- คำนำ
- นิทานเรื่องไชยเชฐ เรื่องต้นก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องไชยเชฐ
- นิทานเรื่องสังข์ทอง เรื่องต้นก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องสังข์ทอง
- นิทานเรื่องไกรทอง เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องไกรทอง
- กลอนตำนานเรื่องพระราชนิพนธ์ไกรทอง
- นิทานเรื่องมณีพิไชย เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องมณีพิไชย ตอนพราหมณ์ยอพระกลิ่นขอพระมณีพิไชยไปเปนทาษ
- นิทานเรื่องมณีพิไชย ตอนปลาย ต่อเรื่องตอนทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- นิทานเรื่องคาวี (เรียกอิกอย่างหนึ่งว่าเรื่องเสือโค) เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องคาวี
- เพลงยาวชมพระราชนิพนธ์
- นิทานเรื่องสังข์ศิลป์ไชย เรื่องก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องสังข์ศิลป์ไชย
- นิทานเรื่องสังข์ศิลป์ไชยตอนปลาย ต่อเรื่องตอนทึ่ทรงพระราชนิพนธ์บทลคร
ตอนที่ ๒ ไกรทองตามนางวิมาลากลับไปถ้ำ
๏ เมื่อนั้น | โฉมเจ้าไกรทองหมองศรี |
ครั้นนางวิมาลานารี | กลายเปนภุมภีล์กลับไป |
ทั้งเสียดายทั้งรักเปนหนักหนา | คิดคิดขึ้นมาน้ำตาไหล |
ให้ละห้อยละเหี่ยเสียน้ำใจ | เหมือนบ้าใบ้ไม่เปนสมประดี |
ภรรยามาเตือนให้ไปบ้าน | ยิ่งเดือดดาลดุดันหันหน้าหนี |
ชะนางตัวขยันขันสิ้นที | ช่างชวนกันด่าตีวิมาลา |
เหมือนแกล้งตีปลาน่าไซ | เอออะไรมาคิดฤษยา |
หวงแหนแสนร้ายรามา | จะปิดประตูค้าแต่ข้างเดียว |
เมื่อกี้พี่มิห้ามนางกุมภา | ที่ไหนจะคะระนาคาเขี้ยว |
ทั้งบ่าวไพร่ไม่ชั่วตัวเปนเกลียว | นี่หากคิดนิดเดียวดอกกระมัง |
ว่าพลางทางเดินออกจากสวน | หุนหันปั่นป่วนคลุ้มคลั่ง |
เมียงามตามไปไม่อินัง | มายังบ้านพลันทันใด |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนเคหา | จะอาบน้ำผลัดผ้าก็หาไม่ |
โมโหฮึดฮัดขัดใจ | เดินตรงเข้าไปในที่นอน |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ ทุ่มทอดตัวตนลงบนเตียง | เอนเอียงแอบอิงพิงหมอน |
คิดถึงวิมาลายิ่งอาวรณ์ | ทุกข์ร้อนร่ำไรไปมา |
ให้ผุดลุกผุดนั่งคลั่งเคลิ้มจิตร | สำคัญคิดว่าอยู่ในคูหา |
งวยงงหลงเรียกวิมาลา | ขึ้นมานั่งนี่ด้วยพี่ชาย |
สัพยอกหยอกยุดฉุดหมอนข้าง | นึกว่านางพลางพลอดกอดก่าย |
ประคองขึ้นอุ้มแอบเปนแยบคาย | แย้มยิ้มพริ้มพรายสบายใจ |
นั่งพินิจพิศดูรู้ว่าหมอน | ก็กลับกลิ้งนิ่งนอนถอนใจใหญ่ |
เอาผ้าห่มคลี่คลุมตัวไว้ | เหมือนป่วยเจ็บจับไข้ครวญคราง |
ได้ยินเสียงแมวไล่ตะครุบหนู | ชะเง้อชะแง้แลดูตามน่าต่าง |
เหลือบแลเห็นเงาเสาหอกลาง | นึกว่านางวิมาลายาใจ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึงลุกจากเตียงเมียงออกมา | แย้มยิ้มพยักหน้าแล้วปราไส |
พูดพลางทางหลงลูบไล้ | กอดเสาเข้าไว้ทั้งสองมือ |
ครั้นรู้ว่ามิใช่ก็ได้คิด | เอ๊ะผิดแล้วเราเสาดอกฤๅ |
ทำแก้ขวยฉวยผ้ามากระพือ | แลดูขื่อว่าจะผูกคอตาย |
เห็นเมียมาฉุดชิงยิ่งขึ้งโกรธ | แกล้งโขยดยกตีนขึ้นปีนป่าย |
เคืองขัดวัดเหวี่ยงวุ่นวาย | เดินชายเชือนออกมานอกชาน |
แว่วเสียงไก่ขันสำคัญว่า | วิมาลามาเรียกก็ร้องขาน |
แลหาแห่งใดไม่พบพาน | งุ่นง่านอยู่คนเดียวเที่ยวมอง |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้น | นวลนางภรรยาทั้งสอง |
เห็นเจ้าไกรวิปริตผิดทำนอง | ค่อยย่องตามมาแล้วว่าไป |
ฯ ๒ คำ ฯ
เย้ย
๏ ชิชะหม่อมผัวตัวขยัน | เปนไรนั่นกิริยาเหมือนบ้าใบ้ |
เมื่อกี้กอดเสาเข้าทำไม | พูดอะไรเลื่อนเปื้อนเหมือนลเมอ |
แล้วฉวยผ้ามาจะผูกคอตาย | ทำตะเกียกตะกายเก้อเก้อ |
ไม่อดสูผู้คนบ่นเพ้อ | คลั่งไคล้ไหลเล่อลืมตน |
อย่าสงไสยไม่ผิดปากว่า | จะเปนบ้าเที่ยวเดินกลางถนน |
เสียแรงเรืองฤทธิเดชเวทมนต์ | ฝูงคนเขาจะกลุ้มรุมล้อ |
ฯ ๖ คำ ฯ
(บทจำอวดแทรก)
๏ ครั้นถึงจึงพังพาบกราบไหว้ | เอาอ้อยขวั้นมาให้ห้าหกข้อ |
(บทนาง)
จงออกไปวัดวาหาท่านขรัว | รักษาตัวรดน้ำมนต์เสียสักหม้อ |
จับมงคลใส่สวมกรวมคอ | แต่พอส่างสระปะทะปะทัง |
(บทจำอวดแทรก)
ลองกินดูสักทีแม้นมิพอ | จะต้องเล่นมะละกอกับแกงฟัก |
(บทนาง)
ฤๅไปอยู่สู่สมนางจรเข้ | ถูกเสน่ห์ยาแฝดของเขาขลัง |
น่าจะเปนเช่นนั้นดอกกระมัง | ฤๅกลัดกลุ้มคลุ้มคลั่งปะรังควาน |
(บทจำอวดแทรก)
ฤๅลงไปในท้องคลองเล่นจ้องเต | ให้เมียจรเข้ขึ้นขี่หลัง |
(บทนาง)
ชรอยผีท้องเลวในเหวถ้ำ | เข้าประจำผัวข้ามาถึงบ้าน |
จะเสียผีพลีบัดปัดกะบาน | กวาดเข้าเปลือกเข้าสารส่งไป |
(บทจำอวดแทรก)
ชรอยผีพระประแดงแขวงปากน้ำ | เข้าประจำเจ้าประคุณจึงงุ่นง่าน |
(บทนาง)
ว่าพลางหัวเราะเยาะเย้ย | ยังหาเคยพบเห็นเช่นนี้ไม่ |
เอามือตีอกทำตกใจ | ยั่วเย้าเจ้าไกรไปมา |
(บทจำอวด)
แกงหมูปูทเลเทเสียสิ้น | มางมกินกบเขียดไม่เกลียดฤๅ |
ช่างไม่อายพวกลาวชาวอัตปือ | ตบมือหัวเราะเฮฮา |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองยิ้มพลางทางว่า |
รับแพ้แล้วนางแม่ค้าปลา | จะขืนขัดอัธยาไปไยมี |
น่าจะจริงของน้องต้องเสน่ห์ | เจ้าเคยคบจรเข้มาก่อนพี่ |
รู้รแบบแยบยนต์กลกุมภีล์ | เห็นทีจะเปนบ้าเหมือนว่าจริง |
พี่ไปอยู่คูหาห้าหกวัน | ผีบ้าอะไรนั่นมันเข้าสิง |
ให้หลงใหลแต่จะใคร่แอบอิง | ถึงผู้หญิงผู้ชายก็คล้ายกัน |
จริงฤๅหาไม่เจ้าตะเภาแก้ว | หม่อมพี่สาวคราวแล้วอย่างไรนั่น |
เสียจริตติดใจชาลวัน | ป่วนปั่นเปนบ้ายิ่งกว่านี้ |
ใครเล่าเจ้าเอ๋ยช่วยรักษา | จนหายบ้าได้เสียเปนเมียพี่ |
กลับมาเยาะเย้ยหยันขันสิ้นที | ร้อยสีร้อยอย่างช่างเจรจา |
เอออะไรใส่ความว่าผีเข้า | ผีห่าไหนใครเล่ามาเข้าข้า |
ผีชาลวันผัวตัวหยาบช้า | ตามมาหาเจ้าตะเภาทอง |
อย่าเย้ยเยาะเทลาะเล่นเช่นนั้น | ชาลวันขัดใจจะไล่ถอง |
จงมาต้อนรับประคับประคอง | ชวนชมสมสองให้ต้องใจ |
ว่าพลางฉวยฉุดยุดหยอก | ผัวเก่าเจ้าดอกอย่าผลักไส |
นางน้องสาวก็อย่าอื้อฉาวไป | เจ้ามิใช่ภรรยาชาลวัน |
จำเภาะพี่กับเจ้าตะเภาทอง | เคยรับรองคล่องอยู่เปนคู่ขัน |
ต่อเมื่อไรผีออกจะบอกกัน | จึงกะนั้นกะนี้กับพี่ชาย |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สองนางดาลเดือดไม่เหือดหาย |
จึงว่าผีเจ้าเล่ห์เภทุบาย | แยบคายของเจ้าข้าเข้าใจ |
เกิดขี้คร้านรำคาญหูจู้จี้ | ไม่พอที่จะต่อยามความไถ |
ทำเคียดแค้นแสนงอนค้อนเจ้าไกร | แล้วแกล้งเดินเข้าไปเสียในเรือน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองว่องไวใครจะเหมือน |
เห็นเมียแสร้งใส่จริตบิดเบือน | เดินหนีเข้าเรือนก็รู้ใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ จึงค่อยย่างย่องมองเมียง | มานั่งลงบนเตียงเคียงไหล่ |
ทำเปนโกรธาว่าไป | เอออะไรพี่น้องสองนาง |
ค้าคารมเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงแปร้น | ขัดใจจะใคร่แพ่นลงสักผาง |
มีแต่จะจัณฑาลรานทาง | ถากถางเทลาะเพราะสิ้นที |
เที่ยงนางกลางคืนก็ครื้นเครง | นี่หากเกรงใบบุญท่านเสรษฐี |
หาไม่ที่ไหนนั่นวันนี้ | ฟ้าผี่เถิดนะไม่ละกัน |
ทีนี้ก็แล้วไปเถิดไม่ว่า | เวทนาจะเงือดงดอดกลั้น |
ถ้าคราวหลังยังเปนอยู่เช่นนั้น | จะวิวาทขาดกันเสียมั่นคง |
ว่าพลางร่ายมนต์มหาละลวย | เป่าไปให้งงงวยลุ่มหลง |
แล้วหยิบพัดไล่ยุงเอามุ้งลง | ชวนน้องสองอนงค์ให้หลับนอน |
สัพยอกหยอกหยิกซิกซี้ | ท่อยทีดีกันเหมือนแต่ก่อน |
อุส่าห์แก้ตัวตนพ้นโทษกร | สโมสรเปนศุขทุกนิรันดร์ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โลม
ช้า
๏ วันเอยวันหนึ่ง | คิดถึงวิมาลาสาวสรรค์ |
ปานนี้จะครวญคร่ำรำพรรณ | ทุกข์ร้อนนอนฝันถึงพี่ชาย |
จำกูจะตามลงไป | โลมเล้าเอาใจให้เหือดหาย |
นึกคนึงถึงเมียยังเสียดาย | จะทิ้งให้เปนหม้ายเสียทำไม |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดพลางทางมีวาจา | เรียกสองภรรยาเข้ามาใกล้ |
ลูบหลังโลมเล้าเอาใจ | พูดไถลหว่านล้อมอ้อมวง |
แต่พี่นึกนึกจะปฤกษา | กลัวจะว่าใจหนุ่มลุ่มหลง |
ที่จริงเปนความตามตรง | เจ้าจงคิดดูให้จงดี |
ชวนกันตบตีวิมาลา | ด่าว่าร้อยอย่างจนนางหนี |
เกลือกว่าพวกพ้องกุมภีล์ | จะผูกไพรีมนุษย์ไป |
พี่คิดว่าจะไปไกล่เกลี่ย | ให้นางหายโกรธเสียจึงจะได้ |
หาบุญพี่ไม่เบื้องน่าไป | มนุษย์ก็จะได้อยู่สบาย |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พี่น้องสองนางโฉมฉาย |
ได้ฟังนั่งยิ้มพริ้มพราย | น้อยฤๅนั่นแยบคายขยันจริง |
สารพัดผันผ่อนย้อนยอก | ลวงหลอกเลี้ยวลดปดผู้หญิง |
นี่แน่คะหม่อมไกรมิใช่ลิง | จะลวงให้กินขิงกับเกลือ |
ชะช่างพูดจาว่าขาน | ดังน้ำอ้อยน้ำตาลหวานเหลือ |
ยังไม่มันคั้นกะทิใส่เจือ | คงจะเชื่อถ้อยคำของเจ้าคุณ |
ไปไหนไปเถิดไม่ขืนขัด | จะทานทัดก็เครื่องจะเคืองขุ่น |
เหมือนปล่อยปลาปล่อยเตาเสียเอาบุญ | จะช่วยรุนไสส่งลงไป |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองข้องขัดอัชฌาไศรย |
ได้ฟังภรรยาว่าถูกใจ | ยิ้มแห้งแกล้งไถลไปตามจน |
ปลาเต่าเอาอะไรมาบ่นบ้า | ไม่เลือกหน้าเลยนางสร้างกุศล |
จริงฤๅจะเสือกไสเสียให้พ้น | แล้วจะชวดสวดมนต์ดอกกระมัง |
ถึงพี่ไปก็ไม่อยู่ช้า | จะกลับมาให้ทันทีข้างนี้มั่ง |
อย่าเสียดสีทีทำแต่ลำพัง | เหลือกำลังหนักนักจะยักตาม |
ว่าพลางลูบหลังแล้วสั่งเสีย | ดีใจด้วยเมียไม่หวงห้าม |
ฉวยชักผ้าห่มชมว่างาม | ลวนลามเลี้ยวลอดสอดคว้า |
นี่อะไรค้อนควักผลักพี่ | ไม่พอที่กันเองก็อิจฉา |
แต่เวียนเฝ้าเย้าหยอกภรรยา | จนเวลาจวนแจ้งแสงทอง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ จึงลุกขึ้นเปิดมุ้งยุงขบ | เดินตบไหล่พลางย่างย่อง |
มาอาบน้ำในระเบียงเตียงรอง | แล้วกลับคืนเข้าห้องแต่งตัว |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นเสร็จสั่งสองนารี | เปรมปรีดิ์กระหยิ่มยิ้มหัว |
ลงบันไดเดินออกนอกรั้ว | เช้ามืดขมุกขมัวรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
สามเส้า
๏ ครั้นถึงฝั่งวังวนชลธาร | จึงโอมอ่านอาคมคาถา |
แล้วจุดเทียนไชยมิได้ช้า | คงคาแหวกช่องเปนปล่องเปลว |
เจ้าไกรทองด่วนเดินมาตามทาง | น้ำแห้งแขงกระด้างไม่ไหลเหลว |
มีดหมอเหน็บมั่นกับบั้นเอว | ตรงไปปากเหวถ้ำทอง |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ค่อยย่องเข้าไปดังใจจง | สำคัญมั่นคงไม่หลงห้อง |
หยุดยืนแฝงม่านเมียงมอง | ดูทำนองวิมาลาจะว่าไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้ปี่
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาเศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
กอดเข่าเจ่าจุกเปนทุกข์ใจ | เหมือนบ้าใบ้นั่งบ่นอยู่คนเดียว |
ยังเจ็บใจด้วยอีพี่น้อง | ให้ขัดข้องเคืองขุ่นฉุนเฉียว |
แค้นนักดังอัคคีจี้เจียว | มันไส้จะใคร่เคี้ยวเนื้อกิน |
เหตุผลเปนต้นเพราะผัวใหม่ | พาไปให้เมียดูหมิ่น |
ช่างโป้ปดลดเลี้ยวเล่นลิ้น | ไม่มีชิ้นชาติชายเท่าใยยอง |
เพี้ยงเอ๋ยผีสางเทวดา | ที่รักษาถ้ำเหวเปลวปล่อง |
จงดลจิตรดลใจเจ้าไกรทอง | ให้หลงลงมาลองอิกสักคราว |
จะตัดภ้อต่อว่าประดาเสีย | ให้สมที่อีเมียมันรังหยาว |
จะหยิกข่วนให้เจ็บด้วยเล็บยาว | เลือดมิซาวโซมอยู่ก็ดูเอา |
แล้วขุกคิดขึ้นมาถึงชาลวัน | ยิ่งวิโยกโศกศัลย์สร้อยเศร้า |
เมื่อยามยังอยู่เปนคู่เคล้า | ไม่อาทรนอนเปล่าเปลี่ยวใจ |
ไหนอีตะเภาแก้วตะเภาทอง | จะจาบจ้วงจองหองกับน้องได้ |
ทุกข์ร้อนรำพึงตลึงตไล | ครวญคร่ำร่ำไรไปมา |
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองแฝงม่านเมียงหน้า |
เข้าใจในทีวิมาลา | ยิ้มพลางทางว่าไปทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ พี่คือเทวาสุราฤทธิ์ | ซึ่งสถิตในถ้ำต่ำใต้ |
เห็นนางโศกีพิรี้พิไร | คิดพะวงสงไสยจะใคร่รู้ |
เดิมสิตามไปกับไกรทอง | ทำไมกลับมาร้องไห้อยู่ |
ฤๅเขาขู่เข็ญไม่เอ็นดู | อุปถัมภ์ค้ำชูไม่ถึงที |
จึงมานั่งบ่นหาชาลวัน | ต้องการอะไรนั่นกับผัวผี |
ถึงจะเข้มแขงขันขยันดี | ไหนจะรอดชีวีคืนมา |
จงอุส่าห์ฝากตัวผัวใหม่ | รักใคร่ข้างนี้จะดีกว่า |
ถ้าเชื่อคำทำตามเทวดา | จะดลใจให้มาประเดี๋ยวนี้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาสดุ้งจิตรคิดบัดสี |
รู้ว่าหม่อมผัวตัวดี | ลงมาเมื่อไรนี่ไม่ทันรู้ |
สาละวนนินทาว่าร้าย | ให้สเทินเขินอายอดสู |
แก้เก้อนั่งกัดปูนพลู | ก้มแกะเล็บอยู่ไม่เจรจา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองย่องเดินเข้าไปหา |
ทำเปนไม่เห็นวิมาลา | แหงนเงยเฉยหน้าแล้วว่าไป |
ใครนินทาว่าร้ายเราเมื่อกี้ | ประเดี๋ยวใจไพล่หนีไปข้างไหน |
ถ้าแม้นพบปะไม่ละไว้ | จะทำให้คุ้มค่านินทากัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ อ่อนั่งอยู่นี่เจียวสิหว่า | หน้าตาคนเก้อนี้ดูขัน |
ก้มแกะเล็บเล่นอยู่เช่นนั้น | จะหักลันเสียเปล่าไม่เข้าการ |
พี่รักเจ้านักหนาลงมาใหม่ | จะเกลี่ยไกล่ว่ากล่าวที่ร้าวฉาน |
มิให้ร้างค้างเขินเนิ่นนาน | จะสมัคสมานไมตรี |
เจ้าอย่าแค้นขัดสบัดสบิ้ง | นิ่งนิ่งเสียมั่งจงฟังพี่ |
เหมือนถ่านไฟเก่าเท่ายังมี | เป่าขึ้นคงอัคคีจะติดเชื้อ |
ไหนไหนก็รู้เช่นได้เห็นฤทธิ์ | กระบวนกระบิดอย่าทำให้ล้ำเหลือ |
น้อยฤๅนั่นยังไม่ทันจะถูกเนื้อ | สดุ้งเผื่อไปก่อนแสนงอนจริง |
ทั้งรแบบแยบคายก็หลายอย่าง | สมที่สมทางท่านผู้หญิง |
ว่าพลางผินหลังเข้านั่งอิง | สบัดสบิ้งวิ่งหนีพี่ไย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาหุนหันมันไส้ |
เคืองขัดสบัดผ้าแล้วว่าไป | น้อยฤๅนี่มาได้ช่างไม่กลัว |
เมื่อจะมาได้ลาแล้วฤๅยัง | หม่อมเมียจะคลั่งถึงหม่อมผัว |
ข้างบ้านปานนี้จะสั่นรัว | แต่ละคนไม่ชั่วข้ากลัวใจ |
ขยันยิ่งจริงเจ้าตะเภาหลวง | หึงษ์หวงสารพัดผลัดกันได้ |
มิเสียแรงแกล้งกลั่นสรรไว้ | ชอบใจหม่อมผัวล้วนตัวเปน |
ทีนี้ฤๅขึ้นชื่อว่ามนุษย์ | จนสิ้นสุดเหล่ากอไม่ขอเห็น |
อย่าปลิ้นปลอกหลอกลวงด้วยน้ำเย็น | ได้รู้เช่นเห็นหมดที่คดตรง |
จริงแล้วคะกะได้ถ่านไฟเก่า | อย่าพักเป่าเฝ้าก่อจนคอก่ง |
มันมอดหมดไม่ติดดังจิตรจง | จะซานซมงมหลงลงมาไย |
เชิญไปเสียเถิดให้พ้นห้อง | จะลวงน้องได้อิกอย่าสงไสย |
เถิดเท่านั้นแล้วก็แล้วไป | ข้ากลัวใจเจ้าจอมหม่อมเมีย |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ กัลเอยกัลยา | ช่างตัดภ้อต่อว่าประดาเสีย |
พี่มิใช่ชายชั่วที่กลัวเมีย | จะลงมาไกล่เกลี่ยเสียให้ดี |
พี่น้องสองราก็สารภาพ | เข็ดหลาบแล้วเจ้าไม่จู้จี้ |
ยังกระเดื่องกระด้างแต่ข้างนี้ | ด้วยท่วงทีจริตนั้นติดงอน |
ถึงยังกำลังเดือดไม่เหือดไห้ | จะโลมเล้าเจ้าไปกว่าจะอ่อน |
อย่าสบิ้งสบัดตัดรอน | หย่อนหย่อนเสียมั่งฟังพี่ชาย |
อันธรรมดาสัตรีมีผัว | ค่อยยังชั่วกว่าเช่นที่เปนหม้าย |
ไม่มีคนข่มเหงคะเนงร้าย | ไปไหนไปง่ายสบายใจ |
จงถอยหลังคิดดูอย่าจู้จี้ | ผัวร้างอย่างนี้หาดีไม่ |
ย่อมเปนที่ติฉินกินใจ | บุราณว่าไว้ล้วนความจริง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ ลิ้นเอยลิ้นลม | น่านิยมย้อนยอกกลอกกลิ้ง |
สารพัดไพเราะเพราะพริ้ง | สมเปนผัวท่านผู้หญิงบ้านบน |
ไว่ว่องคล่องขยันสันทัด | หลบหลีกมือหมัดไม่ขัดสน |
เคยชะนะคะคานเพราะทานทน | เล่ห์กลของเจ้าข้าเข้าใจ |
จริงแล้วแกล้วกล้าประดาเสีย | ปราบเมียมิให้หือขึ้นได้ |
กระนั้นสิเมื่อเจ้าพาข้าขึ้นไป | เห็นเมียกลัวกะไรจนสั่นรัว |
เขาจึงตีจึงด่าข้าคนเดียว | วิ่งเลี้ยวไล่ตามข้ามคอผัว |
มาสับปลับกลับอ้างอวดตัว | ว่าเขากลัวสารภาพราบไป |
ได้อายเท่านั้นแล้วมิหนำ | ยังมาซ้ำเลี้ยวลดปดไปใหม่ |
ขี้คร้านตอบให้เหนื่อยเมื่อยขาตะไกร | จะปิดหูเสียไม่ขอได้ยิน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ แสนเอยแสนงอน | ช่างแคะค่อนอุตริติฉิน |
ใส่จริตบิดเบือนเหมือนจะบิน | ล้วนหยิบชิ้นเชิงชั้นขยันดี |
พี่ไม่กลัวภรรยาเช่นว่าดอก | ใช่จะเหลือกตาหลอกได้เหมือนผี |
แต่เขาคิดเวทนาไม่ด่าตี | เท่านี้แลฮึกนึกว่ากลัว |
ถึงข้างเขาข้างเราก็เล่าแหละ | มันเกาะแกะกวนใจมิใช่ชั่ว |
โมโหมากปากคอพอตัว | ไม่จืดเจ้าเมามัวอยู่เหมือนกัน |
จะมากลับขึ้งโกรธโทษใคร | ข้าใช้ให้หึงษ์หวงกันฤๅนั่น |
พี่ก็ว่าชี้แจงเปนแพ่งธรรม์ | แต่ละคนดึงดันไม่เงือดงด |
จึงนิ่งดูทีใครจะดีกว่า | ล้วนเหล็กกล้าขยันเหมือนกันหมด |
ยังไม่หนำซ้ำมาเปรียบประชด | ว่าข้าปดก็ตกนรกเอง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าหัว | อย่าปลิ้นปลอกออกตัวไม่เหมาะเหม็ง |
เกิดวิวาทบาดเทลาะครื้นเครง | เพราะหม่อมผัวชั่วเองฤๅเพราะใคร |
จะขว้างงูดูถูกอสรพิศม์ | มันจะผิดพ้นคอไปข้างไหน |
แยบคายของเจ้าข้าเข้าใจ | จูงมาจูงไปเปนคนกลาง |
เมื่อข้ากลับกลายรูปเปนกุมภีล์ | เจ้าขับเหมือนขับผีขับสาง |
เข้าประคับประคองแต่สองนาง | กอดไว้คนละข้างไม่ห่างไกล |
ยอดรักของเจ้าตะเภาทอง | ดังจะล่องลอยฟ้าไม่หาได้ |
สาวพรหมจารีดีสุดใจ | ไม่มีใครถูกต้องพ้องพาน |
หม่อมไกรได้ชมสมสอง | เหมือนได้นางรูปทองไว้ที่บ้าน |
จะคุ้มโทษโทษาห้าประการ | อัปรีสีกระบานไม่มีเลย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เอวเอยเอวบาง | ชะช่างชูเชิดเปิดเผย |
สารพัดผ่อนปรนเปนคนเคย | ไม่ลืมเลยลิ้นลมคมชิด |
เจนจัดหัดมาแต่ชาลวัน | หลายชั้นเชิงชวนกระบวนกระบิด |
มิใช่ชายเจ้าชู้รู้ฤทธิ์ | จะสิ้นคิดติดกุกอยู่ทุกคน |
นี่หากพี่เองรู้เพลงน้อง | จึงตามรอยคล้อยคล่องไม่ขัดสน |
อันนางตะเภาทองทำนองคน | แยบยนต์ไม่เท่ากุมภีล์ใน |
เจ้าสิกลับกลายได้หลายอย่าง | รู้ทางจะหนีทีจะไล่ |
สันทัดจัดเจนอยู่ในใจ | มนุษย์ฤๅจะได้เหมือนเช่นนี้ |
พี่ก็ยังต้องจิตรติดใจอยู่ | อุส่าห์สู้ซังตายมาถึงนี่ |
เจ้าตัดรอนค่อนไค้ไม่ไยดี | เพราะผิดที่ทำนองไม่ต้องใจ |
ถ้าพี่เปนเทวาสุราฤทธิ | จะนิมิตรชาลวันขึ้นให้ใหม่ |
จะปิดทองทั้งตัวให้ทั่วไป | นั่นและจะชอบใจวิมาลา |
จะสาปสรรเสียบ้างเหมือนอย่างนี้ | กุมภีล์ร้ายกาจไม่ปราถนา |
เจ้ากระบิดกระบวนมารยา | แต่เล็กมาจนใหญ่พึ่งได้พบ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ หม่อมเอยหม่อมผัว | มิใช่เช่นชายชั่วหัวประจบ |
รู้วิชาเชี่ยวชาญชำนาญครบ | ใครใช้ให้มาคบกับกุมภา |
ใครอวดว่าข้าชาวสวรรค์ฤๅ | จึงซมซานด้านดื้อลงมาหา |
ใครชักใครจูงจมูกมา | ใครเรียกใครหาใครแนะนัด |
ไม่รู้ฤๅว่าชาติเดียรฉาน | มาสมานสมาคมสมสัตว์ |
ทำให้เสียเสื่อมเวทมนต์ชงัด | สารพัดอัปรีก็มีมา |
เจ้าช่างคิดนิมิตรชาลวัน | จะเอาไว้ไยนั่นในคูหา |
เอาไปฝากนวลน้องทั้งสองรา | ขอทยาของเจ้าตะเภาทอง |
นี่เอาไปฝากเจ้าตะเภาแก้ว | ดีแล้วช่วยทำฉล่ำฉลอง |
เสียแรงหม่อมผัวนิมิตรปิดทอง | ทั้งสองจะได้ไม่เร่งรัด |
ทำไมมิให้คิดถึงผัวเก่า | ถึงโฉดเฉาก็ตรงคงในสัตย์ |
ไม่โกหกพกลมเลี้ยวลัด | ชั่วช้าสารพัดเหมือนมนุษย์ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ น้อยเอยน้อยฤๅ | ยังจะรื้อกวนใจมิให้หยุด |
จริงแล้วเจ้าเฝ้าติผัวมนุษย์ | ไม่เหมือนหม่อมนักกะผุดผัวนาง |
ทั้งซื่อทั้งสัตย์สารพัดดี | ไม่มีที่คดคอดตลอดหาง |
ถึงเมื่อวันจะตายวายวาง | ก็ไม่ว่างเว้นสวาดิขาดแคลน |
กระนั้นสิจึงร่านรนบ่นหา | เพราะดีกว่าชายอื่นสักหมื่นแสน |
ทั้งบกเรือเหนือใต้ในแว่นแคว้น | จะหาแทนผัวเก่าไม่เท่าทัน |
อันตัวพี่นี้สักแต่ว่าชาย | แยบคายคลายอยู่ไม่สู้ขยัน |
พึ่งจะได้พบพานงานประชัน | ชั่วกว่าชาลวันทุกสิ่งไป |
เจ้าจึงตัดขาดไม่ปราถนา | จะนัดแนะให้มาก็หาไม่ |
แต่ข้างพี่ยังมีเยื่อใย | ติดใจอยู่มั่งจึงซังตาย |
ไม่เห็นเลยว่าจะเฉยเสียเช่นนี้ | ทำให้พี่แสบท้องอยู่จนสาย |
น่าจะมีสักสิ่งเปนลิงลาย | รักซ้อนซ่อนร้ายไว้ภายใน |
หนุ่มหนุ่มกุมภีล์ก็มีตรึก | มันจะเปนเช่นนึกหาผิดไม่ |
เดิมทีพี่มาพาขึ้นไป | สำคัญใจว่ารักกันจริงจริง |
ไม่นึกแหนงว่าจะแกล้งไปเอาเหตุ | ไม่สังเกตสังกามารยาหญิง |
ทำกระบวนรวนเรประเว่ประวิง | ดีจริงแล้วจะได้เห็นกัน |
กุมภาผัวเจ้าเล่าฦๅชื่อ | ตายเพราะฝีมือของใครนั่น |
เถิดฤๅให้ไปตามชาลวัน | ทำขบฟันแล้วเดินเมินออกมา |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาฉวยฉุดยุดคร่า |
ทำกระบวนข่วนหยิกด้วยมารยา | นี่ล่ำลาใครแล้วฤๅจะไป |
เอออะไรอกเอ๋ยไม่เคยเห็น | เชิงเช่นเจ้าจอมหม่อมผัวใหม่ |
มาพาโลโพคลุมกลุ้มใจ | สารพัดเศกใส่วิมาลา |
ไหนจะพาขึ้นไปให้เมียสับ | ยังมิหนำซ้ำกลับมาด่าว่า |
เดิมทีที่วิวาทวาทา | เพราะข้าพาลเทลาะฤๅเพราะใคร |
เมียหม่อมมาชี้หน้าด่าทอ | ไสคอข้าก่อนจริงฤๅไม่ |
หยาบหยามข้ามหัวหม่อมผัวไป | หูหางช่างกะไรไม่ได้ยิน |
เขารุมกันตีด่าข้าอึงอื้อ | ตาเจ้าบอดไปฤๅไม่เห็นสิ้น |
เหตุว่ารักแล้วก็พาบิน | ชังแล้วถมดินให้โทรมทรุด |
ได้เอียงแล้วกะไรให้จนล่ม | ได้ชมแล้วกะไรให้สูงสุด |
จับได้ไหนนั่นข้อพิรุธ | ที่ทุจริตคิดนอกใจ |
จะไว้ใยกับอีวิมาลา | ทำตามโทษาอย่าปราไส |
ว่าเล่นเปล่าเปล่าแล้วจะไป | ข้ายังไม่ให้ไคลคลา |
เชิญชี้ชายชู้ข้าดูก่อน | ได้แล้วจะนอนลงให้ฆ่า |
แกล้งพาลพาโลโกรธา | นี่หม่อมเมียสอนมาข้าเข้าใจ |
มิห้ำหั่นฟันข้าให้ย่อยยับ | อันจะให้ข้ากลับอย่าสงไสย |
ว่าพลางครวญคร่ำร่ำไร | ฉุดชายผ้าไว้ไม่วางมือ |
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ งอนเอยงอนชด | เอ๊ะอ่อนหย่อนพยศลงแล้วฤๅ |
เจ้าสิแสนคมคารมฦๅ | ทำไมมายุดยื้อข้าไว้ไย |
ข้าเปนคนพาทีไม่มีสัตย์ | ไม่จัดเอาจริงสักสิ่งได้ |
จะมาบีบน้ำตาเอาข้าไย | ข้าทำสิ่งไรให้เคืองตา |
เปนไรมิโลดเต้นเล่นตัว | เย้ายั่วเยื้องยักให้หนักหนา |
จนออกเข็ดคารมระอมระอา | มันไม่น่าแล้วคะข้าจะไป |
ทั้งสองเมียสามเมียมิเสียแรง | ปากกล้าหน้าแขงคารมใหญ่ |
เจ้ากระบิดกระบวนกวนใจ | เอาไว้ไยหย่าเสียนางเมียงาม |
จะหาใหม่ให้ดุขึ้นกว่านี้ | อิกสักสี่ห้าคนให้พ้นสาม |
แน่เจ้าจะมีใหม่มั่งก็ตาม | แต่ให้งามสมหน้าเหมือนชาลวัน |
นิ่งอยู่ไยเล่าเจ้าคนคม | มิค้าคารมอมอะไรไว้นั่น |
ทำหน้าบูดบึ้งเห็นขึงครัน | ใครบอกบุญสุนธรรม์ไม่ศรัทธา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | นางเลื่อมลายวรรณอยู่ในคูหา |
ได้ยินไกรทองวิมาลา | วิวาทวาทากันอื้ออึง |
คารมข้างนางเมียก็ไม่ชั่ว | ข้างเจ้าผัวก็ไปไม้หนึ่ง |
ท่อยทีดีขยันดันดึง | นางจึงลุกเดินออกไปดู |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ เยี่ยมเยี่ยมมองมองแล้วร้องว่า | อะไรนี่บ่นบ้าน่าหนวกหู |
ทั้งหม่อมเมียหม่อมผัวล้วนตัวรู้ | ไม่อดสูผีสางบ้างเลย |
จะสาวไส้ให้กาแย่งแร้งทึ้ง | อื้ออึงมันไม่ดีนะพี่เอ๋ย |
ใช่จะแกล้งแสร้งซ้ำปรำเปรียบเปรย | พี่ก็เปนคนเคยคนเข้าใจ |
จะมาขืนฟื้นฝอยหาตะเข็บ | หยิกเล็บจะเจ็บเนื้อฤๅหาไม่ |
เมื่อกินอยู่ที่ลับแล้วเปนไร | จะมาไขกลางแจ้งให้แพร่งพราย |
จะพลอยให้เพื่อนเมียเสียรังวัด | ถ้าฉวยพลัดขาดลอยสิคอยหาย |
ยิ่งจะฦๅรยำซ้ำร้าย | เปนสองหม้ายสามหม้ายน่าอายใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาตอบพลางทางค้อนให้ |
อุแม่เอ๋ยเจ้าจอมเมียหม่อมไกร | ออกมาได้สอนสั่งตั้งกะทู้ |
น้อยฤๅห้ามปรามเหมือนหนามเหน็บ | มันเจ็บปวดเหลือแล้วถึงแก้วหู |
นางไม่มีที่ชั่วผัวเอ็นดู | นี่เจ้ารู้อะไรมาเจรจา |
ชอบจะช่วยกันเจ็บเก็บใส่ใจ | นานไปเผื่อจะเปนเหมือนเช่นข้า |
จะได้จดจารึกไว้ตรึกตรา | ไหนไหนก็ราคาเดียวกัน |
จริงแล้วคะข้าเปนคนโฉดเขลา | ไม่เหมือนเจ้าดีหมดช่างอดกลั้น |
อย่าพักพูดร้อยบทประชดประชัน | แต่เพลาเพลาเท่านั้นเถิดเปนไร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองร้องว่าอัชฌาไศรย |
วิมาลาเมียข้าแล้วเหลือใจ | เหมือนหนามไหน่เกะกะระรั้ว |
พบปะหน้าไหนใส่เอาหมด | ไม่ละลดเทลาะคนเสียจนทั่ว |
ตะกิ่งตะเกียงเงี่ยงงารอบตัว | ความวัวยังไม่หายความควายมา |
เถิดซิตามถนัดไม่ขัดขวาง | ทั้งสองข้างวางกันให้หนักหนา |
ใครคารมสมควรราคา | จะเปลื้องผ้าคาดพุงออกรางวัล |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาตอบไปขมีขมัน |
เอออะไรเขาว่าประสากัน | หม่อมผัวตัวสั่นออกเถียงแทน |
สารวอนค่อนว่าประดาเสีย | ให้หม่อมเมียได้หน้าขึ้นกว่าแขน |
เจ็บใจใครมั่งจะไม่แค้น | นี่และแม่นแท้ว่าเปนตราชู |
จริงแล้วข้าหมอความเหมือนหนามไหน่ | แต่กระนั้นเกี่ยวไว้ยังไม่อยู่ |
พูดจาพล่อยพล่อยร้อยประตู | เหมือนใครไม่รู้ไม่เข้าใจ |
ถึงคราวจะหยิบผิดไม่คิดหน้า | เงี่ยงงาสารพัดพูดได้ |
เจ้าเอ๋ยจงถนอมหม่อมเมียไว้ | อย่าให้ใกล้เคียงกับเงี่ยงงา |
ชะนางคนดีไม่มีชั่ว | เอาหม่อมผัวออกตั้งเปนดั้งน่า |
นานไปจะขึ้นถึงหลังคา | หน้าตาตละชาดเลือดฝาดแดง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางเลื่อมลายวรรณเถียงเสียงแขง |
ช่างไม่ขันดันแดกแหกกระแชง | มาตะแคงแว้งวัดเอากันเอง |
เห็นอื้ออึงจึงออกมาห้ามปราม | กลับใส่ถ้อยร้อยความไม่เหมาะเหมง |
ข้าเปนคนเจียมตัวกลัวเกรง | ไม่เปนโตงเปนเตงน่าอายใจ |
เออจะเอาอะไรมาขึ้นน่า | เปนแขนเปนวาช่างว่าได้ |
ทำคุณบูชาโทษโหดไร้ | สารพันสรรใส่ไม่ไว้วาง |
มาดูหน้าข้าเถิดท่านผู้หญิง | มันแดงจริงยิ่งกว่าย้อมน้ำฝาง |
สำคัญว่าผัวรักยักลูกคาง | สารติ้งวิ่งวางไปตามลม |
ทำไมเล่าจึงไม่เอาให้ขาดเด็ด | ฤๅไปปะบรเพ็ดเข็ดขม |
กลับลงมาครางครืดผะอืดผะอม | ก็พอสมน้ำหน้าสาแก่ใจ |
เถิดคะรำคาญขี้คร้านเทลาะ | นี่เนื้อเคราะห์มาเหยียบหนามไหน่ |
กระทืบเท้าลงส้นเดินบ่นไป | เข้าในห้องหับฉับพลัน |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองลิ้นลมคมสัน |
จึงว่านี่แน่เจ้าแต่เท่านั้น | อย่าป่วนปั่นหันหุนวุ่นวาย |
เขาก็เข็ดปากคอไม่ต่อสู้ | หนวกหูเต็มทีจนหนีหาย |
ยังตะบอยบ่นว่าบ้าน้ำลาย | เคียดแค้นแสนร้ายรามา |
จนเหื่อย้อยเหื่อไหลก็ไม่คิด | แป้งปูนแต่สักนิดไม่ติดหน้า |
มันงามเหลือแล้วเจ้าวิมาลา | หน้าตามอมแมมเหมือนแมวคราว |
อะไรเล่าเฝ้าชำเลืองเคืองค้อน | ทำแสนงอนทุ้งทิ้งยิ่งกว่าสาว |
ข่วนคนเจ็บเจ็บเจ้าเล็บยาว | น่าชังรังหยาวสุดใจ |
ไปเอนหลังเอนไหล่เล่นดีกว่า | นึกว่าสู่ขอเข้าหอใหม่ |
ว่าพลางจูงนางเข้าห้องใน | นั่งบนเตียงเคียงไหล่ไขว่คว้า |
อย่าฮึดฮัดวัดแว้งเครื่องแป้งจะหก | หยิบกระจกมาให้น้องส่องดูหน้า |
ช่วยตกแต่งแป้งกระแจะละลายทา | วิมาลาเคืองขัดปัดมือ |
นี่จะหยิกจะทึ้งไปถึงไหน | จะทำให้พี่ป่วยไปเสียฤๅ |
ชักชายผ้าห่มหลุดยุดยื้อ | ถูกถือตามธรรมเนียมเลียมลอง |
คลื่นซัดอัศจรรย์ลั่นเลื่อน | สท้านสเทือนถ้ำเหวเปลวปล่อง |
เล้าโลมเลี้ยวลอดสอดคล้อง | ทั้งสองท่อยทีปรีดา |
ฯ ๑๖ คำ ฯ โลม
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาสรวลเสเสนหา |
คลึงเคล้าเย้ายวนชวนภัศดา | ให้พูดจาเรื่องราวเล่านิทาน |
ได้ยินข่าวเล่าฦๅมาจะแจ้ง | ว่านายแฟงกับนายฉิมอยู่ริมบ้าน |
หม่อมได้ฟังมั่งฤๅไม่เขาไปงาน | โปรดประทานเล่าไปให้ฉันฟัง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองตรองตรึกนึกความหลัง |
เมื่อวันพระปะนายฉิมที่ริมวัง | เข้าแฝงฟังพอเขาเล่าก็เข้าใจ |
จำเขาได้ดอกนะน้องสองสามมุก | พอแก้ทุกข์ขุกเข็ญเห็นจะได้ |
แล้วบ้วนปากคายหมากกระแอมไอ | เอาหมอนใส่หลังพิงแล้วอิงเอน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ พี่จะกล่าวราวเรื่องเนื่องมา | อารามร้างกลางนามีตาเถน |
อยู่สองคนในกุฎีไม่มีเณร | บิณฑ์บาตเช้าฉันเพนทุกวันไป |
องค์หนึ่งเที่ยวบิณฑบาตยาจนา | พอสีกาเขาแกงจุ๊บแจงใส่ |
จังหันหลายทารพีก็ดีใจ | กลับไปยังที่กุฎีพลัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงหอกลางก็วางบาตร | เชิงฉลาดจะหลีกหลบขบฉัน |
แม้นอยู่ให้หลวงตานั้นมาทัน | จะต้องปันแกงหอยนั้นน้อยไป |
พอแลเห็นตุ่มวางกลางกุฎี | เห็นท่วงทีจะลงฉันในนั้นได้ |
จึงหย่อนองค์ลงในตุ่มศุโขไทย | เอาแผ่นอิฐปิดไว้มิได้ช้า |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จะกล่าวถึงเถนคงองค์หนึ่งนั้น | ได้จังหันนิดเดียวเที่ยวนักหนา |
แหงนดูสุริย์ฉายสายเต็มประดา | ก็กลับมาถึงที่กุฎีพลัน |
คิดว่าเพื่อนยังไม่มาก็ด่าโผง | อ้ายตายโหงเที่ยวไปถึงไหนนั่น |
กูแสบท้องนักหนาไม่ท่ามัน | ขัดสมาธิ์สองชั้นเอาช้อนโพง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ส่วนเถนในตุ่มนั้นฉันตะบอย | ทำปากตูดดูดหอยดังจุ๊บโจ่ง |
ตาเถนอยู่ข้างบนเห็นทนนโคลง | มาเปิดอิฐปิดโอ่งแล้วเพ่งพิศ |
ส่วนเถนอยู่ในทนนพ่นแกงเอา | ถูกเข้าที่หน้าในตาปิด |
เถนคงร้อนดิ้นแทบสิ้นชีวิตร | เอ๊ะอะไรพ่นพิศม์แสบสุดใจ |
เถนองค์นั้นจึงถลันลุกออกมา | แล้วว่าข้าจะช่วยดับพิศม์ให้ |
จึงเอาโอตักน้ำมาทันใด | รดลงไปที่หน้าตาเถนคง |
เห็นเพื่อนกันหายปวดซ้ำอวดรู้ | นี่ว่ากูได้คาถาตาบุญสง |
จึงแก้เองไว้ได้ไม่ปลดปลง | ที่นี้จงอุส่าห์รักษาตัว |
เองอย่าได้ไปมองที่ปากโอ่ง | อ้ายจุ๊บโจ่งมันร้ายมิใช่ชั่ว |
ตาเถนคงแจ้งจิตรก็คิดกลัว | รักษาตัวอยู่ด้วยกันทุกวันเอย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | วิมาลาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ |
ชมว่าเพราะนักหนาน่ารางวัล | แต่กระนี้ดีครันขยันจริง |
ถ้าปะเขาหางานการของราษฎร์ | ส่งพิณพาทย์นายมีจะดียิ่ง |
ใช่ว่าเล่นเช่นหม่อมเธอพร้อมพริ้ง | ไปงานไหนได้ผู้หญิงวิ่งตามมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าไกรทองยิ้มพลางทางว่า |
ผู้หญิงหาไหนเล่าเฝ้าตามมา | คือผู้หญิงกุมภาที่ตามไป |
ไหนเล่าเจ้าจะตกรางวัลพี่ | หันหน้ามานี่จะบอกให้ |
สกิดแก้มแนมนมชมสไบ | คว้าไขว่ยวนเย้าเฝ้าตอแย |
อัศจรรย์บันดาลอยู่บ่อยบ่อย | รศอร่อยมิได้จืดให้ชืดแช่ |
พิรุณร่วงตวงไว้จนเต็มแล้ | รักกันคุ้มแก่ไม่แชเชือน |
การสัมผัสเย้ายวนชวนชื่น | จะหาอื่นมาให้ดีไม่มีเหมือน |
หยุดสวาดิขาดเพลาเข้ามาเตือน | มิได้เคลื่อนคลาศคลารารอ |
ฯ ๘ คำ ฯ