- คำนำ
- นิทานเรื่องไชยเชฐ เรื่องต้นก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องไชยเชฐ
- นิทานเรื่องสังข์ทอง เรื่องต้นก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องสังข์ทอง
- นิทานเรื่องไกรทอง เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องไกรทอง
- กลอนตำนานเรื่องพระราชนิพนธ์ไกรทอง
- นิทานเรื่องมณีพิไชย เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องมณีพิไชย ตอนพราหมณ์ยอพระกลิ่นขอพระมณีพิไชยไปเปนทาษ
- นิทานเรื่องมณีพิไชย ตอนปลาย ต่อเรื่องตอนทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- นิทานเรื่องคาวี (เรียกอิกอย่างหนึ่งว่าเรื่องเสือโค) เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องคาวี
- เพลงยาวชมพระราชนิพนธ์
- นิทานเรื่องสังข์ศิลป์ไชย เรื่องก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องสังข์ศิลป์ไชย
- นิทานเรื่องสังข์ศิลป์ไชยตอนปลาย ต่อเรื่องตอนทึ่ทรงพระราชนิพนธ์บทลคร
บทลครเรื่องมณีพิไชย ตอนพราหมณ์ยอพระกลิ่นขอพระมณีพิไชยไปเปนทาษ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | นางจันทรเทวีศรีใส |
อินทรามาเข้าดลใจ | พเอิญให้ร้อนรนพ้นปัญญา |
คิดจะใคร่ไปสรงชลธี | ยังที่ฉนวนน้ำประจำท่า |
ชวนฝูงกำนัลในไคลคลา | ลีลามาสู่ตำหนักแพ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงลงสรงสนาน | กับบริวารข้าสาวชาวแม่ |
หัวระริกซิกซี้กันซ้อแซ้ | ชุมแช่ชลธารสำราญใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงฉิ่ง เจรจา
๏ นางจันทรทอดทัศนา | เห็นดอกบัวลอยมาในน้ำไหล |
ไม่แจ้งว่างูร้ายอยู่ภายใน | ครั้นเข้ามาใกล้ก็หยิบเอา |
กลิ่นหอมรวยรื่นชื่นอารมณ์ | นางเชยชมดมแล้วดมเล่า |
แซมมวยเล่นลองต้องเบาเบา | งูงอดตอดเอาพระเศียรนาง |
พิศม์สงกลัดกลุ้มคลุ้มจิตร | ดังหนึ่งชีวิตรจะจากร่าง |
ขึ้นมาบนฉนวนครวญคราง | นวลนางซอนซบสลบลง |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ บัดนั้น | กำนัลนางต่างคนตลึงหลง |
บ้างเข้าประคองต้ององค์ | เห็นโฉมยงแน่นิ่งไม่ติงกาย |
บ้างว่างูขบสลบไป | ทำกะไรกะนี้จึงจะหาย |
บ้างวิ่งไปถึงโรงฝีพาย | หาหมอผู้ชายก็ไม่มี |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บรรดาข้าหลวงทั้งปวงนั้น | ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหนี |
เข้ากลุ้มอุ้มองค์เทวี | พาไปยังที่พระบรรธม |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เถ้าแก่ท้าวนางต่างตกใจ | อลหม่านอกไหม้ไส้ขม |
บ้างไปเรียกขอเฝ้าเจ้ากรม | บ้างขึ้นมาบังคมทูลคดี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพิไชยนุราชเรืองศรี |
ครั้นรู้ก็รีบจรลี | พระมณีพิไชยก็ไคลคลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ นั่งลงทรงลูบปฤษฎางค์ | กายนางเย็นฉ่ำดังน้ำท่า |
ตกใจสำคัญว่ากัลยา | มอดม้วยมรณาก็จาบัลย์ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ จึงตรัสสั่งลูกรักให้เร่งหา | หมองูเข้ามาขมีขมัน |
ใครแก้ไขให้หายจะรางวัล | แพรพรรณเงินทองล้วนของดี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระโอรสรับสั่งใส่เกษี |
มาหาหมอวุ่นวิ่งเปนสิงคลี | อึงมี่ตึงตังทั้งวังใน |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ มดหมอแก้ไขก็นักหนา | นางจะฟื้นคืนมาก็หาไม่ |
จึงให้ตีฆ้องร้องป่าวไป | หมองูอยู่ที่ไหนเอาตัวมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ลาวปีนตลิ่ง
๏ เมื่อนั้น | โฉมเจ้าพราหมณ์น้อยละห้อยหา |
นั่งอยู่ยังบรรณศาลา | เห็นเขามาร้องป่าวก็เข้าใจ |
ชรอยท่านแม่ผัวตัวอิจฉา | บาปหนางูขบสลบไสล |
เหมือนคำโกสีย์ที่สาปไว้ | สมน้ำหน้าสาใจนางเทวี |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นหยุดเสียงฆ้องก็ร้องถาม | ถ้อยความอะไรขาว่าเมื่อกี้ |
เชิญแวะมาหาข้าข้างนี้ | เล่าคดีให้ฟังมั่งเปนไร |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาฟังพราหมณ์ถามไถ่ |
จึงบอกว่ามเหษีของท้าวไท | งูขบสลบไปไม่ฟื้นองค์ |
หมองูเอายาทาถวาย | ก็ไม่คลายสักนิดที่พิศม์สง |
ถ้าใครแก้ฟื้นคืนคง | พระองค์จะให้ทองเท่าลูกฟัก |
เข้าใจมั่งฤๅพ่อเปนหมองู | ชีพราหมณ์ความรู้มักแหลมหลัก |
ปากเปราะเราะรายมาทายทัก | จะรับรักษาได้ฤๅไรนา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ยิ้มพลางทางว่า |
ข้าเจ้าเปนหมองูรู้มนตรา | จะรักษาก็ได้เปนไรมี |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนาได้ฟังถ้วนถี่ |
จึงว่าขอเชิญเจ้าพราหมณ์ชี | ไปรักษามเหษีท้าวไท |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์กล่าวแกล้งแถลงไข |
เท้าข้าป่วยเจ็บเปนเหน็บไป | เดินเหินไม่ได้ณเสนา |
ท่าทางกลางดงก็กันดาร | แม้นท่านจะให้ไปรักษา |
จงไปทูลอาการพระผ่านฟ้า | ให้เอาวอออกมารับเรา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีดีใจใครจะเท่า |
ซักไซ้ได้ความตามลำเนา | แล้วกลับเข้าบุรีเร็วพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงทูลแถลงแจ้งความ | ข้าไปพบเจ้าพราหมณ์ในไพรสัณฑ์ |
เปนหมองูรู้จบครบครัน | หยูกยาว่าขยันเคยทดลอง |
จะพามาด้วยก็ป่วยท้าว | เดินก้าวไม่ถนัดขัดข้อง |
สั่งมาว่าจะขอเอาวอทอง | ไปรับรองจึงเจ้าจะเข้ามา |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพิไชยนุราชนาถา |
ได้ฟังจึงสั่งเสนา | อย่าช้าเร่งรัดกันบัดนี้ |
วอทองของกูที่ทำใหม่ | จงเอาไปให้เจ้าพราหมณ์ขี่ |
เชื้อเชิญพูดจาให้จงดี | รับเจ้าพราหมณ์ชีเข้ามา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกษา |
มาจัดแจงแต่งวอช่อฟ้า | เสร็จแล้วก็พากันคลาไคล |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงบอกแก่เจ้าพราหมณ์ | เล่าความจะแจ้งแถลงไข |
บัดนี้พระองค์ทรงภพไตร | สั่งให้มารับฉับพลัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
จรเข้หางยาว
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์เพราเพริศเฉิดฉัน |
ในจิตรคิดจะใคร่จรจรัล | ไปประสบพบกันกับผัวรัก |
แต่เมียพลัดพรากจากมา | พระจะแสนโศกาเพียงอกหัก |
วันนี้เข้าไปได้พบภักตร์ | จะรู้จักเมียบ้างฤๅอย่างไร |
คิดคนึงถึงความเสนหา | จะอดกลั้นโศกามิใคร่ได้ |
เห็นเขาแลดูอดสูใจ | ทำเมียงเมินเดินไปในศาลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ อาบน้ำชำระสระสรวย | หวีผมเกล้ามวยแล้วนุ่งผ้า |
มาขึ้นวอสุวรรณมิทันช้า | ทั้งสี่เสนาก็นำไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงปราการกั้นชั้นสอง | จึงลงจากวอทองผ่องใส |
เถ้าแก่ท้าวนางข้างใน | ออกไปรับเจ้าพราหมณ์ให้ตามมา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้น | พระมณีพิไชยใฝ่ฝันหา |
เห็นโฉมเจ้าพราหมณ์งามโสภา | กิริยารูปร่างเหมือนนางเมีย |
แล้วจะเปนยอพระกลิ่นเมียพี่ | ที่พระชนนีขับเสีย |
ร้อนอกหมกไหม้ดังไฟเลีย | สำคัญคิดว่าเมียก็เข้ามา |
แย้มยิ้มหยอกยุดฉุดข้อมือ | ไปไหนน้อยฤๅพึ่งเห็นหน้า |
พิศวงหลงใหลไขว่คว้า | อนิจาถอยหนีพี่ไย |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ปัดกรค้อนให้ |
แลสบหลบเนตรภูวไนย | แย้มยิ้มละไปไปมา |
คิดคนึงถึงความเมื่อยามรัก | สงสารพระทรงศักดิเปนนักหนา |
ชลเนตรคลอคลองไนยนา | เมียงเมินภักตราไม่พาที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีพิไชยโฉมศรี |
จึงกุมกรเจ้าพราหมณ์จรลี | มานั่งเหนือแท่นที่อันเดียวกัน |
คิดพะวงสงไสยอยู่ไม่วาย | เหมือนลม้ายยอพระกลิ่นเมียขวัญ |
จะใคร่รู้ข้อขำสำคัญ | จึงถามไถ่ไปพลันทันที |
นามกรของเจ้านั้นชื่อไร | อย่าใส่ไคล้ย้อนยอกจงบอกพี่ |
สุริวงศ์พงศ์เผ่าของเจ้ามี | ฤๅกำเนิดเกิดที่แห่งใด |
อันถิ่นฐานบ้านช่องน้องรัก | แรกเริ่มเดิมสำนักอยู่ที่ไหน |
บอกพี่เถิดเจ้าพราหมณ์อย่าขามใจ | เหตุไรมาอยู่ที่ศาลา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ยิ้มเยื้อนเบือนหน้า |
เสแสร้งแกล้วกล่าววาจา | พระอย่ากินแหนงแคลงใจ |
ตัวข้าชื่อว่าอาริยพราหมณ์ | ขนานนามตามสังเกตเพศไสย |
บิดรมารดาข้าบรรไลย | แต่อายุข้าได้สิบปี |
จึงเที่ยวสัญจรซอนซอก | อยู่บ้านนอกปลายแดนกรุงศรี |
เรียนวิชาหาครูความรู้ดี | แล้วมาอยู่ยังที่ศาลา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีนิ่งฟังให้กังขา |
ถ้อยคำน้ำเสียงจำนรรจา | เหมือนเสียงแก้วแววตาของพี่ชาย |
ขนงเนตรเกษแก้มแย้มเยื้อน | ลม้ายเหมือนยอพระกลิ่นโฉมฉาย |
กิริยาพาทีก็ขวยอวย | ผิดชายนักหนาน่าอัศจรรย์ |
ถอยถดขยดเข้านั่งชิด | ทอดสนิทติดใจใฝ่ฝัน |
จะใคร่ดูให้รู้สำคัญ | เปนไรนั่นกลิ่นอายก็หายไป |
นิ่งนึกตรึกถวิลยังกินแหนง | จึงแสแสร้งแกล้งกล่าวถามไถ่ |
ยามร้อนผ้าผ่อนเจ้าห่มไย | ซื้อฤๅใครให้จึงได้มา |
เนื้อหนังดีหนอจะขอชม | เจ้าพราหมณ์ห่มสมตัวนักหนา |
ฉุดชิงชายสไบไขว่คว้า | ไนยนาแลลอดสอดดู |
ไม่เห็นแยบคายก็อายใจ | ทอดถอนใจใหญ่แล้วยิ้มอยู่ |
แก้เก้อนั่งกัดปูนพลู | อดสูแก่ใจไม่เจรจา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ยิ้มพลางทางว่า |
ผ้าของข้านี้ที่ห่มมา | ไปรักษาคนไข้เขาให้ปัน |
ไม่เคยพบผ้าฤๅเอามือหยิบ | มิใช่ว่าผ้าทิพย์ผ้าสวรรค์ |
ประเพณีชีพราหมณ์พรหมจรรย์ | ห่มผ้ามากระนั้นตามธรรมเนียม |
ข้าเจ้านี้ฤๅคนซื่อตาย | ไม่รู้ทำแยบคายอายเหนียม |
เปนคนโง่เง่าไม่เท่าเทียม | สงบเสงี่ยมอยู่ตามพราหมณ์ชี |
อย่าทำลามลวนหาควรไม่ | สบัดกรค้อนให้แล้วลุกหนี |
ไปรับมาให้รักษาชนนี | ก่นแต่เฝ้าเซ้าซี้รำคาญใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีนึกพะวงสงไสย |
ดำเนินเดินตามเจ้าพราหมณ์ไป | รอเรียงเคียงไหล่ชำเลืองดู |
จึงว่าตัวเจ้าก็เปนชาย | ไม่พอที่จะอายอดสู |
หามาจะให้ปัดพิศม์งู | จงทำตามความรู้ที่เรียนไว้ |
เครื่องเทศเครื่องไทยอะไรมั่ง | พี่จะสั่งให้เขาเอามาให้ |
เหมือนหนึ่งกันเองอย่าเกรงใจ | จะต้องการสิ่งไรจงบอกเรา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ว่าร้อนใจไปไยเล่า |
เครื่องเทศสมุนไพรก็ไม่เอา | ข้าเจ้าจะให้หายด้วยวิทยา |
แม้นพระมารดาฟื้นคืนคง | พระองค์จะให้อะไรข้า |
จงให้ความสัตย์สัญญา | ต่อหน้าทั้งปวงเปนพยาน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีพิไชยจึงว่าขาน |
แม้นรักษาหายไม่วายปราณ | จะทดแทนคุณท่านให้ถึงใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เจ้าเอยเจ้าพราหมณ์ | ทั้งนี้ก็ตามอัชฌาไศรย |
น้องรักจักประสงค์สิ่งใด | พี่จะหาให้ดังใจนึก |
ฤๅจะใคร่ได้เมียที่สาวสาว | ขาวขาวดีดีมีไม่ตรึก |
สมบัติวัตถาโอฬารึก | จงเลือกนึกเอาตามชอบใจ |
เว้นแต่ดาวเดือนดอกฟ้า | นอกนั้นพี่ยาจะหาให้ |
เงินทองของเข้าจงเอาไป | สิ่งไรสารพัดไม่ขัดกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์สำรวลสรวลสันต์ |
จึงตอบว่าเงินทองของทั้งนั้น | ข้าเปนพราหมณ์พรหมจรรย์ไม่ชอบใจ |
ถ้าพระจะยอมไปเปนข้า | จึงจะรับรักษามารดาได้ |
ครูข้ากำชับบังคับไว้ | มิให้เอาสินบนเงินทอง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีได้ฟังก็เศร้าหมอง |
นิ่งนึกดำริห์ตริตรอง | ดูทำนองโฉมงามเจ้าพราหมณ์นี้ |
จะเปนยอพระกลิ่นดอกกระมัง | จึงจำเภาะเจาะจังเอาตัวพี่ |
แก้วแหวนเงินทองล้วนของดี | สาวสรรค์สัตรีไม่ชอบใจ |
จำจะยอมถ่อมตัวเปนทาษา | ตามไปถึงศาลาที่อาไศรย |
จะเปนชายฤๅหญิงยังกริ่งใจ | ก็จะได้สำคัญเปนมั่นคง |
คิดพลางทางว่ากับเจ้าพราหมณ์ | พี่จะตามใจน้องต้องประสงค์ |
จงช่วยชุบชีวาตม์มาตุรงค์ | ให้ฟื้นคืนคงเปนมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ได้ฟังก็หรรษา |
ชวนองค์พระมณีลีลา | เข้ามาสู่สถานพระมารดร |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงหยิบเอาหมากมาสามคำ | เศกทำตามที่โกสีย์สอน |
สำรวมจิตรใจให้แน่นอน | ประนมกรมัสการอ่านมนต์ |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
เชื้อ
๏ โอมอสรพิศม์ฤทธิ์กล้า | งูทับสมิงคลาเปนต้น |
งูเห่างูงอดตอดคน | ก้นขบจงอางขว้างค้อน |
พระอินทร์ตรัสใช้ให้กูมา | ร้องเรียกร้องหาอย่าซุ่มซ่อน |
ตัวใดที่ขบนางจันทร | เร่งมาสูบถอนเอกพิศม์ไป |
แม้นช้าจะใช้ให้จักรเพ็ชร | ตัดหัวขาดเด็ดไม่อยู่ได้ |
อ่านจบเจ็ดคาบกำราบไป | บัดใจงูร้ายก็เลื้อยมา |
ฯ ๖ คำ ฯ คุกภาษ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระมณีตระหนกตกประหม่า |
สิ้นสติตกใจภาวนา | กลัวงูหูตาเหลือกลาน |
ร้องเรียกเจ้าพราหมณ์ให้ช่วยด้วย | พี่จะม้วยชีวังสังขาร |
น้อยฤๅนั่นมันเลิกพังพาน | ไม่ได้การแล้วจะไปข้างไหนดี |
ฝ่ายฝูงสาวสรรค์กำนัลใน | ตกใจตัวสั่นขวัญหนี |
ร้องกรีดหวีดวิ่งเปนสิงคลี | อึงมี่ไปทั้งวังใน |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด เจรจา
๏ เมื่อนั้น | โฉมเจ้าพราหมณ์ชีศรีใส |
จึงร่ายพระเวทอันเรืองไชย | เป่าไปได้ครบสามครา |
งูเห่าเข้าสูบเอาพิศม์สง | โดยดังจำนงปราถนา |
แล้วเลื้อยหายไปมิได้ช้า | กัลยาค่อยรู้สึกองค์ |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
๏ เจ้าพราหมณ์จึงสั่งไปทันใด | เร่งให้เอาน้ำมาโสรจสรง |
สุคนธาลูบไล้ชโลมลง | นางโฉมยงคงคืนฟื้นกาย |
ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ เจรจา
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพิไชยนุราชฤๅสาย |
พิศโฉมเจ้าพราหมณ์งามเพริศพราย | เหมือนลม้ายเทวีศรีสะใภ้ |
หน้าตาจิ้มลิ้มยิ้มแย้ม | สองแก้มนวลลอกดังปอกไข่ |
จึงตรัสแก่พระมณีพิไชย | เหมือนเมียเจ้ากะไรไม่ผิดเพี้ยน |
เอวองค์อรชรอ้อนแอ้น | แขนแมนรูปร่างเหมือนอย่างเขียน |
กิริยามารยาตรแนบเนียน | พระพินิจพิศเพียนไม่วางตา |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ แล้วมีบัญชาว่าไป | เจ้าพราหมณ์ได้มีคุณหนักหนา |
อยู่ด้วยพ่อเถิดอย่าไคลคลา | บิดาจะเลี้ยงเปนโอรส |
สาวสรรค์กัลยาจะหาให้ | อย่าพะวงสงไสยพ่อไม่ปด |
เข้าของนองเนืองเครื่องยศ | ขอเชิญโอรสครอบครอง |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์นบนิ้วทูลสนอง |
โภไคยไอสูรย์มูลมอง | แก้วแหวนเงินทองไม่ต้องการ |
พระมณีพิไชยได้สัญญา | จะยอมไปเปนข้ากระหม่อมฉาน |
อย่าให้เสียสัตย์ปัฏิญาณ | จะขอรับประทานเอาตัวไป |
ว่าแล้วเข้าไปในที่ | เฝ้าพระชนนีศรีใส |
จึงบังคมทูลถามความใน | เขาเลื่องฦๅอื้อไปทั้งภารา |
ก็มิใช่กลการของชีพราหมณ์ | แต่มีความสงไสยอยู่นักหนา |
นึกแหนงจะใคร่แจ้งกิจจา | พระมารดาจงเล่าให้เข้าใจ |
ไหนว่ายอพระกลิ่นนั้นกินแมว | จริงแล้วเหมือนฦๅฤๅไฉน |
สับปลับก็จะกลับตายไป | ลูกช่วยไม่ได้พระมารดา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางจันทรร้อนใจเปนนักหนา |
ครั้นจะไม่แจ้งอรรถดังสัจจา | ก็กลัวว่าจะตายวายชีวิตร |
แต่เหลียวหน้าเหลียวหลังกะทั่งไอ | ลอายใจอิดเอื้อนเบือนบิด |
ค่อยขยดเข้าไปให้ชิด | แล้วสกิดบอกความเจ้าพราหมณ์ไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เดิมเอยเดิมที | พระมณีลูกยาไปป่าใหญ่ |
ได้นางคนหนึ่งในปล้องไม้ | หลงใหลพิศวาศเทวี |
กรุงจีนให้มีราชสาร | ไปแต่งการกับลูกสาวศรี |
พระมณีพิไชยไม่ไยดี | รักเมียข้างนี้อยู่มิไป |
แม่กลัวกรุงจีนจะโกรธา | ยกมารบพุ่งเอากรุงใหญ่ |
จึงแกล้งทำแยบยนต์กลใน | พาโลลูกสใภ้ด้วยมารยา |
เอาเลือดวิฬาร์ทาปากนาง | ตัดหางแซมใส่ในเกษา |
แล้วขับไล่ไปเสียจากภารา | พาลผิดฤษยานางทรามไวย |
แม่ทำชั่วน่าชังทั้งนี้ | เพราะจะให้พระมณีมีเมียใหม่ |
บอกเจ้าตามจริงทุกสิ่งไป | อย่าให้แม่ม้วยชีวี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพิไชยนุราชเรืองศรี |
แอบองค์แฝงบังฟังคดี | ภูมีกริ้วกราดตวาดไป |
ชิชะพระมเหษีเอก | ทำย้อนยอกโหยกเหยกอย่างนี้ได้ |
ใส่ถ้อยร้อยความลูกสใภ้ | ช่างไม่สมเพชเวทนา |
ขับเมียเขาพรากไปจากผัว | ทำตามใจตัวไม่ปฤกษา |
ถึงกรุงจีนจะยกทัพมา | ก็สู้กันสิหนาไม่พรั่นใจ |
ทั้งแก่กะนี้ไม่หนีเลย | มึงไม่เคยเห็นฝีมือฤๅไฉน |
ชาติเจ๊กกินหมูจะสู้ไทย | โกฏิแสนแน่นไปก็ไม่กลัว |
น้อยฤๅอีเถ้าเจ้าความคิด | ทุจริตอิจฉาขายหน้าผัว |
เศกสรรปั้นน้ำเปนตัว | เอออะไรไม่กลัวเขานินทา |
นั่นแลเทวดาจึงอาเภท | ปติเหตุงูขบสมน้ำหน้า |
เจ้าพราหมณ์แก้ไขขึ้นไยนา | ให้มันม้วยชีวาสาแก่ใจ |
พระพิโรธโกรธเกรี้ยวเคี้ยวฟัน | กระทืบบาทตัวสั่นมันไส้ |
ฉวยได้ไม้เรียวเลี้ยวไป | แล่นไล่ตีรันนางจันทร |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์พิดทูลผันผ่อน |
นางได้รับผิดแล้วบิดร | ขอโทษโปรดก่อนอย่าโบยตี |
เหตุนี้เพราะข้ามาไต่ถาม | นางจึงบอกออกความถ้วนถี่ |
จะเปนบาปเปนกรรมแก่พราหมณ์ชี | ภูมีจงทรงพระเมตตา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวพิไชยนุราชจึงร้องว่า |
จะขอโทษมันไว้ไยนา | ชังน้ำหน้าตีเสียให้แทบตาย |
เจ้าพราหมณ์ซ้ำวอนก็อ่อนจิตร | ได้คิดดุเดือดค่อยเหือดหาย |
จึงว่ามันพาพ่อได้อาย | พอดีพอร้ายไปเมื่อไร |
นี่หากพ่อเห็นแก่เจ้าพราหมณ์ | ถ้าคนอื่นมาห้ามหาฟังไม่ |
ว่าแล้วทิ้งไม้เสียทันใด | ลงนั่งหอบหายใจไปมา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | โฉมเจ้าพราหมณ์น้อยเสนหา |
จึงชวนพระมณีพี่ยา | เวลาเย็นแล้วจะด่วนไป |
เปนห่วงบ่วงใยอะไรเล่า | ลูกเต้าเมียมีอยู่ที่ไหน |
จะหนักหน่วงชักช้าอยู่ว่าไร | มาจะไปยังบรรณศาลา |
ฯ ๔ คำ ฯ
สามเส้า
๏ เมื่อนั้น | พระมณีฟังความเจ้าพราหมณ์ว่า |
ทอดถอนใจใหญ่ไปมา | แล้วผัดผาว่ากล่าววิงวอน |
วันนี้เวลาก็สายัณห์ | จงอยู่นอนด้วยกันสักคืนก่อน |
ต่อรุ่งรางส่างแสงทินกร | จึงค่อยบทจรก็เปนไร |
พี่จะให้ไพร่พลมนตรี | ออกไปส่งถึงที่อาไศรย |
มรคาป่ากว้างทางไกล | จงขี่วอกลับไปเหมือนเมื่อมา |
เขาจะได้ฦๅเล่าว่าเจ้าพราหมณ์ | ขี่วอคนหามงามนักหนา |
เปนหมองูรู้เวทมนตรา | จะซ้องสาธุการสำราญใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์กล่าวแกล้งแถลงไข |
ข้าเปนพราหมณ์ชีนี้ไซ้ | จะนอนในรั้ววังไม่บังควร |
เคยอยู่แต่ศาลาพนาเวศ | รักษาพรตตามเพศพระอิศวร |
อย่าเฝ้าหน่วงหนักชักชวน | สายัณห์ตวันจวนจะด่วนไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้ปี่
๏ เมื่อนั้น | สองกระษัตริย์โศกศัลย์ไม่กลั้นได้ |
สงสารลูกน้อยกลอยใจ | จะต้องไปเปนข้าพราหมณ์ชี |
จะกะตรกกะตรำลำบาก | อดอยากอยู่ในไพรศรี |
ริ้นยุงบุ้งร่านใช่พอดี | ทุกทิวาราตรีจะตรอมใจ |
ยากแค้นเพราะแทนคุณแม่ | ความสัตย์เที่ยงแท้จะหาไหน |
พลางกอดลูกยาโศกาไลย | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | โฉมเจ้าพราหมณ์น้อยคอยท่า |
เห็นสามกระษัตริย์โศกา | พิไรร่ำล่ำลาอาไลย |
จึงแย้มเยื้อนเตือนองค์พระมณี | อย่าโศกีเศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
แม้นรำฦกถึงสองท้าวไท | จึงกลับมาก็ได้เปนไรมี |
ว่าแล้วถวายบังคมลา | บิตุเรศมารดาทั้งสองศรี |
ผันภักตร์กวักเรียกพระมณี | อย่าเซ้าซี้มาไปด้วยกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีเศร้าสร้อยโศกศัลย์ |
บังคมลาสององค์ทรงธรรม์ | แล้วจรจรัลเดินตามเจ้าพราหมณ์ไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ทยอย
โอ้ลาว
๏ เดินพลางมากลางมรคา | พระราชาทอดถอนใจใหญ่ |
โอ้ว่าเวรกรรมได้ทำไว้ | จำไปเปนข้าเจ้าพราหมณ์ชี |
อกเอ๋ยไม่เคยจะตกยาก | ลำบากเคืองข้องหมองศรี |
ไม่รู้ใจนายร้ายฤๅดี | แล้วจะตีกันเล่นไม่เว้นวัน |
ครั้นเจ้าพราหมณ์เหลียวมาทำหน้าม่อย | อุยหน่าหนามยอกน้อยไปฤๅนั่น |
ทำนิ่วภักตร์ชักหนามฉับพลัน | ค่อยเหยียบยันโขยกเขยกมา |
เห็นสุมทุมพุ่มไม้ในไพรชัฎ | เกรงกริ่งสิงสัตว์ที่ในป่า |
เดินพลางทางนึกภาวนา | ร้องเตือนนายขาระวังตัว |
ได้ยินเสียงสกุณีมี่ก้อง | ชนีเหนี่ยวไม้ร้องเรียกผัว |
ใจหายกายสั่นอยู่รัวรัว | คิดกลัวผีสางปรางควาน |
ดำเนินเดินตามเจ้าพราหมณ์ไป | เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจในไพรสาณฑ์ |
ขึ้นเขาข้ามน้ำลำธาร | ดัดดั้นดงดาลเดินมา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ชีมีใจหรรษา |
มาถึงที่บรรณศาลา | จึงพาพระมณีเข้าไป |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือเสื่อสาดลาดปู | ที่เคยอยู่นิทราอาไศรย |
พิศภักตร์ภัศดาก็อาไลย | สงสารภูวไนยช่างไม่รู้ |
ครั้นจะลามลวนชวนชิด | ก็เกรงเดชโกสิตบิดาอยู่ |
แต่ยิ้มใหญ่ยิ้มน้อยชม้อยดู | คิดอดสูแสร้งกล่าวเปนมารยา |
วันนี้เหนื่อยนักจักเอนหลัง | พระองค์จงนั่งระวังข้า |
ต่อดึกหน่อยจึงค่อยนิทรา | แล้วหลับตานิ่งอยู่ดูท่วงที |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีพิไชยเรืองศรี |
ถ่อมตัวกลัวเกรงเจ้าพราหมณ์ชี | ปรนิบัติพัดวีให้นิทรา |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมโฉม
๏ นั่งพินิจพิศโฉมเจ้าพราหมณ์น้อย | แช่มช้อยน่ารักเปนนักหนา |
พิศภักตร์ผ่องผิวโสภา | ดังจันทราทรงกลดหมดมลทิน |
รูปทรงสารพัดไม่ขัดขวาง | เหมือนละม้ายคล้ายนางยอพระกลิ่น |
นวลลอองสองแก้มดังลูกอิน | จะแย้มเยื้อนเหมือนสิ้นทุกสิ่งอัน |
ฤๅจะเปนนวลลอองน้องแก้ว | เมียพี่คนนี้แล้วเปนแม่นมั่น |
พลางขยดเข้าใกล้ใจผูกพัน | ลืมองค์หลงสำคัญว่ากัลยา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ค่อยยกพระหัดถ์สัมผัสต้อง | ยิ้มพลางทางมองดูหน้า |
เห็นคล้ายลม้ายเหมือนไม่เคลื่อนคลา | พระราชาสร้วมสอดกอดรัด |
ครั้นเจ้าพราหมณ์ถามมาว่าอะไร | ก็ตกใจแก้เก้อว่ายุงกัด |
ทำเหลียวหลังเหลียวหน้าคว้าพัด | โบกปัดพัดวีไปมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ยิ้มละไมอยู่ในหน้า |
ดูทำนองพระมณีพี่ยา | เห็นว่าจะจู่ลู่วู่วาม |
จึงพลิกตัวถอยถดด้วยอดสู | ลุกขึ้นนั่งตั้งกระทู้ขู่ถาม |
เอออะไรไม่ควรมาลวนลาม | เซ้าซี้ชีพราหมณ์เปนน่าชัง |
ข้านี้มิใช่นายหม่อมฤๅ | ไม่นับถือยำเยงเกรงใจมั่ง |
จะว่าโดยดีก็มิฟัง | ไม้เรียวจะลงหลังสักที |
จงบรรธมเสียเถิดให้สำราญ | รำคาญวานอย่าจู้จี้ |
ว่าแล้วนิทราในราตรี | พระมณีพิไชยก็ไสยา |
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ รุ่งเอยรุ่งราง | แสงทองส่องสว่างเวหา |
เจ้าพราหมณ์นิ่งนึกตรึกตรา | จะลองใจภัศดาสามี |
ท้าวเธอจะสัตย์ซื่ออยู่ฤๅไม่ | ฤๅจะเปนไฉนให้รู้ที่ |
คิดพลางทางว่าไปทันที | นี่แน่พระมณีสุริวงศ์ |
วันนี้ตัวข้าจะคลาไคล | ออกไปหิมวาป่ารหง |
เที่ยวหายาหยูกในแดนดง | พระองค์จงอยู่เฝ้าศาลา |
ข้าจะให้น้องสาวมาอยู่เพื่อน | เสือสางกลางเถื่อนดุนักหนา |
สั่งเสียเสร็จสรรพกำชับกำชา | แล้วลงจากศาลาคลาไคล |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ ลัดแลงแฝงพุ่มพนาลี | มิให้พระมณีสงไสย |
จึงร่ายเวทมัฆวานประทานไว้ | จำแลงแปลงได้ดังใจปอง |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
ชมตลาด
๏ รูปทรงคงเปนยอพระกลิ่น | งามสิ้นสารพัดไม่ขัดข้อง |
ผิวพรรณโสภาดังทาทอง | ผัดหน้านวลลอองยองใย |
นุ่งโกไสยพัตรผ้าทิพย์ | ห่มสีทับทิมขลิบสุกใส |
เข็มขัดประจำยามงามวิไลย | สอดใส่สร้อยสอิ้งพริ้งพราย |
สวมกำไลใส่แหวนงูเพ็ชร์ | แต่ละเม็ดค่าเมืองเรืองฉาย |
อรชรอ้อนแอ้นกรีดกราย | ดำเนินเดินชายเข้ามา |
ฯ ๖ คำ ฯ ฉุยฉาย
ร่าย
๏ ครั้นใกล้ศาลาอาไศรย | จึงแอบแฝงพุ่มไม้ใบหนา |
ชำเลืองแลลอดสอดตา | ดูองค์ภัศดาสามี |
เห็นพระนั่งกอดเข่าเจ่าจุก | ทนทุกข์ทรมานหมองศรี |
จึงเด็ดดอกบุบผามาลี | ทิ้งไปในที่ศาลา |
แล้วลอบเอาไม้เข้าไปเคาะ | เสียงดังเกาะเกาะที่ริมฝา |
กำทรายปรายซัดขึ้นหลังคา | แกล้งหลอนราชาให้ตกใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีนึกพะวงสงไสย |
อะไรนี่ผีสางฤๅอย่างไร | อกใจทึกทึกนึกภาวนา |
ตัวสั่นเทาเทาหนาวสท้าน | แอบบานประตูนิ่งพิงฝา |
ให้สยดสยองพองโลมา | ตกประหม่าหน้าซีดไม่สมประดี |
แล้วแขงจิตรคิดมานะเหน็บรั้ง | ลูกผู้ชายจะมานั่งกลัวผี |
ลุกขยับลับล่ออยู่หลายที | ภูมีย่างย่องไปมองดู |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ไม่เห็นสิ่งไรสงไสยนัก | เสียงเคาะกุกกักตระหนักหู |
โปรยปรายทรายลงตรงกบทู | จะว่านกว่าหนูก็ผิดไป |
เห็นจะเปนปิศาจปลาดจริง | เด็ดดอกไม้ทิ้งมาใหม่ใหม่ |
ยิ่งคิดคร้ามครั่นพรั่นใจ | เหลียวไปแลมาอยู่ช้านาน |
แล้วกลับคืนเข้ามาศาลาไลย | อกใจไส้พุงพลุ่งพล่าน |
ตั้งสติภาวนาสมาทาน | ปากบ่นลนลานไม่ลืมกลัว |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยอพระกลิ่นกลั้นยิ้มแย้มหัว |
ในจิตรคิดจะใคร่ให้เห็นตัว | เย้ายั่วผัวเล่นจะเปนไร |
คิดพลางย่างเยื้องจรลี | ออกจากที่สุมทุมพุ่มไม้ใหญ่ |
กรายเตร่กรีดเล็บเก็บดอกไม้ | ใส่ไคล้ทำหลงตรงเข้ามา |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้น | พระมณีผันแปรแลหา |
เห็นนางสาวสรรค์กัลยา | ทรงโฉมโสภาลาวรรณ |
คิดพะวงสงไสยใครนี่หนอ | เหมือนนางยอพระกลิ่นดังแกล้งสรรค์ |
แก้มคางขนงเนตรเกษกรรณ | สารพันไม่ผิดสักนิดเดียว |
พระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา | เสนหาป่วนปั่นกระสันเสียว |
งามลม่อมพร้อมพริ้งจริงเจียว | พิศวงหลงเหลียวไม่วางตา |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ แล้วนึกกินแหนงแคลงความ | ฤๅน้องสาวเจ้าพราหมณ์กระมังหนา |
สั่งไว้เมื่อจะไปจากศาลา | จะให้น้องสาวมาอยู่เพื่อนกัน |
ชรอยนางนฤมลคนนี้ | เปนน้องเจ้าพราหมณ์ชีแม่นมั่น |
พี่ชายเขาจะโกรธทำโทษทัณฑ์ | ตีรันเล่นเปล่าเปล่าไม่เข้ายา |
พระอุส่าห์เงือดงดสกดจิตร | มิได้คิดมุ่งมาดปราถนา |
แกล้วทำสำรวมหลับตา | ก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยอพระกลิ่นกลั้นยิ้มมิใคร่ได้ |
จึงแกล้งแสร้งเสใส่ไคล้ | เข้าไปในบรรณศาลา |
ทำเปนไม่เห็นพระโฉมยง | หยุดยั้งนั่งลงที่ตรงหน้า |
แกล้งขยดถดถอยหลังมา | ให้ใกล้หัดถ์ภัศดาจะดูที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีนึกกลัวเอาตัวหนี |
ถอยไปให้ห่างนางเทวี | ภูมีตริตรึกนึกใน |
ฤๅจะเปนยอพระกลิ่นน้องรัก | ประหลาดนักกลิ่นอายหายไปไหน |
จะเปนน้องของนายแล้วแน่ใจ | รูปร่างช่างกะไรเหมือนเมียเรา |
นี่เกรงใจเจ้าพราหมณ์อยู่นักหนา | ถ้าว่าหาไม่ที่ไหนเล่า |
ลำลำจะตระโบมโลมเล้า | แล้วได้คิดกอดเข่าเศร้าใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยอพระกลิ่นผินหลังเข้านั่งใกล้ |
ทำเปนมดกัดสบัดไบ | ล่อเล่นลองใจพระสามี |
หันหลังให้กระทั่งถูกกาย | แล้วร้องกรีดหวีดว้ายน่าบัดสี |
เอออะไรใครมานั่งอยู่ที่นี้ | ฟ้าผี่เถิดไม่ทันเห็นเลย |
ว่าพลางทางชม้ายชายหางตา | สบเนตรเชษฐาทำหน้าเฉย |
จึงเสแสร้งแกล้งกล่าวภิปรายเปรย | อกเอ๋ยเปนน่าลอายใจ |
เหตุผลอย่างไรไฉนนี่ | เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้มาแต่ไหน |
ง่วงเหงาเจ่าจุกทุกข์ถึงใคร | ทำไมมาอยู่ในศาลา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีฟังนางพลางว่า |
จะเล่าให้ฟังแต่หลังมา | แม่ข้างูขบสลบไป |
เจ้าพราหมณ์ชีมีคุณไปรักษา | แก้ไขมารดาไว้ได้ |
ข้าจึงตามมาเปนข้าไท | ท่านใช้ให้เฝ้าศาลา |
นั่งอยู่เมื่อกี้ผีหลอก | เด็ดดอกไม้ทิ้งแล้วเคาะฝา |
ชรอยผีผู้หญิงมารยา | พอใจข้าแกล้งหยอกหลอกล้อ |
นางสาวน้อยคนนี้อยู่ที่ไหน | จิตรใจแกล้วกล้านักหนาหนอ |
เสือสางกลางไพรไม่ย่อท้อ | ธุระข้อไรเล่าเจ้าจึงมา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยอพระกลิ่นกล่าวแกล้งแสร้งว่า |
จะบอกความตามตรงอย่าสงกา | ตัวข้าเปนน้องเจ้าพราหมณ์ชี |
พี่ข้ามาแวะสั่งไว้ | ว่าจะไปเที่ยวป่าพนาศรี |
กำชับกำชาให้ข้านี้ | มาอยู่เพื่อนพี่ที่ศาลา |
ผีสางกลางป่านี้ทายาด | พอใจหลอกคนขี้ขลาดนักหนา |
ว่าพลางยิ้มลไมไปมา | แล้วชายตาแลดูภูวไนย |
เห็นพระนั่งนิ่งไม่ติงกาย | ทำแยบคายขยดถดเข้าใกล้ |
ไฮ้น่าบัดสีนี่อะไร | เฝ้าดูคนไปได้ไม่วางตา |
เจ้าข้าเอ๋ยไม่เคยพบเห็น | มายักคิ้วหยอกเล่นได้ต่อหน้า |
ทำแสนงอนค้อนให้ด้วยมารยา | สมเพชเวทนาเปนน่าอาย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีนึกในใจหมาย |
แม้นมิใช่น้องของนาย | นางนี้ดีร้ายตายราบเรา |
คิดพลางทางว่านี่แน่นาง | อะไรช่างพาโลกันเปล่าเปล่า |
ไม่เห็นไม่รู้เลยดูเอา | ข้ายักคิ้วหยอกเจ้าเมื่อไรมี |
นั่งอยู่ดีดีที่ศาลา | เจ้ามานั่งเบียดเสียดสี |
ไม่อดสูดูเอาเล่าเถิดซี้ | ยิ่งหนียิ่งขยับตามมา |
จะให้เปนอย่างไรไปอิกเล่า | จนข้าเจ้าถอยหลังกระทั่งฝา |
คับแคบแทบจะตกศาลา | นี่เนื้อจะมาแกล้งกัน |
เจ้าก็เปนสาวศรีพี่ก็หนุ่ม | ยังกำดัดกลัดกลุ้มหุนหัน |
อย่าทำเซ้าซี้อย่างนี้อย่างนั้น | ลูกเมียข้ามันก็ไม่มี |
ฉวยกะไรเพลี่ยงพล้ำสิรำคาญ | ข้าขี้คร้านเกี้ยวชู้จู้จี้ |
จะขุ่นเคืองเบื้องน่าเปนราคี | อยู่คนเดียวเถิดซีที่ศาลา |
ตัวข้าจะอยู่ด้วยไม่ได้ | จะลาไปอาบน้ำที่ตีนท่า |
ทำไมมิให้ไคลคลา | มายื้อยุดฉุดคร่าไว้ว่าไร |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ หม่อมเอยหม่อมพี่ | ช่างพาทีเชือนแชแก้ไข |
อยู่ด้วยกันดีดีจะหนีไป | ทำไมมิให้ยุดยื้อ |
พี่พราหมณ์ให้ข้ามาคุมตัว | หนีไปไม่ชั่วอยู่เราฤๅ |
อย่าพักสำออยให้ปล่อยมือ | วิ่งตื๋อไปสิไล่เจ้าไม่ทัน |
หม่อมเปนทาษาพึ่งมาใหม่ | จะต้องคุมตัวไว้ให้มั่น |
แม้นมีผู้ขายนายประกัน | เช่นนั้นแล้วข้าจะว่าไร |
นั่งลงดีดีพี่อย่าดื้อ | จะต้องถูกผูกมือน้ำตาไหล |
ดูดู๋ฮึดฮัดสบัดไป | ช่างไม่กลัวน้องของนาย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ อย่าเอยอย่าว่า | ตัวข้าไม่คิดหนีหาย |
ถึงทั้งยากอย่างนี้ก็มีอาย | ไม่พักหาผู้ขายนายประกัน |
เจ้าพราหมณ์ไปพาเอามาไว้ | หวังจะให้ใช้สอยค่อยขยัน |
ปรนิบัติวัตถากทุกวัน | โดยฉันเหมือนเช่นเปนข้าไท |
ใช่จะมาพาให้หม่อมน้องสาว | สำหรับเล่นซักส้าวก็หาไม่ |
การอื่นจะใช้สอยไม่น้อยใจ | นี่อะไรเซ้าซี้ไปทีเดียว |
ไม่ได้หลับได้ม่อยสักหน่อยหนึ่ง | หยิกทึ้งข่วนข้าจนขาเขียว |
น้องนายคนนี้ดีจริงเจียว | ข้อแขงแรงเรี่ยวครันครัน |
มายื้อยุดฉุดผู้ชายเช่นนี้ | เห็นดีแก่ใจฤๅไรนั่น |
เจ้าสาวพี่หนุ่มจะคุมกัน | เหมือนดินดำกำมะถันอยู่ใกล้ไฟ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ไม่เอยไม่รู้ | จะเซ้าซี้มิให้อยู่ศุขได้ |
ใครใช้ให้มาเปนข้าไท | อย่าพักคิดติดใจไค้แคะ |
จะเปนกะไรก็ให้เปน | จะลากลู่ถูเล่นกระนั้นแหละ |
สาแก่ใจไม่เสงี่ยมเลียมและ | อย่าพักแกะไปเลยไม่วางมือ |
ตัวข้าเปนน้องของนาย | จะล้อเล่นตามสบายไม่ได้ฤๅ |
จะตะโกนโพนทนาว่ายุดยื้อ | ก็ตามเถิดไม่ถือกับนินทา |
ยืนอยู่นี่ที่เดียวให้แน่นิ่ง | อย่าไหวติงนิ่งอยู่อย่าเงยหน้า |
อย่าแลอย่าเหลียวอย่าพูดจา | หลับหูหลับตาเสียอย่าดู |
แม้นไม่ฟังยังขืนจะดุกดิก | จะหยิกให้กลัวตัวเปนหนู |
ว่าคนพล่อยพล่อยร้อยประตู | เจ้าช่างรู้ชอบผิดความคิดดี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ แสนเอยแสนแขนง | ขืนแกล้งทาระกำทำพี่ |
จะบังคับยับเยินไปอย่างนี้ | ยากที่จะประกอบให้ชอบใจ |
จะขอตัวกลัวหนีก็มิฟัง | ลากลู่ถูกังกันไปได้ |
เจ้าพราหมณ์มาเถิดคะไม่ละใคร | จะบอกกล่าวเล่าให้สิ้นไส้พุง |
เจ้าอย่ามาท้าทายเลียมล้อ | ไม่ย่อท้อถอยหลังเหมือนอย่างกุ้ง |
จะอื้อฉาวกล่าวโทษให้โกรธฟุ้ง | ถ้ามิยุ่งยิ่งอยู่ก็ดูเอา |
นายขามาดูหม่อมน้องสาว | จะมาเล่นซักส้าวกับข้าเจ้า |
อุยหน่าไหล่จะหลุดฉุดเบาเบา | ยั่วเย้าอย่างนี้ข้ามิเคย |
เออมาโน่นแล้วแน่เจ้าพราหมณ์ | น้องสาวทำงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย |
จะนั่งที่ไหนไม่ได้เลย | เฝ้าเทลาะเยาะเย้ยยุดยื้อ |
เจ้าพราหมณ์ไม่อยู่ไม่รู้เห็น | เปนไรก็เปนไปเถิดฤๅ |
ลำลำจะขยับจับข้อมือ | แล้วรื้อถอยหลังรั้งรา |
ยิ้มพลางทางว่าเจ้าอย่าเล่น | พี่ชายมาเห็นจะโกรธข้า |
ไว้ใจจึงให้เจ้ามา | อยู่เฝ้าศาลาด้วยกัน |
เดี๋ยวนี้เล่าเจ้าพราหมณ์ยังไม่กลับ | จงขยับไปอยู่เสียถึงนั่น |
ข้าจะเอาไม้วางไว้กลางคัน | ถ้าใครเดินเกินกันได้ขัดใจ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าหัวเราะ | อย่าเปลาะเลยคะหาละไม่ |
ถึงจะบอกหม่อมพี่มิบอกไย | ข้าปิดปากไว้เมื่อไรมี |
เจ้าเห็นว่าข้าอยู่แต่ผู้เดียว | มาพูดเกี้ยวแกล้งเบียดเสียดสี |
คะแยะศอกหยอกเย้าเซ้าซี้ | ว่าดีดีโกรธาทำตาแดง |
ข้าจึงฉุดยุดตัวกลัวจะวิ่ง | เจ้าสบิ้งสบัดขัดแขง |
ลากลู่ถูเหนี่ยวด้วยเรี่ยวแรง | จนแขนขวาข้าแพลงอยู่เดี๋ยวนี้ |
มิหนำซ้ำว่าผู้หญิงหยอก | พูดออกมาได้ไม่บัดสี |
ลิ้นลมคมสันขยันดี | หม่อมพี่กลับมาได้ว่ากัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เจ้าเอยเจ้าโมโห | นางนี้ขี้พาโลคนขยัน |
เมื่อไรข้าได้ทำเช่นนั้น | ลงดำน้ำกันเถิดฤๅนาง |
แพ้เจ้าโทษเราที่หยิกหยอก | ให้ตัดแขนเพียงศอกทั้งสองข้าง |
เจ้าพราหมณ์จะได้เห็นเปนกลาง | แม้นนางแพ้ข้าจะว่าไร |
เถียงกันเปล่าเปล่าไม่เข้าข้อ | ข้าตอบโต้ปากคอเจ้าไม่ไหว |
เจ้าข้าเอ๋ยผีสางที่กลางไพร | ช่วยดลใจให้เจ้าพราหมณ์มา |
ว่าพลางทางเดินเมินเมียง | นั่งลงบนเตียงไม่ดูหน้า |
เห็นนางเข้าใกล้ไม่เจรจา | ลุกมานั่งใหม่ให้ไกลกัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ยอพระกลิ่นเย้ายั่วผัวขวัญ |
ครั้นบ่ายแสงสุริยาสายัณห์ | จึงผ่อนผันพูดจาให้อาไลย |
เข้านั่งชิดสกิดว่าหม่อมพี่ | จะทำทีโกรธขึ้งไปถึงไหน |
เย็นแล้วน้องจะลาคลาไคล | นี่แน่คะข้าไหว้อยู่จงดี |
ว่าพลางยิ้มพรายชม้ายชม้อย | ค่อยขยดถดถอยจากที่ |
เมียงเมินเดินทำเปนท่วงที | ชำเลืองดูภูมีแล้วไคลคลา |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ เลี้ยวเข้าสุมทุมพุ่มพง | แฝงองค์ลับเนตรเชษฐา |
สำรวมกายร่ายมนต์ของอินทรา | นฤมิตรกายาทันใด |
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ กลับเปนเจ้าพราหมณ์ตามเดิม | จุณเจิมภักตราแจ่มใส |
ออกจากสุมทุมพุ่มไม้ | คลาไคลไปบรรณศาลา |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง ฝรั่ง
๏ ครั้นถึงจึงทำท่วงที | เคืองค้อนพระมณีแล้วเมินหน้า |
มึนตึงขึ้งโกรธไม่พูดจา | จะดูทีกิริยาภูวไนย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีนึกพรั่นหวั่นไหว |
เห็นเจ้าพราหมณ์สเทินเมินไป | ให้เร่าร้อนฤไทยดังไฟฮีอ |
ชรอยนางเจ้ากรรมที่ทำความ | มิบอกเล่าเจ้าพราหมณ์อย่างไรฤๅ |
จะนิ่งอยู่ดูร้ายเมื่อปลายมือ | เสียแรงเราซื่อถือสัจจา |
คิดพลางเดินตามมาถามไถ่ | ไปเที่ยวถึงไหนเจ้าพราหมณ์ขา |
เปนไรจึงไม่พูดจา | โกรธาข้าฤๅจงบอกความ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์แกล้งว่าอย่ามาถาม |
ไว้ใจคิดว่าไม่ลวนลาม | ทำความงามหน้าข้าขอบใจ |
ถึงเจ้าหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ | เสียแรงเชื่อว่าตรงไม่สงไสย |
ว่าพลางเฉยเชือนเบือนไป | พระมณีพิไชยก็ตามวอน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เจ้าเอยเจ้าพราหมณ์ | หนักเบาเจ้าถามพี่บ้างก่อน |
อย่าเพ่อเคืองขัดตัดรอน | โทษกรพี่ผิดประการใด |
ฤๅหม่อมน้องสาวไปกล่าวโทษ | เจ้าจึงขึ้งโกรธเปนข้อใหญ่ |
จงช่วยชี้แจงให้แจ้งใจ | ข้าจะให้ความสัตย์ปัฏิญาณ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ยิ้มในหน้าแล้วว่าขาน |
จะถามเจ้าเซ้าซี้ก็ขี้คร้าน | กลัวจะไม่ให้การกันตามจริง |
น้องข้าร้องไห้ออกไปบอก | ว่าเจ้าทำหยิกหยอกยุ่งยิ่ง |
กระทบกระทั่งนั่งแนบแอบอิง | กระนั้นจริงฤๅเจ้าจงเล่ามา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระมณีลูบอกตกประหม่า |
จึงว่าข้าจะบอกแต่สัจจา | เจ้าอย่ากินแหนงแคลงความ |
เดิมทีนางน้องของเจ้า | มายั่วเย้าข้าเองไม่เกรงขาม |
อุดตลุดสุดที่จะห้ามปราม | ว่าเจ้าพราหมณ์ใช้ให้มาควบคุม |
ข้าสู้หลีกไปเสียให้ห่าง | ด้วยเห็นนางเปนสาวข้าเปนหนุ่ม |
น้องนายพาโลโพคลุม | เข้าจับกุมว่าข้าจะหนีไป |
ที่ว่าข้าหยอกเย้านั้นเปล่าหมด | ฟ้าผี่เถิดไม่ปดสบถได้ |
แม้นเจ้ายังระแวงแคลงใจ | จะดำน้ำลุยไฟให้เห็นจริง |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | เจ้าพราหมณ์ว่าข้าเชื่ออยู่ทุกสิ่ง |
ความนี้ไม่มีที่อ้างอิง | กระนั้นนิ่งเสียเถิดอย่าถือกัน |
ว่าพลางยิ้มพรายชายตา | พูดจาชักชวนสรวลสันต์ |
ทำทีทอดสนิทติดพัน | สำราญใจในบรรณศาลา |
ฯ ๔ คำ ฯ