ตั้งฮั่น

(ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก)

กษัตริย์ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจ เสวยราชสมบัติในเมืองหํ้าเอี๋ยงเป็นเมืองหลวง บำรุงราษฎรหัวเมืองทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข ข้าศึกศัตรูผู้ร้ายราบคาบมาได้สองร้อยสี่สิบปีเศษ ถึงแผ่นดินพระเจ้าเปงเต้เป็นสิบสองชั่วกษัตริย์ ครั้นพระเจ้าเปงเต้ได้เสวยราชสมบัติในเมืองหํ้าเอี๋ยงแล้ว เปลี่ยนนามเมืองชื่อว่าเมืองเตียงอั๋น บรรดาพระราชวงศานุวงศ์ซึ่งไปครองหัวเมือง และเป็นที่ขุนนางอยู่ในเมืองหลวงแต่ก่อนนั้น พระเจ้าเปงเต้มีพระทัยโอบอ้อมอารีแผ่เผื่อเลื่อนที่ยศศักดิ์ พระราชทานที่ไร่นาส่วยสาอากรทำนุบำรุงตามสมควร

ยังมีเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งอยู่ในเมืองหลวง เป็นบุตรเล่าฮวดชื่อเล่าคิม บิดาเป็นหลานพระเจ้าฮั่นโกโจต่อมาแปดชั่วทั้งตัวเล่าคิม เล่าคิมมีบุตรหญิงคนหนึ่งชื่อนางเล่าหงวน มีบุตรชายสามคน คนใหญ่ชื่อเล่าอี๋น ถัดลงมาชื่อเล่าต๋ง บุตรสุดท้องชื่อเล่าสิ้วบุนซก มีรูปโฉมงามยิ่งกว่าพี่ชายทั้งสอง ครั้นอยู่มาเล่าคิมเห็นว่าเล่าอี๋นกับเล่าต๋งมีชันษาจำเริญวัยใหญ่กล้า สมควรจะเรียนหนังสือฝึกสอนวิชาการทั้งปวง จึงให้เล่าเหลียงผู้น้องไปสืบหาซินแสผู้รู้หนังสือลึกซึ้ง เข้ามาเป็นครูฝึกสอนเล่าอี๋นเล่าต๋งผู้บุตร เล่าเหลียงจึงไปเชิญเตงอูเข้ามาเป็นอาจารย์สั่งสอนหนังสือ ก็ฝึกหัดเพลงอาวุธเล่าอี๋นเล่าต๋งอยู่มิได้ขาด ฝ่ายเตงอูสั่งสอนหนังสือเล่าอี๋นเล่าต๋งแล้ว จึงลาเล่าคิมออกจากเมืองหลวง เที่ยวไปอยู่บ้านป่าแดนเมืองหํ้าเอี๋ยงเป็นผาสุกสบาย

ฝ่ายเล่าคิมครั้นเห็นนางเล่าหงวนผู้เป็นบุตรใหญ่ มีชันษาจำเริญควรจะปลูกฝังให้มีเรือน จึงยกนางเล่าหงวนให้เป็นภรรยาเตงสิน ซึ่งเป็นแซ่เดียวกันกับเตงอู แล้วให้ยกออกไปทำไร่นาอยู่ ณ บ้านป่าเมืองห้ำเอี๋ยง นางเล่าหงวนกับเตงสินไปทำนาหากินอยู่บ้านป่า ได้สิ่งของกินเป็นของป่า พากันเข้ามาเยี่ยมเยือนเล่าคิมผู้บิดา ณ เมืองหลวงเนืองๆ อยู่มาวันหนึ่งเล่าคิมจึงปรึกษาเล่าเหลียงผู้น้องว่า บุตรชายเราสามคนนี้นับวันจะจำเริญวัยชันษา ชะตาคนใดจะดีเป็นที่พึ่งแก่ญาติทั้งปวงบ้างเรายังมิได้รู้ ท่านจงไปเลือกหาซินแสผู้รู้ดูลักษณะมาทายทักหลานชายท่านทั้งสามคนสักเวลาหนึ่ง เล่าเหลียงจึงบอกว่ายังมีซินแสคนหนึ่งชื่อเงียมจูเหลง เป็นผู้รู้ดูลักษณะประกอบวิชาการทุกสิ่ง ชาวเมืองทั้งปวงสรรเสริญยกชื่อนับถือเงียมจูเหลงยิ่งนักข้าพเจ้าจะเชิญมา เล่าเหลียงก็คำนับลาไปบ้านเงียมจูเหลง

ฝ่ายเงียมจูเหลงสอนหนังสือปังอี๋ อองป้า กับสานุศิษย์ทั้งปวงอยู่บนตึก แลไปเห็นเล่าเหลียงเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเมืองหลวงมา จึงออกไปรับเชิญขึ้นบนตึกนั่งที่สมควรแล้วถามเล่าเหลียงว่า ท่านมาหาข้าพเจ้ามีธุระกังวลประการใด เล่าเหลียงจึงบอกความตามเล่าคิมใช้มาให้เงียมจูเหลงฟัง เงียมจูเหลงแจ้งว่าเล่าคิมเชื้อพระวงศ์ให้มาเชิญไปทำนายลักษณะบุตรสามคน จึงนุ่งห่มแต่งตัวใส่หมวก ลงจากตึกมากับเล่าเหลียงไปบ้านเล่าคิม เล่าคิมจึงออกไปรับซินแสเงียมจูเหลงขึ้นบนตึกนั่งที่สมควร จึงให้บุตรชายทั้งสามคำนับซินแส แล้วว่าข้าพเจ้าให้เชิญท่านมาให้ท่านช่วยทำนายลักษณะบุตรข้าพเจ้าทั้งสามคนนี้ จะใคร่รู้ว่าผู้ใดจะได้สืบเชื้อพระวงศ์ เป็นที่พึ่งแก่ญาติไปภายหน้า เงียมจูเหลงจึงพิจารณาดูลักษณะเล่าอี๋นกับเล่าต๋ง พิเคราะห์ดูลักษณะเล่าสิ้วบุนซกแจ้งโดยตำรับที่ได้เล่าเรียนมา จึงถามชันษาปีเดือนวันเวลากำเนิด คำนวณโดยตำราโหราศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะแล้วทำนายบอกแก่เล่าคิมว่า เล่าอี๋นกับเล่าต๋งนั้นชันษาชอบทำไร่นา ภายหลังจึงจะได้เป็นขุนนาง แล้วจะตายด้วยเครื่องศัสตราวุธ แต่เล่าสิ้วบุนซกบุตรสุดท้องนั้น จะพลัดพรากจากบิดามารดาแต่อายุเก้าขวบไป ถึงอายุสามสิบเศษชะตาขึ้นถึงที่ เป็นแม่ทัพใหญ่ปราบยุคเข็ญไป ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์ บำรุงแผ่นดินสืบเชื้อพระวงศ์เป็นที่พึ่งแก่อาณาประชาราษฎร เล่าคิมได้ฟังเงียมจูเหลงทำนายดังนั้นจึงว่า เล่าสิ้วบุนซกบุตรข้าพเจ้าชันษาได้ถึงเจ็ดขวบเศษ ควรจะเรียนหนังสือฝึกสอนวิชา ขอท่านได้กรุณาช่วยสั่งสอนหนังสือและวิชาการไว้สำหรับตัว เมื่อชันษาถึงที่พลัดพรากจากข้าพเจ้าไปได้ความทุกข์ยากลง วิชาที่เรียนไว้จะได้เป็นที่พึ่งกว่าจะถึงที่เป็นใหญ่ จะได้คิดตั้งตัวไปภายหน้า เงียมจูเหลงจึงรับเป็นครูบอกสอนเล่าสิ้วบุนซกให้เล่าเรียนหนังสือ ฝึกปรีชาเพลงอาวุธสำหรับป้องกันรักษาตัวในการศึกตามสมควรแก่สติปัญญา อยู่ประมาณปีเศษเงียมจูเหลงจึงลาเล่าคิมไปจากเมืองหลวง เที่ยวอยู่ตามป่าหาความสบาย

ฝ่ายเล่าคิมครั้นอยู่มาวันหนึ่ง จึงให้หาเล่าเหลียงผู้น้องมาปรึกษาว่า ซินแสเงียมจูเหลงผู้รู้ดูลักษณะทำนายไว้แต่ก่อนว่าเล่าสิ้วบุนซกจะได้เป็นที่พึ่งแก่ญาติวงศ์ แต่ต้องตกยากเมื่ออายุน้อยนั้น เราคิดว่าจะให้ท่านพาเล่าอี๋นกับเล่าต๋งออกไปตั้งทำไร่นาอยู่บ้านน้ำขาวดำ จีนเรียกว่าบ้านแปะจุ๋ยฉิง ในแดนเมืองน่ำเอี๋ยง ถ้าบุญญาธิการพระเจ้าเปงเต้ยังทรงพระจำเริญพระชันษาอยู่ในราชสมบัติเราก็จะได้มีความสุข แม้นเมืองหลวงเกิดวิบัติไปภายหน้า หลานท่านพลัดพรากจากเราได้ความทุกข์ยากไร้ จะได้ไปอาศัยท่านจะเห็นประการใด เล่าเหลียงได้ฟังเห็นชอบด้วย จึงคำนับลาพาเล่าอี๋นกับเล่าต๋งผู้หลานยกครอบครัวออกจากเมืองหลวง ไปทำไร่นาอยู่ ณ บ้านป่าแปะจุ๋ยฉิง

ฝ่ายนางหงวนฮ่องไทเฮาซึ่งเป็นพระราชมารดาพระเจ้าเปงเต้ ครั้นพระราชบุตรได้เสวยราชสมบัติในเมืองหลวงแล้ว จึงขอจูเอ๋งชันษาสองขวบเศษ เป็นบุตรเล่าหืนเชื้อพระวงศ์เข้าไปเลี้ยงในพระราชวัง

ขณะนั้นมีขุนนางผู้หนึ่งชื่ออองมัง เป็นบุตรอองบวนขุนนางผู้ใหญ่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าหงวนเต้ ครั้นอองบวนถึงแก่กรรมพระเจ้าเปงเต้ได้ราชสมบัติ จึงตั้งอองมังรับราชการแทนที่อองบวนผู้บิดา อองมังมีบุตรหญิงคนหนึ่งรูปโฉมงามพึ่งรุ่นจำเริญวัย จึงถวายเข้าไปเป็นห้ามพระเจ้าเปงเต้ พระเจ้าเปงเต้ชอบพระอัชฌาสัย ให้บุตรอองมังนั้นเป็นใหญ่ ได้บังคับพระสนมกรมฝ่ายในทั้งปวง พระเจ้าเปงเต้จึงตั้งให้อองมังเป็นที่ไจเสียงขุนนางฝ่ายพลเรือน วางพระทัยให้จัดแจงว่ากล่าวขุนนางฝ่ายหน้าสิทธิ์ขาด อองมังจึงกราบทูลตั้งผู้หนึ่งชื่อปันโก๋ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ขึ้นเป็นโซเหี้ยนขุนนางผู้ใหญ่ว่ากล่าวทหารในตำแหน่ง ตั้งแต่นั้นมาราชการเมืองหลวงสิทธิ์ขาดอยู่ในอองมังกับโซเหี้ยน บรรดาขุนนางนอกกว่าเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเปงเต้นั้น ต่างคนยำเกรงอองมังยิ่งนัก ฝ่ายอองมังเห็นขุนนางอยู่ในอำนาจสิ้นแล้ว คิดกำเริบใจจะใคร่ตั้งตัวเป็นใหญ่ในราชสมบัติ คบคิดกันกับโซเหี้ยนจะคอยทำร้ายพระเจ้าเมืองหลวงอยู่มิได้ขาด

ครั้น ณ ปีฉลูเดือนยี่ขึ้นเจ็ดค่ำ รุ่งขึ้นแปดค่ำเป็นวันออกพระเจ้าเปงเต้ เป็นประเพณีของขุนนางคอยถวายปันสิวให้พระมหากษัตริย์ทรงพระจำเริญในราชสมบัติ อองมังจึงหาโซเหี้ยนไป ณ ตึกจึงกระซิบบอกว่า เวลาเช้าพรุ่งนี้เราจะถวายสุรายาพิษพระเจ้าเปงเต้ ถ้าได้สมความคิดแล้วท่านจงปราบปรามเชื้อพระวงศ์และขุนนางทั้งปวงให้อยู่ในอำนาจ ราชสมบัติได้แก่เราแล้วจะตั้งให้ท่านเป็นใหญ่สำเร็จราชการในเมืองหลวง โซเหี้ยนรับคำว่าถ้าท่านถวายยาพิษพระเจ้าเปงเต้ได้สมความคิดแล้ว บรรดาเชื้อพระวงศ์ขุนนางซึ่งมิได้ยอมสวามิภักดิ์ด้วยท่านนั้น ข้าพเจ้าจะปราบลงเสียราบคาบอย่าวิตกเลย โซเหี้ยนพูดกับอองมังแล้วคำนับลาไปบ้าน จัดทหารคนสนิทที่เป็นพรรคพวกถือเครื่องศัสตราวุธครบมือเตรียมไว้

ฝ่ายอองมังครั้นเวลาเช้าจึงประกอบยาพิษลงในสุราใส่จอกแก้วแล้วพาอองสิมอองขิมอองอิบผู้น้อง กับขุนนางคนสนิทเข้าไปคอยเตรียมเฝ้าพร้อมกับโซเหี้ยนและขุนนางทั้งปวง

ฝ่ายพระเจ้าเปงเต้ ครั้นเวลาเช้าเสด็จออกทอดพระเนตรเห็นขุนนางผู้ใหญ่น้อยทั้งปวง ถือจอกสุราเครื่องคำนับมาเตรียมจะถวายปันสิวตามประเพณีทำขวัญมหากษัตริย์ให้จำเริญในราชสมบัติ จึงตรัสสั่งนางพนักงานข้างในให้เชิญเครื่องเสวยออกมา แล้วให้เจ้าพนักงานข้างหน้ายกโต๊ะมาตั้งเตรียมเลี้ยงขุนนาง

ฝ่ายอองมังจึงถือจอกสุราเข้าไปทูลถวายพระเจ้าเปงเต้ พระเจ้าเปงเต้คิดกริ่งพระทัยด้วยเห็นอองมังทำท่วงทีองอาจ จึงรับจอกสุราวางไว้ยังไม่เสวย อองมังเห็นจะเสียการไป จึงทูลว่าสุรานี้อย่างดีข้าพเจ้าแกล้งจัดสรรบรรจงมาถวายด้วยใจจงรักภักดีโดยสุจริต พระองค์อย่าคิดแหนงระแวงพระทัยเลย เชิญเสวยสุราข้าพเจ้าผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ก่อน จึงจะต้องด้วยอย่างธรรมเนียม อองมังจึงจับจอกสุรารินเข้าไปในพระโอษฐ์ สุรายาพิษตกถึงพระศอพระเจ้าเปงเต้ พระเจ้าเปงเต้ทรงพระอาเจียนโลหิตออกมาเป็นอันมาก เสด็จสู่สวรรคต บรรดาขุนนางข้าเฝ้าต่างคนตกตะลึงไปทั้งสิ้น ขณะนั้นขุนนางคนหนึ่งรูปร่างสมบูรณ์สูงหกศอก ชื่อเล่าเต้งเชื้อพระวงศ์นั่งอยู่ริมลับแล เห็นพระเจ้าเปงเต้อาเจียนโลหิตเพราะอองมังข่มขืนพระทัยให้เสวยสุรายาพิษ เล่าเต้งตกใจวิ่งออกมาว่ากล่าวหยาบช้าด่าอองมังด้วยความโกรธว่าอ้ายกบฏ ตัวมึงคิดประทุษร้ายทำลายพระคุณพระเจ้าเปงเต้ซึ่งชุบเลี้ยงเป็นขุนนางผู้ใหญ่ให้ที่ยศศักดิ์ถึงขนาด ตัวเป็นแต่ขุนนางข้าเฝ้าคิดอกตัญญูต่อเจ้าแผ่นดินอันทรงพระคุณ หาผู้สรรเสริญมิได้ อองมังจึงตอบว่าราชสมบัติในเมืองหลวงนี้ เดิมเป็นของพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ได้บำรุงแผ่นดินสืบเชื้อพระวงศ์กษัตริย์มาถึงพระเจ้ายีซีฮ่องเต้ เล่าปังปู่ของท่านกับห้างอี๋เกลี้ยกล่อมทหารยกมาทำการศึกสามปี เตียวโก๋ทำประทุษร้ายต่อพระเจ้ายีซีฮ่องเต้ ยกพระเจ้าซาซีฮ่องเต้ขึ้นเสวยราชสมบัติ เล่าปังยกทัพเข้าชิงเมืองหลวง ห้างอี๋มีกำลังมากขับเล่าปังเสีย ห้างอี๋ได้ครองเมืองหลวงเป็นฌ้อปาอ๋อง ปู่ของท่านยกมาทำศึกกับฌ้อปาอ๋องถึงห้าปี จึงได้ราชสมบัติเป็นกษัตริย์สืบเชื้อพระวงศ์มาช้านาน เล่าปังปู่ของท่านเป็นแต่บุตรชาวบ้านไผ่ก๋วน ยังคิดตั้งตัวเป็นใหญ่สืบเชื้อพระวงศ์มาหลายชั่วกษัตริย์ บัดนี้บุญเราจะถึงที่เป็นต้นกษัตริย์บำรุงแผ่นดินสืบไปภายหน้า เทวดาจึงบันดาลให้เราคิดการใหญ่สำเร็จได้โดยง่าย บัดนี้สมบัติตกอยู่ในเงื้อมมือเรา ตัวเป็นแต่ขุนนางข้าเฝ้า องอาจออกมาว่ากล่าวหยาบช้าไม่กลัวอาญา ชอบให้จับตัวไปผ่าปากเสียจึงจะสมโทษ เล่าเต้งได้ยินยิ่งโกรธหนัก ชักไม้เซียวฮุดวิ่งเข้าตีถูกอองมังเป็นหลายที

ฝ่ายโซเหี้ยนเห็นดังนั้นจึงชักกระบี่ออกจากเสื้อ เงื้อกระบี่ป้องปัดช่วยอองมังแล้วร้องตวาดเล่าเต้งว่า เหตุใดตัวบังอาจตีเจ้าชีวิตด้วยไม้ ไม่เกรงอาญาโทษถึงตาย กูจะตัดศีรษะเสียอย่าให้ขุนนางดูเยี่ยงอย่างสืบไป ว่าแล้วก็เอากระบี่ฟันเล่าเต้งคอขาดตาย อองมังดีใจสรรเสริญชมโซเหี้ยนว่า มิเสียทีท่านช่วยเป็นใจเจ็บร้อน ควรที่จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ โซเหี้ยนจึงแกว่งกระบี่ร้องประกาศว่า ขุนนางทั้งปวงจงพร้อมใจกันช่วยเจ้าเมืองของเราบำรุงแผ่นดินสืบไป แม้นผู้ใดไม่ยอมสามิภักดิ์จะจับตัวฆ่าเสีย ฝ่ายขุนนางต่างคนก็กลัวอาญายอมเข้าด้วยอองมังเป็นอันมาก แต่ผู้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์กับขุนนางที่มีใจซื่อตรงต่อพระเจ้าเปงเต้ ต่างคนหลบหลีกหนีอพยพครอบครัวเข้าอยู่ป่า แปลงแซ่เปลี่ยนชื่อเสียมิให้พวกอองมังรู้จัก โซเหี้ยนให้ทหารจับขุนนางซึ่งมิได้ยอมเข้าด้วยเอาไปฆ่าเสียเป็นหลายคน

ฝ่ายอองมังครั้นขุนนางราบคาบแล้ว จึงให้ทหารยกพระศพพระเจ้าเปงเต้และศพเล่าเต้งออกไปฝังเสียนอกเมือง แล้วถามขุนนางว่าตราหยกสำหรับกษัตริย์ พระเจ้าเปงเต้ให้ผู้ใดรักษา โซเหี้ยนจึงบอกว่าตราหยกอยู่กับฮ่องไทเฮา อองมังจึงสั่งอองสิมกับโซเหี้ยนเข้าไปเรียกเอาตราหยกที่ฮ่องไทเฮาออกมา ทั้งสองคำนับลาพากันเข้าไปในพระราชวัง ฝ่ายนางพนักงานใช้ ขณะเมื่ออองมังถวายสุราพระเจ้าเปงเต้อาเจียนพระโลหิตสิ้นพระชนม์ ต่างคนตกประหม่าหน้าซีดวิ่งไปทูลฮ่องไทเฮาทุกประการ

ฝ่ายฮ่องไทเฮาพระราชมารดาพระเจ้าเปงเต้กับพระวงศานุวงศ์ในพระราชวัง แจ้งความว่าอองมังกับโซเหี้ยนคิดกบฏถวายยาพิษพระเจ้าเปงเต้เสด็จสวรรคต ฮ่องไทเฮามีพระทัยหวาดไหวเหมือนอองมังตัดเอาพระเศียรสิ้นสติสมประดีสลบแน่นิ่งอยู่บนพระที่นั่ง บรรดาเชื้อพระวงศ์และนางพระสนมทั้งปวงพากันร้องไห้รักพระเจ้าเปงเต้อื้ออึงทั้งพระราชวัง ฮ่องไทเฮาครั้นฟื้นสมประดีมาจึงทรงพระกันแสงรำพันไปว่า อองบวนบิดาอองมังครั้งแผ่นดินพระเจ้าหงวนเต้นั้น อองบวนซื่อตรงต่อแผ่นดิน พระเจ้าหงวนเต้ตั้งแต่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ช่วยบำรุงราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขมาตราบเท่าสิ้นแผ่นดินพระเจ้าหงวนเต้ พระเจ้าเปงเต้ได้ครองเมืองหลวง กรุณาชุบเลี้ยงอองมังถึงขนาดมิได้มีข้อเคืองแก่กัน ไม่ควรที่จะคิดการกบฏประทุษร้าย อองมังเป็นคนอกตัญญูทำลายคุณพระเจ้าเปงเต้เสีย ครั้งนี้สิ้นบุญพระราชบุตรแล้ว จะมีชีวิตอยู่จะได้แต่ความลำบาก ฮ่องไทเฮาทรงพระกันแสงพลางหยิบดวงตราหยกสำหรับกษัตริย์ห่อพระภูษาผูกไว้กับพระศอ จะเสด็จไปโจนลงบ่อน้ำให้สิ้นชีวิต พออองสิมกับโซเหี้ยนวิ่งตามไปทัน ทูลฮ่องไทเฮาว่าตราหยกสำหรับพระเจ้าเปงเต้มอบไว้ จะขอเอาไปให้แก่อองมัง ฮ่องไทเฮาได้ยินออกชื่ออองมังยิ่งมีความแค้นมากขึ้น มิได้ตรัสโต้ตอบประการใด เสด็จรีบสาวพระบาทจะไปให้ถึงบ่อน้ำ โซเหี้ยนเดินรีบเข้าไปจะชิงตราที่ฮ่องไทเฮาผูกไว้ที่พระศอ ฮ่องไทเฮาโกรธจึงแก้เอาตราหยกทิ้งออกไปตกต้องแผ่นศิลา โซเหี้ยนหยิบมาเห็นตราสลายไปเหลี่ยมหนึ่งก็โกรธ ชักกระบี่ออกจากฝักไล่บุกรุกจะฟันฮ่องไทเฮาไปถึงบ่อ พอฮ่องไทเฮาโจนลงบ่อน้ำสิ้นชีวิต อองสิมจึงพาโซเหี้ยนออกมาส่งตราสำหรับกษัตริย์ให้อองมังแล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ อองมังเห็นตราสลายก็โกรธ จึงให้ช่างทองตีทองธรรมชาติประกับกลบเหลี่ยมตราให้เป็นปรกติดังเก่า แล้วสั่งอองสิมกับโซเหี้ยนคุมทหารสามพันสืบจับตัวเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเปงเต้ทั้งข้างหน้าข้างในฆ่าเสียให้สิ้นทั้งชายหญิง โซเหี้ยนกับอองสิมพาทหารไปตามอองมังสั่ง แต่เชื้อพระวงศ์ฝ่ายในเอาไปฆ่าเสียเป็นคนแปดร้อยเศษ โซเหี้ยนพาทหารเที่ยวสืบจับเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวงไปฆ่าเสียเป็นอันมาก

ฝ่ายเล่าคิมรู้ว่าอองมังเป็นกบฏตกใจนัก จึงให้คนใช้ปิดประตูบ้านเสีย แล้วสองคนกับภรรยาร้องไห้รักกัน เล่าคิมอุ้มเล่าสิ้วบุนซกขึ้นบนตักจึงสั่งว่า ตัวเจ้ามีอายุถึงเก้าขวบต้องตกยากพรากบิดามารดา สมดังซินแสทำนายไว้มิได้ผิด เจ้าจงหลบหลีกหนีพวกอ้ายกบฏ ออกไปหาพี่ชายกับอาของเจ้า ซ่อนตัวอยู่ ณ บ้านป่าแปะจุ๋ยฉิง แม้นจำเริญวัยใหญ่กล้า จงซ่องสุมทแกล้วทหารคิดทำการใหญ่ จับอ้ายอองมังฆ่าเสียคืนเอาแผ่นดินให้จงได้ พอได้ยินเสียงทหารพวกโซเหี้ยนอื้ออึงมาถึงประตูบ้าน เล่าคิมตกใจกลัวโซเหี้ยนจะจับไปมัดผูกโบยตีจะให้นำญาติวงศ์ จึงกุมมือภรรยาวิ่งโจนลงบ่อจมน้ำตาย แต่เล่าสิ้วบุนซกผู้บุตรนั้นเข้าแอบแฝงตัวอยู่ในสวนดอกไม้

ฝ่ายโซเหี้ยนพาทหารเที่ยวจับเชื้อพระวงศ์ มาถึงบ้านเล่าคิมเห็นประตูปิดอยู่ จึงให้ทหารปีนกำแพงแก้วเข้าไปจับคนใช้เล่าคิมมาไต่ถาม คนใช้นำไปพบศพเล่าคิมในบ่อน้ำ โซเหี้ยนจึงให้ทหารขึ้นค้นบนตึก ขนเอาทรัพย์เงินทองออกจากบ้านเล่าคิม

เล่าสิ้วบุนซกเข้าไปแอบแฝงตัวอยู่ ณ พุ่มไม้ในสวน พอจวนเวลาเย็นพวกโซเหี้ยนกลับไป แล้วจึงออกมาเห็นศพบิดามารดาอยู่ในบ่อน้ำ เล่าสิ้วบุนซกร้องไห้รักบิดามารดาอยู่ที่ปากบ่อเป็นช้านาน ครั้นค่อยคลายสมประดี ตกใจกลัวพวกโซเหี้ยนจะมาพบ จึงคำนับลาศพบิดามารดาแอบแฝงตัวออกจากบ้าน พอเวลาพลบค่ำจำหน้ากันมิถนัด จึงปลอมตัวเป็นชาวเมืองเดินตามถนนออกจากประตูเมืองเบื้องทิศตะวันออกเฉียงใต้ เดินทางเพลากลางคืนไปถึงบ้านป่าแห่งหนึ่งเข้าไปอาศัยสำนักนอน

ฝ่ายชาวบ้านเห็นราตคตซึ่งผูกประจำตัวเล่าสิ้วบุนซกไปเป็นสำคัญรู้ว่าเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ ต่างคนก็มีความกรุณาหาข้าวปลาอาหารให้กิน แล้วส่งตัวเล่าสิ้วบุนซกไปอาศัยซ่อนตัวอยู่กับพวกคนหนี

ฝ่ายอองมัง ขณะเมื่อให้ทหารเข้าค้นจับเชื้อพระวงศ์ฝ่ายใน อองมังถือดาบเดินเข้าไปในวัง พอเห็นจูเอ๋งบุตรเลี้ยงฮ่องไทเฮาวิ่งหนีพวกทหารสวนทางออกมา ชันษาจูเอ๋งประมาณสามขวบเศษ อองมังคิดจะป้องกันความนินทา จึงอุ้มจูเอ๋งออกมานั่ง ณ ที่เสด็จออก ให้หาโซเหี้ยนเข้ามาบอกว่าเราคิดจะยกจูเอ๋งขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นกษัตริย์แทนพระเจ้าเปงเต้ จะระงับหัวเมืองมิให้กำเริบท่านจะเห็นประการใด โซเหี้ยนจึงว่าขุนนางข้าเฝ้าทั้งปวงยอมพร้อมใจกันให้ท่านว่าราชการเมืองหลวง ท่านคิดทำการใหญ่ได้สำเร็จแล้วจะยกจูเอ๋งเชื้อพระวงศ์ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้น ถ้าจูเอ๋งเจริญในราชสมบัติไปภายหน้าท่านกับข้าพเจ้าจะได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก ขอท่านจงตรึงตรองก่อน อองมังจึงว่าท่านเห็นการไม่ได้ลึกซึ้ง เรายกจูเอ๋งขึ้นเป็นกษัตริย์จะกันความนินทา หวังจะให้ราษฎรหัวเมืองทั้งปวงสำคัญคิดว่าเรามีใจซื่อตรง เหมือนอย่างจิงก๋งต้านครั้งพระเจ้าจิวบุนอ๋องสวรรคต จิวเซงอ๋องราชบุตรยังเยาว์อยู่ จิวก๋งต้านจึงอุ้มจิงเซงอ๋องออกมาว่าราชการเมือง กราบเท้าจิวเซงอ๋องจำเริญในราชสมบัติ เราเอาธรรมเนียมอย่างจิวก๋งต้าน หวังจะล่อลวงผู้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ไปครองเมืองน้อยใหญ่ให้มาเมืองหลวง จะคิดอุบายฆ่าเสียให้สิ้นแผ่นดินราบคาบแล้ว ภายหลังจึงจะฆ่าจูเอ๋งเสีย โซเหี้ยนได้ฟังเห็นชอบด้วยจึงสรรเสริญว่า กลอุบายท่านคิดลึกซึ้งสมควรเป็นเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าคิดไปไม่ถึง โซเหี้ยนจึงคำนับลาออกมาให้ประชุมขุนนางพร้อมกันทุกตำแหน่ง อองมังจึงมอบราชสมบัติให้จูเอ๋งเป็นกษัตริย์เสวยราชสมบัติในเมืองหลวง แต่อองมังนั้นตั้งตัวขึ้นเป็นแก๋ฮ่องเต้ได้กำกับจูเอ๋ง จูเอ๋งฮ่องเต้เปลี่ยนศักราชกษัตริย์พระองค์ใหม่ ณ ปีขาลเดือนห้าขึ้นห้าค่ำ อองมังเข้าอยู่กับจูเอ๋งในวัง เวลาขุนนางเข้าเฝ้าอองมังอุ้มจูเอ๋งเสด็จออกว่าราชการเมืองหลวงทุกวันมิได้ขาด ครั้น ณ ปีเถาะเดือนหก อองมังเห็นขุนนางเมืองหลวงราบคาบเป็นปรกติแล้ว จึงแต่งหนังสือรับสั่งจูเอ๋งฮ่องเต้ใจความว่า พระเจ้าเปงเต้ผู้รักษาเมืองหลวง สติปัญญาโฉดเขลาไม่เอาธุระกิจการแผ่นดิน เสวยแต่สุราเมาเหลือกำลังบังเกิดโรคปัจจุบัน อาเจียนโลหิตสิ้นพระชนม์แล้ว ขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ในเมืองหลวงประชุมพร้อม ยอมยกเราผู้ชื่อจูเอ๋งเชื้อพระวงศ์เสวยพระราชสมบัติ เปลี่ยนกษัตริย์แผ่นดินใหม่ให้ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ซึ่งครองเมืองน้อยใหญ่เร่งเข้ามาพร้อมกัน ณ เมืองหลวง จะจัดแจงเลื่อนที่เป็นยศศักดิ์โดยสมควร แม้นเมืองใดขัดรับสั่งตั้งแข็งเมืองอยู่ มิได้เข้ามาอ่อนน้อมยอมถวายดอกไม้เงินทองตามอย่างธรรมเนียม จะเกณฑ์กองทัพยกไปจับเจ้าเมืองฆ่าเสีย อองมังจึงส่งหนังสือให้ขุนนางพนักงานทหารพลเรือนแจกไปแก่หัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวง

ฝ่ายเชื้อพระวงศ์ซึ่งเป็นเจ้าครองเมืองแจ้งความตามหนังสือนั้น รู้ว่าอองมังแต่งกลอุบายล่อลวงจะให้เข้าไปเมืองหลวงต่างคนแข็งเมืองอยู่ แต่ผู้ที่มิได้เป็นเชื้อวงศ์ไปรักษาเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงนั้น ครั้นแจ้งความในหนังสือว่า พระเจ้าเปงเต้ผู้ครองเมืองหลวงเสวยสุราบังเกิดโรคปัจจุบันเสด็จสวรรคต ขุนนางในเมืองหลวงพร้อมกันยกจูเอ๋งชันษาสามขวบเศษ เชื้อพระวงศ์พระเจ้าเปงเต้ ขึ้นครองราชสมบัติ แต่ยังทรงพระเยาว์นักจะว่าราชการเมืองหลวงยังมิได้ อองมังขุนนางผู้ใหญ่กำกับว่าราชการเมืองหลวงอยู่ เห็นว่าอองมังขุนนางผู้ใหญ่มีใจสัตย์ซื่อคิดชอบ ประกอบการทั้งปวงเหมือนอย่างจิงก๋งต้าน ซึ่งว่าราชการแทนจิวเซงอ๋องพระราชบุตรพระเจ้าจิวบุนอ๋องแต่ก่อน หัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงแต่งเครื่องบรรณาการเข้ามาถวายจูเอ๋งฮ่องเต้ ซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ ณ เมืองหลวงพร้อมกันทุกหัวเมือง

ฝ่ายอองมังครั้นมิได้เห็นผู้ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์เข้ามาไม่สมความคิด จึงเอาใจเผื่อแผ่ตั้งขุนนางผู้ครองเมืองน้อยให้ได้ครองเมืองใหญ่ ขุนนางผู้ใหญ่ให้พระราชทานบ้านส่วยและยศศักดิ์เพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อน แล้วจัดแจงทหารคนสนิทซึ่งเป็นพรรคพวกไปเป็นขุนนางกำกับผู้รักษาเมืองอยู่ทุกเมือง แล้วให้เสื้อผ้าเงินทองแก่ผู้รักษาเมืองทั้งปวงตามสมควร จัดแจงให้คืนไปอยู่รักษาเมืองน้อยใหญ่เหมือนดังแต่ก่อน

ครั้น ณ เดือนสี่ปีมะโรง อองมังจึงสั่งให้หาโซเหี้ยนเข้าไปที่ข้างในปรึกษาว่า ขุนนางหัวเมืองทั้งปวงนั้นเราเห็นว่าปกติราบคาบอยู่แล้ว แต่ขุนนางเฝ้าในเมืองหลวงนั้น เรียบร้อยเหมือนแต่ก่อนหรือยังมีเสี้ยนหนามอยู่เป็นประการใด โซเหี้ยนจึงบอกว่าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงเกรงกลัวอำนาจท่านสิ้น ขุนนางซึ่งเป็นเสี้ยนหนามข้าพเจ้าปราบราบคาบ ราชสมบัติในเมืองหลวงตกอยู่ในเงื้อมมือท่าน แต่ข้าพเจ้าคิดวิตกอยู่ด้วยจูเอ๋งเชื้อฮั่นเปงเต้ ท่านเอามาตั้งไว้เป็นกษัตริย์ จะล่อลวงให้เชื้อพระวงศ์เข้ามามิได้สมความคิด แต่จูเอ๋งอยู่ในราชสมบัติถึงสามปี มีชันษาล่วงเข้ามาถึงเจ็ดขวบแล้ว ถ้าละไว้นานไปจูเอ๋งจะคิดชิงเอาราชสมบัติ กำจัดท่านเสียเป็นมั่นคง ซึ่งท่านจะประมาทดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์ เหมือนเอาอสรพิษมาเลี้ยงไว้ไม่ต้องอย่างธรรมเนียม ขอท่านจงเอาตัวจูเอ๋งไปฆ่าเสียแต่ยังเยาว์อยู่ฉะนี้ ราชสมบัติในเมืองหลวงจึงเป็นสิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน อองมังจึงว่าท่านว่าจูเอ๋งเป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์เหมือนอสรพิษมิให้คิดประมาทนั้นชอบ แต่จะฆ่าจูเอ๋งเป็นทารกอายุไม่ถึงสิบขวบนั้น จะมีคำนินทาว่าเราชิงราชสมบัติจูเอ๋ง จำจะคิดฆ่าเสียด้วยอุบาย อย่าให้ขุนนางราษฎรหัวเมืองทั้งปวงล่วงว่ากล่าวติเตียนจึงจะชอบ ท่านจงออกไปชุมนุมขุนนางให้พร้อม ณ ที่เฝ้า เราจะปรึกษาตั้งจูเอ๋งเป็นอันเตงก๋ง โซเหี้ยนคำนับลามาประชุมขุนนางตามคำสั่ง อองมังจึงออกมาที่ข้างหน้าปรึกษาขุนนางว่า จูเอ๋งฮ่องเต้เยาว์นักจะว่าราชการเมืองหลวงนั้นมิได้ จะตั้งให้เป็นที่อันเตงก๋ง พอชันษาจำเริญขึ้นควรจะว่าราชการแผ่นดินแล้ว จึงจะคืนราชสมบัติในเมืองหลวงให้จูเอ๋งต่อภายหลัง ท่านจะเห็นประการใด โซเหี้ยนกับขุนนางคนสนิทซึ่งรู้อัธยาศัยจึงว่าจูเอ๋งนั้นชันษายังเยาว์นัก ซึ่งจะเป็นกษัตริย์สืบไปข้าพเจ้าเห็นว่าถ้ามีผู้ทูลยุยงให้ตรัสสั่งการอันผิดด้วยอย่างธรรมเนียม มีผู้ทำตามรับสั่ง กฎหมายสำหรับแผ่นดินจะฟั่นเฟือนไป คำซึ่งปรึกษาจะให้จูเอ๋งเป็นอันเตงก๋งนั้นข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นชอบด้วย อองมังจึงตั้งจูเอ๋งเป็นที่อันเตงก๋ง จัดแจงตำหนักหลังวังให้เป็นที่อาศัย แล้วสั่งขุนนางคนสนิทให้ไปกำกับกักขังอันเตงก๋งไว้ในตำหนักมิให้ส่งอาหาร อันเตงก๋งได้ความลำบากด้วยอดอยากอาหาร อยู่ประมาณเจ็ดวันสุดสิ้นกำลังขาดใจตาย ขุนนางผู้กำกับจึงมาแจ้งแก่อองมังต่อหน้าขุนนางทั้งปวง อันเตงก๋งป่วยถึงอสัญกรรม อองมังได้ยินแกล้งทำตกใจ แล้วสั่งให้ทำการฝังศพตามธรรมเนียม ครั้น ณ เดือนสิบเอ็ด โซเหี้ยนจึงให้ประชุมขุนนางพร้อมกัน มอบเวนราชสมบัติให้อองมังเป็นต้นกษัตริย์ เปลี่ยนศักราชใหม่ในปีมะโรง อองมังได้ครองราชสมบัติในเมืองหลวงแล้ว จึงจัดแจงผู้มีความชอบเลื่อนที่ยศศักดิ์รับราชการตามตำแหน่ง ให้โซเหี้ยนเป็นไต้สุมา บังคับความว่ากล่าวขุนนางหัวเมืองทั้งปวง อองสิมเป็นไตสุเตาบังคับขุนนางข้าเฝ้าในเมืองหลวง อองอิบกับอองขิมเป็นขุนนางได้ว่ากล่าวทหารทั้งซ้ายขวา บรรดาขุนนางคนสนิทได้เลื่อนที่เป็นขุนนางตามสมควร อยู่วันหนึ่งอองมังคิดเกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญา สืบรู้ว่ากิหยงเซ่งเป็นขุนนางผู้เฒ่ารู้จักขนบธรรมเนียม เคยได้สอนหนังสือพระราชบุตรแห่งพระมหากษัตริย์สืบมา จึงให้ไปเชิญกิหยงเซ่งเข้ามาว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นขุนนางรู้จักขนบธรรมเนียมเป็นอันมาก จึงเชิญมาจะให้สอนหนังสืออองอูบุตรข้าพเจ้า แม้นานไปภายหน้าอองอูได้เป็นกษัตริย์สืบเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวง อองอูจะขอบคุณท่านซึ่งเป็นอาจารย์ ชุบเลี้ยงลูกหลานท่านให้เป็นขุนนางตามสมควร ท่านจะเห็นเป็นประการใด กิหยงเซ่งได้ยินอองมังว่ากล่าวเกลี้ยกล่อม คิดถึงพระคุณพระเจ้าเปงเต้กลั้นน้ำตามิได้ ร้องไห้ด้วยความแค้นอองมังแต่มิได้ออกปาก จึงว่าข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้เฒ่าพระเจ้าเปงเต้ชุบเลี้ยงโดยสุจริต คิดจะทำการฉลองพระคุณอยู่มิได้ขาด บัดนี้พระเจ้าเปงเต้สวรรคตควรจะตามเสด็จไป ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าครองชีวิตอยู่ในแผ่นดิน จะมีผู้นินทาว่าเป็นคนอกตัญญูไม่ซื่อตรงต่อเจ้าของตัว ความชั่วจะลือชื่ออยู่ตราบเท่าลูกหลาน อนึ่งอายุข้าพเจ้าถึงเจ็ดสิบเก้าปีชราภาพแล้ว จะขอลารักษาความสัตย์กตัญญูไปกว่าจะสิ้นชีวิต อองมังจึงว่าท่านเป็นขุนนางซื่อตรงต่อแผ่นดินยิ่งนัก ข้าพเจ้ามีความรักใคร่จะใคร่ได้ไว้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในตำแหน่งที่ปรึกษา จึงว่ากล่าวชักชวนโดยดี ซึ่งเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจนั้นได้เป็นเจ้าแผ่นดินลำดับมาถึงสิบสองชั่วกษัตริย์ ควรที่จะเสื่อมสูญสิ้นเชื้อวงศ์ผู้มีบุญอยู่แล้ว บุญญาธิการข้าพเจ้าจะถึงที่เป็นกษัตริย์ เทพยดาจึงบันดาลให้บังเกิดเป็นวิบัติต้องเปลี่ยนกษัตริย์แผ่นดินใหม่ฉะนี้ ตัวท่านเป็นขุนนางรู้ขนบธรรมเนียม ช่วยกันทำนุบำรุงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้ได้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วหาผู้ใดจะนินทาได้ไม่ อองมังจึงให้เงินทองเสื้อผ้าเป็นอันมาก ให้ขุนนางพยุงตัวกิหยงเซ่งไปไว้กับอองอู แกล้งกักขังไว้หวังจะให้ยอมรับทำราชการในตำแหน่งที่ขุนนางผู้ใหญ่

ฝ่ายกิหยงเซ่งอยู่ในวังอองอูบุตรอองมังเป็นหลายวัน ตั้งแต่ทุกข์ตรอมใจ มิได้กินอาหารจนซูบผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่ถึงสิบสี่วัน กิหยงเซ่งสุดสิ้นกำลังขาดใจตาย ฝ่ายอองอูครั้นรู้ว่ากิหยงเซ่งสิ้นชีวิตแล้ว จึงเข้าไปในพระราชวังคำนับอองมังผู้บิดาแล้วแจ้งความทั้งปวงทุกประการ อองมังรู้ว่ากิหยงเซ่งขุนนางสัตย์ซื่อไม่กินอาหารถึงสิบสี่วันตายมีความเสียดายยิ่งนัก จึงให้เอาศพไปฝังเสียนอกประตูเมืองเบื้องทิศตะวันออกแล้ว จึงให้หาตัวกิจุนหนึ่ง ซิหงหนึ่ง ซุนเซียงหนึ่ง ตึงหลิมหนึ่ง ตึงจุนหนึ่ง ขุนนางห้าคนซึ่งเป็นคนรู้หนังสือลึกซึ้ง เป็นอาลักษณ์เก่าครั้งพระเจ้าเปงเต้นั้นให้เข้ามา คนใช้ไปหาตัวหาพบตัวซิหงไม่ ได้แต่ขุนนางสี่คนเข้ามา อองมังจึงว่าท่านทั้งสี่มีสติปัญญารู้หนังสือลึกซึ้ง เราหามาจะให้ช่วยสอนหนังสืออองอู อองมังจึงส่งขุนนางสี่คนไปอยู่กับอองอู แล้วอองมังให้คนใช้ไปหาตัวซิหง คนใช้ไปสืบพบตัวซิหง จึงบอกความตามอองมังสั่ง ซิหงไม่ยอมมาจึงว่าแก่คนใช้อองมังว่า นายท่านมีบุญแล้วจงอยู่ครองสมบัติให้เป็นสุข ตัวเราเป็นข้าพระเจ้าเปงเต้ พระเจ้าเปงเต้หาพระชนม์ไม่แล้ว เราจะออกอยู่ป่าหาความสุข ซิหงก็ไปอยู่เขากิสาน คนใช้จึงกลับมาแจ้งความแก่อองมัง อองมังมิได้ว่าประการใด ฝ่ายราษฎรชาวเมืองทั้งปวงแจ้งความดังนั้นจึงพากันสรรเสริญว่า กิหยงเซ่งกับซิหงขุนนางทั้งสองคนนี้ มีใจซื่อตรงต่อพระเจ้าเปงเต้ยิ่งนัก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ