ตอนที่ ๕ พระสังข์ตีคลี

ยานี

๏ มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสไนยไตรตรึงษา
ทิพอาศน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน อำมรินทร์เร่งคิดสงไสย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุไภย ก็แจ้งใจในนางรจนา
แม้นมิไปช่วยจะม้วยมอด ด้วยสังข์ทองไม่ถอดรูปเงาะป่า
จำจะยกพหลพลเทวา ลงไปล้อมภาราสามลไว้
ชวนเจ้าธานีตีคลีพนัน น้ำหน้ามันจะสู้ใครได้
จะขู่ให้งันงกตกใจ ออกไปหาบุตรสุดท้อง
พระสังข์ครั้งนี้จะถอดเงาะ งามเหมาะไม่มีเสมอสอง
พ่อตาจะได้เห็นเปนรูปทอง ทั้งทำนองเพลงคลีตีต่อยุทธ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดพลางทางมีพจนาดถ์ สั่งมาตุลีเทพบุตร
จงเตรียมพลเทวาถืออาวุธ นิมิตรเหมือนมนุษย์ชาวภารา
ทั้งน่าหลังตั้งตามกระบวนทัพ ให้เสร็จสรรพปีกซ้ายปีกขวา
เราจะยกพลไกรไคลคลา ไปล้อมภาราท้าวสามล

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น มาตุลีกราบงามสามหน
รีบออกมานอกไพชยนต์ เตรียมพลเทวัญมิทันนาน

ฯ ๒ คำ ฯ ปฐม เจรจา

๏ เมื่อนั้น อมรินทร์อินทร์องค์สรงสนาน
สอดใส่เครื่องทรงอลงการ เนาวรัตน์ชัชวาลวาวแวว
แล้วลีลามาทรงเวไชยันต์ ยกทัพเทวัญเปนถ้องแถว
เดินโดยอากาศคลาศแคล้ว รีบขับรถแก้วลงมาพลัน

ฯ ๔ คำ ฯ กราวนอก เชิด

๏ ครั้นถึงภาราสามล ขับพลเข้าล้อมเขตรขัณฑ์
ตั้งค่ายรายรอบเรียงรัน ปักธงสำคัญทุกหมวดกอง
แล้วยิงปืนมณฑกนกสับ ปล่อยปืนตับตึงตังดังก้อง
บ้างทำสิงหนาทฆาฏฆ้องกลอง โห่ร้องสำทับให้เกรงกลัว

ฯ ๔ คำ ฯ รัว

๏ บัดนั้น ชาวเมืองทั้งสิ้นได้ยินทั่ว
ตื่นตระหนกตกใจจวนตัว จะยักย้ายครอบครัวก็ไม่ทัน
ต่างคนลนลานทุกบ้านช่อง เสลือกสลนขนของเชี่ยนขัน
หอบที่นอนหมอนฟูกผูกพัน ถามกันว่าจะไปข้างไหนดี
บ้างอุ้มบุตรฉุดมือเมียมา ไหว้วอนพ่อตาให้พาหนี
ลูกหลานรุงรังครั้งนี้ มิรู้ที่จะแอบแฝงอยู่แห่งไร
บ้างปีนขึ้นแย่งฝาหลังคาเรือน สำคัญฟั่นเฟือนว่าไฟไหม้
ขนเอาเข้าของลงกองไว้ ร้องไห้เรียกหากันอึงอล
พวกผู้หญิงสาวแก่แม่ค้า ตกใจคิดว่าคโมยปล้น
เบี้ยเข้าเททิ้งแล้ววิ่งวน แน่นถนนปนไปกับผู้ชาย

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ พวกพระยาพระหลวงทั้งปวงนั้น ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหาย
ไม่รู้เหตุผลต้นปลาย ชวนกันผันผายเข้าวังใน
ครั้นถึงศาลาน่าประตู พอเพลาเช้าตรู่ประแจไข
ร้องเรียกเถ้าแก่ออกแซ่ไป เร่งให้ปลุกบรรธมบังคมทูล

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลราชนเรนทร์สูร
หลับอยู่ไม่รู้เค้ามูล แว่วเสียงสนมทูลก็ตกใจ
ผวาตื่นฟื้นตัวยังมัวเมีย งัวเงียโงกหงับหลับไปใหม่
นางมณฑาตื่นก่อนนอนไว หลงใหลทลึ่งลุกปลุกสามี
ท้าวสามลละเมอเพ้อพำ คิดว่าผีอำทำอู้อี้
ลุกขึ้นแก้ฝันขันสิ้นที เห็นจะดีฤๅร้ายช่วยทายดู
นางมณฑาว่าไฮ้อะไรนั่น ยังจะมาแก้ฝันกันอยู่
เสียงคนอึงมี่ที่ประตู เปนอย่างไรไม่รู้เลยพ่อคุณ
ท้าวสามลหวาดหวั่นพรั่นพระไทย เหลียวมาคว้าได้ดาบยี่ปุ่น
งกเงิ่นเดินด่วนซวนซุน เมียรุนหลังส่งตรงออกมา
เปิดพระแกลแลเห็นเสนี อึงมี่คึกคักหนักหนา
ร้องถามลงไปมิได้ช้า อ้ายเงาะมันเข้ามาฤๅว่าไร

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่
ได้ยินสุรเสียงท้าวไท ต่างคลานเข้าไปตรงบัญชร
พิดทูลถ้อยคำละล่ำละลัก หายใจหอบฮักขยักขย่อน
ไม่รู้ว่าใครมาล้อมนคร พระภูธรจงทราบพระบาทา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลตระหนกตกประหม่า
ให้คิดคร้ามครั่นหวั่นวิญญาณ์ เหลียวซ้ายแลขวาละล้าละลัง
ความกลัวตัวสั่นงันงก เพ้อพกพูดจาเหมือนบ้าหลัง
ค่อยกระซิบถามเมียเงี่ยหูฟัง เสียงอะไรตึงตังดังเหมือนปืน
เอ๊ะกูอยู่แล้วนะเสนี เห็นไพรีจะมากมายหลายหมื่น
นี่หากว่ากล้าหาญพานยั่งยืน จึงไม่ตื่นตระหนกตกใจ
เสียแต่แก่ชราหูตามัว ทั้งตัวก็เจ็บปวดป่วยไข้
ถ้าหนุ่มแน่นแม้นเหมือนแต่ก่อนไซ้ จะเกรงกลัวอะไรกับไพรี
เหวยหมู่มาตยาข้าเฝ้า อย่างไรเล่าเราจะสู้ฤๅจะหนี
กูเห็นเหลือกำลังแล้วครั้งนี้ สุดที่จะต้านต่อให้ท้อแท้
ได้ยินคนข้างหลังกระทั่งไอ ตกใจจริงจริงออกวิ่งแร่
ร้องเรียกเมียตัวสั่นว่านั่นแน่ เสียงแซ่น่ากลัวทั้งรั้ววัง
ลูกเขยของกูมันอยู่ไหน จะให้ไปต่อสู้ดูสักตั้ง
ขัดเขมนเหม่นเหม่ทำเก้กัง ปากโป้งโผงดังสั่งเสนี
เร็วเร็วเร่งรัดจัดโยธา ขึ้นพิทักษ์รักษาน่าที่
นายมุลขุนหมื่นพื้นตัวดี กินเบี้ยหวัดผ้าปีมีมากมาย
เกณฑ์ให้ประจำซองป้องกัน ระวังตัวกลัวมันจะปีนป่าย
ประตูทั้งสี่ทิศให้ปิดตาย แล้วคั่วทรายคั่วกรวดเตรียมไว้

ฯ ๑๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนาข้าเฝ้าน้อยใหญ่
บังคมลาพากันออกไป เรียกหาบ่าวไพร่วุ่นวาย
พวกเหล่าชาวคลังชาวแสง เอาเสื้อแดงปืนผาออกมาจ่าย
แล้วขับไพร่ให้ขึ้นเชิงเทินราย ตัวนายถือดาบตรวจดู
บ้างลากปืนใหญ่ขึ้นใส่ช่อง ถือชุดจุดจ้องเทดินหู
เร่งกันลั่นดานบานประตู เปนหมู่หมู่เยียดยัดอัดไป

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวมัฆวานเปนใหญ่
สั่งพระวิศณุกรรม์ทันใด จงแต่งสารถือไปในเมือง
บอกพระยาสามลมาตีคลี พนันเอาบุรีให้ฦๅเลื่อง
แม้นแพ้เราอย่าพักยักเยื้อง จะริบเอาบ้านเมืองเสียบัดนี้

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระวิศณุกรรม์เรืองศรี
รับสั่งพระอินทร์ด้วยยินดี อัญชลีแล้วลามาพลัน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงประตูพระนคร เห็นใส่กลอนมั่นคงลงเขื่อนขันธ์
คนรักษาน่าที่นี่นัน เทวัญร้องเรียกให้เปิดรับ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ขุนหมื่นเฝ้าประตูผู้กำกับ
จึงตอบว่าท่านมาแต่กองทัพ จะเปิดรับไม่ได้อย่าเข้ามา

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระวิศณุกรรม์แกล้วกล้า
ผาดแผลงสำแดงฤทธา เท้าถีบทวาราทลายลง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เห็นพวกรักษาน่าที่ วิ่งหนีเกลื่อนกลาดตวาดส่ง
แกล้งทำสิงหนาทอาจอง เดินตรงเข้าพระโรงรจนา
เห็นท้าวสามลอยู่บนอาศน์ หมู่อำมาตย์เฝ้าแหนแน่นหนา
แกล้งกรายหัวข้าเฝ้าเข้ามา ยืนอยู่ตรงน่าเจ้าธานี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลลนลานจะวิ่งหนี
นางมณฑาคร่ามือไว้ทันที ท้าวได้สมประดีก็แลดู

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ คิดได้ไพรีมาคนเดียว ถึงรบรับขับเคี่ยวพอต่อสู้
จึงร้องเรียกเสนีอย่าหนีกู แล้วนิ่งดูท่วงทีกิริยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวิศณุกรรม์แกล้วกล้า
เสแสร้งแกล้งกล่าววาจา เหวยเหวยพระยาเจ้าธานี
จงก้มเกล้าเคารพอภิวาท คอยสดับรับราชสารศรี
นายเราให้มาว่าโดยดี แล้วคลี่ราชสารออกอ่านไป

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

ช้า

๏ ในสารว่าองค์พระทรงเดช มงกุฎเกษกระษัตริย์เปนใหญ่
ยกทัพมาประชิดติดเวียงไชย มิใช่จะณรงค์สงคราม
ให้พระยาสามลคนดี มาตีคลีพนันในสนาม
จะได้มีเกียรติยศปรากฎนาม ให้ชีพราหมณ์ราชครูดูเปนกลาง
แม้นเราแพ้แก่ท่านในการเล่น จะยอมเปนเมืองขึ้นไม่ขัดขวาง
เราชนะจะริบไม่ละวาง สาวสรรค์กำนัลนางเปนของเรา
ในวันนี้มิออกมาเล่นคลี จะเข้าตีกรุงไกรเอาไฟเผา
ท้าวสามลแม้นรู้อย่าดูเบา จะวอดวายตายเปล่าทั้งเวียงไชย

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นอ่านสิ้นสาราจึงว่ากล่าว นี่แน่ท้าวสามลเปนใหญ่
นั่งนิ่งก้มหน้าอยู่ว่าไร จะต่อตีฤๅไม่จงบอกมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลตัวสั่นพรั่นนักหนา
ทำหน้าเซียวเหลียวดูนางมณฑา หูตาบ้องแบวเหมือนแมวคราว
เรียกเมียว่าช่วยพี่ด้วยซิ สิ้นสติตกประหม่าตาขาว
ความกลัวตัวสั่นอยู่ท้าวท้าว มันให้หนาวสท้านรำคาญใจ
แล้วคิดว่าหกเขยของเรานี้ จะตีคลีต้านต่อเห็นพอได้
ลุกขึ้นยืนยิ้มย่องร้องตอบไป เราไม่ย่อท้อต่อไพรี
ท่านอย่าฮึกฮักไปนักเลย ออเขยทั้งหกมันไม่หนี
จะแต่งให้ไปต้านตีคลี ใครดีได้กันไม่พรั่นพรึง
ท่านจงกลับออกไปบอกนาย ผัดพอตวันบ่ายสักหน่อยหนึ่ง
พระแกล้งอวดโป้งโผงอึง ตั้งปึ่งขึงไว้เหมือนไม่กลัว

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวิศณุกรรม์ก็ยิ้มหัว
นี่แน่ท้าวสามลคนเมามัว ใจคอพอตัวยังชั่วครัน
พูดจาปากกล้าแต่ตาขาว เนื้อแท้ท้าวก็กลัวจนตัวสั่น
จะให้หกเขยตีคลีพนัน ว่าให้แม่นมั่นเหมือนสัญญา
แม้นไม่ออกไปสนามตามกำหนด มิริบลูกเมียหมดก็จึงว่า
แกล้งขู่สำทับกำชับกำชา แล้วเทวารีบกลับไปฉับไว

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลคิดพรั่นหวั่นไหว
จึงตรัสแก่เขยขวัญทันใด จนใจด้วยบิดาชราแล้ว
ถ้ากำลังยังหนุ่มเหมือนแต่ก่อน พ่อไม่ให้ร้อนถึงลูกแก้ว
เมื่อกระนั้นหาอิกมันหลีกแคล้ว ไม่อาจมาว่องแววโดยลำเกรง
เดี๋ยวนี้เห็นบิดาชราลง จึงทนงอวดกล้ามาข่มเหง
ขัดใจจะใคร่ออกตีเอง แต่กริ่งเกรงตาหูไม่สู้ไว
เจ้าหนุ่มแน่นแทนพ่อออกตีคลี แก้กู้บูรีไว้ให้ได้
เหมือนช่วยยกหน้าพ่อตาไว้ อย่าให้อัปรยศอดอาย

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยคิดพรั่นขวัญหาย
มิรู้ที่ทำกระไรให้วุ่นวาย แต่เหลียวซ้ายเหลียวขวาดูตากัน
จำเปนจำรับวาจา ลูกจะขออาสาพระอย่าพรั่น
ว่าพลางทางถวายบังคมคัล ลาไปตำหนักพลันทันที

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงจึงสั่งข้าไท เร่งผูกมโนไมยที่เคยขี่
รับสั่งใช้ให้ออกไปตีคลี ครั้งนี้หนักอกหนักใจ
แพ้ชนะอย่างไรก็ไม่รู้ จะลองสู้ดูสักทีหาหนีไม่
เร่งรัดจัดแจงแต่งตัวไว้ บรรดาเหล่าบ่าวไพร่ให้พร้อมพรัก
ว่าพลางทางขึ้นบนชาลา เปิดประตูเข้ามาในตำหนัก
นั่งแอบแนบนางเมียรัก ทุกข์นักก้มหน้าไม่พาที

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งหกธิดามารศรี
ประหลาดใจนักหนาเห็นสามี ท่วงทีทุกข์ร้อนถอนฤไทย
นางจึงถามไถ่เปนไรหม่อม จึงหน้ามอมหมองคล้ำดำไหม้
ฤๅบิดากริ้วโกรธทำโทษไภย จงบอกให้ประจักษ์ที่หนักเบา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยหน้าจ๋อยหงอยเหงา
ความทุกข์เหลือกำลังนั่งเซา บอกเล่าเมียมิ่งทุกสิ่งอัน
บัดนี้พระบิดาบัญชาใช้ ท่านวางใจว่าพี่นี้ขยัน
ขืนให้ไปตีคลีพนัน จะผ่อนผันฉันใดก็สุดคิด
อันวิชาเช่นนี้เจ้าพี่เอ๋ย ไม่ได้ร่ำเรียนเลยแต่สักหนิด
ขุกเอาเดี๋ยวนี้ดั่งนิมิตร ต้องจนจิตรซังตายตะกายไป
โฉมยงจงไปคอยดูพี่ อยู่ที่พลับพลาทองผ่องใส
จะได้ภาวนาช่วยอวยไชย เหมือนทัพหนุนอุ่นใจไม่สู้กลัว
ถึงพลั้งพลาดมาทแม้นสติเสีย เห็นหน้าเมียอยู่มั่งค่อยยังชั่ว
แต่ลำพังยังไม่ไว้ใจตัว เจ้าไปเปนเพื่อนผัวไม่กลัวใคร
ว่าพลางจรลีเข้าที่สรง แต่งองค์ทางเครื่องล้วนใหม่ใหม่
ส่องกระจกดูเงาเศร้าเสียใจ จมูกใบหูวิ่นสิ้นงาม
แล้วลีลามาทรงม้าที่นั่ง บ่าวไพร่ตามหลังจนออกหลาม
หกนางนึกประหวั่นครั่นคร้าม ขี่วอคนหามตามผัวมา

ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงราชฐานทวารวัง เขาบอกว่ารับสั่งคอยท่า
จึงลนลานลงจากหลังม้า ไปเฝ้าพ่อตาไม่ช้าเลย

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลครั้นเห็นหกเขย
แสนสำราญอารมณ์ชมเชย ลูกเอ๋ยแต่งตัวเต็มประดา
เจ้าจะไปตีคลีวันนี้ไซ้ จงตั้งใจตั้งคอนะพ่อหนา
อย่าให้อายขายภักตร์พ่อตา แก้กู้ภาราเอาหน้าไว้
ว่าพลางย่างเยื้องจรจรัล มาสรงน้ำที่ขันสาครใหญ่
ตักวารีรดหมดเหงื่อไค ลูบไล้แป้งกระแจะจันทน์ปรุง
ใส่เสื้อก้านแย่งแต่งเต็มที่ ผ้ายกอย่างดีเอาออกนุ่ง
แล้วหยิบเจียรบาดมาคาดพุง ทรงเครื่องเรืองรุ่งระยับตา
สวมสอดกำไลใส่แหวนหัว เพ่งพิศดูตัวงามนักหนา
นั่งมองส่องกระจกใส่ชฎา เจ้ามณฑาดูทีดีฤๅเอียง
ครั้นเสร็จเสด็จทรงคชสาร ทวยหาญโห่ลั่นสนั่นเสียง
ซ้ายขวาม้าลูกเขยเปนคู่เคียง พร้อมเพรียงไพร่พลมนตรี
เมียรักร่วมจิตรกับธิดา ขี่วอช่อฟ้าหลังคาสี
เถ้าแก่กำนัลขันที ตามเสด็จเทวีมาคึกคัก

ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนพลับพลา ทั้งธิดามเหษีมีศักดิ์
ท้าวสามลนั่งอิงพิงพนัก อกใจทึกทักครั่นคร้าม
ไพร่ฟ้ามาดูตีคลี คับคั่งทั้งที่ท้องสนาม
ตำรวจในไล่บุกคุกคาม ห้ามปรามคนยืนน่าพลับพลา
หกเขยขับม้าออกยืนที่ เห็นไพรีนับแสนแน่นหนา
ต่างคนคิดพรั่นหวั่นวิญญา ชักม้าเกะกะปะทะกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อำมรินทร์ปิ่นภพสรวงสวรรค์
เห็นหกเขยมาตีคลีพนัน ก็ลงจากสุวรรณพลับพลาไชย
ทรงม้าวลาหกผกโผน กระทืบโกลนแกล้งขับเข้ามาใกล้
ร้องสำทับทั้งหกให้ตกใจ พวกนี้ฤๅไรจะสู้เรา
หน้าตาจมูกหูดูชอบกล ช่างเหมือนกันทุกคนเจียวหนอเจ้า
เห็นจะดีทายาดดูลาดเลา เปนลูกเต้าเผ่าพงศ์ผู้ใด
เลือกสรรกันมาล้วนตัวดี ตีคลีมีฝีมือฤๅไฉน
จงเร่งบอกเราให้เข้าใจ จึงจะได้สู้กันพนันเมือง

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยหน้าจ๋อยหงอยเงื่อง
อัปรยศอดอายระคายเคือง ต่างชำเลืองเหลียวมาดูตากัน
เขยใหญ่ยิ้มแห้งแกล้งแก้หน้า จึงร้องว่าพ่อเอ๋ยอย่าเย้ยหยัน
ข้ามิใช่ชายชั่วตัวสำคัญ แต่ล้วนลูกเขยขวัญท้าวสามล
เรารับอาสาออกมานี้ จะตีคลีต่อสู้ดูสักหน
ไม่ย่อท้อถอยหลังทั้งหกคน ตามจนจะแก้หน้าพ่อตาไว้

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โกสีย์ยิ้มแย้มเฉลยไข
ลูกเขยเจ้าภาราแล้วว่าไย ช่างกระไรไม่ชั่วล้วนตัวดี
เร่งมาตีคลีสู้ดูฝีมือ ให้ร่ำฦๅเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
ว่าพลางชักม้าเปนท่วงที แล้วเดาะคลีตีไปมิได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยตระหนกตกประหม่า
เอามือขึ้นช่วยรับแล้วหลับตา คนฮาโห่สนั่นยิ่งงันงก
ต่างเข้าตลุมบอนช้อนคลี พาชีชุลมุนมุ่นหก
ทำพยศหันเหียนเวียนวก พลัดตกลงมาขาแพลง
บ้างเดาะคลีตีผิดไปเปนวา เหลียวดูภรรยาแล้วยิ้มแห้ง
อาชาพาโผนโดนกำแพง สิ้นแรงร้องโยคนโห่เกรียว
ที่ขี่ม้าไม่เปนเต้นสามขา ฉุดคร่าสายถือสองมือเหนี่ยว
คิดกลัวพ่อตาทำหน้าเซียว มันให้ลนลานเหลียวตละกวาง

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลคอตกตีอกผาง
ดุเดือดเต็มประดาร้องด่าพลาง ไอ้คนอะไรช่างไม่มีอาย
ท่าทางสอนให้ก็ไม่จำ จะแกล้งทำให้เขาริบฉิบหาย
ดูเอาเล่าเถิดซินางแม่ยาย ลูกเขยมันจะขายพ่อตา
พลางด่าหกธิดาพาโล ผัวมึงสำแดงโง่ทำงามหน้า
ยังจะเท้าแขนหยัดดัดกิริยา จะเปนข้าเขาไม่ทุกข์สนุกใจ
ท้าวคิดเคืองขุ่นงุ่นง่าน ตัวสั่นสท้านเหงื่อกาฬไหล
กอดเข่ารำพึงตะลึงตะไล คราวออดทอดใจใหญ่ไม่พาที

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงองค์อำมรินทร์เรืองศรี
ร้องท้าว่าเหวยเขยคนดี ทำไมไม่เดาะคลีตีโต้มา
อย่างไรนั่นกลอกคอทำท้อแท้ จะยอมแพ้ฤๅไรให้เร่งว่า
จะได้ริบเขตรขัณฑ์ดังสัญญา เอาตัวพ่อตาเปนข้าไท

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยตัวสั่นหวั่นไหว
เข้าช้อนคลีพัลวันกันไป พลัดไพล่ไม่ขึ้นมาพ้นดิน
อาชาตื่นแตกแหกกระแชง แต่เหนี่ยวเหนี่ยวเรี่ยวแรงก็สุดสิ้น
เรียกบ่าวงึมงำขอน้ำกิน ก้มหน้าดูดินไม่เหลียวแล
โกสีย์ยิ้มเยื้อนแล้วเตือนซ้ำ ตอบคำอยู่ในคอพูดอ้อแอ้
ยกมือขึ้นคำนับรับแพ้ ตามแต่จะเมตตาปรานี

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ชาวเมืองที่ดูอยู่อึงมี่
เห็นหกเขยยอมแพ้แก่ไพรี ไพร่ผู้ดีเสียใจสิ้นทุกคน
ต่างพูดงุบงิบกระซิบด่า ลูกเขยพระยาไม่เปนผล
มันพอสมน้ำหน้าท้าวสามล พลอยให้คนฉิบหายทั้งภารา
บ้างว่าจะร้อนใจไปไยเล่า ใครเขามีบุญก็เปนข้า
เห็นจะต้องริบแน่แต่พระยา เราเปนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
บ้างตะโกนโพนทนาท้าวสามล ช่างเชื่อคนหูแหว่งจมูกวิ่น
หน่วยก้านเช่นนี้ดีแต่กิน ต้องเปนข้าเขาสิ้นสาแก่ใจ
บ้างพูดจาฮึกฮักพยักพะเยิด ฟ้าผี่เถิดหาว่าเล่นไม่
แม้นเราได้ลูกสาวของท้าวไท จะตีคลีมิให้พ่ายแพ้
เหล่าห้ามแหนแสนสาวท้าวนาง งานกลางหลวงแม่เจ้าเถ้าแก่
ผินหน้าปรับทุกข์กันซ้อแซ้ คงเขาริบเราแน่แล้วครั้งนี้
ลางคนบ่นว่าข้านึกเดา เห็นท่านจะเลี้ยงเราไว้คงที่
ราชการข้าหมั่นขยันดี จะมานั่งปรารี้ปรารมภ์ไย
หญิงชายแซ่ซ้องทั้งท้องสนาม บ่นบ้าไปตามอัชฌาไศรย
ต่างติโทษโกรธขึ้งอึงไป ทั้งผู้ดีเข็ญใจไม่เว้นคน

ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระอินทร์ขับอาชาม้าต้น
เข้ามาใกล้แล้วว่าท้าวสามล เขยทั้งหกคนก็แพ้เรา
ยังผัวลูกสาวน้อยนั้นอยู่ไหน จะแก้มือฤๅไม่อย่างไรเล่า
อย่าลงนั่งปรารภซบเซา ไม่สู้เราแล้วฤๅจะได้ริบ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลเสียใจไม่ได้สิบ
พิไรร่ำโศกาจนตาลิบ แต่อุบอิบอู้อี้ขยี้ตา
นั่งก้มหน้านึกตรึกไตร มันก็ยังแต่ไอ้เงาะป่า
จะแต่งให้ไปสู้กู้ภารา น้ำหน้าไหนจะตีคลีเปน
จะได้ใครดีหนอออกต่อสู้ สุดรู้ไม่มีที่เหลียวเห็น
โศกาจนเลือดตากระเด็น สิ้นสติไม่เปนสมประดี

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณฑามเหษี
เห็นพระภัศดาสามี ไม่โต้ตอบไพรีประการใด
กลัวเขาจะริบเอาภารา กัลยาอกสั่นหวั่นไหว
เข้านั่งชิดสกิดภูวไนย แล้วกราบทูลไปดังใจปอง

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ผ่านเอยผ่านเกล้า อย่าซบเซาทุกข์ทนหม่นหมอง
เออช่างสิ้นสติไม่ตริตรอง จงฟังน้องชั่งจิตรคิดดู
ขอบใจไพรีเขากล่าวถ้อย ให้แต่งลูกเขยน้อยออกต่อสู้
เมียเห็นว่าเงาะนี้มีความรู้ พระอย่าได้ลบหลู่ว่าชั่วช้า
เพื่อนพานถือตัวไม่กลัวใคร น้ำใจในคอนั้นแกล้วกล้า
เห็นจะรุ่งเรืองอิทธิ์ฤทธา จึงหาเนื้อหาปลาได้มากมาย
แต่ก่อนผ่านเกล้าเฝ้าขึ้งโกรธ จงไปง้อขอโทษเสียให้หาย
แม้นเงาะรับผจญเห็นพ้นอาย ดีร้ายจะได้เวียงไชยคืน

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลฟังถ้อยค่อยชื่นมื่น
จึงระงับดับโศกกล้ำกลืน ผุดลุกขึ้นยืนแล้วร้องไป
ดูราข้าศึกจงงดก่อน ข้าขอผัดผ่อนแก้ตัวใหม่
อันผัวลูกสาวน้อยของเราไซ้ เปนเงาะป่าบ้าใบ้ทรพล
แต่ใจคอองอาจทายาดอยู่ จะลองให้ออกสู้อิกสักหน
ถ้าเพลี่ยงพล้ำซ้ำแพ้ทั้งเจ็ดคน มันก็จนแล้วพ่อไม่ขอตัว

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น สหัสไนยได้ยินก็ยิ้มหัว
แกล้งทำร้องว่าให้น่ากลัว แม้นมิมาแก้ตัวไม่ละลด
จะริบเอาเข้าของในท้องคลัง อิกทั้งลูกเมียเสียให้หมด
วันนี้ขอทุเลาเราจะงด แล้วอย่าปดกันหนาท้าวสามล

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลตอบความตามขัดสน
เราได้ให้ทานบาดคาดบน เปนคนมิให้เสียวาจา
ว่าพลางทางชวนมเหษี ทั้งกำนัลขันทีถ้วนหน้า
ลงจากที่ประทับพลับพลา กลับมานัคเรศนิเวศน์วัง

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงไพชนต์มณเฑียรทอง เสด็จตรงขึ้นท้องพระโรงหลัง
ลดองค์ลงนั่งบนบัลลังก์ นิ่งนั่งครางออดกอดมือ
จึงดำรัสตรัสเรียกนางมณฑา แม่เอ๋ยมาใกล้พี่ถึงนี่ฤๅ
ความทุกข์จะปฤกษาหารือ จะทำถือเชิงชั้นฉันนั้นไย
เจ้าเตือนสติพี่เมื่อกี้นั้น จริงอยู่หาทันคิดไม่
อันเจ้าเงาะลูกเขยของเราไซ้ เห็นจะกู้เวียงไชยได้ดังคิด
เจ้าอุส่าห์แขงใจออกไปหา บอกว่าพี่เถ้านี้รับผิด
ให้เจ้าเงาะปรานีช่วยชีวิตร มาต่อฤทธิ์ตีคลีแทนบิดา

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น โฉมนางมณฑาเสนหา
นิ่งเสียไม่คำนับรับวาจา นางนั่งนินทาว่าเปรียบเปรย
จนจริงจะวิ่งไปหาเงาะ น่าหัวเราะหนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย
สิ้นมานะสะทะแล้วพระเอย เงาะเงยก็จะให้ไปง้องอน

ฯ ๔ คำ ฯ

สร้อยสนตัด

๏ ว่าพลางทางยิ้มแย้มหยัน แล้วลุกจากแท่นสุวรรณบรรจฐรณ์
พรั่งพร้อมสาวสุรางคนิกร บทจรไปยังบ้านปลายนา

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

ร่าย

๏ ครั้นถึงจึงหยุดอยู่แต่ไกล ร้องเรียกลูกสายใจเสนหา
เหตุไรไม่ขานพระมารดา รจนาไปไหนจะใคร่รู้

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น รจนาออกไปทำไร่อยู่
เจ้าเงาะยืนฟื้นฟันร่องคู ปลูกถั่วพูฟักแฟงแตงร้าน
ได้ยินแว่วเสียงชนนี มาร้องเรียกอยู่ที่ประตูบ้าน
นางดีใจไปรับมิทันนาน กราบกับบทมาลย์แล้วโศกา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

๏ แล้วทูลเชิญเสด็จชนนี เข้าไปในที่เคหา
ผลักไหล่ไสหลังเจ้าเงาะมา ให้กราบกรานมารดาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าเงาะทำเหมือนถวายตัวใหม่
เฝ้าแต่แลมาแลไป ไม่เข้าใจนบนอบหมอบกราน
นั่งยองยองมองดูแล้วปูผ้า พนมมือเมินหน้าท่าแบกขวาน
ราวกับจะรับศีลสมภาร พังพาบกราบกรานท่านแม่ยาย
แล้วลุกมาหาครกตำหมาก ไม่พบสากเจ้ากรรมใครทำหาย
ล้วงมือค้นได้ในก้นกระทาย เอาปูนป้ายพลูใส่ลงในครก
ฉวยมีดผ่าหมากดิบหยิบใส่ อุส่าห์ตำตั้งใจมิให้หก
ทำเหมือนอยู่วัดวาดังทารก ประเคนครกเข้าไปให้แม่ยาย
แล้วมาเก็บแฟงฟักผักหญ้า ใส่กระบุงแบกมาให้เมียถวาย
รจนาว่าไฮ้เบื่อจะตาย ช่างไม่อายสาวสรรค์กำนัลใน

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

โอ้ปี่

๏ เมื่อนั้น นวลนางมณฑาจึงปราไส
นิจาเจ้าจากแม่มาอยู่ไกล ยากเย็นเข็ญใจถึงเพียงนี้
ผิดรูปซูบผอมเปนนักหนา ภักตราสร้อยเศร้าสลดศรี
ต้องเก็บผักหักฟืนเลี้ยงชีวี น่าปรานีลูกน้อยกลอยใจ
ว่าพลางลูบหลังแล้วเชยภักตร์ ครวญคร่ำร่ำรักเพียงตักไษย
ทั้งฝูงสาวสรรค์กำนัลใน สงสารทรามไวยก็โศกา

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ ครั้นสร่างกรรแสงจึงแจ้งเหตุ บัดนี้บิตุเรศละห้อยหา
แต่เฝ้าเร้ารบมารดา ให้ออกมาแจ้งความแก่ทรามไวย
เจ้าก็รู้อยู่แล้วสินะลูก เขาดูถูกมาล้อมกรุงใหญ่
ขันพนันตีคลีเอาเวียงไชย หมายใจจะริบบุรีเรา
ท้าวให้อ้ายเขยทั้งหกคน ออกประจญตีคลีก็แพ้เขา
พระบิดาทุกข์ร้อนลงนอนเซา เงียบเหงาไปสิ้นทั้งธานี
จะผินหน้าพึ่งใครไม่ได้แล้ว เห็นแต่ลูกแก้วทั้งสองศรี
เจ้าช่วยวอนว่าแก่สามี เชิญไปตีคลีอย่าน้อยใจ
ขอพึ่งใบบุญของเจ้าเงาะ อนุเคราะห์กู้เมืองไว้ให้ได้
เจ้าอย่าเคืองขัดตัดอาไลย ทำคุณแม่ไว้เถิดลูกน้อย

ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น รจนาฟังเล่าก็เศร้าสร้อย
สงสารมารดาน้ำตาย้อย นางพลอยโศกศัลย์พันทวี
กราบบาทภัศดาแล้วว่าวอน พระมารดรอุส่าห์มาถึงนี่
พ่อไม่เมตตาปรานี ช่วยกู้บูรีให้พ้นไภย
จงถอดเงาะเสียเถิดนะทูลหัว จะซ่อนเนื้อซ่อนตัวไปถึงไหน
จนตกไร้ได้ยากลำบากใจ ช่างกระไรไม่คิดแกล้งบิดเบือน
พระแม่มาก็ไม่ทักแต่สักคำ ดีแต่ทำละไลไหลเลื่อน
ไม่เห็นทุกข์ร้อนเลยช่างเฉยเชือน ดูเหมือนหนึ่งไม่มีเมตตา
อันความทุกข์ครั้งนี้แม้นมิช่วย เห็นเมียจะมอดม้วยสังขาร์
ว่าพลางทางทรงโศกา ปิ้มว่าชีวันจะบรรไลย

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

ทองย่อน

๏ เมื่อนั้น เจ้าเงาะฟังเมียเสียไม่ได้
สงสารรจนายาใจ ร้องไห้วอนว่าน่าเอ็นดู
แต่คิดแค้นแม่ยายกับพ่อตา จะทรมาเสียก่อนให้อ่อนหู
ถ้าแม้นไม่งอนง้อต่อกู จะทำเชิงเฉยอยู่ให้ช้านาน
แล้วผินผันหันหลังให้แม่ยาย หยิบกระบายมาตั้งนั่งสาน
กระดิกเท้าทีทำเปนสำราญ ใครว่าขานอย่างไรไม่นำพา

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น นางมณฑาถอนใจพิไรว่า
เจ้าเงาะเอ๋ยนิ่งได้ไม่เมตตา จะให้เมียมรณาเสียจริงจริง
อันทุกข์ร้อนครั้งนี้มิใช่เล่น ช่างไม่เห็นด้วยมั่งมานั่งนิ่ง
ฤๅพ่อแค้นบิดาว่าชังชิง แม่ก็วิงวอนง้อขออไภย
เจ้ามาตัดอาไลยเยื่อใยเสีย ทำให้เมียหม่นหมองนั่งร้องไห้
จงเห็นแก่แม่เถิดอย่าถือใจ นางพิรี้พิไรรำพรรณ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น เจ้าเงาะสำรวลสรวลสันต์
จึงตอบวาจามารดาพลัน จะรับอาสานั้นสุดปัญญา
เงาะนี้พวกปีศาจอุบาทว์ร้าย มากลับกลายสรรเสริญเห็นเกินหน้า
จะล่อลวงให้หลงอย่าสงกา ลูกกลัวพระบิดาจะฆ่าแกง
ท่านคิดแยบยนต์เปนกลใน แต่หลังอย่างไรพระย่อมแจ้ง
ใช่ลูกจะรังเกียจเสียดแทง พระมารดาอย่าระแวงฤไทยนึก
อันท่านทั้งหกเขยย่อมเคยคลี ต่อตียังแพ้แก่ข้าศึก
นับประสาหน้าเงาะนี้เห็นลึก จะพึ่งพาอย่านึกให้ป่วยการ
แต่ธุระของข้าหาใส่ปาก แสนยากก็ไม่มีใครสงสาร
พึ่งเห็นว่าชนนีนี้โปรดปราน อุส่าห์มาถึงบ้านข้าขอบใจ

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณฑาชมเปาะเงาะพูดได้
น้อยฤๅถ้อยคำร่ำพิไร สำคัญว่าบ้าใบ้ไม่รู้เลย
สารพัดตัดภ้อพ่อตา แหลมหลักหนักหนาเจ้าข้าเอ๋ย
ทั้งกระทบกระเทียบเปรียบเปรย ไม่ปรานีบ้างเลยฤๅเจ้าเงาะ
ถึงโกรธพ่อก็เห็นกับแม่มั่ง อย่าให้นั่งน้ำตาลงเผาะเผาะ
ดูหรูช่างตั้งใจแต่หัวเราะ ไม่ช่วยอนุเคราะห์แล้วฤๅไร
เสียแรงแม่มาง้อขอโทษแล้ว ลูกแก้วจะโกรธขึ้งไปถึงไหน
นางรบเร้าเฝ้าวอนจนอ่อนใจ จึงผินไปว่ากล่าวลูกสาวตัว
โฉมยงจงเอนดูมารดร ช่วยอ้อนวอนอิกสักครั้งเถิดทูลหัว
แม่นี้จนจิตรคิดกลัว จะรอดก็เพราะผัวเจ้าเมตตา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางรจนาเสนหา
ให้คิดสงสารพระมารดา ก็โศกาวอนผัวรำพรรณไป

ฯ ๒ คำ ฯ

โอ้ปี่

๏ โอ้อนิจาพระสามี ไม่ปรานีน้องจริงนิ่งเสียได้
ควรฤๅมาสลัดตัดอาไลย ช่างกะไรไม่คิดสักนิดเลย
ทุกข์ของมารดาเหมือนทุกข์ตัว จะผินหน้าพึ่งผัวก็เชือนเฉย
ดีแต่ทำเปล่าเปล่าให้เขาเย้ย อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยมี
นางชอ้อนวอนแล้ววอนเล่า แม้นพ่อเจ้าไม่โปรดเกษี
น้องจะลาอาสัญเสียวันนี้ เทวีตีทรวงเข้าร่ำไร

ฯ ๖ คำ ฯ โอด

ร่าย

๏ เมื่อนั้น เจ้าเงาะทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่
กลัวเมียจะอาสัญบรรไลย จึงโลมเล้าเอาใจไปมา
อย่ากรรแสงเศร้าหมองเลยน้องรัก ไว้พนักงานพี่จะอาสา
ออกตีคลีพนันดังสัญญา มิให้เสียภาราประจามิตร
แล้วผินหน้ามาทูลชนนี ใช่ลูกนี้จะแกล้งเบือนบิด
แต่หากค่นจนเปนพ้นคิด เครื่องทรงแต่สักนิดก็ไม่มี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณฑาค่อยสบายคลายคลี่
จึงว่าแก่เขยขวัญทันที เครื่องประดับดีดีมีถมไป
แม่จะให้ไปทูลพระบิดา จัดแจงแต่งมาประทานให้
ว่าพลางนางสั่งสาวใช้ เร่งไปทูลองค์พระทรงธรรม์

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น สาวใช้รับสั่งขมีขมัน
ถวายบังคมลาพากัน จรจรัลเข้ามาในธานี

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ ครั้นถึงจึงทูลกิจจา ว่าพระแม่มณฑามเหษี
ให้ข้ามาทูลพระภูมี บัดนี้สมจิตรที่คิดไว้
พระธิดาว่ากล่าวเจ้าเงาะป่า จะอาสาออกตีคลีได้
ให้จัดเครื่องทรงส่งออกไป ที่ใหม่ใหม่งามงามอร่ามเรือง

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลหัวเราะเงาะทรงเครื่อง
ชอบแต่นุ่งผ้าข้าบาทเฟื้อง แหวนทองเหลืองลูกปัดจัดให้มัน
หน้าตาหัวหูยู่ยี่ ถ้าใส่เครื่องชาตรีทีจะขัน
ไม่สมกับเครื่องทองของทั้งนั้น แต่จะต้องให้มันด้วยจำจน
ว่าพลางทางมีบัญชาการ สั่งเจ้าพนักงานเครื่องต้น
จงไปจัดมงกุฎกุณฑล สร้อยสนสังวาลบานพับ
ของกูดีดีมีนักหนา เก่าแก่แต่บรรดาเครื่องประดับ
จะเลือกให้ไอ้เงาะสักสำรับ เร็วเร็วรีบกลับมาฉับไว

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น พวกภูษามาลาบังคมไหว้
รีบมายังโรงพระแสงใน เข้าไปเปิดตู้ดูบาญชี

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ จัดแจงเครื่องต้นขนออกมา มอบหมายตรวจตราถ้วนถี่
แล้วเชิญเครื่องตามกันมาทันที วางถวายภูมีดังบัญชา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลเลือกสรรกันนักหนา
คิดเสียดายเครื่องต้นพ้นปัญญา จะให้อ้ายเงาะป่าด้วยจำใจ
จึงจัดเครื่องประดับสำหรับกาย แต่พอดีพอร้ายซังตายให้
พลางสั่งกำชับสาวใช้ เร่งไปบอกมันเข้ามา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้รับสั่งใส่เกษา
เชิญเครื่องใส่พานแว่นฟ้า แบกเดินลอยหน้ามาทันที

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงถวายเครื่องทรง ทูลองค์มณฑามเหษี
รับสั่งให้หาผัวพระบุตรี เข้าไปประเดี๋ยวนี้อย่าช้า

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระชนนีดีใจเปนนักหนา
จึงว่าเจ้าเงาะของแม่อา เครื่องประดับประดาเอามาแล้ว
ธำมรงค์มงกุฎสังวาล พระบิดาประทานลูกแก้ว
เชิญเจ้าทรงเถิดให้เพริศแพร้ว งามแล้วนุ่งห่มพอสมตัว

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าเงาะครั้นเห็นก็สั่นหัว
ติว่าเครื่องทรงมัวซัว เต็มชั่วนักหนาข้าไม่เอา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระมารดาว่าไม่ชอบใจเจ้า
ยังมีตรึกมีถองของเรา จะเลือกเอาให้งามตามฤไทย
ว่าพลางทางสั่งสาวศรี กลับไปธานีเดี๋ยวนี้ใหม่
ทูลว่าเจ้าเงาะไม่ชอบใจ เร่งให้จัดเครื่องอื่นมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น สาวใช้บังคมก้มเกษา
รับพระเสาวนีมิได้ช้า เดินด่วนเข้ามายังวังใน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงทูลพระภูมี เครื่องทรงเมื่อตะกี้เอาไปให้
เจ้าเงาะเลือกเสียไม่ชอบใจ มิได้เครื่องใหม่ไม่เข้ามา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลฟังชังน้ำหน้า
อ้ายเงาะถ่อยร้อยอย่างช่างมารยา กูว่าไม่ผิดปากจะยากเย็น
นี่แม่ยายแล้วสิริให้ เมื่อมันไม่เคยพบเคยเห็น
น้ำหน้าจะสอดใส่ที่ไหนเปน ทำเล่นเครื่องต้นเลือกคนรู้
แล้วจัดเครื่องทรงอย่างเอก แต่ครั้งอภิเศกพระเจ้าปู่
คิดเสียดายนักของรักกู จนอยู่จำใจต้องให้มัน
ว่าพลางทางร้องเรียกไป เหวยเสนาในใครอยู่นั่น
จงเตรียมพลผูกช้างฉับพลัน กูจะจรจรัลไปปลายนา
พระมิได้สรงน้ำสว่ำเสวย มาขึ้นเกยหยุดยืนคอยท่า
พร้อมเสร็จเสด็จทรงคชา เสนาแห่แหนแน่นไป

ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงหยุดช้างทรง อยู่ตรงกระท่อมที่ริมไร่
แล้วร้องเรียกรจนายาใจ เปนไรไม่มารับบิดา
พ่อออกมางอนง้อขอโทษ สิ้นขึ้งสิ้นโกรธเจ้าเงาะป่า
เครื่องทรงสารพัดจัดแจงมา ทีนี้งามนักหนามารับเอา
นางแม่ยายแม่ย่อยก็พลอยเฉย ไม่ตักเตือนลูกเขยเร็วเร็วเข้า
รจนาก็ไม่เร่งรบเร้า จะให้เขาริบข้าฤๅว่าไร

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น รจนานารีศรีใส
แว่วเสียงบิตุรงค์ร้องเรียกไป จำได้ไคลคลาออกมารับ
ครั้นถึงจึงบังคมก้มเกล้า รับเอาเข้าของเครื่องประดับ
ทั้งมงกุฎสังวาลบานพับ แล้วกลับเข้าไปให้เจ้าเงาะ
สวมตัวผัวแก้วแล้วว่าขาน พระบิดาประทานทีนี้เหมาะ
งามนักงามหนาอย่าหัวเราะ เชิญถอดรูปเงาะเถิดพ่อคุณ
ท่านเสด็จมาเองด้วยเกรงใจ ช้าไปก็เครื่องจะเคืองขุ่น
ช่วยกู้เวียงไชยไว้เอาบุญ พ่อเนื้อนพคุณจงเมตตา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น เจ้าเงาะนั่งนิ่งพิงฝา
พิศดูเครื่องใหม่ที่ให้มา แล้วมีวาจาว่าไป
เหมือนกันนั้นและกับเครื่องเก่า จะแต่งตัวผัวเจ้าหาควรไม่
ขายหน้าข้าศึกจะไยไพ คืนไปเสียเจ้าอย่าเอามา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น จึงองค์เจ้าไตรตรึงษา
แจ้งใจในทิพวิญญา จะนิ่งดูอยู่ท่าเห็นช้าที
จึงตรัสสั่งพระวิศณุกรรม์ จงจัดสรรเครื่องทรงเรืองศรี
เอาไปให้พระสังข์ครั้งนี้ จะได้ใส่ตีคลีอวดพ่อตา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระวิศณุกรรม์แกล้วกล้า
คำนับรับเทวบัญชา แล้วพาเครื่องประดับไปฉับไว

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงกระท่อมน้อยเจ้าหอยสังข์ กำบังกายาเข้ามาใกล้
เอาเครื่องทรงขององค์สหัสไนย วางลงส่งให้กับเจ้าเงาะ
แล้วว่าเครื่องประดับสำรับนี้ สำหรับใส่ทรงตีคลีเดาะ
มัฆวานประทานจำเภาะ ว่าพลางทางเหาะกลับมา

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ลมพัดชายเขา

๏ เมื่อนั้น เจ้าเงาะเกษมสันต์หรรษา
ได้เครื่องพระอินทร์ดังจินดา จึงเดินเข้ามายังห้องใน
รจนายกพานเครื่องทรง ตามมาคอยส่งให้สอดใส่
พระถอดรูปเงาะพลันทันใด มอบให้รจนานงเยาว์

ฯ ๔ คำ ฯ

ลงสรงมอญ

๏ แล้วขัดสีฉวีวรรณผุดผ่อง ดังทองชมพูนุทเนื้อเก้า
สุคนธาประทิ่นกลิ่นเกลา สนับเพลาเชิงงอนซ้อนซับ
ภูษาผ้าทิพย์กระสันทรง จีบโจงหางหงษ์ประจงจับ
ปั้นเหน่งเพ็ชรพรรณรายสายบานพับ เฟื่องห้อยพลอยประดับทับทรวง
ทองกรแก้วภุกามงามเงา ทับทิมเท่าเม็ดเข้าโพดโชติช่วง
สร้อยสนสังวาลวรรณกุดั่นดวง รุ้งร่วงธำมรงค์เรือนครุธ
กรรเจียกจรจำหลักลายซ้ายขวา บรรจงทรงมหามงกุฎ
ห้อยอุบะนฤมิตรผิดมนุษย์ งามดังเทพบุตรในชั้นฟ้า

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เสร็จทรงเครื่องประดับฉับพลัน พระสังข์เกษมสันต์หรรษา
จึงชวนนวลนางรจนา มากราบกรานมารดาด้วยใจภักดิ์

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณฑาแลดูไม่รู้จัก
คิดว่าเทวาสุรารักษ์ อกใจทึกทักให้ครั่นคร้าม
นางนบนอบหมอบกรานกราบไหว้ ลูกสาวยุดฉุดไว้แล้วร้องห้าม
พระมารดานิ่งอยู่ไม่รู้ความ ลูกเขยถอดเงาะงามแล้วเปนไร
นางมณฑาว่าอ่อกระนั้นฤๅ แม่คนซื่อสำคัญว่ามิใช่
ลูกเขยข้าถอดเงาะเหมาะเหลือใจ นางลูบไหล่ลูบหลังนั่งมอง
น้อยฤๅน่ารักเปนนักหนา หน้าตาจิ้มลิ้มยิ้มย่อง
สอดใส่เครื่องประดับก็รับรอง ผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา
คิดคิดขึ้นมาน่าหัวเราะ เอารูปเงาะสวมใส่ทำใบ้บ้า
อัปรยศอดอายขายหน้าตา เจ้าแกล้งแปลงมาแม่ไม่รู้
รจนายาจิตรช่างคิดถูก หมายมั่นพันผูกก็ควรอยู่
ทีนี้แลลอยแก้วแล้วลูกกู โฉมตรูแย้มยิ้มกระหยิ่มใจ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ แล้วร้องเรียกภัศดาสามี เร็วเร็วมานี่จะบอกให้
รวยแล้วทูลหัวอย่ากลัวใคร เห็นจะกู้เมืองได้ดังใจปอง
อย่าดูถูกลูกเขยคนนี้ ทั้งในธานีไม่มีสอง
ผิวเนื้อเรื่อเหลืองเรืองรอง เปล่งปลั่งดังทองนพคุณ
งามเลิศเหลือมนุษย์สุดแล้วพ่อ ปากคอคิ้วตาเหมือนหน้าหุ่น
ถ้าใครได้เห็นก็เปนบุญ ไม่เชื่อเชิญพ่อคุณเข้ามาดู

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลหัวเราะเยาะยิ้มอยู่
เออราวกับใครเขาไม่รู้ รำคาญหูจู้จี้ไปทีเดียว
ขืนจะให้ไปดูลูกเขยเงาะ มันสิเหมาะหนักหนาเหมือนม่าเหมี่ยว
อย่าอวดโอ้โป้ปดลดเลี้ยว พระอินทร์มาเขียวเขียวไม่เชื่อเลย
แล้วตรัสกับเสนานินทาเมีย ตะแก่เสียจริตผิดแล้วเหวย
รูปทองที่ไหนเล่าเฝ้าชมเชย เงาะเงยน่าเกลียดขี้เกียจไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางมณฑาว่าดู๋ดื้อไปได้
เขาจะริบฉิบหายทั้งเวียงไชย น่าชังช่างกะไรไม่เชื่อเลย
กลับมาหัวเราะเยาะเย้ยข้า จะว่าใครเปนบ้านิจาเอ๋ย
ไม่ลวงหลอกดอกนะพระเอย ลูกเขยเราไซ้มิใช่เงาะ
ฟ้าผี่เถิดหนาไม่ว่าเล่น ท้าวเห็นกลัวแต่จะชมเปาะ
จริงจริงนะขาอย่าหัวเราะ แม้นไม่เหมาะตีเมียเสียให้ตาย

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลสรวลสันต์ไม่ผันผาย
เห็นนางมณฑาว่าวุ่นวาย จึงซังตายดำเนินเดินมา
เข้าไปในทับเห็นลูกเขย พ่อเจ้าลูกเอ๋ยงามนักหนา
น้อยฤๅรูปร่างเหมือนเทวดา หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
ผิวเนื้อเรื่อเรืองเหลืองประหลาด ดังทองคำธรรมชาติหล่อเหลา
ฟ้าผี่เถิดเอ๋ยลูกเขยเรา งามจริงแล้วเจ้านางมณฑา
ถึงตัวพี่เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่น รูปร่างก็อ้อนแอ้นโอ้อ่า
ไม่แกล้งอวดทรวดทรงหน้าตา ใส่ชฎาเครื่องประดับก็รับรอง
แต่ไม่เหมาะเหมือนลูกเขยคนนี้ เปนต่อพี่อยู่ราวสักสามสอง
แพ้เขาที่เนื้อไม่เปนทอง กระนั้นน้องยังรักว่ารูปงาม
ตรัสพลางแย้มยิ้มพริ้มพราย แล้วภิปรายปราไสไต่ถาม
ลูกรักจงแถลงแจ้งความ เจ้านี้มีนามกรใด
วงศ์วารว่านเครือเนื้อหน่อ พงศ์เผ่าเหล่ากอเปนไฉน
อยู่ประเทศธานีบุรีไร ทำไมจึงแกล้งแปลงปลอมมา

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสังข์บังคมก้มหน้า
ยิ้มพลางทางทูลพ่อตา ตัวข้านี้ชื่อพระสังข์ทอง
เปนโอรสท้าวยศวิมล แจ้งตามความต้นที่หม่นหมอง
ซึ่งแปลงมาจะหาคู่ครอง จงทราบฝ่าลอองบทมาลย์

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลตบพระหัดถ์ฉัดฉาน
ลูกเขยกูผู้ดีสันดาน เปนเผ่าพงศ์วงศ์วารกระษัตรา
สมยศสมศักดิ์น่ารักใคร่ ทีนี้ไม่อับอายขายหน้า
พระลูบหลังลูบไหล่ไปมา จูบซ้ายจูบขวาลูกข้างาม
อ้ายหกเขยยุพ่อให้ขับเจ้า แค้นใจยายเถ้าก็ไม่ห้าม
บิดาโฉดเฉาเบาความ ไม่รู้เลยว่างามถึงเพียงนี้
อย่าถือโทษโกรธพ่อเลยหนอลูก ว่าลบหลู่ดูถูกขับหนี
แม้นเจ้ามีไชยชนะคลี พ่อจะมอบบุรีให้ครอบครอง

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระสังข์บังคมทูลสนอง
ข้าจะขออาสาฝ่าลออง อย่าร้อนเร่าเศร้าหมองฤไทย
ซึ่งข้าศึกมาขันพนันคลี ลูกจะตีต้านต่อก็พอได้
แต่จะขอมิ่งม้าอาชาไนย ที่สูงใหญ่เคล่าคล่องทำนองคลี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงว่าอย่าร้อนใจไปไยมี ม้าเราดีดีมีถมไป
ว่าพลางทางสั่งกรมม้า จงไปผูกอาชามาให้
บรรดาม้าต้นที่โรงใน มีอยู่เท่าไรเร่งเอามา

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น เสนีตัวนายซ้ายขวา
คำนับรับพระราชบัญชา บังคมลาแล่นไปดังใจปอง

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงผูกพาชี ล้วนตัวดีฝีเท้าเคล่าคล่อง
เบาะอานพานหน้าเครื่องทอง เจ้าของคนเลี้ยงเคียงมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงจูงม้าที่นั่ง เข้าไปยังน่าฉานขนานหน้า
เหล่าพวกขุนนางข้างกรมม้า หมอบคอยบัญชาพระภูมี

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสังข์เลือกม้าไม่น่าขี่
จึงทูลท้าวพ่อตาไปทันที ม้าที่นั่งทั้งนี้ไม่ชอบใจ
ข้าเห็นพาชีสีกะเลียว มาเที่ยวกินถั่วริมรั้วไร่
ท่วงทีขี่ขับจะว่องไว ขอพระองค์จงให้ไปจับมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลได้ฟังพระสังข์ว่า
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนา จงไปจับม้ามาให้ลูกกู

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น เสนีสี่เหล่าที่เฝ้าอยู่
รับสั่งแล้วชิงกันวิ่งพรู มาดูเห็นม้าก็ยินดี
จึงแยกย้ายรายกันเข้าล้อม วิ่งอ้อมเอาเชือกขึงอึงมี่
ไล่สกัดทางโน้นทางนี้ พาชีหนีหลบว่องไว
ลางคนเข้ามาเอาหญ้าฬ่อ ฉวยผมหน้าคว้าคอไว้ได้
ม้าชกหกล้มคมำไป เลี้ยวไล่ดีดกัดกระจัดกระจาย

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เทวัญบันดาลให้เสนา จับม้ามาได้ดังใจหมาย
จึงผูกเครื่องสุวรรณพรรณราย แล้วจูงมาถวายทันที

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ทรงสวัสดิ์รัศมี
สมคิดได้ม้าพาชี ยินดีเดินออกนอกประตู
พระจึงชวนนวลนางรจนา ออกจากเคหาที่อยู่
ท้าวสามลร้องว่าหลีกลูกกู ฉวยไม้ไล่ขู่ขับผู้คน
ลูกเขยขึ้นขี่อาชา พ่อตาก็วางขึ้นช้างต้น
ทั้งสองโฉมศรีนฤมล ทรงวอจรดลตามมา

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ บัดนั้น หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า
เห็นพระรูปทองล่องลอยฟ้า ต่างว่าภูวไนยมิใช่เงาะ
เกิดมาพึ่งเห็นเปนบุญตัว หม่อมผัวพระบุตรีคนนี้เหมาะ
เทวดาพานำมาจำเภาะ บังคมชมเปาะไปทั้งนั้น
ต่างอำนวยอวยพรพระสังข์ทอง หนุ่มแก่แซ่ซ้องทั้งเขตรขัณฑ์
มาตามดูภูมีนี่นัน เบียดกันกลางถนนแน่นไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวสามลเปนใหญ่
ครั้นช้างที่นั่งถึงวังใน ตรงไปประทับกับเกยพลัน
เสด็จลงจากคอคชสาร ภูบาลตรัสชวนเขยขวัญ
ทั้งพระมเหษีบุตรีนั้น จรจรัลขึ้นสู่ปราสาทไชย

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายเจ้าเหล่าหกเขยใหญ่
ปรับทุกข์กับเมียเสียน้ำใจ จะทำให้ไอ้เงาะขึ้นหน้าตา
ท่อยทีเดือดดาลทยานจิตร ต่างคนแค้นคิดฤษยา
ผัวเมียพากันรันขึ้นมา เฝ้าพระบิดาทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า

๏ ครั้นถึงจึงบังคมเคารพ นอบนบสองกระษัตริย์เปนใหญ่
เห็นพระสังข์ทองยองใย จำได้แน่จิตรสกิดกัน
อ้ายรูปทองคนนี้เจียวสิหว่า ที่ทำเปนเจ้าป่าพนาสัณฑ์
หาปลาหาเนื้อเมื่อคราวนั้น ต้องไปง้อขอมันไม่ทันรู้
มันเปนผัวรจนาอิจฉาเรา จึงเล่นเอาจมูกกับใบหู
ต่างก้มคลำแผลไม่แลดู อัปรยศอดสูเสียน้ำใจ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ทั้งหกบุตรีพี่ผู้ใหญ่
เห็นพระสังข์นั่งดูตลึงตะไล พิศวงหลงใหลใจปอง
งามจริงยิ่งมนุษย์ในใต้หล้า น้อยฤๅน่าร่วมรมย์สมสอง
สอดใส่เครื่องประดับก็รับรอง ผิวเนื้อนวลลอองดังทองทา
ดูพลางทางทำสเทินอาย ชักชายผ้าห่มก้มหน้า
เมียงชม้อยคอยรับไนยนา เสนหาต้องจิตรติดใจ
แล้วเหลียวดูผัวของตัวมั่ง เห็นนั่งทุกข์ร้อนก็ค้อนให้
รู้กระนี้ทีทิ้งพวงมาไลย จะเลือกเจ้าเงาะไว้เปนของตัว
ต่างคิดฤษยาน้องสาว มานั่งเท้าแขนเคียงอยู่กับผัว
เริงร่าหน้าบานเปนใบบัว ลืมกลัวบิดาร้องว่าไป
เมียเจ้ารูปทองสิบสองหนัก ยศศักดิปึ่งชาหาน้อยไม่
พี่น้องพร้อมพรั่งชั่งกระไร แต่จะยกมือไหว้ก็ไม่มี

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น รจนาได้ฟังทั้งหกพี่
หัวเราะเยาะหยันขึ้นทันที เออนี่อะไรช่างไม่อาย
ออกมานั่งตั้งกระทู้ขู่ข่ม เจ้าคารี้สีคารมใจหาย
เมื่อแรกได้ผัวเงาะเยาะวุ่นวาย ทั้งตัดเปนตัดตายจะตบตี
ประเดี๋ยวนี้จะกลับมานับถือ นี่ลืมไปแล้วฤๅนะหม่อมพี่
เปนผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้ ข้ามิอยากไหว้ให้เสียมือ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกนางต่างว่าน้อยไปฤๅ
ปากคอพ้อตัดได้หัดปรือ ยกรื้อความหลังขึ้นพูดจา
อุแม่เอ๋ยหม่อมเมียเจ้ารูปทอง จองหองไม่น้อยออกลอยหน้า
จะรวยรุ่งพลุ่งโพลงโด่งฟ้า ยิ่งกว่ากรวดลาวแล้วคราวนี้
เหตุว่าพระบิดาออกไปรับ จึงได้กลับมาเถียงเสียงมี่
ฝากไว้ก่อนเถิดเปนไรมี ใครดีนานไปได้เห็นกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น รจนาเถียงเทลาะเยาะหยัน
ช่างแคะไค้ค่อนว่าสารพัน ฝากไว้กี่วันจะเอาไป
อย่าอื้ออึงมึงมันกระนั้นนะ ไม่ลดละกันดอกจะบอกให้
ผัวพี่รอดตัวเพราะผัวใคร เห็นเขาไม่ว่าไรแล้วได้ที

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกนางร้อนใจดังไฟจี้
จึงว่าเห็นผัวกูชั่วดี อย่างไรนี่ว่าไปให้จริงจัง
อย่าสบประมาทกันกระนั้นเจ้า นี่เปล่าเปล่าเตือนค้อนใส่สันหลัง
เร่งว่าออกไปจะได้ฟัง ใครอำปลังยั้งไว้มิใช่คน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยคิดพรั่นอั้นอ้น
กลัวจะเกิดความใหญ่เห็นไม่พ้น ต่างคนห้ามเมียเสียทันใด
วานอย่าว่าวุ่นวายอายเขา อะไรเจ้าไม่อดสูเปนผู้ใหญ่
ขายหูเสียมั่งชั่งเปนไร จะทำให้เคืองจิตรพระบิดา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกนางต่างคนบ่นว่า
เถียงเทลาะผัวไปมิได้ช้า มันว่าฟังเพราะเหมาะฤๅไร
เจ้าช่างอดโมโหไม่โต้ตอบ ฤๅทำผิดคิดมิชอบเปนไฉน
จะมานิ่งเกรงกลัวหัวมันไย แล้วผินหน้าว่าไปแก่รจนา
ผัวกูผิดอะไรไม่ว่าออก พูดหลอกกันเล่นฤๅสิหวา
สดสดร้อนร้อนไม่เจรจา แม้นว่าออกมิได้ขัดใจกัน

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น รจนาหัวเราะเยาะเย้ยหยัน
จึงว่าพี่นี่แน่อย่าดุดัน ผัวเมียถามกันก่อนเปนไร
เมื่อคราวไปหาเนื้อหาปลา ผัวหาได้เองฤๅใครให้
จะใคร่แจ้งประจักษ์จงซักไซ้ จมูกหูอยู่ไหนไม่ถามกัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกนางต่างคนหุนหัน
ผินหน้าว่าผัวของตัวพลัน ได้ยินมันฤๅไม่เจ้าใจเย็น
ไหนว่าจมูกเจ้าปากเป้ากัด ผีตัดใบหูมีผู้เห็น
ช่างเงียบเสียงเถียงเขาก็ไม่เปน ให้มันมาว่าเล่นเปนอย่างไร

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยเงยหน้ามิใคร่ได้
อุบอิบกระซิบตอบเมียไป เขาว่าไรก็ช่างมั่งเถิดนา
ทำไมกับหูแหว่งจมูกวิ่น ถึงจะด้วนเสียสิ้นก็ของข้า
เถียงกันเปล่าเปล่าไม่เข้ายา บุราณว่าอดใจได้เปนพระ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลผุดลุกขึ้นเกะกะ
กูได้ยินแว่วแว่วอยู่แล้ววะ มันต่อจะชอบกลเจ้ามณฑา
จึงซักถามรจนายาใจ รู้เห็นเปนอย่างไรให้เร่งว่า
เมื่อพ่อใช้ไปหาเนื้อปลา มันไปขอใครมาจงว่าไป

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น รจนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่
สรวลพลางทางทูลเปนใน จะว่าไปก็ดูไม่สู้ดี
เขาจะฦๅอื้ออึงเอิกเกริก เหมือนหนึ่งแกล้งลำเลิกผัวพี่
แต่มันน่าอดสูพระภูมี เดิมทีเที่ยวหาเนื้อปลา
ทั้งหกเขยใหญ่ไปกราบกราน งอนง้อขอทานผัวข้า
เสียของต้องใจจึงได้มา จงทราบบาทาท้าวไท

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลสรวลสันต์ไม่กลั้นได้
ตบมืออื้งอึงคนึงไป นางมณฑาชอบใจหัวร่องอ
จึงถามพระสังข์สอบเห็นชอบกล เหตุผลเปนกะไรไฉนหนอ
จงแจ้งตามจริงจังอย่ารั้งรอ เล่าไปเถิดพ่อจะขอฟัง

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ทูลตามความหลัง
หกเขยไปหาข้าสองครั้ง สิ้นทั้งบ่าวไพร่ก็ได้รู้
เมื่อขอปลาข้าตัดจมูกไว้ เมื่อขอเนื้อก็ให้ใบหู
พระองค์จงถามทั้งหกดู เท็จจริงย่อมรู้อยู่เต็มใจ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลร้องเหวยหกเขยใหญ่
มานั่งก้มหน้าอยู่ว่าไร มึงตั้งใจเลี้ยวลดปดกู
จมูกแหว่งแกล้งว่าปากเป้ากัด ผีโขมดโกรธตัดเอาใบหู
กูหลงเชื่อเมื่อแรกก็ไม่รู้ ต่อลูกกูบอกเล่าจึงเข้าใจ
ไปหาเนื้อหาปลามาแต่หลัง มึงไปขอพระสังข์จริงฤๅไม่
อย่าสับปลับรับเสียก็แล้วไป กูจะไว้ชีวาไม่ฆ่าตี

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น หกเขยสุดรู้ทำอู้อี้
กะอักกะไอมิใคร่จะพาที มือขยี้หูตาประหม่าใจ
พ่อตากริ้วกราดตวาดซ้ำ ยิ่งละล่ำละลักหลงใหล
เพ็ดทูลเลอะเลื่อนเปื้อนไป ไม่ได้ความจริงสักสิ่งอัน

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลเคืองขุ่นหุนหัน
ผินหน้ามาว่ากับเมียพลัน มันจริงสิ้นทั้งนั้นเจ้ามณฑา
อ้ายเหล่านี้ดีแต่จะปดโป้ ไม่เปนโล้เปนพายขายหน้า
จะฆ่าเสียก็สมเพชเวทนา เอาไว้ให้เปนข้าพระสังข์ทอง
ลูกเขยเราคนนี้ดีเลิศแล้ว ดังดวงแก้วบริสุทธิ์ผุดผ่อง
จะยกบ้านเมืองมอบให้ครอบครอง ปกป้องไพร่ฟ้าเสนาใน
อันข้าศึกซึ่งขันพนันคลี จะต่อตีสู้กันหาพรั่นไม่
วันนี้จวนค่ำย่ำฆ้องไชย หลับนอนเสียให้เต็มตา
ว่าพลางขับเขยทั้งหกคน ไสหัวไปให้พ้นชังน้ำหน้า
ชวนพระสังข์กับนางรจนา เข้าที่ไสยาผาศุกใจ

ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ

๏ ครั้นรุ่งสุริยาการ้อง ท้าวสามลตรึกตรองไม่หลับใหล
จึงชวนพระสังข์ทองยองใย กับเมียรักร่วมใจแลธิดา
สี่กระษัตริย์สระสรงทรงเครื่อง รุ่งเรืองระยับจับเวหา
แล้วเสด็จยุรยาตรคลาศคลา ตรงมาเกยสุวรรณทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ ขึ้นทรงคอคชสารศรี พ่วงพีหกศอกสูงใหญ่
พระสังข์ทรงมิ่งม้าอาชาไนย สององค์อรไทยขึ้นวอทอง
เกณฑ์แห่เกณฑ์แหนแน่นหนา ธงทวนนำน่าเปนแถวถ้อง
แซ่เสียงแตรสังข์ฆ้องกลอง ออกไปยังท้องสนามคลี

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงชวนพระสังข์ ขึ้นยังพลับพลาหลังคาสี
พร้อมทั้งหกเขยแลบุตรี เสนีเฝ้าแหนแน่นนัน

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น อำมรินทร์ปิ่นภพสรวงสวรรค์
ทอดพระเนตรเห็นท้าวสามลนั้น พาลูกเขยขวัญออกมา
จึงตรัสบอกเทวัญจันทรี ทีนี้สมดังปราถนา
จำจะทำให้ไอ้เถ้าพ่อตา เห็นฤทธาพระสังข์ครั้งนี้
ว่าแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง รุ่งเรืองจำรัสรัศมี
ทรงเทพอาชาพาชี กรกุมคันคลีแกว่งไกว
เทพบุตรครุธาคนธรรพ แห่แหนแน่นนับอสงไขย
คลายคลี่รี้พลสกลไกร ตรงไปยังท้องสนามคลี

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงหยุดโยธา อยู่ตรงพลับพลาหลังคาสี
แล้วร้องเตือนไปพลันทันที ว่าเหวยภูมีท้าวสามล
จะให้ใครไหนเล่ามาต่อสู้ ฤๅสุดรู้สิ้นคิดขัดสน
จะได้ริบเวียงไชยเอาไพร่พล เมียมีกี่คนจงบอกมา

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลได้ฟังยังประหม่า
ให้นึกพรั่นหวั่นหวาดวิญญา ด้วยว่าหกเขยนั้นเคยแพ้
จึงถามพระสังข์นั่งซักไซ้ เห็นว่าจะสู้ได้เปนแน่
ค่อยคลายหายอุทัจท้อแท้ ลุกขึ้นยืนยิ้มแต้แลไป
เห็นไพรีขี่ม้าป้องหน้าดู แล้วร้องว่ามาสู้กันใหม่
ลูกเขยน้อยเรานี้ดีสุดใจ ไม่เหมือนไอ้เขยเคอะเซอะซะ
การคลีมีฝีมือฦๅเลิศ ฟ้าผี่เถิดท่านแพ้แน่แล้วหนะ
วันนี้ไม่มีลายหมายชนะ อย่าเยาะเย้ยเลยคะไม่ย่อท้อ
ว่าพลางทางปลอบลูกเขย ลูกเอ๋ยอย่าให้อายขายหน้าพ่อ
คอยระวังตั้งใจตั้งคอ แขงข้อต่อสู้ดูสักที
แล้วบนบานสารกล่าวเจ้านาย จะถวายหัวหมูกับบายศรี
มาทแม้นมีไชยชนะคลี จะให้มีอิเหนาสักเก้าวัน
เล่นการมโหรศพครบสิ่ง จะเวียนเทียนทำมิ่งสิ่งขวัญ
นวลนางมณฑามารดานั้น ชวนกันอวยไชยให้ลูกรัก

ฯ ๑๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระสังข์สุริย์วงศ์ทรงศักดิ์
รับพรพ่อตาสามิภักดิ์ เหลียวดูเมียรักแล้วยิ้มพราย
จึงบังคมลาบิตุรงค์ มาทรงอาชาเฉิดฉาย
กรกุมคันคลีกรีดกราย ชักม้าเรียงร่ายรำมา
ชายหญิงแซ่ซ้องร้องชม งามสมยศศักดิ์นักหนา
งามทั้งท่วงทีขี่อาชา ดังพระยาสีหราชอาจอง

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โกสีย์มีศักดิ์สูงส่ง
ชื่นชมสมคิดดังจิตรจง พลางทรงสินธพกระทืบโกลน
สบัดย่างวางใหญ่ไวว่อง ม้าต้นรนร้องลำพองโผน
ชักบังเหียนหันหกผกเผ่นโจน พลางโยนลูกคลีตีไป

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ เมื่อนั้น พระสังข์คอยขยับรับไว้ได้
เดาะคลีตีตอบไปทันใด สหัสไนยกลอกกลับรับรอง
ต่างแกว่งคันคลีเปนทีท่า ขับม้ามีฝีเท้าเคล่าคล่อง
เวียนวนวกวิ่งชิงคลอง เปลี่ยนทำนองเข้าออกหลอกล้อ

ฯ ๔ คำ ฯ พระยาเดิน

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลร้องรับให้ดีพ่อ
ตบมืออือเออชะเง้อคอ เห็นลูกเขยเปนต่อหัวร่อคัก
ลุกขึ้นโลดเต้นเขม้นมุ่ง พลัดผลุงลงมาขาแทบหัก
มึนเมื่อยเหนื่อยบอบหอบฮัก พิงพนักนั่งโยกตะโพกเพลีย
ฉวยคนโทถมยามาดื่มน้ำ หกคว่ำสำลักแล้วบ้วนเสีย
หยิบบุหรี่จุดไฟไหม้ลามเลีย วัดถูกจมูกเมียไม่รู้ตัว
สาลวนตึงตังกำลังวุ่น แม่คุณขอโทษอย่าโกรธผัว
พี่ก็พานแก่ชราหูตามัว ไม่เห็นตัวว่าใครข้างไหนเลย
ว่าพลางทางเรียกเอาแว่นตา ใส่จมูกแหงนหน้าดูลูกเขย
ลุกขึ้นมองร้องเออชะเง้อเงย ยายเอ๋ยอย่าปรารมภ์เปนรองเรา
แล้วผินมาด่าหกเขยใหญ่ เอออะไรกินเข้าสุกเสียเปล่าเปล่า
สำคัญคิดว่าดีอ้ายขี้เค้า ออกตีคลีแพ้เขาประเดี๋ยวใจ
ดูเถิดซี้นี่แน่ลูกเขยกู มาช่วยกู้แก้หน้าพ่อตาได้
ไม่เหมือนมึงโง่งมก้มอยู่ไย ขัดใจจะใคร่ถองสักสองตึง
นางเมียเล่าปากคอก็พอสม เจ้าคารมสิ้นทีไม่มีถึง
พระกริ้วโกรธาด่าอึง ผัวมึงอัปรีอ้ายขี้แพ้
แล้วเรียกรจนาเข้ามานี่ พ่อนี้ไม่เห็นหนเปนคนแก่
ตาเจ้าสาวอยู่ช่วยดูแล ข้างไหนแน่สามีจงชี้ตัว
เสียงคนมี่ก้องร้องเออ นางมณฑาชะเง้อง้ำผัว
แพ้ลูกเขยข้าแล้วอย่ากลัว ครั้งนี้รอดตัวไม่เสียเมือง

ฯ ๒๐ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อำมรินทร์ปิ่นฟ้าฟุ้งเฟื่อง
ควบม้ามุ่งหมายชายชำเลือง ยักเยื้องย่างท่าสง่างาม
ทรงเลี้ยงลูกคลีตีเดาะ พระอินทร์เหาะขึ้นจากท้องสนาม
พระสังข์ไม่พรั่นครั่นคร้าม เหาะตามติดพันกระชั้นชิด

ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง

๏ บัดนั้น ประชาชนคนดูอักนิษฐ
เห็นเหาะทั้งสองข้างต่างมีฤทธิ์ ให้คิดพิศวงงงงวย
บ้างแหงนหน้าอ้าปากตลึงตะไล แลดูภูวไนยเอาใจช่วย
เบียดเสียดเยียดยัดดังดูมวย แซ่ซ้องร้องอำนวยอวยไชย
พวกชาววังนั่งเลิกมูลี่ดู อึงคนึงหนวกหูห้ามไม่ไหว
บ้างโกรธเพื่อนภ้อตัดด้วยขัดใจ ที่ทางอะไรของตัว
ท้าวสามลมองร้องตวาด อีอุบาทว์เหล่านี้มิใช่ชั่ว
ได้จะดูอะไรแล้วไม่กลัว เคยตัวตีเสียให้แทบตาย
ท้าวนางตกใจเข้าไปห้าม อะไรรูปงามงามไม่กลัวหวาย
แม่เจ้าเถิดแม่คุณอย่าวุ่นวาย หลังจะลายเปล่าเปล่าไม่เข้าการ
พวกผู้หญิงชั้นล่างข้างพลับพลา เบียดกันรันเข้ามาถึงน่าฉาน
จ่าโขลนไล่ตีหนีลนลาน สับสนอลหม่านมี่ไป

ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระอินทร์แกล้งอ่อนหย่อนมือให้
ชักม้าที่นั่งรั้งรอไว้ แล้วแกล้งว่าไปด้วยวาจา
ลูกเขยท้าวสามลคนนี้ ฝีมือตีคลีดีนักหนา
ต่อสู้เคี่ยวขับไม่อัปรา หาไม่พ่อตาจะต้องริบ
ควรที่จะครองเมืองเลื่องฦๅยศ ปรากฏทั่วทิศทั้งสิบ
ว่าแล้วเหาะคล้อยลอยลิบ กลับไปยังทิพพิมานไชย

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ผู้มีอัชฌาไศรย
ครั้นท้าวโกสีย์หนีไป ก็ขับมโนมัยลงมา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลลนลานลงไปหา
จูงกรต้อนรับขึ้นพลับพลา แม่ยายพ่อตาเข้าเชยชม
ปราไสสร้วมสอดกอดจูบ โลมลูบหลังไหล่ลูกเขย
ช่างเคล่าคล่องว่องไวกะไรเลย ทรงสง่าง่าเงยก็งามครัน
พ่อนี้แต่ครั้งยังไม่ชรา อันตีคลีขี่ม้านี้ขยัน
เมื่อครั้งบ้านเมืองดีตีพนัน ก็ออกชื่อฦๅกันว่าตัวดี
ทีหนีทีไล่ก็ไวว่อง จะเปนรองเจ้าราวห้าเอาสี่
แต่ลืมเลอะทีเดียวแล้วเดี๋ยวนี้ ไพรีล่วงรู้จึงดูเบา
ถ้าลูกแก้วแววตามิมาโปรด หมดสิ้นทั้งโคตรเปนข้าเขา
เทวดาให้คุณบุญของเรา จริงฤๅไม่เล่าเจ้ามณฑา
จะต้องริบฉิบหายอยู่รอมร่อ รอดตัวก็เพราะพ่อของข้า
พลางกอดจูบลูบไล้ไปมา ผัวเมียปูผ้าลงคำนับ
เจ้าเหน็ดเหนื่อยหนักหนาหน้าตาแห้ง ปรารมภ์ลมแล้งมันจะจับ
ท้าวพ่อตาตรัสสั่งบังคับ ยกสำรับมาสู่ลูกกูกิน
แม่ยายละลายแป้งมาทาให้ น้ำดอกไม้หอมฟุ้งจรุงกลิ่น
หยิบถาดน้ำชาออกมาริน เจ้ากินให้สบายหายหิวมา

ฯ ๑๖ คำ ฯ

๏ พนักงานจัดสำรับคับคั่ง ยกโต๊ะเข้าไปตั้งลงตรงหน้า
พระสังข์นั่งกินกับพ่อตา นางเมียมาหมอบพัดปัดแมงวัน

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นพ่อตาลูกเขยเสวยแล้ว ท้าวสามลผ่องแผ้วเกษมสันต์
ลงจากที่ประทับพลับพลาพลัน พากันเข้ายังวังใน

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ขึ้นบนพระโรงคัลไม่ทันนั่ง ตรัสสั่งเสนาผู้ใหญ่
ลูกเขยกูตีคลีมีไชย จะเศกให้ครองกรุงในพรุ่งนี้
จงช่วยกันเร่งรัดจัดแจง ตกแต่งตั้งการภิเศกศรี
แห่แหนให้สนุกกว่าทุกที แล้วจะมีอิเหนาสักเก้าวัน
ไปปฤกษาครูลครมันก่อนเหวย ใครเคยรำดีทีขยัน
อิเหนาเรื่องมิสาอุณากรรณ จะประชันดาหลังเมื่อครั้งครวญ
ทั้งหุ่นโขนโรงใหญ่งิ้วผู้หญิง ทุกสิ่งจงให้มีถี่ถ้วน
กำชับกันทำงานการจวน สั่งเสร็จเสด็จด่วนเข้าข้างใน

ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น เสนีธิบดีผู้ใหญ่
มาสั่งเวรเกณฑ์กันทันใด นายไพร่เร่งระดมสมทบ
บ้างแต่งที่ปราสาทราชฐาน บ้างปลูกโรงงานมโหรสพ
กระบวนแห่งแตรสังข์ครันครบ ตามขนบธรรมเนียมเตรียมไว้

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลไม่อยู่ศุขลุกวิ่งไขว่
เที่ยวตรวจงานการข้างน่าข้างใน มิได้หยุดยั้งนั่งลงเลย
บัดเดี๋ยวไปให้เมียแต่งธิดา บัดเดี๋ยวมาจัดแจงแต่งลูกเขย
ครั้นเสร็จนำน่าพาไปเกย ร้องห้ามเฮ้ยอย่าขวางทางลูกกู
ให้สองทรงสีวิกายานุมาศ อำมาตย์เดินเคียงเปนคู่คู่
เคลื่อนกระบวนหน้าหลังพรั่งพรู เลี้ยวออกนอกประตูแห่ไป
อภิรุมชุมสายพรายพรรณ เสียงประโคมสนั่นหวั่นไหว
ท้าวสามลกับเมียมาข้างใน ตรงไปมณเฑียรที่พิธี

ฯ ๘ คำ ฯ กลองโยน

๏ ถึงพร้อมแล้วพากันมานั่ง บนบัลลังก์นั่งเคียงเตียงบายศรี
พร้อมพระวงศาเสนี ครั้นได้ฤกษ์ดีให้ลั่นฆ้อง

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ปโรหิตผู้เถ้าทั้งสอง
จึงจุดเทียนติดกับแว่นทอง ค่อยประคองเคารพอภิวันท์
เวียนวงส่งไปข้างในรับ ประโคมขับขานเสียงเสนาะสนั่น
มโหรศพครบสิ่งสิ้นทั้งนั้น ก็เล่นขึ้นพร้อมกันทันใด

ฯ ๔ คำ ฯ มหาไชย

๏ ครั้นครบเจ็ดรอบตามตำหรับ จึงดับเทียนโบกควันให้
เอาจุณเจิมเฉลิมภักตร์ภูวไนย ทั้งองค์อรไทยพระธิดา
แล้วอำนวยอวยพรศรีสวัสดิ์ สองกระษัตริย์จงเปนศุขา
ทุกข์โศกโรคไภยอย่าพาธา ให้ชัณษายาวยืนหมื่นปี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท้าวสามลปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงตรัสแก่เขยขวัญทันที สมบัติในบุรีแลรี้พล
สารพัดพ่อให้แก่เจ้าหมด ทั้งบ้านเมืองเครื่องยศเครื่องต้น
ตัวพ่อก็ชราตามืดมล ขอพึ่งลูกสองคนไปจนตาย

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระสังข์ชื่นชมสมหมาย
รับสั่งแล้วหมอบยอบกาย กราบถวายบังคมก้มภักตร์

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ท่านท้าวสามลผู้มีศักดิ์
ครั้นเสร็จสมโภชลูกรัก มอบเวนอาณาจักรกรุงไกร
สี่กระษัตริย์เสด็จเยื้องย่าง จากปรางค์ปราสาททองผ่องใส
แห่แหนเปนขนัดอัดแอไป คืนเข้าวังในมิได้ช้า

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ