- คำนำ
- นิทานเรื่องไชยเชฐ เรื่องต้นก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องไชยเชฐ
- นิทานเรื่องสังข์ทอง เรื่องต้นก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องสังข์ทอง
- นิทานเรื่องไกรทอง เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องไกรทอง
- กลอนตำนานเรื่องพระราชนิพนธ์ไกรทอง
- นิทานเรื่องมณีพิไชย เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องมณีพิไชย ตอนพราหมณ์ยอพระกลิ่นขอพระมณีพิไชยไปเปนทาษ
- นิทานเรื่องมณีพิไชย ตอนปลาย ต่อเรื่องตอนทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- นิทานเรื่องคาวี (เรียกอิกอย่างหนึ่งว่าเรื่องเสือโค) เรื่องตอนต้น ก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องคาวี
- เพลงยาวชมพระราชนิพนธ์
- นิทานเรื่องสังข์ศิลป์ไชย เรื่องก่อนตอนที่ทรงพระราชนิพนธ์เปนบทลคร
- บทลครเรื่องสังข์ศิลป์ไชย
- นิทานเรื่องสังข์ศิลป์ไชยตอนปลาย ต่อเรื่องตอนทึ่ทรงพระราชนิพนธ์บทลคร
ตอนที่ ๓ นางคันธมาลีขึ้นเฝ้า
ช้า
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีมเหษี |
รู้ว่าจันท์สุดานารี | ยินดีด้วยองค์พระทรงฤทธิ์ |
นางให้แค้นขัดกลัดกลุ้ม | เหมือนบ้าหลังคลั่งคลุ้มเคลิ้มจิตร |
นั่งนิ่งหน้าบึ้งรำพึงคิด | อีเจ้ากรรมมันจะปิดประตูค้า |
หมายได้ด้วยกำลังยังสาว | เห็นทีท้าวเธอจะรักหนักหนา |
ตัวกูก็เปนโสดโปรดปรานมา | คงจะคิดเมตตาปรานี |
จำจะขึ้นไปเฝ้าฟังดู | จะเปนอย่างไรอยู่ให้รู้ที่ |
เมียน้อยเมียหลวงท่วงที | ข้างไหนใครจะดีกว่ากัน |
ฯ ๘ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ คิดแล้วสรงน้ำชำระกาย | ขมิ้นผงลงละลายเปนค่อนขัน |
ลูบไล้ขัดสีฉวีวรรณ | ทรงกระแจะจวงจันทน์กลิ่นเกลา |
น้ำดอกไม่เทศทากว่าจะทั่ว | ชโลมทั้งเนื้อตัวเหมือนปล่อยเต่า |
กระจกตั้งนั่งส่องมองดูเงา | จับเขม่ากันไรไปล่ปลิว |
หวีกระจายรายเส้นขนเม่นสอย | ผัดหน้านั่งตะบอยบีบสิว |
เศกขี้ผึ้งสีพลางทางวาดคิ้ว | นุ่งผ้ายกริ้วมีราคา |
เอาสไบปักทองเข้าลองห่ม | นึกชมตัวเองเปนนักหนา |
จะแต่งไปอวดมันจันท์สุดา | น้ำหน้าอีจรรไรไหนจะมี |
คาดเข็มขัดประจำยามงามล้ำ | ทองคำน้ำหนักสักสิบสี่ |
กำไลลงยาราชาวดี | มั่งมีได้มาแต่ตายาย |
ใส่แหวนเพ็ชร์เม็ดแดงหัวแมงปอ | เขามาต่อห้าชั่งยังไม่ขาย |
พิศดูตัวพลางทางยิ้มพราย | กรุยกรายออกจากตำหนักนาง |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เรียกหาข้าไทอยู่อึงมี่ | ใส่เกือกกำมะหยี่หักทองขวาง |
ถือพระกลดคันสั้นกั้นกาง | เยื้องย่างมาปราสาทพระทรงธรรม์ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงจึงหยุดเยี่ยมมอง | ตรงช่องฉากพับลับแลกั้น |
เห็นพระองค์ทรงโฉมโนมพรรณ | งามเหมือนเทวัญในชั้นฟ้า |
ความรักรัญจวนครวญใคร่ | แต่เยื้อนยิ้มลไมอยู่ในหน้า |
พลางเคาะเข้าไปให้เหลียวมา | ครั้นสบตาก็สเทินเมินเมียง |
ทำชม้อยชม้ายอายแอบแฝง | แล้วแกล้งกระแอมไอให้เสียง |
พูดจาว่าเปรียบเลียบเคียง | เดินเลี่ยงแลชำเลืองเยื้องกราย |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีนึกในใจหมาย |
อีอุบาทว์บัดสีไม่มีอาย | มาเย้ายวนชวนชายได้ลงคอ |
เห็นมันจะมั่นหมายเอาว่าผัว | จึงแต่งตัวเต็มประดาขึ้นมาล่อ |
ดูทีกิริยาเปนบ้ายอ | น่าหัวร่อน้อยฤๅนั่นขันสิ้นที |
ชำเลืองดูเมียขวัญจันท์สุดา | แล้วแลดูตาพระฤๅษี |
ทำเมินเสียมิได้ไยดี | จู้จี้ขี้คร้านรำคาญใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระดาบศอดยิ้มมิใคร่ได้ |
สกิดองค์อนุชาแล้วว่าไป | อีจรรไรมันจะทำให้รำคาญ |
เจ้าจงทายทักเสียสักนิด | ป้องปิดอย่าให้ความฟุ้งซ่าน |
ถึงเถ้าแก่แต่ยังไม่เกินการ | จงคิดอ่านหว่านล้อมไว้ให้ดี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีได้ฟังดาบศพี่ |
จำเปนเห็นชอบท่วงที | จึงมีวาจาปราไสนาง |
ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๏ โฉมเอยโฉมเฉลา | เปนไรเจ้าจึงสเทินเหินห่าง |
ยืนอยู่นั่นไยใช่ที่ทาง | แต่ก่อนนางน้องเอ๋ยไม่เคยเปน |
สาละวนสนทนากับอาจารย์ | เจ้ามานานแล้วฤๅไม่ทันเห็น |
คิดว่าต่อเวลาเย็นเย็น | จึงจะไปพูดเล่นเจรจา |
เจ้าขึ้นมาถึงนี่ยิ่งดีนัก | ขอบใจไม่พักลงไปหา |
น้อยฤๅนั่นชั้นเชิงกิริยา | ตละสาวสิบห้าสิบหกปี |
แต่งตัวเต็มประดาหน้าเปนนวล | เหมือนจะชวนให้ชื่นใจพี่ |
ขอเชิญนางเมียหลวงท่วงทีดี | มานั่งบนนี้ด้วยพี่ชาย |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ได้เอยได้ฟัง | นางผินหลังหลบเลี่ยงเมียงม่าย |
นึกจะไปนั่งด้วยก็ขวยอาย | อดสูดูร้ายรำคาญใจ |
แกล้งทำแยบคายกระต่ายแก่ | แสนแง่แสนงอนค้อนให้ |
จะมาเรียกมาหาข้าไย | มันไม่เหมือนเมื่อกระนั้นแล้ว |
แต่เพียงชุบตัวใหม่ได้เมียสาว | อุประมาเหมือนราวกับได้แก้ว |
นี่ลูกปัดบัดสีไม่มีแวว | อย่าพึงนึกฦกแล้วจะเหลียวดู |
เปนคนวาศนาน้อยถอยถด | อาภัพอัปรยศอดสู |
จะอยู่ได้แต่ระเบียงเพียงประตู | ไม่สมควรเข้าไปอยู่ในที่ทาง |
แต่ปากหากแสร้งแกล้งเบือนบิด | ในใจให้คิดรักรูปร่าง |
ลำลำจะใคร่นั่งลงหว่างกลาง | แล้วระคางขวยเขินเมินเมียง |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีเห็นนางยังกางเกี่ยง |
ยิ้มพลางทางลงไปจากเตียง | แล้วกล่าวเกลี้ยงแกล้งปลอบให้ชอบใจ |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ยอดเอยยอดมิ่ง | จริงจริงรักเจ้าเปนไหนไหน |
จะถือเชิงถือชั้นเช่นนั้นไย | ไม่เคยมาเคยไปฤๅไรน้อง |
มิใช่คนอื่นจะขืนขัด | อุแม่เอ๋ยฮึดฮัดตะปัดตะป่อง |
ว่าพลางล้อเล่นเปนทำนอง | เลียมลองขยับจะจับมือ |
อะไรเฝ้าค้อนควักผลักไส | ทำไมไม่เคยหยอกกันดอกฤๅ |
จงเมตตาการุญเถิดบุญฦๅ | สบิ้งสบัดปัดมือพี่เสียไย |
ถึงจะมีเมียอื่นสักหมื่นแสน | หางามงอนอ้อนแอ้นเหมือนเจ้าไม่ |
ทั้งระแบบแยบยนต์กลใน | ยังต้องจิตรติดใจไม่ลืมเลย |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ น่าเอยน่าหัวร่อ | ช่างยกยอนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย |
แต่ก่อนร่อนชะไรก็ไม่เคย | มาเยาะเย้ยยิ้มพรายน่าอายใจ |
ถึงว่ารักเมียก็รู้อยู่สิ้น | จะแกล้งล่อพอให้กินเข้าได้ |
เมื่อท้าวแก่ชราเคยมาไป | เดี๋ยวนี้ชุบตัวใหม่เปนหนุ่มนวล |
รูปร่างกระจ้อยร่อยน้อยฤๅนั่น | ผิดกันกับเก่าสักเก้าส่วน |
น้องนี้แก่เถ้าอย่าเฝ้ากวน | ไม่สมควรเคียงคู่ด้วยภูมี |
สารพัดเผ้าผมไม่สมประกอบ | แก้มตอบฟันหักน่าบัดสี |
อัปรยศอดสูดูไม่ดี | อะไรนี่น่าชังทำซังตาย |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าสรวล | ยังไม่ควรดอกเจ้าจะเบื่อหน่าย |
ถึงว่าเถ้าแก่ก็แต่กาย | เช่นนั้นมันจะหายไปเมื่อไร |
ความกำหนัดสัตรีกับบุรุษ | ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน |
จะอดสูดูร้ายอายใคร | เจ้ากับพี่มิใช่ไม่คุ้นเคย |
เมื่อครั้งยังแก่อยู่ด้วยกัน | พี่ก็หมั่นเยี่ยมเยือนไม่เชือนเฉย |
เดี๋ยวนี้ก็มิใช่จะละเลย | นวลลอองน้องเอ๋ยอย่าทุกข์ร้อน |
พี่จะช่วยอ้อนวอนพระมุนี | หาฤกษ์งามยามดีให้ได้ก่อน |
จึงจะชุบรูปเจ้าให้งามงอน | ขอผัดผ่อนสักหน่อยเถิดกลอยใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ วาเอยวาจา | น้อยฤๅช่างโอภาปราไส |
อุแม่เอ๋ยจะชุบให้ข้าไย | ทำไมกับอีเถ้าเฝ้าประตู |
มันจะงามมิงามก็ตามที | อาภัพอัปรีไม่ควรคู่ |
เร่งหาฤกษ์เถิดพ่อให้หมอดู | จะได้เศกสมสู่นางสาวน้อย |
น่าชมสมเปนมเหษี | ท่วงทีกิริยาไม่ราถอย |
มีบุญประเสริฐเลิศลอย | จะได้พลอยเกื้อหน้าพระสามี |
แน่นางรูปงามขอถามไถ่ | รู้จักมั่งฤๅไม่ผัวใครนี่ |
ไม่เสียดายภักตราจะราคี | เจ้าของเขามีมาช่วงชิง |
ชะช่างมารยาพิรากล | ทั้งระแบบแยบยนต์ขยันยิ่ง |
แต่แรกเห็นแก่หง่อมไม่ยอมยิง | ทำสบัดสบิ้งชิงชัง |
เดี๋ยวนี้หนุ่มน่ารักทำอักอ่วน | เข้านั่งชิดสกิดกวนให้เกาหลัง |
ไม่อดสูผู้คนทั้งรั้ววัง | เจ้าข้าเอ๋ยใครมั่งเขาอย่างนี้ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จันท์สุดาฟังว่าน่าบัดสี |
ยิ้มเยื้อนเบือนหน้าดูสามี | แล้วเทวีตริตรึกนึกใน |
อีเถ้านี้ขันจริงหยิ่งเย่อ | กูล้อเล่นให้เก้อก็จะได้ |
คิดพลางทางเดินออกไป | ใส่ไคล้แกล้งกล่าววาจา |
เออนี่อะไรเล่าไม่เข้าการ | จะมาพาลโกรธขึ้งหึงษา |
ร้องแรกตะโกนโพนทนา | เย้ยหยันหยาบช้าประชดใคร |
แรกเริ่มเดิมทีสามีท่าน | มาเกี้ยวพานพูดจาปราไส |
ข้ามิได้ปลดปลงลงใจ | ด้วยเห็นภูวไนยนั้นแก่นัก |
ตาหูซานซมไม่คมสัน | เสวยหมากตะบันฟันฟางหัก |
เดี๋ยวนี้ชุบตัวใหม่วิไลยลักษณ์ | หนุ่มน้อยน่ารักรูปทรง |
อย่าว่าแต่รุ่นราวสาวแส้ | ถึงเถ้าแก่ก็คิดพิศวง |
ชื่นอารมณ์ข่มใจมิใคร่ลง | ตลึงหลงแลเล็งเพ่งพิศ |
ทำเทียมเลียมลวนจะชวนชื่น | ท่านก็ไม่อยากยื่นมือสกิด |
โกรธาตาแดงมาแผลงฤทธิ์ | หงุดหงิดงุ่นง่านทยานใจ |
แน่พระมเหษีอย่ามี่ฉาว | ชุบตัวให้สาวขึ้นเสียใหม่ |
จงคืนเอาผัวของตัวไป | ว่าพลางทรามไวยก็หัวเราะ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ แค้นเอยแค้นจริง | เจ็บปวดยวดยิ่งกว่าปลิงเกาะ |
ขึ้นหน้าท้าทายเถียงเทลาะ | จะใคร่ว่าให้เพราะสาแก่ใจ |
จริงอยู่คะข้าเจ้ามันเถ้าแก่ | สองตาท่านจะแลดูที่ไหน |
เปนสิทธิ์ขาดของเจ้าจงเอาไว้ | จะคืนให้ข้าไยนางนงเยาว์ |
อย่าพักมาหัวเราะเยาะเย้ย | เกินเลยเหลือกำลังไม่ฟังเจ้า |
ถึงผัวรักหนักหนาก็ทำเนา | อีเถ้าจะพรั่นพรึงอย่าพึงคิด |
เชื่อรูปเชื่อร่างเหมือนนางฟ้า | ทั้งเกษาหอมฟุ้งจรุงจิตร |
ใส่น้ำมันจันทน์เจืออยู่เปนนิจ | ความคิดแยบคายเจ้าหลายชั้น |
เอาผมลอยน้ำมาเสี่ยงหาคู่ | จนได้ชู้ชอบใจดังใฝ่ฝัน |
ลืมผัวตัวตายวายชีวัน | มาผูกพันพะวงหลงรูปชุบ |
ดูหมิ่นเมียหลวงเข้าช่วงชิง | จะทำกูให้กลิ้งเปนลูกขลุบ |
คันมือคันไม้น่าใคร่ทุบ | เอาสักสองสามอุบดอกกระมัง |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีเคียงนางอยู่ข้างหลัง |
จึงห้ามว่าอย่าทำแต่ลำพัง | จงหยุดยั้งชั่งจิตรคิดดู |
เจ้าเปนถึงมเหษีมีศักดิ์ | พี่ก็รักแยบคายมากมายอยู่ |
ข้างนี้พึ่งมาใหม่ยังไม่รู้ | อย่าเพ่อทำจู่ลู่วู่วาม |
เขาจะฦๅอื้อฉาวว่าเมียหลวง | มาหึงษ์หวงจ้วงจาบหยาบหยาม |
เถียงเทลาะเกาะแกะไม่แงะงาม | เหมือนหนึ่งหนามเกะกะระรั้ว |
จงปรานีปรานอมออมอด | งดงดเสียมั่งจะยังชั่ว |
เขาจะได้ยำเยงเกรงกลัว | เปนผู้ใหญ่ไว้ตัวให้สมควร |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ น้อยเอยน้อยฤๅนั่น | เชิงชั้นพูดจาเปนน่าสรวล |
ชักทำเนียบเปรียบปรายหลายกระบวน | เที่ยงแท้แต่ล้วนไม่ลำเอียง |
เห็นว่านางเมียจะเสียที | หม่อมผัวตัวดีออกช่วยเถียง |
อุแม่เอ๋ยยืนอยู่เปนคู่เคียง | แกล้งมาเรียงอวดรูปข้าฤๅไร |
น่ารักหนักหนานางหน้าเปน | ผัวดูอยู่เขม้นหาเมินไม่ |
จงเล้าโลมลูบคลำให้หนำใจ | อย่าให้มัวหมองต้องแดดลม |
บุญตัวผัวหนุ่มเมียสาว | เช่นนี้แล้วราวกับขนม |
ทำไมมิชวนกันเข้าบรรธม | เชยชมเช้าเย็นอย่าเว้นวาง |
ขอโทษโปรดเถิดพระมุนี | อะไรนี่นอกรีดมากีดขวาง |
ผัวท่านจะคลึงเคล้าเย้าหยอกนาง | ห้องกลางเปล่าอยู่นิมนต์ไป |
ยิ่งว่ายังมาหัวเราะเยาะ | เปนเหตุเพราะฤๅษีฤๅมิใช่ |
จะใคร่ว่าให้สาแก่น้ำใจ | บาปกรรมอะไรที่ไหนมี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสิทธาว่าเหม่มเหษี |
เอออะไรรูปนั่งอยู่ดีดี | มาพานรีพานขวางช่างไม่อาย |
กูก็หาโกรธขึ้งมึงไม่ | จะช่วยว่าเกลี่ยไกล่เสียให้หาย |
จึงลุกเดินออกมาหน้าน้องชาย | แล้วว่าสีกายายทำน่าชัง |
ข้าสาวชาวแม่แออัดอยู่ | ไม่อัปรยศอดสูเขามั่ง |
ตัวโยมก็เปนใหญ่อยู่ในวัง | มาอื้ออึงตึงตังดังโหมโรง |
เปนถึงเมียท้าวเมียพระยา | ไม่ไว้ยศไว้สง่าอ่าโถง |
อะไรนี่แก่เถ้าจะเข้าโลง | โมโหมากปากโป้งโผงอึง |
จงคิดอนิจจังฟังรูปห้าม | นั่นแน่แร้งมันถามข่าวถึง |
ไม่พอที่จะหุนหันดันดึง | โกรธขึ้งหึงษ์หวงช่วงชิง |
แม้นใครได้ยินจะนินทา | พลอยอายขายหน้าเพื่อนผู้หญิง |
เอ็นดูดอกจึงห้ามเปนความจริง | นิ่งนิ่งเสียมั่งนั่งลงยาย |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังว่า | ยิ่งบ่นบ้าดาลเดือดไม่เหือดหาย |
ใช่การของพระคุณอย่าวุ่นวาย | ถึงแก่เถ้าเกือบจะตายก็ตามที |
จะมิให้ว่ามั่งนั่งงอมือ | ข้าไม่เชื่อไม่ถือพระฤๅษี |
นี่แลตั้งมั่นในขันตี | ขันจะแตกสักทีอย่าได้แคลง |
เห็นว่าวาศนามันตกต่ำ | ไม่ชุบแล้วมิหนำมาซ้ำแช่ง |
ชิช่างเกลื่อนกลบประจบประแจง | ช่วยประชันขันแข่งทำคึกคัก |
เขาจะถุ้งเถียงกันฉันผู้หญิง | พลอยวิ่งเข้ามาสวดอวดรู้หลัก |
เรียกยายเรียกย่าน่าแค้นนัก | นางผูกคิ้วค้อนควักยักลูกคาง |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าบัดสี | ช่วยห้ามให้ดีไม่เห็นบ้าง |
กลับมาขวิดชนเอาคนกลาง | ถากถางถุ้งเถียงขึ้นเสียงเกน |
บาปบุญคุณโทษก็ไม่รู้ | เทลาะกูกำหมัดขัดเขมร |
มึงจะลงนรกหกคเมน | ตกต่ำใต้เถนเทวทัต |
กูเปนฤๅษีชีไพร | อยู่ในเมตตาสมาบัติ |
พากเพียรบำเพ็ญเคร่งครัด | ไม่อาสัจอาธรรม์ฉันทา |
จะมาหยิบยกโทษโกรธขึ้ง | เปนเหตุเพราะผัวมึงสิไม่ว่า |
ใช้คนไปนิมนต์กูเข้ามา | ปราถนาจะใคร่ให้ชุบตัว |
แต่แรกคิดจะชุบให้มึงมั่ง | เดี๋ยวนี้ชังน้ำหน้ากระลาหัว |
หฤโหดโฉดเขลาเมามัว | ไม่เจียมตัวว่าแก่กอแกไป |
เอาแต่โมโหออกโต้ความ | มันหงอกงามอยู่แล้วใครทำให้ |
ชุบเองเถิดเจ้าด้วยเขม่าไฟ | คัดปีกคัดไรให้ไปล่ปลิว |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ แค้นเอยแค้นนัก | โมโหฮึกฮักชักหน้านิ่ว |
ดุเดือดเต็มทีขึ้นชี้นิ้ว | ผูกคิ้วค้อนพลางทางตอบคำ |
นี่ฤๅเปนสัตย์ประทัดเที่ยง | ถึงทีได้เอียงแล้วเอียงคว่ำ |
ตัดรอนค่อนว่าสาระยำ | หัวหงอกหัวดำก็ทำเนา |
เจ็บร้อนอะไรใช่หัวตัว | มันหงอกก็แต่หัวของข้าเจ้า |
อื้ออึงอุแม่เอ๋ยมาเย้ยเย้า | สอนให้จับเขม่าเมื่อปานนี้ |
อย่าพักพูดพิไรมิใช่การ | รำคาญเคืองหูจู้จี้ |
เร่งออกไปเสียยังกุฎี | ขืนอยู่ที่นี่จะเปนความ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ลมเอยลมเติบ | ถ้อยคำกำเริบหยาบหยาม |
ดูหมิ่นฤๅษีชีพราหมณ์ | ลวนลามเลี้ยวลดชดลิ้น |
จะมาขับไล่ใครนี่ | รั้ววังทั้งนี้ของกูสิ้น |
สมบัติพัศถานในแผ่นดิน | ท้าวยินยอมยกให้แก่กู |
จริงจริงนะสีกาไม่ว่าเล่น | พระยาเธอเปนพยานอยู่ |
ถึงตัวเองอีเถ้าซื้อรู้ | ก็เปนข้าของกูด้วยเหมือนกัน |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าหัวเราะ | พลางตบมือเยาะเย้ยหยัน |
เออกระนั้นฤๅคะพระนักธรรม์ | ดีฉันพึ่งรู้ว่าเปนนาย |
สมบัติบ้านเมืองแลเครื่องยศ | พระยายกให้หมดมอบถวาย |
บริบูรณ์ทุกสิ่งข้าหญิงชาย | มั่งมีมากมายเจียวนายเรา |
นางยอดรักร่วมอารมณ์ผมหอม | ผัวยอมยกให้ฤๅไม่เล่า |
ฤๅจะไว้อิงแอบแนบเคล้า | หยอกเย้ายียวนชวนชิด |
หญิงชั่วฆ่าผัวตัวเสียได้ | ไม่มีอาไลยแต่สักหนิด |
ร่านหาชู้ชมก็สมคิด | ดัดจริตติดตามแม่สื่อมา |
เข้าครอบครองเอาเปนเจ้าของ | จองหองฮึกฮักหนักหนา |
หน้าเปนเล่นตัวเต็มประดา | กลับยิ้มเยาะข้าหน้าไม่อาย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางจันท์สุดาโฉมฉาย |
จึงว่าน่ารำคาญกับท่านยาย | จ้วงจาบหยาบคายขึ้นมึงมัน |
นั่นแน่หัวหงอกเปนดอกเลา | ไม่เจียมตัวมัวเมาโมหันธ์ |
ฮึดฮัดกัดเหงือกทำงกงัน | ยังไม่ขันขึ้นหน้ามาด่าทอ |
เศกแสร้งมุสาว่าฆ่าผัว | ต่อจะเคยกับตัวกระมังหนอ |
พูดได้ไม่อายแก่ปากคอ | สับประติดสับประต่อเจรจา |
นี่เนื้อว่าเคราะห์เพราะใจเบา | เชื่ออีเถ้าทุจริตอิจฉา |
ลวงฆ่าผัวตายวายชีวา | แล้วซ้ำพามาให้มีคาว |
จนท่านเมียหลวงมาหวงหึงษ์ | น้อยฤๅอื้ออึงมี่ฉาว |
พระดาบศเมตตาข้าสักคราว | ช่วยชุบให้เปนสาวสิบห้าปี |
จะได้สมใจหมายหายงุ่นง่าน | ข้าขี้คร้านรำคาญหูจู้จี้ |
อุแม่เอ๋ยฮึดฮัดหมัดมวยดี | เออกระนี้ทำเข้าก็เปนไร |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เหลือเอยเหลืออด | มาประชดประชันน่ามันไส้ |
อย่าพักท้าเลยคะไม่ละใคร | ว่าแล้วเลี้ยวไล่จะตีนาง |
ฉวยฉุดยุดมือไม่ถนัด | สองพระองค์ป้องปัดขัดขวาง |
ยิ่งคิดแค้นใจร้องไห้พลาง | สู้ตายวายวางชีวิตรม้วย |
ผัวเขาก็เห็นกันเปนดี | พระฤๅษีนี้เล่าก็เข้าด้วย |
จะทำไมได้มีทีนี้รวย | มีผู้ชูช่วยนางเนื้อทิพย์ |
หาไม่ไหนจะคัณนามือ | เช่นนี้แล้วฤๅกูกินดิบ |
ขึ้นหน้าค้าคารมคมริบ | ให้มันมาห้าสิบไม่พรั่นพรึง |
ทำไมกับชีวิตรนิดหนึ่งนี้ | ตายร้ายตายดีก็ทีหนึ่ง |
โมโหหุนหันดันดึง | เข้าไล่หยิกทึ้งทุบตี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | พระคาวียืนขวางนางโฉมศรี |
แล้วว่ายายเถ้าดูเอาซี | ข้าห้ามดีดีแล้วมิฟัง |
ดูดู๋ฮึกฮักเข้าผลักไส | เดี๋ยวนี้ก็ขัดใจขึ้นมามั่ง |
น้อยฤๅดื้อดึงดันทุลัง | พระไสหลังล้มคว่ำคมำไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีก็ร้องไห้ |
อับอายสาวสวรรค์กำนัลใน | แค้นใจภ้อตัดภัศดา |
แต่ก่อนร่อนชะไรก็ไม่เคย | จะเกินเลยลวนลามหยามน้ำหน้า |
เพียงได้นางสาวศรีคนนี้มา | ลืมอีเถ้าชราข้าหลวงเดิม |
พาลผิดด่าทอไสคอเสีย | ให้หม่อมเมียขึ้นหน้าพาฮึกเหิม |
พระฤๅษีนี้ก็ช่วยแต้มเติม | ยุเสริมส่งซ้ำค้ำชู |
ทีนี้นางสาวน้อยคงลอยล่อง | วาศนาเต็มกองขึ้นสุดกู่ |
อย่าพักชี้นิ้วนั่งตั้งกระทู้ | จะมาขู่ข่มใครให้กลัวเกรง |
อกเอ๋ยอับอายสู้ตายเสีย | ไม่อยู่ให้ผัวเมียเขาข่มเหง |
ไหนไหนไม่เปนโตงเปนเตง | เพราะกรรมของตัวเองจะโทษใคร |
อีเถ้าทัศประสาทมันสอพลอ | มายุแยงแกล้งก่อเหตุใหญ่ |
เจ้าขรัวยายนายเรือเอกไชย | ไปรับอีอะไรมิรู้มา |
ทำให้เคืองขุ่นวุ่นทั้งวัง | ยังจะมาแอบฟังนั่งลอยหน้า |
จะตีให้บัดซบตบด้วยกะลา | พลางเรียกข้าเข้ากลุ้มรุมรัน |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยายเถ้าทัศประสาทตัวสั่น |
ต้องตีต้องตบหลบไม่ทัน | งกงันลุกล้มไม่สมประดี |
ร้องขอโทษพลางครางออด | วิ่งตะกายเข้ากอดพระฤๅษี |
แล้วคิดกลัวอาญาพระคาวี | ลนลานคลานหนีเก้กัง |
ปากบ่นภาวนาว่าออกเปื้อน | ไหลเลื่อนเอาหน้ามาเปนหลัง |
แม่จันท์สุดาช่วยด้วยสักครั้ง | ลูกจะม้วยชีวังเปนมั่นคง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังว่า | จันท์สุดาถือไม้ไล่ตีส่ง |
ทุดอีเถ้าจรรไรมึงไม่ตรง | ล่อลวงกูหลงงงงวย |
ฆ่าผัวกูตายไม่หายแค้น | จะตบตีตอบแทนทำมึงด้วย |
อย่าพักสงไสยจะไม่ม้วย | ใครเขาจะช่วยชีวิตรมึง |
พวกอีไม่ตรงหลงผัว | หลับตาเล่นตัวละเมอหึงษ์ |
เต้นแร้งเต้นกาด่าอึง | โกรธขึ้งหึงษ์กูไม่ดูเงา |
มึงอย่าทำสำออยลอยหน้า | ทีนี้น้ำตาเช็ดหัวเข่า |
ว่าพลางตบตีไม่มีเบา | ยายเถ้าทัศประสาทเพียงขาดใจ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เหลือเอยเหลือทน | เจ็บพ้นปัญญาน้ำตาไหล |
กลัวแล้วเจ้าประคุณขออไภย | พลางยกมือไหว้นอบนบ |
จะหลีกไปข้างนั้นก็ถูกตี | เหลียวมาข้างนี้ก็ถูกตบ |
หน้าตาบวมบอบลงหมอบซบ | กลิ้งเกลือกเสือกสลบไม่สมประดี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีมเหษี |
ขัดใจยายเถ้าเต็มที | ทุบตีด่าทอพอแรง |
อีแม่สื่อซุกซนคนเอก | โหยกเหยกขยันเหลือเบื่อแช่ง |
สาแก่ใจเจ็บปวดชวดกินแกง | ทีนี้หนอพอแรงมึงฤๅยัง |
แล้วผินมาว่ากล่าวกับท้าวไท | ช่างหลงใหลไปทีเดียวไม่เหลียวหลัง |
ได้ใหม่ลืมเก่าเฝ้าชิงชัง | ไม่อีนังขังข้อเลยพ่อคุณ |
เห็นชั่วช้าอาภัพอับเฉา | ทำได้ทำเอาเหมือนเต่าตุ่น |
มิขออยู่สู้ตายตามบุญ | นางเคืองขุ่นหมุนกลับมาฉับไว |
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าในห้อง | ขึ้นนั่งบนแท่นทองแล้วร้องไห้ |
เจ็บอกหมกมุ่นขุ่นแค้นใจ | นางครวญคร่ำร่ำไรรันทด |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | องค์พระเชษฐาดาบศ |
จึงกล่าวสุนทรมธุรศ | แก่ทรงยศอนุชาคาวี |
อีเถ้าเจ้ากรรมมันทำความ | มาติดตามหวงหึงษ์อึงมี่ |
เจ้าผลักไสไล่ส่งเสียวันนี้ | เห็นทีมันจะแค้นเคืองนัก |
คำบุราณท่านว่าไว้เปนครู | ธรรมดาตีงูให้หลังหัก |
จะวางใจไม่ได้นะน้องรัก | มันมักมาดหมายทำร้ายเรา |
จะมิให้เปนศุขเฝ้าหยุกหยิก | จุกจิกเจ็บช้ำน้ำใจเจ้า |
ขึ้นชื่อว่าศัตรูอย่าดูเบา | นิ่งเสียกระนี้เล่าจะเกิดความ |
จงไปผันผ่อนให้อ่อนลง | หนามยอกย่อมบ่งออกด้วยหนาม |
อย่าให้เกิดกลียุคลุกลาม | จะได้ความผาศุกสืบไป |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระคาวียิ้มย่องสนองไข |
น้องนี้นึกชังอีจังไร | ช่างไม่รู้ตัวมัวมึน |
จะไปพูดเกลี่ยไกล่เปนไมตรี | เห็นทีจะทำหนักคึกคักขึ้น |
น้ำใจในคอมันบึกบึน | โฉดเขลาเมามึนโมโหร้าย |
ยิ่งห้ามให้นิ่งเหมือนยิ่งยุ | ยังกลับดุดันเดือดไม่เหือดหาย |
น่อยหนึ่งมันจะว่าข้าวุ่นวาย | หยาบคายเคืองหูอดสูใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพี่ยายิ้มแล้วแถลงไข |
ช่างกลัวมันเหมือนเสือเห็นเหลือไป | ดูราวกับมิใช่เปนเจ้าชู้ |
เสียแรงรู้แยบคายก็หลายเพลง | จะมานั่งกลัวเกรงผู้หญิงขู่ |
อุส่าห์ขืนแขงใจไปลองดู | พี่เห็นจะไม่สู้กระไรนัก |
จงทำเทียมเลียมเลี้ยวเกี้ยวพาน | ง้องอนอ่อนหวานอย่าหาญหัก |
ว่าจะชุบขึ้นให้วิไลยลักษณ์ | เห็นมันจักลุ่มหลงปลงวิญญา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีเห็นชอบด้วยเชษฐา |
ยิ้มแห้งแขงใจไคลคลา | โขลนจ่านำไปด้วยใจปอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงที่สำนักตำหนักนาง | พระค่อยเยื้องย่างเข้าในห้อง |
หยุดยืนแฝงม่านเมียงมอง | ดูทำนองแยบคายร้ายดี |
เห็นนางนั่งกอดเข่าเข้าโศกา | เช็ดน้ำตาน้ำหูยู่ยี่ |
นั่งลงเคียงข้างนางเทวี | แล้วทำทีสนิทชิดเชื้อ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ชาตรี
๏ ปลื้มเอยปลื้มใจ | พี่รักใคร่ผูกพันฟั่นเฝือ |
นึกแต่จะอิงแอบแนบเนื้อ | แม้นมิเชื่อโฉมตรูคอยดูเอา |
ใช่จะแสร้งสมทบกลบเกลื่อน | ถึงได้ใหม่ก็ไม่เหมือนเมียเก่า |
ทั้งแก่ก็จริงยังพริ้งเพรา | สาวแส้แพ้เจ้าไม่เท่าเทียม |
พี่ต้องจิตรติดใจอยู่หนักหนา | จึงลงมาถึงเรือนเยือนเยี่ยม |
ไม่ผินภักตร์ทักถามตามธรรมเนียม | ชม้อยชม้ายอายเหนียมพี่ไย |
ว่าพลางทางขยับจับต้อง | เลียมลองโลมลูบหลังไหล่ |
ดูเถิดทำเก้อเอออะไร | เฝ้าค้อนควักผลักไสไปทีเดียว |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ได้เอยได้ฟัง | นางนั่งนิ่งแน่ไม่แลเหลียว |
ไพเราะเพราะพริ้งจริงจริงเจียว | ช่างลดเลี้ยวปรายเปรียบเลียบเคียง |
นึกจะใคร่ดีด้วยก็ขวยอาย | แกล้งทำแยบคายบ่ายเบี่ยง |
ค่อยเขยื้อนเลื่อนลงจากเตียง | มายืนเมียงแอบม่านด้วยมารยา |
คิดถึงความหลังยิ่งคลั่งใจ | เธอผลักไสให้อายขายหน้า |
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นอุรา | พลางบ่นบ้าพาโลโศกี |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีเห็นนางขนางหนี |
เสด็จเดินตามมาแล้วพาที | ทำยั่วเย้าเซ้าซี้ยียวน |
ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ งามเอยงามปลอด | เจ้าเปนยอดมเหษีที่สงวน |
อย่าเศร้าสร้อยโศกศัลย์รัญจวน | เสียดายหน้านวลนวลจะมอมแมม |
ขัดใจอะไรเล่าเฝ้าโศกา | จนน้ำตาเปนคราบอาบแก้ม |
จะวอนว่าเท่าไรไม่ยิ้มแย้ม | ยังมิหย่อนย่อมแต้มลงบ้างเลย |
ท่วงทีทำราวกับสาวแส้ | จนเหลือแหล่ลอยเลิศเปิดเผย |
รู้ระแบบแยบยนต์เปนคนเคย | อุแม่เอ๋ยอดใจไม่ใยดี |
โกรธาฤๅน้องรักว่าผลักไส | เจ็บปวดเปนกะไรดวงใจพี่ |
หยอกกันเมื่อกระนั้นยิ่งกว่านี้ | ไม่พอที่จะโมโหโกรธา |
เจ้าสิทำหยาบคายให้อายเขา | พี่เฝ้าวิงวอนไม่ผ่อนหา |
อัปรยศอดสูจันท์สุดา | พระสิทธาเธอยิ้มไยไพ |
ส่วนโทษเจ้าผิดไม่คิดบ้าง | จะมาคราครวญคร่ำใครทำให้ |
ก่นแต่ขัดเคืองเนืองไป | น่าชังมั่งฤๅไม่เจ้ามารยา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ ถ้อยเอยถ้อยคำ | เจ็บช้ำน้ำใจเปนหนักหนา |
ค้อนพลางทางตอบวาจา | ช่างเถิดหน้าตามันหมองมอม |
กลการอะไรเล่ามาเซ้าซี้ | อุแม่เอ๋ยทำทีเปนโอบอ้อม |
ช่างสำออยอ่อนหวานหว่านล้อม | นี่ฤๅนางผมหอมมิยอมยิง |
พอรู้เท่าเข้าใจกันอยู่ดอก | อย่าลดเลี้ยวลวงหลอกกลอกกลิ้ง |
กลับมายกโทษทัณฑ์ขันจริง | เสแสร้งทุกสิ่งใส่ไคล้ |
สารพัดจะว่าประดาเสีย | เจ็บแค้นแทนเมียเข้าผลักไส |
ส่วนทำเขาถึงกระนี้ก็ดีไป | ยังจะยกตัวไพล่ขึ้นเหนือลม |
อย่าหยุกหยิกรังหยาวใช่สาวแส้ | มันคนแก่คนเถ้าแพ้เผ้าผม |
รูปร่างชั่วช้าไม่น่าชม | เจ้าคารี้สีคารมพอสมตัว |
ทั้งอาภัพอัปรลักษณ์หนักหนา | พระก็ตรัสเปนตราแล้วว่าชั่ว |
จะขืนเข้าใกล้ช่างไม่กลัว | หน่อยจะพาให้มัวมอมไป |
เชิญเสด็จภูวไนยออกไปเสีย | หม่อมเมียเขาจะว่าข้าได้ |
ปากคอพอดีไปเมื่อไร | ยังเจ็บใจอยู่จนประเดี๋ยวนี้ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ เอวเอยเอวบาง | บ่นตะบอยร้อยอย่างร้อยสี |
พี่มาว่ากล่าวแต่โดยดี | อะไรนี่น้อยฤๅทำดื้อดึง |
เอาแต่คารมมาข่มขู่ | รำคาญหูจู้จี้ขี้หึงษ์ |
ขัดใจจันท์สุดาหน้าตึง | ยกโทษโกรธขึ้งเขาข้างเดียว |
ช่างพูดได้ง่ายง่ายไม่อายปาก | โมโหมากหมกมุ่นฉุนเฉียว |
หวงแหนหึงษ์ผัวตัวเปนเกลียว | จนเสียงขุ่นเสียงเขียวคอเปนเอ็น |
พี่ก็ไม่มัวเมาเข้าข้างใคร | จะว่าตามจริงใจให้เจ้าเห็น |
เราจาบจ้วงหวงหึงษ์เขาจึงเปน | จนเกิดเข็ญเคืองขุ่นวุ่นทั้งวัง |
เจ้าก็เปนคนในมิใช่โง่ | ไม่บันเทาโทโษลงเสียมั่ง |
พี่รักเจ้าจริงจริงไม่ชิงชัง | อุส่าห์มาว่าหวังจะให้ดี |
องค์พระดาบศก็อดโทษ | ท่านจะโปรดชุบให้เหมือนเช่นพี่ |
รูปงามเปนสาวแล้วคราวนี้ | เซ้าซี้อยู่ไยไปด้วยกัน |
ว่าพลางฉวยฉุดยุดคร่า | กุมกรกัลยาพาผายผัน |
เออนี่อะไรทำใจรั้น | หุนหันฮึดฮัดสบัดมือ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ แค้นเอยแค้นนัก | ข้าไม่มักหัวไปทำไมฤๅ |
ข่มเหงคนเข้าฉุดยุดยื้อ | ถูกถือยั่วเย้าเฝ้าตอแย |
มิข่วนหยิกให้ยับก็ลองดู | จะฝากไปให้ชู้ช่วยชมแผล |
ชิชะเชิงชั้นช่างผันแปร | มาพูดแก้แทนกันขันสิ้นที |
ข้าเข้าใจอยู่ดอกอย่าหลอกล่อ | จะลวงให้ไปง้อพระฤๅษี |
สู้ตายวายวางชีวี | ไม่เชื่อถือโยคีชีเปลือย |
ทำผิดกิจกรมประสมประสาน | หยาบช้าสามาญเหมือนขี้เลื่อย |
ใจคอคดคู้ดังงูเลื้อย | ไม่อยากง้อให้เหนื่อยขี้คร้านไป |
ถึงมิชุบให้งามก็ตามเถิด | ผิดก็ตายเสียเกิดเอาชาติใหม่ |
ว่าพลางครวญคร่ำร่ำไร | สอึกสอื้นไห้ไปมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เจ้าเอยเจ้าโมโห | ร้องไห้โฮโฮพาโลข้า |
จะห้ามก็ไม่หยุดสุดปัญญา | ยิ่งกว่าบ้าหลังน่าชังนัก |
ให้ไปหาพระฤๅษีก็มิไป | เอออะไรนี่เล่าเฝ้าหน่วงหนัก |
ดึงดื้อถือทิฐิฮึกฮัก | มันจักงามเสียแล้วทีนี้ |
ท่านจะชุบให้เปนสาวสิว่าชั่ว | ทำกับตัวเปล่าเปล่าไม่พอที่ |
ส่องกระจกดูฤๅนั่นขันสิ้นที | น่าบัดสีสมประกอบแก้มคาง |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เจ็บเอยเจ็บอก | ฉวยกระจกขึ้นกระแทกแตกผาง |
ต่อยตลับขวดเฟืองเครื่องสำอาง | ทิ้งขว้างหกคมำทั้งสำรับ |
ทุบกระถางกระโถนโยนผลุง | ฉีกที่นอนหมอนมุ้งเอามีดสับ |
ใครอย่ามาจุกจิกหยิกให้ยับ | ผีบ้ามันจับแล้วทีนี้ |
อุแม่เอ๋ยเย้ยเยาะหัวเราะข้า | อีคนร้ายรามากะทาสี |
น้ำใจในคอใช่พอดี | มันราวกับอัคคีไหม้หลังคา |
ก็ย่อมรู้ย่อมเห็นมาเล่นไฟ | ขืนเข้ามาไยใกล้เคียงข้า |
หน่อยจะลามเลียลนเอาขนตา | หนังกำพร้าจะลอกปอกเปื่อยพอง |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ น้อยเอยน้อยฤๅ | สนุกมือทำไมกับเข้าของ |
ถ้วยโถทุบกระแทกแตกเปนกอง | หยาบคายร้ายรองเต็มประดา |
ราคาค่างวดสักกี่เบี้ย | ต่อยเสียอิกเถิดพี่ไม่ว่า |
หน่อยหนึ่งก็ตะเภาจะเข้ามา | ค่อยซื้อหาเอาใหม่อย่าทุกข์ร้อน |
ไม่พอที่ตีวัวกระทบคราด | สัญชาติกระต่ายแก่แม่ปลาช่อน |
แสร้งสบิ้งสบัดตัดรอน | จะช่วยสอนให้ดีก็มิเอา |
ดีแต่ทำปั้นปึ่งขึ้งขี้เหร่ | โว้เว้ใจหายเจียวยายเถ้า |
ไม่เสงี่ยมเจียมตัวมัวเมา | เออเอาแต่อะไรมาบ่นอึง |
เมื่อมิรักรูปงามก็ตามใจ | ทีนี้นะใครอย่าไปหึงษ์ |
ขี้คร้านอยู่เฝ้าพเน้าพนึง | เถิดขึ้งโกรธแล้วก็แล้วไป |
ว่าพลางทางทำเดินออกมา | ดูทีจะว่าเปนไฉน |
มาฉวยฉุดยุดคร่าข้าไว้ไย | เอออะไรน่าชังทำรังแก |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ น่าเอยน่าหัวร่อ | ใจคอฉุนเฉียวทีเดียวแหล |
ขันจ้านเจียวหนอทำท้อแท้ | ประเดี๋ยวใจจะแร่กลับไป |
ฤๅรำฦกตรึกถึงเมียรัก | ไม่เห็นภักตร์สักครู่อยู่ไม่ได้ |
เช่นนี้แล้วหลับตาลงมาไย | เถิดคะไม่ละให้จรลี |
จะจัณฑาลทารกรรมทำเข็ญ | เกาะไว้ดูเล่นเช่นลูกหนี้ |
ให้สาแก่ใจคนเล่ห์กลดี | พานรีพานขวางช่างพูดจา |
ยกโทษโกรธขึ้งว่าปึ่งปั้น | ทีนี้จะผ่อนผันหันหา |
ถึงจะใช้ให้ขึ้นบนหลังคา | เต้นโลดโดดลงมาจะทำตาม |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เจ้าเอยเจ้าสำนวน | แต่ล้วนขันคนองเปนสองง่าม |
ช่างสำออยออมอดงดงาม | เอ๊ะจะหย่อนผ่อนตามแล้วฤๅไร |
เดิมทีทำกะตัวตะละสาว | ดูราวกับแรกเข้าหอใหม่ |
จนขี้เกียจวิงวอนอ่อนใจ | จะห้ามเจ้าเท่าไรก็มิฟัง |
ถ้าว่าหาไม่ที่ไหนนาง | น่าแพ่นลงสักผางที่กลางหลัง |
หากคิดนิดเดียวดอกกระมัง | จึงหยุดยั้งตามใจให้เจ้าฮึก |
แม้นไม่เวทนาจะหย่าเสีย | ชู้เมียดีดีมีมิตรึก |
ว่าไว้ให้รู้จักสำนึก | รู้สึกตัวแล้วก็แล้วไป |
จงอาบน้ำอาบท่าทาแป้ง | จัดแจงแต่งตัวหวีหัวใหม่ |
เอาธูปเทียนเข้าตอกดอกไม้ | รีบไปขอษมาลาธิกรณ์ |
พี่จะลาโฉมยงนงคราญ | ไปตรวจตราเตรียมการไว้ท่าก่อน |
สั่งเสร็จเสด็จบทจร | มาปราสาทภูธรทันที |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงประนตน้อมเกษ | กราบบาทบทเรศพระฤๅษี |
เปรมปริ่มยิ้มแย้มยินดี | พาทีทูลแถลงแจ้งกิจจา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีก็หรรษา |
จึงตรัสสั่งนางกำนัลมิทันช้า | จงเร่งหาเข้าตอกดอกไม้ |
จะไปขอษมาพระอาจารย์ | นิมนต์ท่านช่วยชุบตัวให้ |
ถ้ารูปงามเปนสาวเห็นท้าวไท | จะรักใคร่หายโกรธโปรดปรานกู |
ทำไมกับมันอีจันท์สุดา | จะตีด่าให้กลัวตัวเปนหนู |
ไม่ช้านักสักหน่อยมึงคอยดู | ตัวกูจะเปนสาวแล้วคราวนี้ |
ว่าพลางนางเข้าที่สรง | ขมิ้นผงลูบไล้ขัดสี |
ผัดหน้าทาแป้งแต่งเต็มที่ | ดูดีงดงามขึ้นครามครัน |
นุ่งผ้าโขมพัตรผุดผ่อง | ห่มสไบกรองทองเฉิดฉัน |
ครั้นเสร็จเสด็จจรจรัล | สาวสรรค์กำนัลนางต่างตามมา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
๏ ถึงท้องพระโรงหลังก็รั้งรอ | ทำลับลับล่อล่อหลบหน้า |
อัปรยศอดสูพระสิทธา | เข้าแฝงฝาผนังบังกาย |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีชื่นชมสมหมาย |
ยิ้มพลางทางทำทักทาย | นี่แน่นางโฉมฉายช่างกะไร |
แต่งตัวน้อยฤๅเจ้าเฝ้าตะบอย | พี่นั่งคอยจนเหงื่อจมูกไหล |
เจ้าเล่ห์เจ้ากลเปนพ้นไป | ทั้งแยบคายภายในก็ฦกลับ |
มาแล้วฤๅเจ้าเข้ามานี่ | พี่วอนว่าพระฤๅษีไว้เสร็จสรรพ |
จะชุบองค์นงคราญนั้นท่านรับ | เจ้าจงคำนับพระมุนี |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีมเหษี |
สบิ้งสบัดขัดเคืองพระสามี | เทวีรีรออยู่ช้านาน |
แล้วอุส่าห์แขงขืนฝืนใจ | จำเปนจำไปสมัคสมาน |
ถือธูปเทียนดอกไม้ใส่พาน | ค่อยคลานเข้าไปใจทึกทัก |
คิดขยั้นครั่นคร้ามพระฤๅษี | ด้วยเดิมทีถุ้งเถียงกับเธอหนัก |
ทั้งสเทินทั้งอายขายหน้านัก | ก้มภักตร์เมียงม่อยค่อยกระซิบ |
แขงใจขอษมาพระอาจารย์ | ลนลานหลงใหลไม่ได้สิบ |
พึมพำทำแต่ปากยิบยิบ | อู้อี้อุบอิบอยู่ในคอ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระดาบศนิ่งฟังนั่งหัวร่อ |
ยิ้มพลางทางว่าได้ด่าทอ | รูปขอษมาสีกาโยม |
เออจะต้องสัญญาว่ากันด้วย | ที่จะให้กูช่วยชุบรูปโฉม |
ต้องทำการอึกกระทึกครึกโครม | เอาฟืนไฟใส่โหมให้ลุกฮือ |
จะให้เจ้าเข้านั่งริมกองไฟ | ร้อนรนจะทนได้แล้วฤๅ |
จะไปทำวุ่นวายเมื่อปลายมือ | ปฤกษาหารือเสียเดี๋ยวนี้ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีมเหษี |
ได้ฟังว่าน่ากลัวเต็มที | เทวีอ้ำอึ้งตลึงตไล |
ครั้นจะมิรับคำทำตาม | กลัวรูปจะหางามเหมือนผัวไม่ |
ครั้นพระดาบศเตือนเยื้อนตอบไป | ร้อนรนอย่างไรก็ตามบุญ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีเสริมซ้ำกระหน่ำหนุน |
องค์พระสิทธาท่านการุญ | ชุบพี่พึ่งรุ่นหนุ่มฟ้อแฟ้ |
ยังเถ้าแก่แต่เมียเสียน้ำใจ | จะใคร่ให้รุ่นราวสาวแส้ |
จงตั้งใจตั้งคออย่าท้อแท้ | เปนแต่ร้อนรนก็ทนเอา |
ว่าพลางทางสั่งเสนี | จงกองไฟไว้ที่หลุมเก่า |
ม่านกั้นเหมือนกันกับชุบเรา | เร่งรัดเร็วเข้าให้ทันการ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนาคำนับรับบรรหาร |
ลุกแล่นออกมาน่าพระลาน | แต่งการครบครันมิทันช้า |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีเสแสร้งแกล้งว่า |
รูปนี้สมเพชเวทนา | จะช่วยชุบสีกาเสียเดี๋ยวนี้ |
ขอเชิญท้าวไทเข้าไปด้วย | จะได้ช่วยตักเตือนมเหษี |
ว่าพลางทางเสด็จจรลี | พระคาวีเชิญนางพลางตามมา |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงม่านกั้นชั้นใน | เห็นเปลวไฟเริงแรงแสงกล้า |
พระฤๅษีจึงมีวาจา | เชิญสีกาเข้านั่งริมกองไฟ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีเสียวไส้ |
หยุดยืนลูบอกตกใจ | น่ากลัวกะไรกะนี้นา |
เพลิงแรงน้อยฤๅพระฤๅษี | อยู่ถึงนี่ยังร้อนเปนนักหนา |
เข้านั่งใกล้ไหนจะรอดชีวา | นางบิดพลิ้วนิ่วหน้าระอาใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระดาบศอดยิ้มมิใคร่ได้ |
เสแสร้งแกล้งร้องว่าไป | เปนกะไรถอยหลังรั้งรอ |
นี่ฤๅว่ากล้าทำตาขาว | ไม่พอใจเปนสาวแล้วฤๅหนอ |
จวนเพล่ำเพลาอย่าย่อท้อ | ตั้งใจตั้งคอให้จงดี |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีมเหษี |
อัปรยศอดอายพระมุนี | เทวีนึกมานะแขงใจ |
ตรงเข้าไปนั่งลงข้างหลุม | เพลิงรุมร้อนรนไม่ทนได้ |
ลุกขึ้นเต้นปัดปัดสบัดสไบ | อกใจระรัวตัวสั่นท้าว |
ผินมาว่าแก่พระนักสิทธิ์ | ข้าเห็นผิดตำราที่ว่ากล่าว |
เพลิงแรงร้อนเหลือจนเหงื่อพราว | มันจะสาวมิสาวก็ตามที |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีจึงว่าอย่าอึงมี่ |
เมื่อชุบพี่คราวก่อนร้อนกว่านี้ | ดูเปลวอัคคีออกวุบวับ |
พี่อุส่าห์แขงเนื้อแขงใจ | โดดแผลวลงไปไฟก็ดับ |
นี่ชรอยวาศนาเจ้าอาภัพ | จึงกระสับกระส่ายวุ่นวายไป |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีก็ร้องไห้ |
สอื้นพลางทางว่าน่าน้อยใจ | บอกว่าทนไม่ได้ไม่เชื่อเลย |
ดูเยี่ยงท้าวไทใจกล้าแกล้ว | เปนหนุ่มแล้วไม่อินังนั่งเฉย |
คอยแต่หัวเราะเยาะเย้ย | ฟ้าผี่เถิดเอ๋ยน่าแค้นใจ |
คิดว่าผัวมาด้วยจะช่วยมั่ง | มิรู้นั่งดูเล่นก็เปนได้ |
นางตีโพยตีพายมากมายไป | ร้องไห้ร้องห่มไม่สมประดี |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีทำว่าน่าบัดสี |
ไม่เคยพบเคยเห็นเช่นนี้ | พานรีพานขวางทุกอย่างไป |
กลับมาโกรธคนอื่นครื้นเครง | ที่ตัวขี้ขลาดเองหาว่าไม่ |
ร้องไห้เก้อเก้อเอออะไร | ขัดใจขึ้นมามั่งแล้วจริงจริง |
เวทนาอุส่าห์ช่วยตักเตือน | กลับแชเชือนฮึดฮัดสบัดสบิ้ง |
ขี้คร้านง้องอนวอนวิง | มิใช่สิ้นผู้หญิงทั้งภารา |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | พระฤๅษีพลอยซ้ำร่ำว่า |
เปนน่าสมเพชเวทนา | ไม่พอที่สีกาทำวุ่นวาย |
แต่แรกรูปก็สัญญาต่อหน้าผัว | อันชุบเนื้อชุบตัวมิใช่ง่าย |
ข้างสีกาก็ว่าไม่กลัวตาย | ยังกลับกลายเสียได้กูไม่เคย |
มาร้องไห้เปนลางอยู่อย่างนี้ | ก็เสียกิจพิธีแล้วโยมเอ๋ย |
อย่าขึ้งโกรธโทษผัวของตัวเลย | บุญเราไม่เคยได้โปรดกัน |
ว่าพลางทางแสร้งเสสรวล | ตรัสชวนน้องชายผายผัน |
ออกจากม่านทองจรจรัล | นางคันธมาลีก็ตามมา |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ พระดาบศขึ้นนั่งบัลลังก์อาศน์ | พรั่งพร้อมพระญาติวงศา |
จึงแกล้งพูดให้สิ้นนินทา | รูปสงสารนางพระยานี้สุดใจ |
จะชุบให้รุ่นราวเหมือนท้าวผัว | นางก็กลัวร้อนรนไม่ทนได้ |
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมทำไว้ | พเอิญให้เคืองขุ่นวุ่นวาย |
รูปมาช่วยป่วยการก็นานช้า | จะขอลาญาติโยมสิ้นทั้งหลาย |
แล้วเสแสร้งแกล้งตรัสกับน้องชาย | รูปขอถวายพระพรลา |
ว่าพลางทางทำเปนเคร่งครัด | ถือพัดขนนกป้องหน้า |
ออกจากวังในรีบไคลคลา | กลับไปภาราด้วยฤทธี |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | พระคาวีทำโกรธมเหษี |
จึงว่านี่แน่นางคันธมาลี | ท่านจะชุบให้ดีก็มิเอา |
ไม่พอใจให้ตัวเปนสาวแส้ | ก็อยู่ตามประสาแก่เถิดสิเจ้า |
ทีนี้อย่าไปมาหาเรา | พระตรัสเท่านั้นแล้วก็ลุกมา |
เข้าในห้องสุวรรณบรรจง | ขึ้นนั่งเตียงเคียงองค์ขนิษฐา |
เชยชมเมียขวัญจันท์สุดา | แล้วเล่าแจ้งกิจจาสารพัน |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | นางคันธมาลีให้หุนหัน |
อายเหล่าสาวสนมกำนัล | ก็งกงันมายังตำหนักนาง |
ตรงขึ้นแท่นรัตน์ชัชวาลย์ | ให้งุ่นง่านหงุดหงิดปิดน่าต่าง |
ทอดองค์ลงคร่ำครวญคราง | เพียงนางจะวินาศขาดใจ |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด