ่อทูนหัว |
พระรู้สึกองค์แน่ก็แก้ตัว | อ้ายคนชั่วเป็นขโมยขึ้นเมียงมอง |
ฉันลุกไล่มันถลาฉันคว้าผิด | รอดชีวิตโดดผางไปทางช่อง |
ยายมาลีดีใจดั่งได้ทอง | พ่อร่วมห้องมิเสียแรงรักษาเรือน ฯ |
๏ พระนรินทร์เอนองค์ลงเทวษ | โอ้แม่เกศนารีไม่มีเหมือน |
พี่แสนสวาทจนเพ้อละเมอเฟือน | ขอบุญเตือนเนื้อเย็นให้เห็นรัก |
ได้ยินเสียงฆ้องยามเข้ายํ่ารุ่ง | พระสะดุ้งทรวงเพียงจะโทรมหัก |
ภาณุมาศผาดเผ่นพอเห็นพักตร์ | พระทรงศักดิ์เก็บเลือกมาลากรอง |
ร้อยสลับกลับก้านเป็นนาคเกี้ยว | ตลบเลี้ยวกอดกรหงอนผยอง |
พระร้อยลิ้นด้วยกลีบจำปาทอง | ตาทั้งสองสอดใส่มะกลํ่ากลม |
ดอกยี่สุ่นเป็นพื้นไว้ยืนที่ | แล้วสอดสีดอกเทียนเป็นเศียรสม |
เอารักซ้อนซ้อนกลีบเป็นเกล็ดกลม | แทรกสุกรมมะลุลีมะลิลา |
แล้วแต่งสารสอดใส่เป็นไส้นาค | ดูหลากหลากมาลิศเป็นปริศนา |
พระร้อยแล้วพิศดูก็ปรีดา | แล้วหยิบมายื่นให้ยายมาลี ฯ |
๏ ยายมาลีรับพวงมาลัยนาค | ก็ออกปากงามจริงทุกสิ่งศรี |
เอาถวายพระธิดาเจ้าธานี | เห็นท่วงทีดีแล้วพ่อแก้วตา |
สัพยอกหยอกองค์พระทรงทวีป | แล้วเร่งรีบจรจัลด้วยหรรษา |
เข้าเฝ้าเจ้าจอมขวัญกัลยา | ถวายพวงมาลารูปนาคี |
องค์ยี่สุ่นทรงโฉมโสมนัส | ยื่นพระหัตถ์รับพวงมาลีศรี |
ใส่พระกรแย้มยิ้มด้วยยินดี | ชะวันนี้มาลัยประหลาดงาม |
นี่ยายร้อยหรือว่าใครผู้ใดร้อย | ช่างงามน้อยหรือเป็นงูดูน่าขาม |
ยายประนมบังคมแล้วทูลความ | สีมือ[๙]งามนี้กุมารเป็นหลานชาย |
เจ้าพลัดพรากจากเมืองได้เคืองเข็ญ | ผู้เดียวเด่นเดินมาน่าใจหาย |
กุศลส่งโปร่งปลอดไม่วอดวาย | มาฝากกายอยู่กับข้าก็ปรานี |
เจ้ารู้เจียมกายาประสายาก | จะขอฝากตัวอยู่ใต้บทศรี |
ถวายตัวเป็นข้าฝ่าธุลี | มาลัยนี้เป็นของถวายมือ ฯ |
๏ พระยุพินยินสารโสมนัส | ดังจันทรสัมผัสพระหัตถ์ถือ |
เฉลียวคิดว่าคนนี้มีฝีมือ | ชะรอยคือพระรูปทองที่ต้องตา |
ให้หวั่นหวั่นหวามหวามความสวาท | นุชนาฏนิ่งนึกเสน่หา |
พระเสาวนีย์ตรัสว่ากุมารา | สมัครมาแล้วก็ตามแต่ใจจง |
เขาชื่อไรหลานชายของยายเฒ่า | นิจจาเจ้ายากจนเป็นคนหลง |
ขอประทานชื่อลักษณวงศ์ | นางโฉมยงฟังชื่อยิ่งชื่นใจ |
ยายมาลีทูลลามาหาหลาน | พระกุมารปรีดาเข้าปราศรัย |
แม่ยายเจ้าประคุณฉันอุ่นใจ | นี่ได้การหรือมิได้จึ่งรีบมา |
พ่อดวงจิตสมคิดเราแล้วหลาน | เยาวมาลย์เห็นจะรักเจ้าหนักหนา |
ท่านจะใช้สาวใช้ให้ไปมา | อย่าชะล่านะจะค้างอยู่กลางคัน |
จักรพงศ์ทรงภุชก็สุดปลื้ม | ดังจะลืมเกสรสาวสวรรค์ |
ให้แสนรักโฉมดรุณยี่สุ่นครัน | สุดกระสันถึงสารที่ส่งไป ฯ |
๏ ปางพระยอดนารีศรีสมร | ยอดสุนทรเลิศลํ้าในต่ำใต้ |
จำเดิมได้นาคาสุมาลัย | รำจวนใจจูบพวงภุชงค์ชม |
แกล้งบรรจงให้วิจิตรเป็นปริศนา | ร้อยมาลาเกี่ยวก้านประสานสม |
เห็นเงื่อนสารอยู่ในโอษฐ์นาคาอม | นางทรามชมชักสารสะดุ้งใจ |
พระทรวงเสียวเหลียวดูหน้าสาวสาว | พอหมดคราวเบือนหน้าแล้วปราศรัย |
นางข้าเหล่าสาวสรรค์กำนัลใน | พากันไปเถิดฉันจะบรรทม |
ศรีสวัสดิ์ใส่ดาลทวารชิด | ขึ้นสถิตแท่นสักจำหลักถม |
ค่อยคลายคลี่ศุภสารออกอ่านชม | ปางประถมลิขิตประดิษฐ์คำ ฯ |
๏ ในเรื่องสารทูลถวายพระสายสมร | แม่จันทรแจ่มโลกวิไลขำ |
ด้วยความตรอมทรวงตรึงรึงระกำ | สุดจะกลํ้ากลืนไว้ดั่งไฟฟอน |
พี่ชื่อลักษณวงศ์ผู้ทรงภุช | เป็นราชบุตรนฤบาลชาญสมร |
พระนามท้าวพรหมทัตนรินทร | ครองนครพาราณสีบุรีเรือง |
ได้สดับคำข่าวที่กล่าวโฉม | งามประโลมโลกลือระบือเลื่อง |
แสนเทวษต้องทิ้งพระมิ่งเมือง | สู้ฝืดเคืองข้ามเขาลำเนาดง |
กันดารแดนยักษาแลเสือสีห์ | แทบชีวีจะบรรลัยในไพรระหง |
เสี่ยงกุศลถึงยุพินปิ่นอนงค์ | ไม่ปลดปลงปลอดมาถึงธานี |
เมื่อเสด็จวันงานสนานช้าง | ได้ยกพักตร์น้องนางสำอางศรี |
แสนสวาทมาดหมายไม่วายทวี | สักราตรีมิได้หลับลงเต็มตา |
สุดตรมแล้วจึ่งตรองสนองสาร | ถึงเยาวมาลย์มิ่งมิตรขนิษฐา |
ขอฝากกายถวายชีพชีวา | อนาถามิได้มีต้นไม้ทอง |
แม่แก้วเกศนาเรศจำเริญราช | นุชนาฏนวลนางอย่าหมางหมอง |
ตัดสวาทเหมือนขาดเชื่อมแผ่นดินทอง | อันจะครองชีวิตอย่าคิดเอย ฯ |
๏ ครั้นเสร็จอ่านสารองค์พระทรงยศ | ดั่งได้รสอำมฤคมาทรงเสวย |
เจ้าจับสารจุมพิตแล้วชิดเชย | เอาเสียดเสยแทรกถันแล้วบรรทม |
ทอดพระทัยรำจวนให้หวนหา | ขอเทวาโปรดด้วยช่วยอุ้มสม |
แม้นมิได้ร่วมชื่นภิรมย์ชม | อกจะกรมกรอมม้วยลงด้วยรัก |
อย่าเลยจะบรรหารสารสวัสดิ์ | ให้พระฉัตรชมพูรู้ประจักษ์ |
ดำริแล้วโฉมยงนางนงลักษณ์ | ก็แต่งอักษรรสพจมาน |
แล้วสอดใส่เป็นไส้มาลัยนาค | จึ่งหับปากนาคปิดมิดสมาน |
ครั้งรุ่งจรัสรัศมีสุริยกาล | เยาวมาลย์คอยหายายมาลี |
พอเหลือบเห็นยายชรา[๑๐]เข้ามาเฝ้า | โฉมเฉลาปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
ยื่นพระหัตถ์รับห่อสุมาลี | พระเสาวนีย์แย้มพรายภิปรายเปรย |
พวงมาลัยนาคาดูน่ารัก | เสียดายนักโรยรายแล้วยายเอ๋ย |
รักจะใคร่ได้ใหม่เอาไว้เชย | เคียงเขนยคํ่าคืนพอชื่นตา |
จะร้อยใหม่ที่ไหนจะเหมือนเก่า | จงคืนเอาพวงนี้ไปเคหา |
ให้ร้อยใหม่เหมือนเก่าแล้วเอามา | พอสุริยาสายัณห์ให้ทันเชย |
ยายมาลีประนมบังคมกลับ | มาถึงทับแจ้งสารว่าหลานเอ๋ย |
พระธิดาชอบพระทัยกระไรเลย | นางทรามเชยพอเห็นก็ตักเตือน |
พวงมาลัยถวายวานประทานกลับ | ให้งามสรรพร้อยใหม่ให้ได้เหมือน |
พ่อเร่งร้อยดวงจิตอย่าบิดเบือน | พอบ่ายเคลื่อนสุริยาจะคลาไคล |
พระกุมารยิ้มรับแล้วกลับพักตร์ | ไปตำหนักกลางสวนที่อาศัย |
พิศดูนาคาสุมาลัย | แล้วชักไส้คลี่สารออกอ่านพลัน ฯ |
๏ ในเรื่องสารว่ายี่สุ่นดรุณเรศ | ทอดพระเนตรเห็นสารเกษมสันต์ |
แต่กอดสารจูบสารแล้วอ่านพลัน | พระทัยนั้นลิงโลดอาลัยลาน[๑๑] |
พระองค์หมายมาถวายชีวาวาตม์ | ก็แสนสวาทพิศวงให้สงสาร |
พระนเรศหรือมาเวทนานาน | ทนกันดารแดดลมระบมกาย |
ไม่ควรสมจะบรรทมกระท่อมทับ | ขอเชิญกลับวังราชปราสาทฉาย |
ไม่ควรเลยจะเสวยโภชนายาย | ควรเสวยของถวายสุคนธาร |
เวลาดึกกำดัดสงัดเงียบ | จงเลี่ยงเลียบหลีกไปให้ไกลสถาน |
เมือสิ้นแสงจันทร์จำรัสชัชวาล | นฤบาลจงเสด็จไปเสียเอย ฯ |
๏ จักรพงศ์ทรงอ่านสารสนอง | น้อยหรือน้องฉลาดเพี้ยนเปลี่ยนเฉลย |
ที่คำขับนั้นเห็นนวลจะชวนเชย | เมื่อไรเลยสุริยนจะสนธยา |
พระทรงฤทธิ์ยิ่งคิดก็ยิ่งรัก | ก้มพระพักตร์กรองดวงพวงบุปผา |
ประเดี๋ยวใจมาลัยเป็นนาคา | เสร็จแล้วมามอบหมายให้ยายพลัน |
ฝ่ายยายเฒ่าเข้าวังดั่งประสงค์ | ถวายพวงภุชงค์แก่สาวสวรรค์ |
แล้วยอกรประนมบังคมคัล | จรจัลมายังกระท่อมตน ฯ |
๏ ปางพระยอดกัลยาเจ้าฟ้าหญิง | ประคองมิ่งมาลัยพระทัยฉงน |
ไม่เห็นไส้นาคาสารากล | นฤมลหมองไหม้พระทัยแคลง |
หรือพระองค์ทรงอ่านซึ่งสารน้อง | ไม่ทันตรองทรงฤทธิ์มาคิดแหนง |
ขอเทเวศเรืองเดชช่วยชี้แจง | ให้ท้าวแจ้งใจน้องเสด็จมา |
เมื่อไรเลยสุริยงจะลงลับ | จะคอยรับเสด็จพระเชษฐา |
เผยพระแกลแลดูพระสุริยา | วนิดาเดือดดาลรำคาญใจ ฯ |
๏ ปางพระลักษณวงศ์ผู้ทรงศักดิ์ | ให้ร้อนรักรึงจิตพิสมัย |
แต่เวียนอ่านสารสนองสว่างใจ | จนสุริย์ใสเลี้ยวลับอัสดง |
ทำและเลียมเยี่ยมยายแล้วผายผัน | ดำเนินไปตำหนักจันทน์ของนวลหง |
มาหยิบห่ออาภรณ์แลศรทอง | ประดับองค์ดุจองค์อมรินทร์ |
แล้วแก้รูปอาขาม้าขี้ผึ้ง | รำลึกถึงทรงพรตปรากฏศิลป์ |
นั่งประนมภาวนาไม่ราคิน | ขี้ผึ้งภิญโญใหญ่เป็นพาชี |
พระแย้มโอษฐ์ออกเอื้อนพี่เพื่อนชีพ | แต่เรารีบค้นหามารศรี |
ไปเที่ยวทนทรมาทุกธานี | มาอยู่นี่ลาภเกิดประเสริฐครัน |
พระธิดากรุงกระษัตริย์เจ้านัดแนะ | จำจะแวะเข้าไปหาสุดาสวรรค์ |
อัสดรอ่อนเศียรสนองพลัน | นางแจ่มจันทร์ยังทุกข์อยู่ในไพร |
สงสารเกสรน้อยจะคอยหา | จะมาช้าอยู่แล้วกรรมทำไฉน |
แม้นทราบถึงยอดสร้อยจะน้อยใจ | จงรีบไปเถิดอย่าเห็นแก่มุ้งทอง |
ทรงพระสรวลตรัสว่าพี่ม้าแก้ว | ถ้าไปแล้วเห็นจะตายด้วยรายหมอง |
กุศลส่งคงสมอารมณ์ปอง | เรื่องนางน้องหยุดสักหน่อยจึงค่อยตาม ฯ |
๏ อนิจจาฟังฟังก็สังเวช | พระทรงเดชเดินป่าพนาหนาม |
ไม่มีแท่นบรรทมให้สมงาม | จึ่งตรัสความว่าจะอยู่บรรทมสบาย |
เท่านั้นเถิดอัสดรอย่าค่อนพ้อ | นี่ปากคอกระไรน่าใจหาย |
พระจันทร์แจ่มแจ้งฟ้าดาราราย | เราผันผายเข้าไปหยุดอยู่ในวัง |
พระตรัสแล้วทรงพญาอาชาชาญ | เผ่นทะยานเหาะไปดั่งใจหวัง |
เห็นปราสาทสามปรางค์อยู่กลางวัง | ให้อำปลังมิได้แจ้งประจักษ์ใจ |
ปราสาทไหนขององค์พระนงนุช | จำจะหยุดฟังสารเขาขานไข |
แล้วชักม้าลงแฝงกำแพงใน | พระตรัสให้กัณฐัศว์ประทับคอย |
จึ่งแอบองค์ไปที่หน้าศาลาเฉียง | คอยฟังเสียงนางร้องสนองถ้อย |
บ้างเดินท่ารำละครอยู่อ่อนช้อย | ล้วนน้อยน้อยหน้านวลเที่ยวกรีดกราย |
รังสีจันทร์จับแสงกับแป้งผัด | ยิ่งจำรัสนวลเพริศดูเฉิดฉาย |
ใส่มงกุฎสาวน้อยเที่ยวลอยชาย | เที่ยวเดินกรายชวนกันใส่รัดเกล้ามา |
หยิบบุหรี่ยื่นส่งให้นงนุช | แมไปจุดให้ทีเจ้าพี่จ่า |
บ้างเล่นงูกินหางกลางชาลา | ล้วนแต่ผ้าพันเอวไม่อายกัน |
บ้างก็เล่นปะเปิงมือปะอก | พูดตลกเจรจาเป็นน่าขัน |
บ้างเรียกร้องน้องสูบบุหรี่จันทน์ | ประทานฉันเถิดแม่ฉิมอย่ายิ้มเยาะ |
บุหรี่จันทน์เห็นแววอยู่แล้วแม่ | กระนั้นแน่ฉันทายให้ถูกเปาะ |
บ้างเดินชักจังหน่อง[๑๒]ทำนองเพราะ | แล้วกระเดาะลิ้นล่อหัวร่อกัน |
บ้างเข้าฉุดแขนชักเล่นซักส้าว | มือใครยาวสาวสอดเอาสองถัน |
บ้างก็เล่นปิดตาเที่ยวหากัน | พอไล่ทันกอดคอหัวร่อดัง |
พอพวกนางโขลนจ่าเขามาพบ | วิ่งตรลบหนีเร้นไม่เห็นหลัง |
นางจ่าจ้านขันเจนตระเวนวัง | ร้องด่าดังว่านางดอกประดู่บาน |
พระธิดาเธอบรรทมอยู่ที่นี่ | ไยจึ่งมีเกรียวกราวออกฉาวฉาน |
ไม่กลัวหลังจะหวะเป็นชะลาน | นี่ปรางค์องค์นงคราญหรือปรางค์ใคร ฯ |
๏ หน่อนรินทร์ยินคำนางโขลนจ่า | ก็รู้ว่าปรางค์อนงค์ไม่สงสัย |
พระแฝงองค์มาหาอาชาไนย | พี่ร่วมใจน้องรู้จักแล้วปรางค์นาง |
จะด่วนจรดวงจันทร์ยังแจ่มจัด | เห็นผิดนัดนุชน้องจะหมองหมาง |
เราแอบอยู่สวนศรีจำปีพลาง | ให้ฝูงนางกำนัลสนิทนอน |
พระทรงภพกับสินธพหยุดประทับ | จนเดือนดับลับราชสิงขร |
พระขึ้นทรงกัณฐัศว์อัสดร | ก็เหาะร่อนเข้าริมบัญชรไชย |
ชม้อยมองตามช่องบัญชรหับ | อัจกลับแสงกระจ่างสว่างไสว |
กำนัลนางนอนกลาดออกดาษไป | งามประไพฉากพับสลับบัง |
ขยับองค์ลงยืนที่พื้นมุข | เกษมสุขสมในพระทัยหวัง |
พอยามสองฆ้องยํ่าประจำวัง | กระซิบสั่งอาชาวราฤทธิ์ |
พี่จงออกไปนอกนคเรศ | เมื่อเกิดเหตุจรจัลให้ทันจิต |
อัสดรสอนองค์พระทรงฤทธิ์ | พ่อดวงจิตระวังองค์ให้จงดี |
แล้วซบเศียรลงประณตบทบาท | เผ่นผงาดเหาะไปยังไพรศรี |
ปางพระหน่อนฤเบศร์ธเรศตรี | ทรงสะกดนารีสนิทนอน |
ยกพระกรเผยพระแกลแลสว่าง | ค่อยเยื้องย่างคลาไคลดั่งไกรสร |
เสาวรสหอมหวนรำจวนจร | พระภูธรแสนชื่นฤทัยทวี |
กรายพระกรกรีดแหวกวิสูตรแก้ว | วะวาบแววนพรัตน์จำรัสศรี |
เห็นพระยอดกัลยากุมารี | บรรทมหลับอยู่บนที่บัลลังก์ทอง |
ตะลึงหลงด้วยงามทรามสวาท | ภูวนาถเปรมปรีดิ์ไม่มีสอง |
ค่อยลดองค์ลงนั่งบัลลังก์ทอง | เสียวสยองซาบสิ้นทั้งอินทรีย์ |
เห็นมาลัยใส่กรสมรมิ่ง | ประจักษ์จริงว่าเป็นองค์นางโฉมศรี |
พระชมโฉมเยาวลักษณ์ภคินี | ชะเจ้าพี่องค์อ่อนดั่งท่อนทอง[๑๓] |
ดั่งทองทิพหยิบวางไว้กลางแท่น | ถึงแกล้งทำก็ไม่แม้นเสมอสอง |
เสมอศักดิ์แล้วไม่เทียมแม่รูปทอง | แม่รูปทิพลอยล่องลงมาดิน |
ละไมหน้าน่ารักพระพักตร์ผ่อง | พระพักตร์ผิวแสงส่องพระเกศิน |
พระเกศแสงแมงทับ[๑๔]ระยับนิล | ระยับนวลภุมรินโขนงนาง |
โขนงเนตรสองปรางอย่างจะย้อย | อย่างจะแย้มแช่มช้อยทั้งสองข้าง |
ทั้งศรีแขงแสงขำดูสำอาง | ดูแสงโอษฐ์สุกอย่างว่าครีบทอง |
ดูคล้ายคล้ายศอหงส์ที่ทรงศอ | ประสานสมกลมคอลออปล้อง |
ลออเปล่งเคร่งพุ่มปทุมทอง | ปทุมเทียบเปรียบลองก็หมองนวล |
แกมมณีผ้ากรองล้วนทองสอด | ล้วนทองสุกแลตลอดทรวงสงวน |
เป็นริ้วงามตามริมนั้นนิ่มนวล | ดูนุ่มนิ่มน่าจะชวนให้มือชม |
แม่โฉมสงวนด่วนจะโลมโสมนัส | สุดมนุษย์สุดกระษัตริย์ไม่เปรียบสม |
กระษัตริย์แสนเมืองมิ่งจะชิงชม | จะชิงชัยกว่าจะล้มชีวาลา |
พระชมโฉมเทวีศรีสวัสดิ์ | ยกพระหัตถ์มิ่งมิตรขนิษฐา |
แม่บรรทมเท่านั้นเถิดขวัญตา | ขอเฝ้ามาเฝ้าแม่จงแลดู ฯ |
๏ สะดุ้งองค์งามปลื้มก็ลืมเนตร | เห็นทรงเดชเรืองยศให้อดสู |
ลุกสะบัดขวัญเมืองชำเลืองดู | ไมเคยรู้รสรักก็ชักอาย |
ทำมารยาทีโกรธพิโรธตรัส | ใครแนะนัดวิ่งวางมาปรางค์ฉาย |
กรรมแล้วกรรมทำกล้ามาหาตาย | ช่างมาดหมายมาคุมเหงไม่เกรงใจ |
เจ้าครอกน้อยเนื้อเหลืองน่าเคืองนัก | ไม่รู้จักขอเฝ้าก็เป็นได้ |
ฉันเจ้าของนาคาสุมาลัย | ยังมิได้เคยเฝ้าก็เข้ามา |
ชะใครเชิญให้มานั่งจึ่งตั้งเรื่อง | เป็นน่าแค้นแสนเคืองนี่หนักหนา |
นี่ศาลาขอเฝ้าหรือเข้ามา | ดูดู๋กล้าขึ้นมานั่งบัลลังก์ทอง |
พี่ไม่เคยรู้แห่งตำแหน่งไหน | คิดว่าเข้ามาได้ถึงในห้อง |
ไม่เคยพบบัลลังก์ขึ้นนั่งลอง | ผิดแล้วน้องแก้วพี่ขอทูลลา |
ขยับองค์ทีจะลงมาจากอาสน์ | ชม้ายผาดพิศดูขนิษฐา[๑๕] |
เจ้าโกรธพี่จริงแล้วหรือแก้วตา | พระภูษานี้ช่างหอมกระไรเลย |
ไฮ้อะไรจี้ไชพิไรเพ้อ | ช่างไม่เก้อแค่นว่าเจ้าข้าเอ๋ย |
เป็นพี่ทุกคำปากไม่อยากเลย | ข้าไม่เคยเดี๋ยวก็ร้องให้ก้องไป. |
ร้องให้ดังเถิดจะฟังพระสุรเสียง | จะเพราะลํ้าสำเนียงสักเพียงไหน |
เขายิ่งว่ายิ่งท้าทายไม่อายใจ | ไม่ออกไปหรือจะทูลพระทรงฤทธิ์ |
พี่ยอมตายขอถวายชีวาวาตม์ | ด้วยสุดสวาทพุ่มพวงแม่ดวงจิต |
อย่าพักท้าข้าจะทูลพระทรงฤทธิ์ | ล้างชีวิตเอาชีวามาไว้เชย |
น้อยหรือคมลมคำช่างรํ่าว่า | จะควรฆ่าพี่เจียวหรือน้องเอ๋ย |
อย่าพักทูลพระจอมกระหม่อมเลย | แม่ทรามเชยเอาพระขรรค์พี่ฟันลง |
ในเรื่องสารที่สนองประคองคิด | แม่ดวงจิตลืมแล้วหรือนวลหง |
เสียแรงมาถึงชีวาจะปลดปลง | ขออุ้มองค์เสียสักหน่อยไม่น้อยใจ |
ไม่น่าขันเขาที่ไหนใครให้สาร | แกล้งมาพาลพูดเล่นก็เป็นได้ |
น่าน้อยจิตสาวสรรค์กำนัลใน | ช่างหลับใหลหมดม้วยไม่ช่วยกัน |
นางโฉมยงลงจากพระแท่นที่ | ทำเป็นทีจะไปปลุกนางสาวสรรค์ |
ผินพระพักตร์ค้อนองค์พระทรงธรรม์ | เจ้าแอบม่านสุวรรณทำรัญจวน |
จักรพงศ์เอนองค์อิงเขนย | บรรทมเฉยมิได้ตามทรามสงวน |
สมรมิ่งเมียงมองชม้อยม้วน | แล้วหันหวนมายังแท่นอันรูจี |
เข้าผลักองค์ภูวนาถบนอาสน์แก้ว | เจ้ากรรมแล้วทำอะไรอย่างไรนี่ |
พระทรงโฉมฉวยกรนางเทวี | นางโฉมศรีเดือดดิ้นไม่ผินพักตร์ |
นางแกะปลิดบิดกรภูธรกอด | นาสิกสอดศรีสวัสดิ์สะบัดผลัก |
นางยิ่งข่วนพระยิ่งเรียงเข้าเพียงพักตร์ | ยิ่งหยิกหนักพระยิ่งจูบประจงชม |
ดังระเด่นปางอยู่ในคูหา | สมพาสนุชบุษบาภิรมย์สม |
สองสำเริงละเลิงลาญสำราญรมย์ | ดังตรีโลกจะล่มทำลายลง |
นางลืมเกรงทรงฤทธิ์บิตุเรศ | พระทรงเดชลืมเมืองเรืองระหง |
นางลืมเหล่าสาวสรรค์กำนัลอนงค์ | พระลืมองค์เกสรสุมามาลย์ |
สองสนุกดั่งได้เชยเสวยสวรรค์ | จนไก่แก้วแจ้วขันสนั่นขาน |
แสงหิรัญเรืองรอบขอบจักรวาล | นฤบาลสาวสวรรค์ก็บรรทม |
สว่างรอบขอบฟ้าดาราดับ | กำลังหลับเคียงชิดสนิทสนม |
กำนัลนางต่างฟื้นตื่นระงม | สาวสนมพระพี่เลี้ยงก็เมียงมอง |
แหวกวิสูตรดูองค์นางทรงโฉม | เห็นชายโลมแนบชมประสมสอง |
ก็ตีอกตื่นตกประหม่ามอง | ขยับย่องยืนขึงตะลึงลาน |
เข้ากอดคอเพื่อนเคียงเข้าเรียงหู | มาไปดูพระธิดาช่างกล้าหาญ |
แล้วพากันหมอบมองค่อยย่องคลาน | เข้าแหวกม่านแล้วสะกิดให้กันดู |
ใครที่ไหนรูปร่างอย่างพระลักษมณ์ | มาร่วมรักพระธิดาน่าอดสู |
เห็นวุ่นวายตายจริงแล้วอกถู | กระชุบซิบเอียงหูเข้าหากัน |
ขยับถอยค่อยย่องมาห้องนอก | ทำมือบอกใบ้ห้ามเนื้อความขัน |
คนโน้นเห็นคนนี้เห็นประหลาดครัน | พัลวันเข้ามาถามความอะไร |
เสียงซุบซิบซุบซับไม่หับปาก | อีเพื่อนยากตายแน่แม่ข้าไหว้ |
เจ้าครอกเราคบชายสบายใจ | เราไม่ได้ด้วยสักหน่อยจะพลอยตาย |
เจ้าคนนั้นรูปร่างเหมือนอย่างเขียน | เข้าแนบเนียนนฤมลอยู่จนสาย |
จริงหรือขากับผัวข้าที่ตาย | จะคล้ายคล้ายหรือจะดีสักเพียงไร |
ไฮ้อะไรพูดเล่นไม่เห็นทุกข์ | กว่าถั่วสุกงาน้อยก็พลอยไหม้ |
ที่อยากดูลุกพรูจะเข้าไป | ก็คว้าไขว่ยึดมืออย่าอื้ออึง |
ครั้นนิ่งอยู่ก็เหมือนกูไม่รู้เห็น | เนื้อความเข็ญชั่วช้าจะมาถึง |
เอาตัวรอดรักตัวอย่ากลัวอึง | ทูลให้ถึงพระจอมกระหม่อมเมือง |
แล้วชวนกันขึ้นเฝ้าเจ้าพิภพ | ประนมนบทูลถวายขยายเรื่อง |
ขอพระเดชเดชาวราเรือง | มาปกเกล้าปลดเปลื้องที่ภัยพาล |
บัดนี้องค์พระธิดาวราโฉม | ชายประโลมลักชมสมสมาน |
เข้าร่วมแท่นแอบองค์นางนงคราญ | ดูอาการเจ้าแม่ไม่รู้ตัว |
พระภูษาทรงห่มก็มิดชิด | หลับสนิทอยู่กับชายเป็นลายชั่ว |
แต่ชายนั้นองอาจประมาทมัว | พระอยู่หัวจงทราบบาทบงสุ์ |
ได้ทรงฟังก็ตะลึงให้อึ้งอั้น | พระหวนหันอยู่ในจิตพิศวง |
ดังใครตัดเศียรพรากไปจากองค์ | เสียดายทรงพระธิดาวิลาวัณย์ |
ตบพระหัตถ์องค์สั่นอยู่หวั่นไหว | กูขอบใจมึงนักอีสาวสรรค์ |
ชะใครช่างอุกอาจประมาทกัน | กูจะฟันลงให้ยับอยู่กับกร |
อียี่สุ่นมันก็รู้คบชู้ชัด | มันแนะนัดให้ชู้มาเคียงหมอน |
อีกาลีนอกจิตกูบิดร | จะฟันฟอนเสียให้ศพประกบกัน |
เสด็จลุกจากอาสน์ออกพระโรง | มายืนโถงกวัดแกว่งพระแสงขรรค์ |
เหวยมนตรีจัดทัพลงฉับพลัน | ผูกฉัททันต์พระที่นั่งให้กูทรง |
บัดนี้มีชายชาติอันอาจหาญ | อหังการไม่กลัวจะผุยผง |
มาลอบรักลูกกูดูอาจอง | ทำทะนงเข้ามานอนในปรางค์ทอง |
แต่ก่อนไรใครไม่อาจมาอวดหาญ | อ้ายนี่พาลจะกระไรจึ่งจองหอง |
จะรีบไปล้อมราชปราสาททอง | จงจัดกองทัพพลันให้ทันกาล |
อำมาตย์รับโองการแล้วคลานกลับ | มาจัดทัพพหลพลทหาร |
ประเทียบคชบวรกุญชรชาญ | ก็เสร็จการเข้ามาทูลนรินทร ฯ |
[๑] แม่ยาย = แม่ใหญ่ คือ ยาย
[๒] สมุดไทยเลขที่ ๑๖ ว่า “พ่อจะอยู่ด้วยยายหรือสายเนตร”
[๓] สมุดไทยเลขที่ ๓ ว่า “ตีสิบเอ็ด...”
[๔] ประสมเนตร หมายถึง มนต์เสกตาให้หญิงรัก
[๕] สมุดไทยเลขที่ ๓ ว่า “งวงก็พัดปัดใกล้มันไล่กลม”
[๖] สมุดไทยเลขที่ ๓ ว่า “อ้ายช้างแทงแยงซ้ำปะรำหัก”
[๗] มนต์สญชีพ หมายถึง มนตร์ชุบคนตายให้ฟื้น แต่เอามาใช้เป็นมนตร์มหาละลวยเป่าให้งงหลงรัก
[๘] จ้าว = เจ้า
[๙] สีมือ = ฝีมือ
[๑๐] สมุดไทยเลขที่ ๓ ว่า “...ยายมาลา...”
[๑๑] ลาน โบราณเขียน ลาญ แปลว่า ปลื้ม
[๑๒] จังหน่อง = จ้องหม่อง
[๑๓] ตั้งแต่กลอนว่า “ชะเจ้าพี่องค์อ่อนดังท่อนทอง” ถึง “จะชิงชัยกว่าจะล้มชีวาลา” ทำนองแต่งเป็นกลบทนาคบริพันธ์
[๑๔] แมงทับ = แมลงทับ
[๑๕] สมุดไทยเลขที่ ๑๗ ว่า “ชม้อยผาดเลือบพิศขนิษฐา”