วันนี้ สุนทรีมีจิตใจสงบ เยือกเย็นผิดจากวันธรรมดา เพราะท้องฟ้าพยับโพยมด้วยเมฆฝนมาแต่เช้า และเมื่อตอนบ่ายฝนก็ตกลงมาตามที่ตั้งเค้าไว้โดยปราศจากพายุและสายฟ้าอันเป็นที่น่ารำคาญ

สุนทรีชอบวันที่ฝนตกในลักษณะเช่นนี้ เพราะเป็นวันที่ปราศจากความร้อนอันเป็นข้าศึกแก่สุขภาพแห่งร่างกายและจิตใจของหล่อน และเป็นวันที่หล่อนใช้สมองทำงานได้ว่องไวที่สุด ทั้งอาจจะทำได้หลายชั่วโมงโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย และสุนทรีชอบภูมิประเทศที่เม็ดฝนกำลังตกต้อง เพราะต้นไม้ใบหญ้าและพื้นแผ่นดินมีอาการสดชื่น ราวกับว่าได้รับชีวิตจิตใจมาจากความเย็นแห่งสายฝน ท้องฟ้าเป็นสีขาวนวล ใบไม้เป็นสีเขียวแกมโศก ถึงแม้จะอ่อนพับลงเล็กน้อย ก็ชุ่มฉ่ำอยู่ในลักษณะการเตรียมพร้อมที่จะชูช่ออันเขียวสดชื่นในขณะใดขณะหนึ่ง นกน้อยกางปีกไซ้ขน เอียงคอลอดช่องใบไม้มองดูท้องฟ้าเหมือนจะตรวจดูว่า แสงอาทิตย์อันอบอุ่นอยู่ บัดนี้จะบังอาจออกฤทธิ์แผ่ความร้อนมาเผาตัวได้อีกหรือไม่...สุนทรียิ้มกับนก ยิ้มกับเม็ดฝน ยิ้มกับเมฆ ยิ้มกับต้นไม้และในท้ายที่สุดก็ยิ้มให้กับตนเอง เป็นรางวัลในข้อที่ได้ทำงานสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว

เมื่อรู้สึกเมื่อย เพราะได้ยืนอยู่นาน สุนทรีก็ละจากหน้าต่างไปนั่งบนเตียง ใจคิดว่าจะนอนพัก แต่การที่จะนอนนั้นหล่อนต้องมีหนังสือเป็นเพื่อนจึงจะนอนได้ทน สายตาของหล่อนจึงแลไปทางตู้หนังสือ

บนหลังตู้นั้นซึ่งไม่สูงนัก มีรูปถ่ายใส่กรอบตั้งอยู่รูปหนึ่ง เป็นรูปชายหนุ่มน้อย สวมเครื่องแต่งกายแบบตะวันตกตัดเข้ากับตัวอย่างหาที่ติมิได้ ยืนท่าสบายสอดมือไว้ในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง ด้วยความที่วงหน้าเต็มไปด้วยชีวิตจิตใจ เมื่อสุนทรีมองไปที่ภาพนั้นก็ดูเหมือนว่าภาพได้มองตอบหล่อน และเมื่อหล่อนลุกจากที่เข้าไปดูใกล้ตู้ ก็ดูเหมือนกับว่าริมฝีปากในภาพเผยอยิ้มและออกวาจา

สุนทรียิ้มเยาะผู้เป็นแบบแห่งภาพ ผู้ซึ่งได้แสดงกิริยาหงุดหงิดงุ่นง่านมาแต่เช้า เพราะสุนทรีได้พยากรณ์ยืนยันว่า ฝนจะตกในตอนบ่าย ครั้นเมื่อฝนตกลงมาจริงดังที่หล่อนทำนาย เขาก็บ่นว่าแสดงความพื้นเสียต่อหล่อนราวกับหล่อนเป็นธิดาพระวรุณ และคล้ายกับว่าการที่เขาต้องเว้นการเล่นกีฬาเพราะฝนเป็นอุปสรรคนั้น เป็นข้อร้ายใหญ่ยิ่งควรแก่การที่เขาจะแสดงโทโสโมโหด้วยประการทั้งปวง แต่ครั้นแล้วในเวลาต่อมาไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็หลับสนิทประดุจทารกที่ไม่มีความนึกคิด หรือความรู้สึกสำคัญในสิ่งใดเลย

หยิบหนังสือจากตู้ได้แล้ว แต่ห้วงคิดยังติดอยู่ที่ผู้เป็นแบบแห่งรูป สุนทรีหนีบหนังสือไว้ด้วยแขนข้างซ้าย ส่วนมือขวาจับกรอบรูปเลื่อนเข้ามาใกล้ สีหน้าของหล่อนยังแจ่มใสเต็มไปด้วยความคิดขำ แต่เมื่อมองดูรูปโดยเพ่งเล็งยิ่งขึ้น สีหน้าของสุนทรีก็เปลี่ยนจากลักษณะเดิมทีละน้อย จนกลายเป็นเคร่งขรึมด้วยน้ำหนักแห่งความคิดที่เกิดขึ้นภายใน

“น่ารักน่าเอ็นดูทั้งตัว” หล่อนรำพึง “เสียแต่ในตัวไม่มีอะไรจริงจังเสียเลย”

ที่บนแผ่นภาพ มีลายมือของผู้เป็นแบบเขียนไว้ว่า ‘ประจิตรของสุนทรี’

หญิงสาวนึกถึงวันเวลา ในสมัยที่ประจิตรได้มอบภาพนี้ให้แก่หล่อน ข้อความที่เขาเขียนไว้ตรงกับความรู้สึกอันจริงใจของเขา และตรงกับความปรารถนาของบุคคลอีกหลายคน สมัยนั้นเป็นสมัยที่ประจิตรกลับจากยุโรปใหม่ๆ สวย เก๋ ประเปรียว เป็นเสน่ห์แก่ตาแก่ใจของผู้ที่ได้พบปะวิสาสะ ฝ่ายสุนทรีก็กำลังเป็นสาวเต็มที่ ถึงแม้จะไม่เป็นหญิงสวยอย่างหาที่ติมิได้ ก็มีความสดชื่นแห่งความเป็นสาว ความเฉลียวฉลาด ช่างพูด ช่างเล่นเป็นเครื่องจูงใจให้ผู้ที่มาวิสาสะด้วย เกิดความคิดเห็นว่าหล่อนเป็นหญิงสาวสวยอย่างเอก ทั้งประจิตรและสุนทรีต่างมีความรู้สึกถึงความมีเสน่ห์ของกันและกัน และต่างฝ่ายต่างก็แลเห็นซึ่งความคิดของคนข้างเคียงที่คิดเห็นต้องกันว่า เขาทั้งคู่เหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง

สุนทรียังนึกขำอยู่เสมอ เมื่อหล่อนย้อนคิดไปถึงกิริยาที่ประจิตรแสดงความไม่พอใจ ในเมื่อหล่อนแสร้งข่มขู่เขาว่าเขาเป็นน้อง หล่อนเป็นพี่ การที่หล่อนทำเช่นนั้นมิใช่ว่าหล่อนถือเอาจำนวนวันที่หล่อนได้เห็นโลกก่อนเขาสามวันมาเป็นข้อสำคัญ ตรงกันข้ามสุนทรีสารภาพกับตัวเองว่า เสน่ห์ในตัวประจิตรได้ทำให้หล่อนมองข้ามความข้อนี้ได้โดยง่าย ที่หล่อนทำเช่นนั้นก็เพราะว่าหล่อนเป็นหญิง มีธรรมชาติอดมารยามิได้ และจำเป็นที่จะต้องเล่นตัวเพื่อทดลองความมั่นคงของชาย

แต่ในระยะ ๒-๓ เดือนต่อมา จะเป็นเพราะความซื่อของเขา คือ เชื่อเอาเป็นจริงจังว่าสุนทรียึดหลักการที่หล่อนแก่อายุกว่าเขาสามวันมาเป็นกำแพงกั้นเขาเสียจากหล่อน หรือจะเป็นเพราะเขาเป็นผู้หาความเพียรมิได้ หรือจะเป็นเพราะเขาเป็นคนเบื่อง่าย ประจิตรได้หยุดการพยายามที่จะเอาใจสุนทรีอย่างที่ชายหนุ่มพึงเอาใจคู่รัก และพ้นจากนั้นมาอีกไม่ช้า เขาก็เริ่มคุยกับหล่อนถึงเรื่องผู้หญิงสาวต่างๆ ที่เขาได้พบปะและรู้จักใหม่

เขาทำเช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง ครั้นแล้วก็ ‘เงียบ’ ไป และจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ทั้งเขาและสุนทรีต่างก็ยังคงเป็นโสดและไม่มีคู่หมั้นอยู่ด้วยกัน

ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินที่หน้าห้อง สุนทรีวางมือจากรูปถอยมาที่หน้าเตียง

คนใช้ผู้หญิงค่อยๆ แง้มประตูเข้ามา และบอกแก่เจ้าของห้องว่า

“คุณหลวงชาญมาเจ้าค่ะ”

สุนทรีมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นฝนยังตกปรอยๆ อยู่ไม่ขาดเม็ด แล้วหันกลับมาถามคนใช้

“เมื่อมาถึง คุณหลวงถามหาฉันหรือถามหาคุณผู้ชาย?”

“ถามถึงคุณก่อนเจ้าค่ะ แล้วถามถึงคุณผู้ชาย ดิฉันบอกว่านอนหลับ คุณหลวงให้ดิฉันมาเรียนคุณ”

“เชิญคุณหลวงนั่งในห้องรับแขก เดี๋ยวฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”

เมื่อสาวใช้ลับตัวไปแล้ว สุนทรีไปยืนที่หน้ากระจก ใช้แป้งลูบหน้าพอให้หายมัน หวีผมพอให้หายยุ่ง แล้วก็ออกจากห้องไปพบหลวงชาญยนตรกิจ

หล่อนกล่าวเชิญให้เขานั่ง ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนหวานน่าฟังตามปกติของหล่อน ใจคิดถึงประจิตรและคำพูดของเขาที่กล่าวขวัญถึงหลวงชาญฯ เมื่อวันเสาร์ก่อนนี้ ตาของหล่อนก็มองดูหลวงชาญฯ ทั่วทั้งตัว

เขาเป็นคนมีผิวพรรณสะอาด วงหน้าอิ่มเอิบสมบูรณ์ด้วยโลหิต สุนทรีไม่เคยทราบว่าอายุของเขาเท่าไรแน่ ความอยากรู้ได้เกิดแก่หล่อนเป็นครั้งแรก และหล่อนไม่เคยรู้ประวัติของเขาหรือเรื่องราวส่วนตัวของเขามาแต่ก่อน แต่หล่อนเคยคิดว่า ดูเหมือนเขาจะเป็นคนที่ไม่เคยถูกชีวิตลงโทษโดยประการหนึ่งประการใดเลย

“อากาศอย่างนี้น่าเบื่อนะครับ” หลวงชาญฯ เอ่ยขึ้นก่อน

“พวกเดียวกับคุณประจิตรอีกแล้ว” หญิงสาวตอบพลางหัวเราะเบาๆ “บ่นหนวกหูเหมือนจะตาย แล้วจำเพาะมาบ่นกับดิฉันเสียด้วย”

“บ่นกับคุณเป็นยังไงครับ?”

“ก็ไม่เห็นใจเลยซีคะ เพราะดิฉันชอบอากาศอย่างนี้สบายดี”

“ผมอ่านหนังสือเสียจนเมื่อยหัว หมดท่าเข้าเลยออกมาทั้งฝน”

“ที่สโมสรเห็นจะไม่มีใครเลย?”

“มีครับ แต่คงไม่มากมันทำอะไรไม่ได้นอกจากเล่นไพ่ หรือไม่ยังงั้นก็บิลเลียด หรือไม่ก็กินเหล้ากันเรื่อยไป ผมไม่ได้ไปสโมสรมาหลายวันแล้ว”

“อ้อ !” หล่อนอุทานอย่างพิศวง “ดิฉันคิดว่าคุณหลวงมาจากสโมสรเสียอีก”

หลวงชาญฯ ยิ้มอย่างไม่สู้สนใจนัก แล้วพูดเรื่อยๆ “ออกจากบ้านก็ตรงมานี่ เรื่องสโมสรน่ะเป็นพักๆ บางทีก็ติดราวกับติดฝิ่น บ่ายลงไม่ถึงสโมสรละมันช่างเดือดร้อนเหลือเกิน แต่บางทีก็เบื่อๆ ไปเอง ไม่ไปเลย”

“ถ้าดิฉันเป็นผู้ชายก็ชอบไปสโมสรเหมือนกัน”

“ถึงเป็นผู้หญิงก็ไปได้เหมือนกันนี่ครับ”

หล่อนสั่นศีรษะเล็กน้อย แล้วยิ้มอย่างไม่เห็นด้วยแต่ไม่แสดงเหตุผล ย้อนถามว่า

“ตามสโมสรมีผู้หญิงไปมากหรือคะ?”

“มีไป ๒-๓ คน โดยมาก ผัวไปเมียก็ไป”

“แปลว่าผู้หญิงโสดไม่ค่อยไป”

“ที่โสดก็มี แต่น้อย โดยมากต้องเป็นพวกพิเศษ”

“ดิฉันก็นึกอย่างนั้นแหละ” สุนทรีกล่าวพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

หลวงชาญฯ ไม่ตอบ สายตาแลไปยังสิ่งต่างๆ รอบๆ ห้อง สีหน้าไม่แสดงความสนใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด สุนทรีเริ่มคิดสงสัยว่า ลมชนิดไรพัดตัวเขามาที่บ้านหล่อน แล้วกลับคิดขึ้นได้ถึงคำของเขาที่บอกแก่หล่อนว่า “อ่านหนังสือจนเมื่อยหัว...” ทั้งนี้ย่อมแสดงว่าเขามาเปื่อยๆ พอเป็นพิธีว่าได้ออกจากบ้านเป็นการแก้เบื่อหรือแก้รำคาญให้แก่ตัวเขาเอง เกิดความศรัทธานึกใคร่ที่จะช่วยให้เขาสนุกขึ้นบ้าง หล่อนก็นิ่งคิดหาช่องทางต่อไป

ในที่สุดหล่อนเอ่ยขึ้นว่า

“คุณหลวงรับประทานน้ำชากับดิฉันนะคะ ดิฉันรับประทานทุกวันจนเคยตัว ขาดไม่ได้”

“ผมรับประทานน้ำชาไม่เป็น เสียใจ”

“ถ้ายังงั้นก็รับประทานอย่างอื่น ของว่างกับเบียร์หรือวิสกี้โซดา?”

“แหม ! กินเหล้าแต่วันเห็นจะไม่ไหว”

“วันนี้อากาศเย็นค่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวนะคะ ขอเวลาดิฉันสองนาที”

พูดแล้วโดยไม่รอฟังคำตอบ หล่อนลุกเดินไปนอกห้อง

เมื่อหล่อนกลับเข้ามา เห็นแขกของหล่อนกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ในที่เดิม และสายตาก็มองไปในที่ต่างๆ โดยปราศจากอาการสนใจเช่นเดียวกันกับเมื่อครู่ก่อน เมื่อหล่อนเข้ามาใกล้อีก เขาขยับตัวให้หล่อนพอเป็นพิธี

“ดิฉันนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง” สุนทรีกล่าวเมื่อได้นั่งลงแล้ว เขาชักบุหรี่ออกจากปากมองดูหล่อนเป็นทีถาม หล่อนก็ยิ้มแล้วจึงพูดต่อ “ดิฉันยังไม่มีโอกาสได้พบกับภรรยาคุณหลวงเลย”

สีหน้าของเขาแสดงว่าเขาร้อง ‘อ๋อ !’ ในใจ แต่ก็เป็นคำที่ไม่มีน้ำหนักหรือความสำคัญอันใดเลย แล้วเขาก็สูบบุหรี่ต่อไปด้วยสีหน้าเป็นปกติ

“คุณหลวงไม่ชวนมาด้วยนี่คะ” เจ้าของบ้านว่าอีก “หรือว่าดิฉันจะต้องเป็นผู้เชิญให้มาถึงจะถูกแบบ?”

“เขาไม่ชอบเที่ยว ชอบอยู่กับบ้าน”

“เลี้ยงลูกหรือคะ?”

“เปล่า ! ลูกก็ไม่มีจะเลี้ยง ผมเคยมีลูกคนเดียวแล้วก็ตายแล้วก็เลยไม่มีอีก”

สุนทรีปรารภกับตัวเอง “ขี้เกียจพูดทำไมถึงไม่นอนอยู่บ้าน มาเที่ยวรุ่มร่ามให้คนอื่นเขาลำบากทำไม?”

แต่เมื่อปรารภเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดสงสารเขาผู้ที่ถูกหล่อนนินทาอยู่ในใจ จึงตั้งความพยายามต่อไปอีก

“บ้านคุณหลวงอยู่ที่ไหนคะ? ดิฉันยังไม่ทราบเลย รู้จักกันมาเป็นนานแล้ว”

“อยู่ในที่ๆ บ้าที่สุด เพราะมีบ้านที่คลั่งวิทยุอยู่ข้างๆ ถึงสองบ้าน”

สุนทรีหัวเราะ “เปิดดังมากเทียวหรือ?” หล่อนถาม

“ดังขนาดคนธรรมดาอย่างเราๆ ฟังใกล้ๆ เป็นหูแตก วันไหนผมต้องการจะใช้หัว มันให้อยากจะเอาปืนยิงกรอกเข้าไปทางหน้าต่างเหลือเกิน”

“ร้ายมาก” หญิงสาวอุทานอย่างเห็นใจ “เรื่องวิทยุนี่ร้ายมากทีเดียว ทางแถวบ้านเรานี่ก็เป็นนักวิทยุเกือบทุกบ้านเหมือนกัน แต่เคราะห์ดีเขาเป็นพวกที่รู้จักเห็นอกมนุษย์หน่อย นอกจากวันไหนเขามีแขกมากๆ ถึงจะเปิดดัง แต่ก็ไม่ถึงกับหูแตก”

“คนในพระนครนี่ ๘๕ เปอร์เซ็นต์บ่นเรื่องหนวกหูวิทยุทุกคน แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้”

“นั่นเป็นผลของการที่ความศิวิไลซ์ กับจรรยาของคนเดินไม่ได้ระดับกัน”

หลวงชาญฯ มองดูหล่อนอย่างสนใจเป็นครั้งแรก ทำอาการคิดเล็กน้อยแล้วตอบอย่างแน่นแฟ้น

“ถูกของคุณ”

นิ่งเงียบกันไปอีก สุนทรีคิดว่าแขกของหล่อนจะแสดงความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อต่อเรื่องที่พูดแล้วแต่เขาก็ไม่แสดง หญิงสาวคิดต่อไปว่า ถ้าเขายังคงนิ่งอยู่เช่นนี้ ไม่ช้าหล่อนก็คงจะต้องเป็นฝ่ายพูดข้างเดียว ก็และการพูดข้างเดียวนี้ เป็นการยากที่ผู้พูดจะเว้นเสียได้จากการแสดงความคิดความเห็นส่วนตัว อันอาจเป็นเหตุชวนให้ผู้ฟังคิดไปว่าผู้พูดอวดภูมิรู้ต่างๆ ซึ่งหญิงสาวเช่นสุนทรีย่อมปรารถนาจะหลีกเลี่ยง หล่อนแลไปทางประตูห้อง บ่นอยู่ในใจว่าอาหารว่างทำไมจึงยังไม่เสร็จ แล้วเหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่บนเก้าอี้คงจะเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันเสาร์ ซึ่งความสะเพร่าของพนักงานกวาดห้องได้ทำให้ตกค้างอยู่ในที่อันไม่สมควร

ไม่เห็นช่องทางอื่นที่จะทำลายความเงียบอันน่ารำคาญได้ดีกว่าที่จะพูดเรื่องไม่เป็นสาระขึ้นสักคำสองคำ สุนทรีจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า “เอ๊ะ ! นั่นหนังสือพิมพ์อะไร?” แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์มาถือไว้

“อ้อ ! หนังสือพิมพ์เมื่อวาน” หล่อนพูดต่อไปมองดูพาดหัว แล้ววางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะตรงหน้า “หมู่นี้ข่าวหนังสือพิมพ์ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องศึกสเปน”

หลวงชาญฯ ยิ้มนิดหนึ่งเป็นเชิงรับคำแล้วก็เฉยอยู่

สุนทรีทนความรำคาญไม่ได้ จึงเริ่มแสดงความเห็น

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่า สเปนในสมัยนี้จะเป็นบ้าดีเดือดเท่ากับฝรั่งเศสเมื่อสองร้อยปีก่อน”

ได้ชมอาการยิ้มจากผู้ฟังเป็นคำรบสอง

“อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นเผาเมืองตัวเอง” หล่อนพูดต่อไป “แล้วก็ฆ่ากันเองอย่างสนุก น่าทุเรศจัง ทำไมถึงบ้าเลือดได้มากถึงเพียงนั้น”

“ก็คนสเปนเลือดร้อนนี่ครับ” หลวงชาญฯ ตอบเรื่อยๆ “แล้วบ้านเมืองถึงจะอยู่ในยุโรปก็จริง แต่ก็เป็นเมืองร้อนมาก เพราะถูกภูเขาล้อมรอบ ได้อากาศร้อนจากแอฟริกามากกว่าได้อากาศยุโรป”

“หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสฉบับหนึ่งเขียนว่า สงครามกลางเมืองสเปนเป็นสงครามศาสนามากกว่าสงครามการเมือง เขาให้สถิติพระที่ถูกฆ่าถึง ๑,๕๐๐ คน มีการขุดศพพวกชี พวกพระขึ้นทำอุจาดต่างๆ มีพวกผู้หญิงไปร้องรำทำเพลงรอบศพที่ขุดขึ้น พ่อพวกหนุ่มๆ ก็เอาปืนไปเที่ยวยิงรูปปั้นพระเยซู แล้วก็ทำลายโบสถ์วิหารซึ่งเป็นศิลปแห่งชาติของตัวเองแท้ๆ” จิตใจตกเป็นทาสแก่ความพยายามของตนเอง น้ำเสียงสุนทรีก็มีกังวานหนักแน่นขึ้น “สงครามศาสนาในยุโรปเวลานี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย”

“ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่ามนุษย์ไม่เคยเจริญขึ้นเลย นิสัยสัตว์ป่า ชอบแย่ง ชอบข่มเหง ชอบฆ่า ชอบฟันเคยมีอยู่อย่างไร ก็ยังมีอยู่อย่างนั้น ชั่วแต่วิธีที่ทำน่ะเก๋ขึ้นหน่อย แทนที่จะกัด หรือขวิด หรือชน ก็ถืออาวุธ ปล่อยอาวุธเข้าสู้กันเท่านั้นเอง สงครามสเปนน่ะที่ยืดเยื้อเป็นบ้าเป็นหลังถึงเท่านี้ก็เพราะว่า ถูกต่างชาติช่วยกันยำใหญ่เสียด้วย”

“ดิฉันออกจะเห็นด้วยค่ะ เพราะเคยคิดถึงเหตุผลต่างๆ ทั้งที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ ทั้งที่ทำให้เกิดศึกกลางเมือง ไม่เห็นน่าจะเป็นเหตุที่ต้องฆ่าฟันกันจนยับสักเรื่องเดียว”

หลวงชาญฯ มีอาการคิดอย่างเพ่งเล็ง และดูเหมือนจะคิดเห็นข้อขำอย่างใดอย่างหนึ่ง ริมฝีปากของเขาเผลอยิ้มแล้วเขาพูดว่า

“มนุษย์ฆ่ากันเพราะความอยากอย่างเดียว ที่เป็นคนฆ่าก็เพราะไอ้อยากนี่ ที่ถูกฆ่าก็เพราะไอ้อยากนี่ ที่ระวังตัวกลัวถูกฆ่าก็เพราะได้อยาก ที่จ้องจะคอยฆ่าก็เพราะได้อยากอีก แต่ว่าเขาก็สร้างคำพูดต่างๆ ขึ้นบังหน้า ‘เพื่อความยุติธรรม’ ‘เพื่ออิสรภาพ’ โกหกทั้งเพ ‘คำ’ เท่านั้นเองไม่ได้มีความหมายอะไร แล้วก็อุตส่าห์มีคนเชื่อถือ ถึงกับแสดงความเห็นว่ามนุษย์รบกันเพราะความเห็น คือมีความเห็นต่างกันจึงได้รบกัน”

“เป็นการให้เกียรติยศมากเกินไปหรือคะ?”

“ครับ มากเกินไปมากทีเดียว”

คนใช้ยกถาดของว่างเข้ามา สุนทรีชี้ให้วางแล้วก็ขยับตัวขึ้นให้ตรง ตรวจดูอาหาร

“อุ๊ย ! แม่ค้าข้าวเกรียบช่างรักชาติมากจริง” หล่อนพูดแกมหัวเราะ เมื่อยกจานที่ใส่ของสิ่งนั้นวางให้ตรงหน้าแขกของหล่อน “ธงชาติน่ะข้าวเกรียบปลาค่ะ อีกข้างหนึ่งข้าวเกรียบกุ้ง รังเกียจไหมคะ เวลาเห็นสีทาอยู่บนขนมหรือของรับประทานอื่นๆ ดิฉันไม่รังเกียจ แต่เกลียด”

อีกฝ่ายหนึ่งมองดูหล่อนแล้วก็ยิ้ม ไม่ตอบว่ากระไร

ที่น้ำชาและเครื่องดื่มมาถึงพร้อมกัน สุนทรียกมือแตะขวดโซดาแล้วกล่าวว่า “แหม ! เย้นเย็น.....” มองไปทางแขกของหล่อน “โปรดช่วยตัวเองนะคะ ดิฉันผสมส่วนไม่ถูก”

หล่อนเริ่มรับประทานขนมปังเดิม หลวงชาญฯ ผสมวิสกี้โซดา แต่หล่อนรับประทานต่อไปไม่ได้เท่าไรเพราะเมื่อแขกของหล่อนใช้วิธีจิบวิสกี้แล้วก็วางถ้วย พิงเก้าอี้มองดูหล่อน แล้วจิบวิสกี้อีก แล้ววางเสีย มองหล่อนอีก ดังนี้บ่อยเข้า ถึงแม้ดวงตาที่มองไม่มีแววแห่งความหมายอันใดพิเศษ สุนทรีก็เกิดความกระดาก ที่ตนมากลายเป็นภาพแห่งคนเคี้ยวอาหารให้อีกคนหนึ่งดู

ดังนั้นหล่อนจึงเลียนแบบเขา คือ เลิกรับประทานขนมปังผสมน้ำชา แล้วก็ทำการจิบแล้ววางช้อน คนแล้วจิบแล้ววางอีก

ในระหว่างนั้นหล่อนเอ่ยขึ้นว่า

“เห็นรูปผู้หญิงสเปนแต่งตัวเป็นทหาร ดิฉันขวางจริง”

“ทำไมถึงขวาง” หลวงชาญฯ ว่า “ควรจะดีใจว่าผู้หญิงก็ทำอะไรๆ ได้เท่าผู้ชาย ดังที่เห็นผู้หญิงสเปนเป็นพยาน”

“ผู้หญิงทำอะไรๆ ได้เท่าผู้ชายมานานแล้ว” หญิงสาวตอบ ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย และยิ้มอย่างสดใส “แต่ดิฉันชอบให้ทำเงียบๆ เมื่อจำเป็น ไม่ชอบให้เที่ยวตะโกนอวดใครๆ ถ้าตะโกนกันนักก็ชักขวาง อยู่ดีๆ เที่ยวอวดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ตีรันฟันแทงมนุษย์ได้ ไม่เห็นน่าเอ็นดูสักนิด”

“ขอโทษเถอะครับ” แขกของหล่อนกล่าวพลางยิ้ม “นั่นเป็นเพราะคุณชอบหลอกตัวเองใช่ไหม?”

“หลอกยังไงคะ? ดิฉันไม่ชอบอวดต่างหาก”

“แต่ในบางกรณี มันจำเป็นต้องอวดนี่ครับ เพื่อปลุกใจให้คนอื่นเอาอย่าง”

“ดิฉันมองไม่เห็นความจำเป็น”

ฝ่ายเขาหัวเราะ และดูเหมือนจะนิ่งเสียเพราะไม่อยากจะเถียงต่อไป มากกว่าที่จะนิ่งเพราะจำนนต่อเหตุผล

“ไม่รับประทานขนมปังทาน้ำพริกผัดนี่มั่งหรือคะ?” สุนทรีพูดขึ้นอีก “ค่อยมีรสเค็มมากขึ้นหน่อย ข้าวเกรียบเห็นจะจืดไปสำหรับรับประทานกับเหล้า”

หลวงชาญฯ ทำตามที่หล่อนแนะนำ แล้วเกิดนึกสนุกจึงพูดว่า

“ในกรณีศึกสเปนน่ะ จำเป็นที่จะต้องอวดว่ามีทหารผู้หญิงสำหรับให้ฝ่ายศัตรูเห็นว่าพวกมาก เป็นพยานว่าตนเป็นฝ่ายถูก”

“อีกนัยหนึ่ง จะดูให้เป็นว่าสิ้นคิดจนถึงต้องใช้ทหารผู้หญิงก็ได้”

เขาแย้งหล่อน หล่อนก็แย้งตอบ ผลัดกันไปมา แล้วแนวแห่งการสนทนาของทั้งสอง ก็เหจากเหตุการณ์ในสเปนมาเข้าเรื่องเหตุการณ์ในบ้านเมืองของเขาเอง

ใกล้จะย่ำค่ำ ฝนขาดเม็ด หลวงชาญฯ ลากลับ เมื่อรถที่เขาขับเองแล่นวงตามรอบสนามไปสู่ประตูบ้าน สุนทรียืนมองตาม ยิ้มในหน้าพลางปรารภกับตัวเอง

“ชอบพูดเรื่องเป็นงานเป็นการ ไอ้เราก็ไม่รู้”

แต่ฝ่ายหลวงชาญฯ เมื่อขับรถไปตามถนน มิได้นึกถึงข้อความอันเป็นความคิดเห็นของสุนทรี สิ่งที่เขานึกถึงเวลานั้น คือกิริยาของหล่อนเมื่อแตะขวดโซดาด้วยปลายนิ้ว แล้วกล่าวแก่เขาว่า “โปรดช่วยตัวเองนะคะ” นั้น ดูแช่มช้อยยิ่งนัก และลักษณะยิ้มของหล่อนก็ติดตาเขามา

สุนทรีกลับขึ้นตึก พบประจิตรยืนกางแขนทั้งสองข้างเท้ากรอบประตูห้องของหล่อนอยู่ มองดูสีหน้าเขาแล้วหล่อนก็ถามว่า

“เอ๊ะ เจ้าของห้องไม่อยู่ ละลาบละล้วงเข้าไปทำอะไรในห้องเขาน่ะ?”

“หลวงชาญฯ เขามาว่ากระไร?” ชายหนุ่มถามแทนที่จะตอบ

“ไม่เห็นว่ากระไร บอกว่าอ่านหนังสือจนเมื่อยหัว ก็คงจะเที่ยวหาเพื่อนคุยแก้รำคาญ เผอิญเธอก็หลับเสียด้วย”

“หลับสนิท” เขารับ “ตื่นขึ้นนึกว่าเช้าแล้วด้วยซ้ำไป”

พูดพลางประจิตรหลีกทางช่องประตู สุนทรีเข้าในห้องหยุดยืนอยู่เคียงเขา ถามว่า

“แล้วยังไง เมื่อตื่นขึ้นพบว่ายังไม่เช้ายังงี้ จะทำอะไรต่อไป?”

เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม

“ไปดูหนังด้วยกันไหม?”

หล่อนย่นจมูกขึ้นเล็กน้อย แล้วว่า

“ไม่ไหว หนังคืนนี้คงไม่มีอะไรนอกจากเรื่องชกกันต่อยกัน เห็นตัวอย่าง ไม่เห็นมีอะไรสวยๆ งามๆ ที่จะดูเสียเลย”

“งั้นทำไง? ไปไหนดี?”

หล่อนมองดูเขาอีก แล้วก็หัวเราะ เป็นเหตุให้เขาถามด้วยความสงสัย

“หัวเราะอะไร?”

“หัวเราะเธอน่ะซี”

“รู้แล้ว ฉันน่ะถูกเธอหัวเราะวันละหลาย ๑๐ หนจนไม่อยากจะถาม”

“ไม่อยากถามก็ถามทำไมล่ะ?”

“ก็มันอดไม่ได้ เห็นหัวเราะก็อยากรู้ว่าหัวเราะดีหรือร้าย”

“หัวเราะดี” หล่อนลงเสียงตอบ “หัวเราะร้ายใครจะกล้ามาหัวเราะให้เห็น”

“ดีก็เล่าไป อธิบายว่าดีอย่างไร”

“หัวเราะว่าเธอน่ะเป็นคนที่น่าสงสาร มีความลำบากประจำตัวอยู่อย่างหนึ่ง คือว่า พอเย็นลงก็ไม่รู้จะเอาตัวไปวางไว้ที่ไหนถึงจะเป็นสุข”

“นั่นหรือหัวเราะดี?”

“อ้าว ก็สงสารเห็นใจจะเรียกว่าร้ายหรือ”

ฝ่ายเขาไม่ตอบ ออกเดิน ทำท่าตรึกตรองอยู่สักอึดใจหนึ่งก็ปรารภขึ้นว่า

“เรานี่เห็นจะต้องมีเมียไว้สักคนเสียแล้ว เอาที่ใจตรงกันเปี๊ยบ ไปไหนไปด้วยกัน กินไหนกินด้วยกัน นอนไหนนอนด้วยกัน”

“สองคำหลังน่ะพอจะเชื่อได้ แต่คำแรกน่ะแน่หรือต้องการอย่างนั้นแน่?”

“แน่ซี ให้มันพอเหมาะพอดีทำไมจะไม่แน่ นอกจากไปทำงาน ถ้าถึงกับไปทำงานก็ไปคอยเฝ้า มันก็เหลือทนไป”

“อ้าว ก็ไหนว่าไปไหน ไปด้วยกันยังไงล่ะ? ที่จริงน่ะถึงจะตัดไอ้ข้อทำงานออกไปเสีย เธอแน่ใจหรือว่าเธอไปไหนอยากให้เมียไปด้วยเสมอ?”

ชายหนุ่มหัวเราะออกมาทันที “ไอ้เราละมันช่างรู้ไปเสียหมด” เขาว่า แล้วพูดต่อไปโดยเร็ว “ไปเที่ยวด้วยกันเถอะน่ะ”

“ไปก็ไป แต่เธอต้องให้เวลาฉัน ๒๐ นาที ฉันยังไม่ได้อาบน้ำ”

“ได้” เขาตอบทันที ครั้นแล้วก็ต่อ “เอาแต่เพียง ๑๕ ไม่ได้หรือ?”

“เร็วที่สุดที่จะเร็วได้” สุนทรีตอบ

เจ้าหล่อนใช้เวลาเท่าที่ประจิตรขอร้อง แม้กระนั้นก็ได้ถูกเร่งจนหล่อนร้องว่า “หายใจไม่ทัน”

ในทันทีที่หล่อนขึ้นนั่งบนรถเคียงข้างเขา ประจิตรสตาร์ตเครื่องพลางพูดว่า

“สวยเช้งยังงี้ พาไปโชว์ที่ไหนถึงจะเหมาะ”

“ใครเขาแต่งตัวสำหรับโชว์ ที่เขาอยากจะโชว์คนต่างหาก” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะ “ถ้าเธอคิดยังไม่ออกว่าจะไปไหน ฉันจะชวนเธอไปบ้านคุณพระวนศาสตร์โกศล”

“ได้” เขารับโดยเต็มใจแล้วทวนคำของหล่อนในเสียงหัวเราะ “คุณพระวนศาสตร์โกศล ! อุตส่าห์เรียกเสียออกยืดยาว”

หล่อนหัวเราะอีก แล้วว่า “ไม่เรียกให้ครบเดี่ยวเธอจะไม่รู้ว่าใคร ถ้ายังไงเรากินข้าวเสียที่นั่นเอาไหม?”

“ก็ได้ ถ้าคุณอาเลี้ยงเหล้า ถ้าไม่เลี้ยงละก็ไม่กิน”

หล่อนค้อนให้ทันที และนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เห็น เพราะมัวแต่มองดูทาง จึงต้องบอกให้เขารู้

“หมั่นไส้ เกลียด ไม่อยากมาด้วย”

ประจิตรถอนเท้าจากที่เร่งน้ำมัน ทำให้รถช้าลงทันใด พร้อมกันนั้นเขาพูดว่า “ลงเสียที่นี่รึ?” แต่เมื่อถามยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้ใช้เท้าเร่งน้ำมันขึ้นดังเก่า

สุนทรีจึงว่า

“ทำไมไม่หยุดล่ะ ฉันจะได้ลง”

“งอนราวกับสาวอายุ ๑๕” อีกฝ่ายหนึ่งกล่าว “เขาสงสารว่าจะต้องเดินกลับบ้านหรอกน้า”

“ธุระอะไรจะต้องเดิน ยังกับหารถยากเสียเต็มที”

ฝ่ายเขาไม่ตอบ สุนทรีก็นิ่งเงียบไปด้วย รถแล่นไปในกำลังเร็ว ๓๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ประจิตรนึกถึงสิ่งไม่เป็นชิ้นเป็นอันต่างๆ แล้วแต่สมองจะชักไป สุนทรีนึกเคืองคำที่ประจิตรแสดงความพอใจในการดื่มถึงเพียงนั้น เกิดความรู้สึกหนักอก ดังที่หล่อนต้องหนักบ่อยๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวของชายหนุ่มผู้นี้

ต่อมาอีกไม่ช้า รถก็มาถึงที่หมาย

ก่อนที่จะลงจากรถ ประจิตรพูดกับสุนทรีเบาๆ ว่า

“ที่นี่น่ะไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ชอบมานะ แต่เบื่ออย่างเดียวแหละ มาถึงไม่รู้จะพูดอะไร คุณเอาท่านไม่พูดเสียเลย”

“ก็ท่านมีเมียไว้พูดแทนแล้วนี่นา”

น้ำเสียงที่สุนทรีกล่าวตอบนั้นก็เป็นเสียงปกติ แต่ผู้พูดและผู้ฟังคู่นี้ย่อมจะรู้ถึงใจซึ่งกันและกัน แม้ในคราวที่ไม่ทันตั้งความสังเกต ฉะนั้นประจิตรจึงว่า

“เธอควรจะขอบใจพระเจ้า ที่มีแม่เลี้ยงเป็นคนช่างพูดหน่อย ไม่ยังงั้นแขกที่เขามาที่นี่ เขาจะทำยังไง?”

“ถ้าไม่มีเมียคอยพูดแทน คุณพระก็คงพูดเองได้ คนเราน่ะ ถ้าลงเห็นใครทำอะไรจนเบื่อเสียแล้ว ตัวเราเองก็เลยขี้เกียจทำ”

โต้แย้งกันมาเช่นนี้จนถึงบนเรือน พอคนใช้คนหนึ่งสวนทางมา ประจิตรจึงถาม

“คุณอาอยู่ไหม?”

แต่สุนทรีสังเกตเห็นว่าคนใช้ผู้นั้นเป็นผู้ที่มาอยู่ใหม่ จึงอธิบายต่อ

“คุณพระน่ะจ้ะ ท่านอยู่ไหม?”

“อยู่ครับ อยู่ข้างบน”

“ท่านทำอะไรรู้ไหมจ๊ะ?”

“ไม่ทราบครับ”

“ภรรยาท่านล่ะ?”

“ไม่อยู่ครับ พาคุณเล็กๆ ไปดูหนัง”

“เอ๊อ ยังงั้นเราขึ้นไปข้างบนกันเถอะ” สุนทรีกล่าวแก่ประจิตร “หรือเธอจะอยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะขึ้นไปดูว่าท่านทำอะไร” แล้วเสริมเมื่อเห็นคนใช้เดินห่างไปแล้ว “วันนี้เผอิญยามปลอด”

ประจิตรเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ในห้องที่ติดกับเฉลียง สุนทรีขึ้นบันไดไปชั้นบน เข้าในห้องอันเป็นที่ๆ เจ้าของบ้านใช้นั่งเล่นนอนเล่น เกือบตลอดทุกชั่วโมงที่ท่านอยู่บ้าน ก็พบคุณพระวนศาสตร์โกศลกำลังอ่านหนังสืออยู่

เงยหน้าขึ้นเห็นหญิงสาว คุณพระวางหนังสือลงไว้บนตัวแล้วทักว่า

“อ้อ สุนทรี พ่อบ่นอยู่เมื่อวานนี้เอง ว่าหายไปหลายวัน”

สุนทรีเดินไปคุกเข่าตรงหน้าคุณพระ แล้วน้อมตัวลงไหว้อย่างนอบน้อม

“มาคนเดียวหรือ?” คุณพระถาม

“มากับคุณประจิตรค่ะ”

“อ้าว อย่างงั้นก็ลงไปคุยกับเขาข้างล่างซี” แล้วคุณพระก็ลุกขึ้นจากที่

พ่อลูกออกจากห้องพร้อมกัน และลงบันไดมาด้วยกันเงียบๆ จนถึงที่ๆ ประจิตรนั่งอยู่ พระวนศาสตร์ฯ จึงพูดขึ้น

“ไง ประจิตรสบายดีหรือ?”

“สบายครับ” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับทำความเคารพ

คุณพระนั่งลงบนเก้าอี้ตรงหน้าประจิตร สุนทรีนั่งเหลื่อมไปทางเบื้องหลังเล็กน้อย แล้วเจ้าของบ้านพูดว่า

“แม่ละม้ายเขาไม่อยู่เสียแล้ว ไปดูหนังกับลูก”

ชายหนุ่มมองไปทางสุนทรีด้วยนึกขำในใจ แล้วจึงกล่าวตอบ “คุณอาทำไมไม่ไปดูด้วยล่ะครับ”

คุณพระยิ้มนิดหนึ่ง และตอบสั้นๆ อย่างไม่เอาใจใส่

“ไม่ค่อยชอบ”

แล้วท่านมองไปทางบุตรี ในกิริยาที่คล้ายกับท่านไม่มีสิ่งใดจะทำดีกว่านั้น และดูเหมือนกับว่าท่านมีความพอใจแล้วที่จะได้นั่งอยู่นิ่งๆ ตรงหน้าลูกและผู้ที่ท่านนับว่าเป็นหลาน

แต่ประจิตรเป็นผู้ที่ทนต่อความนิ่งไม่ได้นาน แม้จะนึกสนุกในข้อที่คุณพระได้แสดงตน ตรงกับคำพูดของเขาที่กล่าวแล้วแก่สุนทรีเมื่อแรกมาถึง ก็อดทนดูใจคุณพระอยู่ต่อไปไม่ได้เท่าไร ในที่สุดเขาก็ต้องทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ตกลงวันนี้คุณอาจะต้องรับประทานข้าวคนเดียวหรือครับ”

คุณพระพยักหน้า

“ผมอยากรับประทานด้วย”

คุณพระยิ้มแล้วตอบว่า “ดี”

ชายหนุ่มเว้นระยะ เพื่อรอฟังว่าท่านจะพูดต่อไปหรือไม่ เห็นท่านไม่พูดจึงพูดต่อ

“อย่างคุณอา เห็นจะไม่เดือดร้อนนะครับ เวลาต้องรับประทานข้าวคนเดียว” หยุดรออีกครั้งหนึ่งคุณพระก็คงยิ้มและนิ่งฟังอยู่เช่นเดิม ประจิตรจึงพูดอีก “ผมละไม่ได้ เกลียดจริง ถ้าจะต้องรับประทานคนเดียวละเป็นต้องขอเอารถออกจากบ้าน อย่างหาเพื่อนไม่ได้เลย คุยกับเจ๊กในร้านก็ยังดี ผมก็เหมือนคุณพ่อน่ะแหละ คุณพ่อรับประทานข้าวคนเดียวไม่เป็นเหมือนกัน ถ้าไม่มีคุณแม่ก็ต้องมีพี่สาวคนนี้” พยักหน้าไปทางสุนทรี “ถ้าไม่ยังงั้นก็พ่อลูกรถคนละคัน ต่างคนต่างออกไปเที่ยวหาเพื่อนคนละทาง”

สุดคำพูดของประจิตรเป็นครู่ พระวนศาสตร์ฯ จึงตอบว่า

“แล้วแต่เคย”

“ผมว่าแล้วแต่นิสัยมากกว่า”

คุณพระนึกถึงเวลาหนึ่งปีกับหนึ่งเดือนเศษ ที่ได้อยู่ร่วมกับมารดาของสุนทรี โดยมิได้แยกที่กินที่นอนจากกันแม้แต่สักครั้งสักหน ครั้นเจ้าหล่อนผู้นั้นล่วงลับไปเสีย หลังจากที่ได้ให้กำเนิดแก่สุนทรีเพียงเจ็ดวัน ความอาลัยรักที่ฝังอยู่ในใจคุณพระ ได้ทำให้คุณพระอยู่คนเดียวเป็นเวลานานถึง ๖ ปี การที่ต้องอยู่คนเดียวเพราะเหตุการณ์บังคับนี่เอง ทำให้ท่านเคยแก่การใช้ตัวเองเป็นเพื่อนมาจนถึงทุกวันนี้

“คุณอารับประทานข้าวกี่ทุ่มครับ?” ประจิตรถาม

“ตามเคยน่ะแหละ ทุ่มครึ่ง หรือก่อนนั้นก็ได้ แกหิวแล้วหรือ?”

“โอ๊ ! ยังครับ ยังไม่หิวเลย ถามไปยังงั้นเอง”

“คอแห้งกระมัง? สุนทรีไปบอกให้เด็กมันหาอะไรมาเลี้ยงไป๊”

“เปล่าครับ” ประจิตรค้านโดยเร็ว “หิวก็ไม่หิวแห้งก็ไม่แห้ง เมื่อจะออกจากบ้านผมรับประทานน้ำมาถ้วยแก้วใหญ่ ยังอิ่มอยู่”

“ไอ้ที่อาบอกให้เอามาเลี้ยงน่ะมันไม่ใช่น้ำนี่นา ถึงอิ่มก็กลืนลงไปอีกได้”

“เหล้าหรือครับ?” ประจิตรถาม ทำหน้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้สุนทรีเห็นขันและน่าเอ็นดู “ถ้ายิ่งเหล้าละก็ยิ่งไม่รับประทานใหญ่ ไม่รับประทานจริงๆ ครับ”

สีหน้าคุณพระเปลี่ยนจากลักษณะเฉยๆ เป็นครั้งแรกในขณะที่ถามว่า

“แกอดเหล้าเสียแล้วหรือประจิตร?”

“เสียแล้ว” สุนทรีทวนคำและหัวเราะเบาๆ “ทำไมใช้คำว่า ‘เสีย' ล่ะคะ?”

“ผมกำลังจะเรียนถามว่า คุณอาทำไมถึงมีเหล้าไว้ในบ้าน?”

“เดี๋ยวนี้มีเสมอ เอาไว้ดูดคน เพราะถ้าเหล้าไม่ติดบ้านเพื่อนก็ไม่ติดเหมือนกัน” แล้วหันไปทางธิดา “ที่ใช้คำว่า ‘เสีย’ เมื่อตะกี้ ก็เพราะเหตุที่ว่านี่แหละ”

“แต่คุณประจิตรน่ะ เหล้าไม่เพียงแต่ติดบ้าน มันท่วมบ้านเลย” สุนทรีว่า

ฝ่ายเขาตอบอย่างหน้าตาเฉย “ขวดเปล่าละกระมังที่ท่วม เธอไม่ช่วยขายเจ๊กเสียมั่งนี่ เหล้าน่ะไม่มีท่วมละ”

มีคนน้อยคนที่จะเฉยเมยต่อความช่างพูดของประจิตรอยู่ได้นาน ฉะนั้นคุณพระจึงถาม

“แล้วทำไมวันนี้ถึงจะมาทำแห้ง หรือไม่เชื่อว่าที่นี่จะมีเหล้าดีๆ ให้กิน?”

“โอ๊ย ! เชื่อซีครับ ทำไมจะไม่เชื่อ คุณพ่อเคยพูดเสมอว่า คุณอาคอสูงเป็นที่หนึ่ง เหล้าเลวไม่มีแตะ แต่ว่าวันนี้ผมขอตัวครับ ขอไม่รับประทาน”

“ถ้าขอก็ต้องยอมให้” คุณพระว่า

ประจิตรทำอาการถอนใจอย่างโล่งอก

ต่างคนต่างนิ่งกันไปเป็นครู่ แล้วท่านเจ้าของบ้านทำลายความเงียบขึ้นเป็นครั้งที่หนึ่ง

“เออ ! ไอ้เรื่องที่แกขับรถไปชนคนตายน่ะเป็นอย่างไร?”

“เรียบร้อยไปนานแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบ “เสียไป ๑,๘๐๐ บาท”

“ถูกมาก สำหรับชีวิตคนๆ หนึ่งที่เสียไป”

“ผมไม่ได้ต่อสู้หรือแย้งเลยสักคำ เจ้าหน้าที่ว่ายังไงก็เอายังงั้น เซ็นเช็คให้ทันที”

สุนทรีอุทานขึ้นในบัดนั้น

“ต๊าย ! พูดถึงเรื่องนี้ ฉันว่าจะบอกอะไรเธออย่างหนึ่ง รู้เรื่องมาตั้งแต่วันศุกร์แล้วก็ลืมเสีย นี่หากว่า...มาพูดกันขึ้น นักเรียนเข้าใหม่คนหนึ่ง อ้อ, คนที่ไปที่บ้านเมื่อเดือนก่อนน่ะ เธอเป็นคนพบเขาก่อนแล้วถึงได้วิ่งขึ้นไปบอกที่ห้องฉัน จำได้ไหมล่ะ?” ประจิตรทำท่าฉงนแล้วพยายามคิด? แต่แล้วก็ส่ายหน้า สุนทรีก็ค้อนให้นิดหนึ่งแล้วจึงเล่าต่อไป “สงวนแกเล่าให้ฟังเมื่อวันศุกร์ว่า ลูกสาวคุณหลวงที่ตายนั่นน่ะ กำลังเรียนอยู่ที่จุฬาลงกรณ์ เป็นนักเรียนอักษรศาสตร์ปีที่หนึ่ง แต่พอพ่อแกตาย แกไม่มีทุนหรือยังไงของแกก็ไม่รู้ เลยออกไปเฉยๆ ไม่ได้ลาออกด้วย”

“เรอะ ! ตายห่า” ประจิตรอุทาน ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง สีหน้าแสดงความร้อนใจโดยจริงจัง “ก็เงินตั้งเกือบสองพันไม่พอหรือ ค่าเรียนจุฬาลงกรณ์ปีละเท่าไหร่กัน?”

“เราไม่รู้น่ะซี ว่าต้องออกไปเพราะเรื่องอะไรกันแน่ ยายสงวนเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินแต่เพื่อนๆ เขาเล่ากันมาอีกต่อหนึ่ง”

“บ้าจริงแฮะ” ประจิตรร้อง แล้วนิ่งอั้นไปอึดใจหนึ่ง ภายหลังจึงร้องขึ้นอีก

“พิโธ่ ! โง่ไปได้ ! ไปถามเขาดูก็แล้วกัน บ้านเขาเราก็รู้จัก เดี๋ยวออกจากนี่แล้วตรงไปเลย”

“อะไรไปหาเขากลางค่ำกลางคืน” สุนทรีค้าน

“ฮึ ! ก็มีเธอไปด้วยแล้วยังไงล่ะ มีผู้หญิงไปด้วยเป็นประกันได้ดี เขารู้ว่าเราไม่ได้ไปปล้นบ้านเขา”

“แปลว่าบทจะไปไหนขึ้นมาก็ต้องไปให้ได้?”

“ไม่ใช่ยังงั้นหรอก แต่เรื่องนี้ฉันรำคาญ ต้องให้มันเสร็จๆ ไปเสีย ไม่ยังงั้นคืนนี้ก็นอนฝันถึงอีตาหลวงคนนั้นอีกเท่านั้น ยิ่งไม่มีเพื่อนนอนอยู่ก็”

พระวนศาสตร์ฯ สนับสนุนขึ้นว่า

“ถูกแล้ว อาก็เห็นใจ”

ประจิตรกับสุนทรีไปถึงบ้านอันเคยเป็นที่อยู่ของหลวงประเสริฐฯ ราว ๒๑ นาฬิกาเศษ หยุดรถไว้ที่ตรงหน้าประตู ประจิตรหันมาชวนสุนทรี

“ไปซี ไปด้วยกัน”

“ไปจัดการให้ประตูมันเปิดเสียก่อนเถอะ ฉันคงจะไปทันเธอหรอก” สุนทรีว่า

“ลงมาเถอะน่ะ ไปยืนอยู่ด้วยกันค่อยอุ่นใจหน่อย”

“เรื่องมากจริง”

หญิงสาวกล่าวแล้วเลื่อนตัวจากที่นั่งก้าวลงจากรถ

“เอ๊ะ ! ไอ้กระดิ่งมันอยู่ที่ไหน?” ประจิตรปรารภในขณะที่มองตรวจตามบานประตู พร้อมกับใช้มือคลำหาด้วย “มันเคยมีนี่นา”

“หากระดิ่งไม่ได้ก็เคาะเอาซีเธอ เราอยากจะมาเวลาวิกาลอย่างนี้ก็ต้องมีอะไรพิสดารหน่อยเป็นธรรมดา”

ประจิตรยังดื้อหากระดิ่งต่อไป แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้เมื่อตบประตูได้ ๒-๓ ครั้ง ก็ได้ยินเสียงกุกกักแว่วๆ ออกมาจากภายใน แล้วภายหลังก็ได้ยินเสียงพูดอยู่ใกล้ๆ ว่า

“มาอะไรป่านนี้ คุณหลวงไม่อยู่หรอกย่ะ”

สุนทรีหัวเราะพลางมองดูประจิตร แต่ฝ่ายเขาได้ผละถอยหลังห่างจากประตู และฉวยมือหล่อนกำไว้โดยแรงจนหล่อนตกใจ ภายหลังเขาจึงกระซิบว่า

“บอกไปทีซีว่าเราไม่ได้มาหาคุณหลวง”

“ไม่ได้มาหาคุณหลวงหรอกค่ะ มาหา....” หล่อนชะงักหันมาถามประจิตร “ตาคนนั้นแกชื่ออะไร?”

“ประพันธ์” ประจิตรกระซิบ

“มาหานายประพันธ์” สุนทรีบอกไป

“เอ๊ะ ! ประพันธ์ประแพ็นที่ไหนกัน” เสียงในบ้านตอบออกมา “คนชื่อประพันธ์ที่นี่ไม่มีย่ะ”

“บอกไปทีซีว่าลูกชายคุณหลวงชื่อประพันธ์”

“ก็เธอทำไมไม่รู้จักพูดมั่งล่ะ” หญิงสาวว่าแล้วก็อดไม่ได้จึงถามด้วยเสียงดังขึ้น “แต่ก่อนนี้นายประพันธ์อยู่ที่นี่ เขาเป็นลูกหลวงประเสริฐฯ ที่ตาย เวลานี้เขาไม่อยู่เสียแล้วหรือคะ?”

“ไม่รู้จักหลวงประเสริฐประแสดที่ไหน” เสียงในบ้านตอบออกมาอีก “จะมาหาผู้หาคนมาดึกดื่นป่านนี้ จนเขาจะหลับจะนอนกันหมดแล้ว”

“ขอโทษเถอะค่ะ” สุนทรีตอบอย่างอ่อนหวาน แต่ประจิตรฉวยข้อมือหล่อนฉุดให้ออกเดินโดยแรง ส่วนปากของเขาก็พูดว่า

“อย่าไปพูดด้วยอีกเลย คนปลาร้าอะไรก็ไม่รู้”

สุนทรีได้ยินเสียงในบ้านตอบออกมาอย่างฉุนเฉียว แต่ประจิตรไม่เปิดโอกาสให้หล่อนจับความได้ชัด พึมพำสบถสาบาน พลางรุนหลังสุนทรีให้ขึ้นรถ แล้วเหยียบสตาร์ทออกรถจากที่นั้นโดยแรง

พอรถแล่นไปโดยเรียบเป็นปกติแล้ว สุนทรีก็หัวเราะขึ้นพร้อมกับมองดูหน้าเพื่อนร่วมทางของหล่อนและว่า

“เราแปลกไปเขาก็แปลกมา ยายนั่นจะนึกว่าผู้หญิงมาตามผู้ชายในบ้านของแกเวลาดึกดื่นก็ได้ เธอก็ไม่พูดจาให้แกเข้าใจด้วย บทจะมาก็จะมาให้ได้ ครั้นมาแล้วก็ไม่พยายามให้ได้เรื่องได้ราว”

“ก็ใครจะยืนฟังยายเปรตนั่นสำรากอยู่ได้”

“ก็ช่างแกปะไร วัวใครเข้าคอกคนนั้น แกไม่รู้ว่ามีเธอเป็นผู้ชายไปด้วย แกได้ยินเสียงฉันเป็นผู้หญิงมาถามหาผู้ชายเวลามืดๆ ค่ำๆ แกก็เกิดความหมั่นไส้เท่านั้นเอง”

“โอ๊ย ! ตั้งแต่แกยังไม่ได้ยินเสียงเธอ แกก็สำรากออกมาแล้วละ”

“แล้วเธอก็ตื่นจนฉันก็พลอยตื่นไปด้วย”

ประจิตรนิ่งไปเป็นครู่ ภายหลังจึงตอบด้วยเสียงปร่าๆ พิกล

“พิลึก พอได้ยินคำว่าคุณหลวงเท่านั้นแหละขนลุกเกรียว”

สุนทรีเบือนหน้าไปจ้องดูเขาเต็มตา เกิดความรู้สึกพิศวงด้วยขันด้วย และสมเพชด้วยระคนกัน

“ฉันเชื่อว่าเราไปผิดบ้านมาแล้ว ไอ้บ้านนั้นมันไม่ใช่บ้านหลวงประเสริฐ” หล่อนพูดแกมหัวเราะ

“ไอ้ผิดน่ะไม่ผิดแน่ เรื่องถนนฉันไม่เคยหลง” เขายืนยันอย่างหนักแน่น

“ไม่ผิดถนนก็ผิดบ้าน”

“บ้านก็ไม่ผิด ฉันจำได้แม่นที่สุด อะไรที่เกี่ยวกับคืนวันนั้นฉันจำได้ทุกอย่าง”

“ไม่ผิดทำไมสุ้มเสียงมันแปลกยังงั้น”

เขาย้ำคำถามของหล่อนอยู่ในใจ แต่ตอบตัวเองไม่ได้จึงนิ่งอยู่

ทั้งสองไม่พูดว่ากระไรต่อกันอีก ประจิตรขับรถเร็วมากและเพ่งสายตาไปตามทางตรงหน้า สุนทรีมองดูสภาพต่างๆ ตามริมถนน และรู้สึกว่ามีลมฝนพัดมาแต่ที่ไกล อีก ๒-๓ นาทีต่อมา รถเลี้ยวมุมถนนที่ผ่านหน้าบ้านของเขาทั้งสอง ก็ปรากฏว่าฝนกำลังตกหนาเม็ด และลมก็พัดแรง ฝนกระเด็นเข้ามาในรถด้านข้างทั้งสองข้าง สุนทรีร้องขึ้นเบาๆ ด้วยความตกใจ พยายามจะหลบ แต่เมื่อเห็นว่าหลบไม่พ้นก็หัวเราะ และพูดว่า

“เราเสียท่าเสียแล้วเธอ ฝนตกไม่ทั่วฟ้า”

“ตกมาแล้วทั้งวันยังไม่พออีก” ประจิตรบ่น มองดูหญิงสาวอย่างเป็นห่วง “เสื้อคลุมหรือผ้าพันคอก็ไม่มีหรือนั่น?”

“ไม่มี” เจ้าหล่อนตอบเรื่อยๆ “ช่างมันเถอะจะถึงบ้านอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”

เมื่อเขาทั้งสองถึงที่อยู่ ต่างฝ่ายต่างเปียกเกือบทั้งตัวด้วยกัน สุนทรีเตือนประจิตรให้ผลัดเสื้อผ้าโดยเร็ว ทั้งกำชับให้เขาเช็ดตัวให้แห้งจนรู้สึกอบอุ่นด้วย ฝ่ายเขาก็กำชับให้หล่อนใช้น้ำมันกันหวัดดมและทาในที่ควร

“ฉันไม่เคยเป็นหวัดเพราะฝน” สุนทรีตอบ “ว่าแต่เธอเถอะ”

“โอ๊ย ! ฉันน่ะกินเหล้าถ้วยเดียวหวัดก็วิ่งหนี”

“ท่าจะกระหายมาเต็มที” หญิงสาวว่า “ราตรีสวัสดิ์ ! หวังใจว่าจะนอนกอดขวดเหล้าหลับสบาย” พูดแล้วหล่อนก็วิ่งขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน

แต่เมื่อสุนทรีเช็ดตัวแห้ง หยิบกางเกงสำหรับใส่นอนสวมเข้ากับตัวเสร็จ ยังมิทันจะใส่เสื้อ ประจิตรก็มาที่ประตูห้อง

“ตาย ! ดู!” หญิงสาวร้อง รีบหันหลังให้เขาเสียทันที “จะเข้ามาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียง เขากำลังแต่งตัวไม่เห็นรึ”

“ก็แต่งไปซีนะ เขาไม่ดูหรอก” ประจิตรตอบ ตาจับอยู่ที่พื้นหลังอันขาวผ่องอยู่นอกผ้าเช็ดตัว

“หลับตาเสีย” สุนทรีสั่ง

“หลับแล้ว หลับปี๋ทีเดียว” ประจิตรตอบอีก มิได้ถอนสายตาจากที่หมายเดิม ต่อเมื่อตัวเสื้อคลี่คลุมมาจากบ่าถึงเอวหญิงสาวแล้ว เขาจึงหมุนตัวหันข้างให้หล่อน ก็พอดีหล่อนหันหน้ามาทางเขา

“เช็ดตัวแห้งหรือเปล่า?” หญิงสาวถาม นำผ้าเช็ดตัวไปแขวนไว้ยังที่ และหยิบเสื้อคลุมสวมทับเสื้อนอนซึ่งทำด้วยแพรอันมีเนื้อที่ค่อนข้างน้อย

“หนาวหรือ?” ประจิตรถาม แทนที่จะตอบคำถามของหล่อน

“เปล่า ! กำลังอุ่นสบาย”

“ยังงั้นเอาเสื้อคลุมใส่เข้าไว้ทำไม เสื้อข้างในออกพริ้ง?”

“ขอบใจ แต่มันเป็นเสื้อสำหรับใส่นอน ไม่ใช่สำหรับนั่งหรือใส่เดิน”

“ก็เชิญนอนซี จะได้ชมเป็นขวัญตา”

“แหม ! ชอบเอามากเทียวหรือ ประเดี๋ยวจะถอดเอาไปแขวนให้ชมบนเตียงนอนเอาไหม?”

ฝ่ายเขามองจับสายตาหล่อน นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า

“ถ้าจะกรุณาละก็โปรดไปทั้งตัวคนใส่ทั้งตัวเสื้อ สัญญาว่าจะชมโดยมิให้แม้แต่สักนิด”

หล่อนทำเหมือนไม่รู้เท่า เบือนหน้าจากเขา เดินห่างไป ๒-๓ ก้าว แล้วหันกลับมาถาม

“ยังไม่นอนอีกหรือ หรือจะไปไหนต่อไหนอีก ฝนก็ดูเหมือนจะซาแล้ว?”

“นี่แปลว่าจะไล่ยังงั้นหรือ หรือประชด?”

“เปล่า ! ถามซื่อๆ” แล้วหล่อนก็หัวเราะ

“ถึงไล่ก็ไม่ไป ประชดก็ไม่ดัน” ประจิตรกล่าว เดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ “ไม่มีใจสำหรับสนุกเสียแล้ว”

หล่อนไม่แน่ใจว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริง แต่ใจก็นึกถึงกฎธรรมดาของชาย ยามสุขยามสบายก็เตร็ดเตร่ไปนอกบ้านกับสหายชายหญิง แต่เมื่อยามร้อนจึงจะหันหน้าเข้าหามิตรในเรือน คือแม่หรือเมีย ตัวสุนทรีเองมิได้อยู่ในฐานะแห่งหญิงสองประเภทที่กล่าวนี้ แม้กระนั้นก็ได้เป็นผู้ที่ประจิตรหันหน้าหาอยู่บ่อยๆ

เดินไปนั่งยังเก้าอี้นอน ที่หล่อนใช้เป็นที่นอนพักในยามว่าง แล้วสุนทรีถามอย่างอ่อนโยน แต่มีน้ำเสียงแกมเล่นเจืออยู่ด้วย

“มีความเดือดร้อนเรื่องอะไรจ๊ะ?”

“ไอ้ทิดประพันธ์มันไปอยู่ที่ไหนเสียก็ไม่รู้”

“อ๋อ ! เท่านั้นเอง พรุ่งนี้กลับจากทำงานไปดูที่บ้านนั้นอีกทีซี เชื่อว่าจะได้ความเป็นแน่”

“แล้วไอ้ก่อนพรุ่งนี้ล่ะ?”

“ก่อนพรุ่งนี้ก็นอนน่ะซี”

“เธอน่ะซีนอนได้ ฉันน่ะนอนไม่ได้หรอก”

“อ้าว ! นอนไม่ได้? ยังงั้นก็ไปรับยามแขกยาม เจ้าแขกจะได้นอนหลับเต็มอิ่มสักคืนหนึ่ง”

ประจิตรลุกจากที่นั่งโดยแรง สุนทรีใจหายเล็กน้อยด้วยคิดว่าเขาโกรธ แต่เมื่อวงหน้าของเขาต้องแสงสว่างเต็มที่ หล่อนก็รู้หล่อนหวาดไปเอง ประจิตรสาวเท้าเข้ามาที่หล่อน ปากพูดว่า “เธอนี่ร้ายกาจ” ชะโงกตัวเข้าใกล้หล่อน เท้าแขนสองข้างลงบนพนักเก้าอี้คล่อมบ่าหล่อนไว้ “เดี๋ยวกัดเสียหรอก”

“ว้าย ! อย่าเล่นนะ” สุนทรีร้อง ยกแขนขึ้นบังหน้า “ถอยไป! เล่นอะไรไม่รู้เหม็นเหล้า”

“แน่ะ !” ถึงคราวประจิตรร้องบ้าง ถอยห่างจากหล่อนด้วยความที่นึกขันอย่างจริงจัง “นี่หาความแท้ๆ ทีเดียว ตั้งแต่เช้าไม่ได้แตะเหล้าสักหยดเลย”

“อยากมารังแกเขานี่” สุนทรีว่าพลางหัวเราะกิ๊กๆ แล้วเปลี่ยนเสียงพูดเป็นงานเป็นการ “นั่งลงพูดกันดีๆ ตาประพันธ์คนนั้นเกี่ยวอะไรกับเธอถึงทำให้นอนไม่ได้”

“ตัวอีตาประพันธ์น่ะไม่เกี่ยวหรอก แต่ถ้าฉันได้ยินเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับครอบครัวนี้ละก็เป็นต้องเกิดกลัวตาหลวงประเสริฐฯ ขึ้นมาทุกที ยิ่งได้ยินว่าลูกแกเดือดร้อนยังงั้นยังงี้ก็ยิ่งบ้าใหญ่”

พูดแล้วประจิตรก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับสุนทรีนั่งอยู่นั้น

“มันเป็นเครื่องแสดงความมีใจเป็นธรรมของเธอ” หญิงสาวกล่าวชมโดยจริงใจ “แท้ที่จริงถ้าว่าด้วยกฎหมาย หรือว่ากันเป็นพื้นๆ ทั่วไป เธอก็พ้นจากการรับผิดชอบแล้วด้วยประการทั้งปวง”

“ก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างเธอว่า แต่อ้ายเส้นประสาทของฉันไม่ยอมฟังเหตุผลเสียเลย”

“เส้นประสาทของเธอ มันออกจะเป็นเอามากไปสักหน่อย เธอควรจะหัดบังคับมันไว้บ้าง ผู้ชายกลัวผี ! ฉันเห็นว่า....น่าอายเหลือเกิน”

“ฉันเกิดมายังไม่เคยกลัวผีใครเลย” ประจิตรตอบเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย “เพิ่งเคยกลัวตาหลวงประเสริฐฯ นี่แหละ”

“ยังงั้นก็ให้คนมานอนเป็นเพื่อน....”

“คนผู้ชายหรือผู้หญิง?”

หล่อนสำคัญว่า เขาต้องการความเข้มแข็งมั่นคงสำหรับบำรุงขวัญในตัวเขา จึงรีบตอบว่า

“ผู้ชายซี นายจี๊ดหรือนายเตี้ยของเธอ หรือทั้งสองคน....”

“ฮี ! ผู้ชาย ! ใครเขาต้องการ...? เพื่อนนอน....!”

หล่อนงงไปขณะหนึ่ง ภายหลังจึงค้อนให้แล้วพูดอย่างเคือง

“นี่ยังงี้ แล้วจะให้ฉันเชื่อน้ำมนต์เธอยังไง พูดเล่นเสียก็หาว่าใจดำ ครั้นพูดจริงเธอก็ไปเสียอีกทางหนึ่ง ต้องการยังไงก็จัดการเอาเองก็แล้วกัน ฉันสั่งให้ไม่ได้”

“โกรธแล้ว?” ประจิตรถาม แล้วถอนใจดัง “เฮ้อ !” ยกขาขึ้นพร้อมกันทั้งสองข้าง และเอนตัวหงายลงด้วยเจตนาจะให้ศีรษะวางตรงตักหญิงสาวพอดี เจ้าหล่อนรู้ทัน ก็ขยับขาหนี และฉวยหมอนสอดให้เขาพอเหมาะแก่เวลา

“ไวจังแฮะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางหัวเราะ เมื่อรู้สึกว่าศีรษะของตนกระทบกับสิ่งใดแล้ว แหงนหน้าช้อนตาขึ้นดูอีกฝ่ายหนึ่ง ยกมือกอดอกนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ภายหลังจึงว่า

“พี่สาวใจดำอย่างนี้ละก็ น้องชายเห็นจะต้องแต่งงานเสียแน่ๆ”

“ทำไมถึงใช้คำว่า ‘เสีย’” สุนทรีตอบทันที “การแต่งงานมีเมียเป็นหลักเป็นฐานน่ะเป็นของดี ไม่ใช่เสียเลยทีเดียว พี่สาวก็ตั้งใจคอยอยู่ทุกวัน ว่าเมื่อไหร่น้องชายจะหาน้องสะใภ้ให้สักคน หรือจะให้หาให้ก็จะพยายามหา”

ประจิตรนิ่งเสีย ภายหลังจึงเอื้อมมือไปคว้ามือหล่อนได้พร้อมกับพูดว่า

“วานฟังคำตอบหน่อยเถอะ” ดึงมือหล่อนข้ามศีรษะตัวเองมาวางตรงทรวงอกเบื้องซ้าย แล้วกุมมือนั้นไว้ “ฟังที่หัวใจของฉันมันตอบว่ากระไร?”

สุนทรีปล่อยมือของหล่อนให้อยู่ในที่บังคับ สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้น แต่หล่อนก็รีบฝืนให้เป็นปกติเสียโดยเร็ว

“ฉันไม่เห็นพูดว่ากระไรนี่เธอ” หล่อนพูดแกมหัวเราะ “เห็นแต่มันเต้นตุบๆ”

“มันตุบแรงกว่าเมื่อเธอยังไม่ได้จับมันมากทีเดียว” ประจิตรกล่าว แล้วพูดต่อด้วยเสียงเบาลงเกือบเท่ากระซิบ “มันตอบเธอว่าจะหาผู้หญิงมาเป็นเมียน่ะหาง่าย แต่กลัวจะหามาไม่ได้เหมือนสุนทรี”

หล่อนพยายามจะดึงมือกลับเข้าหาตัว แต่ประจิตรไม่ยอมปล่อย ชายแขนเสื้อคลุมของหล่อนระอยู่กับหน้าเขา ส่งกลิ่นหอมรวยๆ ช่วงแขนของหล่อนห่างจากหน้าเขาไม่เกินสองกระเบียด ผิวเนื้อละเอียดอ่อนขาวนวลล่ออยู่กับตา เขาคิดในใจ ถ้าเขาขยับหน้ามาทางขวาเพียงนิดเดียว ก็อาจที่จะจุมพิตแขนอันงามนั้นได้ถนัด แต่เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในตัวเขา

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ