๒๓
คณะเที่ยวไทรโยค ถึงที่หมายในตอนบ่ายวันที่ ๖ แห่งการเดินทาง
ภูมิลำเนาแถบนี้มีลักษณะแปลกประหลาด บางแห่งเป็นป่าก็ป่าอย่างแท้จริง ทั้งลำน้ำ หาดทราย เขาใหญ่ ต้นไม้ มีลักษณะชวนให้คิดเห็นว่าหวงแหนความอิสระไม่ยอมขึ้นต่ออำนาจของมนุษย์เหล่าใด จระเข้ในแดนนี้ก็เป็นจระเข้เจ้า เป็นที่เกรงขามแก่ชาวเรือ ลิงก็เป็นลิงที่ขึ้นอยู่แก่เจ้าแห่งขุนเขา มนุษย์ไม่บังอาจที่จะกล้ำกราย ตลอดจนถึงนกก็มีนางไม้เป็นที่พึ่ง ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในแถบนี้กล้าหาญพอที่จะทำร้าย
ในบางแห่งที่อยู่ห่างจากป่าไม่ถึงคุ้งน้ำ มีลักษณะเป็นบ้านก็เป็นบ้านอย่างแท้จริง เขาใหญ่กลายเป็นที่เที่ยว หาดทรายเป็นที่ลงเล่นน้ำ ต้นไม้เป็นที่ร่มเย็น และสัตว์ เช่น ปลาและจระเข้ ก็คุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอันดี
ดังนี้ เรือเที่ยวทั้งสองลำจึงเลือกที่ใกล้หมู่บ้านเป็นที่จอดเพื่อความปลอดภัย แต่ที่นั้นก็ไม่ไกลจากป่านัก เพราะความงามแห่งภูมิประเทศอันเป็นป่าแท้ๆ ย่อมเป็นที่พึงปรารถนาของนักเที่ยว
ครั้นเลือกที่ได้แล้ว ผู้โดยสารก็ย้ายจากเรือมาดมาลงเรือยนต์ แล่นขึ้นไปทางเหนือเพื่อชมภูมิประเทศอันแปลกตาต่อไป และเพื่อจะได้อาบน้ำที่น้ำโจน อันเป็นที่ขึ้นชื่อลือนามว่างดงามน่าพิศวงที่สุดในถิ่นนี้
เรือยนต์แล่นช้าๆ ไปตามลำน้ำ ซึ่งมีกระแสนิ่งสนิทและดูใสแต่เขียวคล้ำดังหนึ่งน้ำทะเล ตลิ่งสองข้างทางทั้งซ้ายขวาเป็นเขาชันสูงลิ่วเกินขนาดคอตั้งบ่า ยอดตัดตรงดิ่งลงถึงใต้พื้นน้ำ เมื่อเรือแล่นไประหว่างกลาง ก็ดูประหนึ่งแล่นอยู่ระหว่างกำแพงเขา และโดยที่เขานั้นเป็นพืดต่อไปไม่สิ้นสุด และดูขึงขังตระหง่านพิลึกมหึมาและปราศจากพืชพันธุ์อันเขียวสด ก็ชวนให้ใจนึกหวาดไปว่า อาจมีมนุษย์หรือสัตว์ร้ายมายืนเด่นให้เห็นตัว ในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ บางแห่งหน้าผาชะโงกออกมาเป็นเพิงใหญ่ สูงจากน้ำในระยะท่วมศีรษะคน และกว้างพอที่จะบรรจุเรือลำเขื่องๆ ได้ทั้งลำ ที่นั้นคนเรือกล่าวว่าเป็นวังจระเข้ บางแห่งน้ำใสไหลรินออกมาตามช่องเขาแตก ทำพื้นหินใต้เพิงให้เป็นสีเขียวคล้ำด้วยตะไคร่น้ำที่จับอยู่จนหนา เหนือนั้นไม้ใหญ่แลดูไกลก็เห็นเป็นไม้เล็ก ฝูงลิงไต่เต้าตามยอดเขาโล้นแลดูขนาดเท่าตุ๊กแก ถึงกระนั้นก็ดูเห็นเป็นสัตว์ดง ซึ่งถ้ามนุษย์เข้าใกล้ก็จะเป็นภัยแก่ตัว
เสียงเครื่องยนต์ อันเป็นสิ่งที่เป็นไปด้วยอำนาจมนุษย์ มิได้ทำให้ลักษณะความป่าเถื่อน แห่งภูมิประเทศลดถอยลง ตรงกันข้าม เมื่อเสียงเครื่องเรือกระทบขุนเขาทำให้เกิดเสียงก้องอยู่ไม่ขาด ก็ยิ่งทำให้เกิดความวังเวงเยือกเย็นเป็นทวีคูณ
สภาพแห่งภูมิประเทศเหล่านี้ ทำให้ใจคนตื่นเต้นอย่างแรงกล้า แต่ก็สภาวะเหล่านี้แหละมีอำนาจกดความตื่นเต้น ให้อยู่ในความเงียบเชียบ นักท่องเที่ยวทั้งหมดเก็บความรู้สึกไว้ในใจ หวาดหวั่นเสียงสะท้านอย่างไรพิกล
แล้วเรือก็ออกจากกำแพงเขา มาสู่ทางระหว่างตลิ่งหินอันมีรากอยู่ใต้พื้นน้ำ และส่วนบนที่สุดอยู่เสมอแผ่นดิน แถบนี้ใบไม้ต้นไม้เขียวสดขึ้น มีลิงซึ่งแสดงความทึ่งในมนุษย์ มีนกบินไปมาตามยอดไม้ ความมีชีวิตจิตใจปรากฏอยู่โดยทั่ว ทำใจคนให้คิดเห็นเป็นที่สำราญ
และแถบนี้มีเสียงก้องสนั่นหวั่นไหว เป็นเสียงน้ำกระทบน้ำกระทบหิน ไม่ช้าผู้โดยสารเรือก็พร้อมกันอุทานขึ้นด้วยความพิศวง เมื่อมองเห็นเขาน้ำโจนปรากฏเด่นอยู่ตรงหน้า
เป็นลูกเขาขนาดน่าเอ็นดู ขาวโพลน ปกคลุมด้วยกระแสน้ำที่โจนลงมาเป็นหน้ากระดาน ด้านข้างแยกย้ายไปตามแอ่งหินรูปกลม ซึ่งเรียงเป็นลดหลั่นดังขั้นบันได ด้านกลางตกลงบนเพิงผา อันมีลักษณะเป็นอ่างลึกขนาดใหญ่ ล้นจากอ่างกลางจึงหลั่งลงในอ่างย่อย ซึ่งเรียงแถวเป็นขั้นๆ ติดต่อกันไปอีก จากนั้นโจนลงในลำแคว หยดน้ำที่กระเด็นเป็นฝอยเป็นแสงแวววาวระยับมิได้ผิดแสงแก้ว
ความงามแห่งน้ำตกนี้ ทำให้งามพิศผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ชะโงกหน้าออกนอกเก๋งเรือ บีบมือตัวเองพลางร้องว่า
“ต๊ายตาย ! เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรสวยอย่างนี้”
คนอื่นๆ หันมามองดูพร้อมกัน พิศวงด้วยเหตุที่เขาได้เห็นหล่อนแสดงความตื่นเต้นถึงขีดสุดเช่นนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกเดินทางมา แล้วเขาก็พากันยิ้มบ้าง หัวเราะบ้างพร้อมกับสนับสนุนด้วยคำพูดหรือสีหน้า งามพิศเองมิได้รู้สึกตัว ทั้งดวงตาและจิตใจของหล่อนยังจับแน่วอยู่ที่น้ำพุนั่นเอง
เรือแล่นจากพุนี้ไปสู่พุที่สอง เป็นลูกเขาขนาดน่าเอ็นดูอีกเหมือนกัน แต่กลมกว่า กะทัดรัดกว่า กระแสน้ำพุ่งกระจายออกมาถึงกลางลำแคว........มีการโต้เถียงกันระหว่างผู้ดูว่า พุนี้กับพุแรกไหนจะงามกว่ากัน จนเรือเข้าเทียบริมตลิ่ง แล้วยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้
เรือหยุดเพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นดูต้นน้ำพุ ตลิ่งแถบนั้นรกด้วยพงหญ้า เถาวัลย์ และรากไม้ อีกทั้งเป็นตลิ่งชันยากแก่การปีนป่าย ผู้นำทางขึ้นไปก่อนมีมีดคู่มือตัดเถาวัลย์ และพงหนามที่เกะกะเป็นอันตรายแก่ผิวหนังและลูกตา นายสวงตามขึ้นไปเป็นคนที่สอง หาที่ยืนได้มั่นแล้ว มือหนึ่งจับกิ่งไม้ อีกมือหนึ่งเตรียมที่จะคอยช่วยรั้งตัวสตรีพยุงให้ขึ้นได้ สุนทรีเป็นคนคล่อง จึงถือเอาความช่วยเหลือของนายสวงเป็นประโยชน์ได้ก่อนใครโดยไม่ยากนัก งามพิศคล่องไปกว่าสุนทรีและใจกล้ากว่ามาก อีกนัยหนึ่งไม่ทันนึกกลัวว่าถ้าล้มลง คนอื่นเขาจะหัวเราะให้ตัวอาย ก็หาทางขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยลำข้อของนายสวง และขึ้นได้โดยสวัสดิภาพพร้อมกับสุนทรี ครูสะอาดอ้วนมาก จะปล้ำตัวขึ้นที่สูงได้ด้วยความยากยิ่ง ก็มองดูตลิ่งอย่างท้อแท้ และขอร้องว่าจะเป็นผู้ขึ้นทีหลังที่สุด ส่งศรีหวีดหวาดหลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าจะวางเท้าลงแห่งใด ครั้นวางลงแล้วก็ลื่น ทำท่าจะล้มไม่หยุด นายสวงต้องละจากที่มั่น ประคองตัวไปส่งจนถึงบนตลิ่ง
ในระหว่างนั้น ครูฉลวยกับครูบุญช่วยเริ่มปรึกษากันว่า ต้นน้ำพุนั้นจะงดงามเพียงไหน คนเรือคนหนึ่งก็พูดเปรยๆ กับเพื่อนของเขาว่า
“ก็มีแต่ดินกับน้ำกับรากไม้” แล้วเขาก็หัวเราะ
ครูฉลวยกับครูบุญช่วยมองดูตากัน ครูสะอาดพูดว่า
“จริงๆ นะ มีเท่านี้แหละ ฉันเคยเห็นมาหลายแห่งแล้ว ไอ้ที่งามมันอยู่ตรงปลายน้ำต่างหาก”
“รึคะ?” ฤดีถามอย่างสนใจที่สุด แล้วหันไปทางสายใจ “ถ้าจะไม่คุ้มกับความลำบากเสียละกระมัง?”
แล้วทั้งสี่ก็สั่นศีรษะอย่างท้อแท้
เหตุฉะนั้น เมื่อนายสวงกลับมาถึงที่มั่นเดิม ครูสะอาดจึงตะโกนขึ้นไปว่า
“ไม่มีใครขึ้นอีกแล้ว ขี้เกียจคลาน ที่ขึ้นไปแล้วก็ไปกันเถอะ กลับเร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน”
การปีนตลิ่งก็ยากอยู่แล้ว เพราะที่ชัน ครั้นพ้นตลิ่งมาถึงที่ราบก็ยังยากไม่น้อยกว่า เพราะที่ลื่นที่แฉะ เบื้องต่ำรากไม้เกะกะขัดขวางการก้าวเท้า ก้าวไม่เหมาะก็ประทุษร้ายแข้งขา เบื้องสูงเถาวัลย์พันกิ่งไม้มีหนามระยะพอเหมาะกับคอและหน้า ผู้เดินต้องก้มที เงยที เหลียวที หลีกหลบเครื่องกีดขวาง และเท้าก็ต้องก้าววางอย่างระมัดระวัง เพราะที่ลื่นมีอยู่ทั่วไป
ผู้นำทางเดินนำไปข้างหน้า สุนทรีพยายามจะเดินให้ทันแต่ไม่เป็นผล เพราะเขาเดินเร็วเสียยิ่งกว่าที่สุนทรีจะเดินได้บนถนนลาดยางในพระนคร งามพิศจวนจะล้มหลายครั้งเพราะตาคอยมองจับอยู่ที่สุนทรี และใจก็คอยเป็นห่วงกลัวสุนทรีจะล้ม ขาของหล่อนจึงก้าวเร็วไม่ทันสายตา ตอนหนึ่งหล่อนหักห้ามความขลาดเสียได้กล่าวแก่สุนทรีว่า
“คุณคะ ให้ดิฉันไปหน้าเถอะ ดิฉันจะคอยช่วยคุณ”
สุนทรีหยุดเดิน หันมาดู แล้วหัวเราะพร้อมกับพูดว่า
“ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงจะเก่งกว่าฉัน?”
งามพิศตอบอย่างหน้าตาเฉย
“เก่งกว่าค่ะ ดิฉันไม่กลัวล้ม”
สุนทรีมองไปตามทางที่หล่อนผ่านมาแล้ว เห็นนายสวงกับส่งศรีอยู่ห่างเกือบสี่วา เขาทั้งคู่จับมือกันอยู่ นายสวงเดินเยื้องมาข้างหน้า ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะเขาต้องทำทั้งหน้าที่นำและหน้าที่จูง นายร้อยตำรวจกับคนเรืออีกสองคนเดินตามมาเบื้องหลัง คนเรือมองดูหนุ่มสาวคู่นี้อย่างเห็นสนุก
เหงื่อหยดตามหน้าสุนทรี ทั้งที่รู้สึกว่าความเปียกเย็น มีอยู่ทั่วไปในบริเวณที่หล่อนยืนอยู่นี้ หล่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อพลางปรารภว่า
“แหม ! ผู้ชายอยู่เปล่าๆ สามคน มาให้เราขอยืมคนละคนก็จะดีหรอก”
“ป่วยการค่ะ” งามพิศตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอย่างเดิม “ลองให้เขามานำเราเดี๋ยวเดียวเขาก็จะหนีออกหน้าเราไป เหมือนอีตาคนโน้น”
สุนทรียังปรารมภ์ต่อไปอีก
“เสียดายไม่ได้เอานายจี๊ดของเรามาด้วย”
งามพิศมองดูผู้พูด ครั้นแล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาด หลีกขึ้นหน้าสุนทรีพร้อมกับชวน “ไปเถอะค่ะ” แล้วออกเดินทันที
งามพิศมีวิธีช่วยสุนทรีได้จริงเหมือนว่า เมื่อหล่อนหาทางด้วยตาแล้ว ทั้งลำตัวลำขาของหล่อนก็ทำหน้าที่หลบหนาม และข้ามเครื่องกีดขวางได้ว่องไว จนมีเวลาเหลือพอที่จะให้คำเตือนแก่สุนทรี ในวิธีคล้ายบอกแถวทหาร กล่าวคือ เมื่อหล่อนลอดกิ่งไม้แล้ว หล่อนก็บอกว่า “ระวังที่เท้า” และในเมื่อไม่มีเสียงบอก สุนทรีก็ก้าวไปตามสบาย
เดินไปพอจะเต็มเหนื่อย ก็พบผู้นำทางยืนอยู่ เขามองดูหญิงทั้งสองอย่างเห็นขัน บอกแก่หล่อนว่า “ถึงแล้ว” พร้อมกับชี้มือไปเบื้องหน้า แล้วก็หัวเราะคล้ายจะถามว่า “วิเศษยังไงมั่ง?”
สุนทรีมองดูเขาอย่างฉงน แล้วเดินตามงามพิศไปอีก ๒-๓ ก้าว จึงเห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่เกือบเท่าสระ มีน้ำใสท่วมท้นขึ้นพ้นขอบ ไหลบ่าไปทางริมตลิ่ง ที่ใกล้แอ่งนี้มีก่อไผ่ลำใหญ่ถนัด ขนาดโตกว่าไม้ไผ่บ้านจนเกือบจะจำไม่ได้ว่าเป็นพันธุ์เดียวกัน อีกทั้งมีใบใหญ่ดกหนา จึงทำที่ตามแถวธารให้ร่มมืดจากดวงตะวัน ในแอ่งน้ำมีไม้ใหญ่ รากยาวไขว้เขวเห็นร่ำไรอยู่ในน้ำ ลำต้นคดค้อม ใบบาง แต่ยิ่งใหญ่แยกจากคบน้อมลงจรดกลางธาร แอ่งน้ำนี้เองเป็นที่ส่งน้ำไปยังพุริมตลิ่ง แต่ที่เกิดอันแท้จริงแห่งน้ำในแอ่งนี้จะอยู่ที่ใดไม่มีผู้ยืนยัน
ด้วยความที่อยากรู้ อยากเห็น อยากสนุกมากกว่ากลัวอันตราย งามพิศรั้งชายซิ่นขึ้นเพียงเข่า ค่อยๆ หยั่งเท้าลงในแอ่ง แล้วใช้มือจับกิ่งไม้ ค่อยพยุงตัวบ้างโหนบ้าง ปีนบ้าง ไปจนถึงขอบแอ่งอีกฝั่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีหินเป็นหย่อม งามพิศปีนข้ามหินไป มีช้าก็ถึงปลายทางแห่งลำธาร
งามพิศตบมือด้วยความปิติ หันกลับมาเรียกสุนทรี แต่เสียงน้ำตกดังกลบเสียงหล่อนเสีย ก็กวักมือพร้อมกับพยักเพยิด สุนทรีหัวเราะและส่ายหน้า งามพิศก็โดดจากชะง่อนหินกลับมาที่ริมแอ่ง
“มาซีคะ” หล่อนตะโกนสุดเสียง ใช้มือป้องปากไว้ด้วย “งามเหลือเกินค่ะ” สุนทรีสั่นศีรษะอีก งามพิศก็ก้าวลงในแอ่ง แล้วสาวเท้ามาตามทางเก่าอย่างว่องไว
หยุดยืนในที่นั้น ระยะใกล้สุนทรีพอพูดกันได้ยิน งามพิศกล่าวอย่างร้อนรน
“ไปเถอะค่ะ น่าดูเหลือเกิน มาถึงแล้วไม่ดูให้จบยังไงได้ เดินมาง่ายๆ นี่คะ ไม่ลำบากอะไรเลย”
สุนทรีมองดูผู้นำทางเป็นเชิงหารือ แต่ฝ่ายเขาหาเข้าใจไม่ก็ ก็ยืนยิ้มเฉยเสีย แล้วสุนทรีก็เกิดนึกสนุกขึ้นบ้าง จึงก้าวเท้าลงในแอ่งน้ำ
งามพิศเดินมารับ จับมือสุนทรีไว้มั่น ช่วยพยุงให้เดิน
พอหญิงสาวคู่นี้ขึ้นจากแอ่งได้ ก็เห็นส่งศรีกับนายสวงยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ใช้ภาษาใบ้ส่งมายังอีกฝ่ายหนึ่ง
งามพิศใช้ใบ้ตอบ ชวนให้เขาบุกน้ำมา เขาปรึกษากัน นายสวงต้องการจะไปให้ถึงที่สุด ส่งศรีไม่เต็มใจ เท้าข้างหนึ่งของนายสวงอยู่ในแอ่งแล้ว ส่งศรีถอยหลังไปยืนเกาะต้นไม้ งามพิศทำท่าคะยั้นคะยอยิ่งขึ้น ครั้นเห็นเพื่อนยังเฉย หล่อนก็หันไปพยักเพยิดกับนายสวง เป็นเชิงสนับสนุนความตั้งใจของเขา ครั้นแล้วก็ขึ้นไปยืนเคียงอยู่กับสุนทรีบนชะง่อนหิน
จากที่นั่น หญิงทั้งสองมองเห็นทางน้ำที่ไหลบ่าลงบนลูกเขาได้ถนัด ความแรงแห่งกระแสน้ำทำให้กอไม้อันใหญ่และหนาลู่ราบลงกับดิน น้ำจึงไหลข้ามและโจนลงบนเนิน ตกลงบนหย่อมเขาอีกทีหนึ่ง เสียงดังแห่งน้ำนั้นดังจริง ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ความเร็วแห่งกระแสน้ำนั้นเล่า แม้ใบไม้ตกลงระหว่างริมทาง แล้วก็จะหายลับไปกับตาในขณะที่ไม่ถึงอึดใจ ชะง่อนหินที่หญิงสาวทั้งสองยืนอยู่นั้น มีอาการสะเทือนบ่อยๆ ด้วย ชวนให้สุนทรีคิดว่า ถ้าหินพลิกแม้แต่นิดเดียว ตัวของหล่อนก็จะไหลไปกับน้ำ และหล่นบนเนินเขา ก่อนที่หล่อนจะได้ใช้ความพยายามแม้แต่สักนิดเพื่อช่วยตัว
แต่ความงามแห่งธรรมชาติที่มีภัยเจือปนอยู่ด้วยนั้น เป็นความงามที่มีอำนาจตรึงใจอย่างแรงกล้า สุนทรีคิดถึงอันตรายก็จริงอยู่ แต่หล่อนหาคิดที่จะรีบหนีอันตรายไม่ คงยืนมองดูสายน้ำไหลกระทบหินอย่างเพลิดเพลิน
อีก ๑๕ นาทีภายหลัง หญิงสาวทั้งสามนางกับนายสวงจึงเดินทางกลับ งามพิศหิ้วรองเท้ายางไปด้วย เพราะรองเท้านั้นเมื่อเปียกเสียแล้วก็ทำให้ลื่นหนัก แต่เมื่อสุนทรีจะถอดบ้างเพราะรู้สึกลื่นอยู่เหมือนกัน งามพิศก็ห้ามไว้ กล่าวว่าหล่อนจะเป็นผู้จูงสุนทรี และรับรองจะมิให้ล้มเป็นอันขาด
ขาลงจากตลิ่งไปสู่เรือ ไม่มีความลำบากมากนัก ด้วยเจ้าของเรือนั่งอยู่เปล่าในเรือ ก็เกิดความคิดที่จะให้ความสะดวกแก่ผู้โดยสาร จึงจัดการสับดินที่ตลิ่งชันให้เป็นขั้นๆคล้ายบันได พอเท้าเหยียบได้ถนัด
ในทันทีที่สุนทรีนั่งอยู่ในเรือแล้ว หล่อนพูดแก่เพื่อนครูของหล่อนว่า
“ไม่เสียแรงที่ลำบากไปถึงที่ๆ น้ำตกทีเดียว น่าดูจริง แต่ก็น่าเสียวไส้จริงเหมือนกัน แล้วฉันเองถ้าไม่ได้งามพิศก็คงไม่ได้เห็นที่สำคัญ” ลดเสียงเบาลงมาก “คนนำทางใช้ไม่ได้ แกไม่เอื้อเราเลย ดูเหมือนจะเห็นเราเป็นบ้า ที่อุตส่าห์ปืนป่ายย่องแย่งไปดูที่พรรค์นั้น งามพิศนำเสร็จคนเดียว”
“ทำไมแกถึงนำถูกล่ะ?” ครูสะอาดถามขึ้นอย่างทึ่ง
“เพราะว่าแกเก่ง กล้า เหมือนเด็กผู้ชายไม่มีผิด” แล้วสุนทรีก็ทอดตาไปสบตางามพิศ พร้อมกับยิ้มอย่างชื่นชม
“ถีบรถก็เก่งนะครับ คุณงามพิศน่ะ” นายสวงเสริม “เคยถีบไปเที่ยวทางไกลด้วยกัน ผมสู้แกไม่ได้” หันไปทางส่งศรี ด้วยเจตนาจะสัพยอก เพราะถือว่าเป็น ‘ของตน’ “ยิ่งคุณส่งศรีละยิ่งแล้วเลย ไม่ถึงครึ่งทางหรอกทิ้งรถขอนั่งสามล้อกับคุณพ่อ”
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นธิดาข้าหลวงหันข้างให้เขาเฉยอยู่ ไม่หันมาโต้ตอบกับเขาเหมือนเช่นเคย
สุนทรีเล่าถึงสิ่งที่หล่อนได้เห็นมาเมื่อครู่ก่อน ฤดีกับสายใจฟังอย่างทึ่ง แล้วก็นึกเสียใจในข้อที่ตนมีความอุตสาหะน้อยนัก สายใจอยากโทษฤดีที่เป็นต้นคิด ให้หล่อนล้มความตั้งใจเดิมเสีย ฤดีนักโทษสายใจที่ได้สนับสนุนความเกียจคร้านของหล่อน ในที่สุดก็บ่นว่า
“เราไม่ควรขี้เกียจเลยนะ ได้เห็นน้ำตกแต่ไม่รู้ว่ามันตกลงมายังไง คุยไม่ได้เต็มปาก”
“ฉันก็ไม่ได้เห็น” ส่งศรีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหัวเราะขื่นๆ “ไปกับเขาหรอก แต่ไม่ได้เห็นกับเขา”
“ทำไมล่ะ?” ฤดีถามโดยซื่อ
“ไม่ใช่คนเก่งเหมือนงามพิศ” แล้วส่งศรีก็ยิ้มและยักคอนิดหนึ่ง
พอดีกับเรือมาถึงพุต้น หมู่สตรีก็ขอให้บุรุษออกจากเก๋งเรือ ปลดม่านผ้าใบลง แล้วก็จัดแจงเตรียมตัวเพื่อจะไปอาบน้ำ
เมื่อเรือจอดได้ที่ เจ้าหล่อนทุกคนก็พร้อมที่จะขึ้นจากเรือเว้นแต่ส่งศรี เพื่อนๆ พากันท้วงว่าจะอาบน้ำทั้งเครื่องแต่งตัวอย่างนี้หรือว่าไร ก็ได้รับคำตอบอย่างห้วนๆ ว่า
“ฉันไม่อาบ”
“อ้าว ! ทำไมล่ะ?” งามพิศถาม “พิโธ่ ! ที่น่าเล่นออกจะเมื่อไหร่จะได้มาอาบที่ๆ ยังงี้อีกสักที”
“ช่างฉันเถอะ” ส่งศรีตอบ “ฉันกลัวตกเขา ฉันไม่ใช่คนกล้า”
งามพิศมองดูเพื่อนด้วยความสนเท่ห์ ฉงนในน้ำเสียงที่ได้ฟังแล้วเป็นอย่างยิ่ง สายใจนั้นเป็นทั้งญาติ คือเป็นลูกของน้าของส่งศรี และเป็นทั้งผู้ที่เคยอยู่กินร่วมกับส่งศรีเป็นเวลานาน ก็ทายใจส่งศรีได้ จึงตัดบทขึ้น
“ทำบ้าไปได้ !”
ส่งศรีหันไปทำตาเขียวกับญาติ ฝ่ายฤดียังซื่ออยู่เช่นเดียวกับงามพิศ ก็บ่นว่า
“ที่ออกเบ่อเร่อ จะตกลงไปได้ยังไง หรือขี้เกียจปีนตลิ่งอีกเป็นครั้งที่สอง”
งามพิศก็เสริม
“อีทีนี้ถึงจะขี้เกียจก็ควรจะทน ไปเถอะน่ะ ไปอาบด้วยกัน ขาดเธอเสียคนหนึ่งก็ไม่สนุกเท่านั้นแหละ”
“เฮอะ ! ขาดฉันจะเป็นอะไรไป อย่ามาเซ้าซี้เลยน่ะ บอกแล้วว่าไม่แล้วก็ไม่มั่งซี” พูดแล้วส่งศรีก็หลีกเพื่อนไปเสียทางหนึ่ง
ท่านพวกผู้ใหญ่ยืนอยู่ที่ชายตลิ่งแล้วทั้งสี่คน ฤดีกับสายใจกำลังจะกระโดดจากหัวเรือ เมื่อโดดแล้วก็รีบแจ้งข่าวว่า ส่งศรีจะไม่ขึ้นอาบน้ำ งามพิศยังคงช้าอยู่ เพราะต้องหาที่วางแว่นตาให้พ้นมือพ้นเท้าคน แต่ในที่สุดก็ไม่เห็นที่ใดดีไปกว่าที่บนเสื้อของหล่อนเอง ซึ่งวางอยู่ข้างที่ถือท้ายเรือ
ทางขึ้นตรงนี้ก้อนหินเป็นปุ่ป่ำพอเท้าเหยียบได้ถนัด อาศัยลำแขนของบุรุษช่วยด้วยเพียงเล็กน้อย แล้วสตรีทั้งเจ็ดนางก็ขึ้นไปถึงน้ำพุได้โดยไม่ยาก
ครูสะอาดลงนั่งสบายอยู่ในอ่างกลาง สุนทรีและคนอื่นๆ แยกกันไปตามอ่างย่อย ต่างคนส่งเสียงกิ๊กกั๊กประชันกับเสียงน้ำ น้ำนั้นเย็นเฉียบ อาบอยู่นิ่งๆ ก็ทำให้เกิดความหนาว และที่นั้นก็ชวนให้เกิดความตื่นเต้น จะยืนอยู่นิ่งมิได้ เขาจึงพากันย้ายที่ไปมา ออกจากอ่างใหญ่ไปอ่างเล็ก ออกจากอ่างเล็กลงในอ่างน้อย น้ำที่กระเซ็นก็กระจายเป็นฝอย ที่ไหลลงก็ลงแรง กระทบผิวหนังด้วยกำลังหนัก ทำให้รู้สึกดังถูกมือทุบ ยิ่งเพิ่มความสนุกขบขันให้เป็นอย่างยิ่ง
ผู้ชายที่มาในลำเรือขึ้นมาอาบด้วยหลายคน แต่นายสวงมิได้รวมอยู่ด้วย เมื่อเขาส่งสุภาพสตรีขึ้นบนแล้ว เห็นว่าขาดส่งครีไปคนหนึ่ง เขาก็ย้อนกลับไปที่เรือ
เขาถามหล่อนว่าเหตุใดจึงยังไม่ขึ้นบนฝั่ง หล่อนตอบว่าหล่อนจะไม่ขึ้น ถามว่าเป็นเพราะเหตุใด ได้รับคำตอบค่อนข้างกึกกักเล็กน้อยว่า “ขี้เกียจ” เขาจึงพูดวิงวอนเพื่อให้หล่อนเปลี่ยนใจ
“ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะขี้เกียจอย่างนี้” เขาว่า “เพียงแต่จะผลัดเสื้อเสียก่อนก็ขี้เกียจได้ ทางขึ้นก็แสนที่จะสะดวก ไม่เหมือนกับทางโน้นเลย”
“กลัวตกเขาค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนเก่ง”
เขาไม่รู้เท่าหล่อนจึงตอบว่า
“ผมอยู่ด้วยทั้งคน คุณยังจะกลัวอีก ! หรือไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อความสามารถว่าจะช่วยอะไรคุณได้?”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อหรอกค่ะ กลัวจะเป็นภาระสำหรับคุณ ดิฉันเป็นคนอ่อนแอ”
เขายังไม่ไหวอยู่นั่นเอง ตอบว่า
“สำหรับที่จะคอยดูแลคุณ ผมไม่ถือเป็นภาระเลย ผมถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะมากกว่า มาเถอะครับ ผมจะคอยอยู่ที่นี่จนกว่าคุณจะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จ”
ส่งศรีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า
“เผื่อคุณเต็มใจคอย ดิฉันก็จะไป แต่ต้องคอยนานนะคะ”
“นานเท่าไรก็ไม่ว่า ขอแต่อย่าให้คอยเปล่าเท่านั้นแหละ”
ส่งศรีหลบตัวหายเข้าไปในม่าน ราว ๓ นาทีภายหลัง จึงกลับออกมายืนที่หัวเรือ
นายสวงยิ้มอย่างยินดี ยื่นมือส่งให้หล่อยยึดเป็นหลักเมื่อกระโดดจากเรือ แล้วประคองหล่อนขึ้นไปจนถึงที่อาบน้ำ
ฤดีกับสายใจ พยายามที่จะเย้ยเพื่อนในข้อที่เปลี่ยนใจ เจ้าหล่อนต้องตะโกนเกือบสุดเสียง ส่งศรียิ้มเยื้อน ถือเอาการก้องของน้ำเป็นเครื่องช่วยมิให้ต้องโต้ตอบ สีหน้าของหล่อนขณะนี้มีลักษณะแสดงความชื่นบาน ไหนจะชื่นด้วยธรรมชาติรอบข้าง ไหนจะชื่นด้วยบุคคลที่ช่างเอาใจ หล่อนลงเล่นในอ่างข้างเคียงกับสายใจและฤดี มีนายสวงนอนหงายอย่างสบายที่สุดอยู่ในที่ใกล้
ต่อจากนั้นสักครู่ งามพิศโผล่จากที่ใดที่หนึ่งมาเข้าหมู่เพื่อนสาวๆ ใช้กิริยาแทนเสียงชวนให้เจ้าหล่อนเหล่านั้นไปยังที่ๆ หล่อนออกมา ที่นั้นคือเชิงผาชั้นบนที่สุด ยื่นล้ำออกมาจากแผ่นดินประมาณศอกครึ่ง เป็นที่ที่น้ำโจนออกไปสู่อ่างกลาง ดูดังม่านน้ำผืนใหญ่ทิ้งตัวลงจากหน้าผาลงมาบนเพิง เมื่อชวนเพื่อนแล้วงามพิศก็ผลุบหายเข้าไปในม่านนั้น
สุนทรีมองเห็นแล้วคิดอิจฉา ตัวหล่อนไม่อาจที่จะทำอย่างงามพิศ เพราะห่วงผมซึ่งหล่อนไว้ยาว กลัวจะเปียกปอนกระจุยกระจาย ทำให้หล่อนดูเร่อร่า มองดูหญิงสาวอื่นๆ ก็ล้วนแต่มีผมเป็นลอนเพราะดัดด้วยแรงไฟฟ้า ออกนึกสงสัยว่าจะมีใครทำอย่างงามพิศบ้าง
ฤดีทำท่าว่าทึ่งกับม่านน้ำไม่น้อย แต่เห็นส่งศรีกับสายใจยังเฉยอยู่ ก็เฉยบ้าง ภายหลังสายใจก็ปืนออกจากอ่าง วิ่งเข้าไปร่วมที่กับงามพิศ แล้วนายสวงก็ลุกขึ้นวิ่งตามไปด้วย
ส่งศรีมองตาม แล้วก็เบือนหน้ากลับเหมือนไม่เอาใจใส่ แต่ในไม่ช้าหล่อนก็จ้องมองดูอีก จึงเห็นมือหกข้างระดมทุบม่านน้ำเล่นอย่างขนานใหญ่ ครั้นแล้วเห็นตัวคนสามคนลงนั่ง เหยียดเท้าออกมาพอได้ระดับกับน้ำตกแล้วหดกลับเข้าไปโดยเร็ว แล้วเขาทั้งสามก็ลุกขึ้นยืนอีก นายสวงโผล่กลับออกมาภายนอก สีหน้ายังเต็มไปด้วยอาการหัวเราะ
คะเนดูว่าเขากำลังจะดูมาทางหล่อน ส่งศรีก็เบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วเดินไปยังริมพุอันเป็นทางที่จะลงไปสู่ทางเดินเบื้องล่าง นายสวงสาวเท้ามาที่หล่อนโดยด่วนตะโกนถาม
“ขึ้นละหรือครับ?”
ส่งศรีพยักหน้าโดยไม่มองให้สบตาเขา นายสวงรีบหลีกทางไปก่อน ยืนยันเป็นหลักให้หล่อนเกาะไต่ไปสู่ทางเดิน
“ทำไมขึ้นเร็วนักล่ะครับ หนาวรึ?”
“ก็ไม่หนาวนัก แต่อยากขึ้น”
“ผมก็อยากขึ้นแล้วเหมือนกัน แต่ต้องคอยก่อนเดี๋ยวเกิดเอ็กซิเด็นท์ขึ้นทางโน้น ผมจะเข้าที่ลำบาก”
เมื่อส่งศรีลงเรือได้เรียบร้อยแล้ว นายสวงก็วิ่งกลับไปทางเก่า
ธิดาหลวงเอนกฯ คลี่ผ้าเช็ดตัวออกคลุมร่าง ตัวหล่อนกำลังหนาว แต่ใจของหล่อนกำลังร้อนดังถูกไฟลน คิดเคือง....ไม่รู้ว่า เคืองใคร....แล้วก็ปรารภ “ดีว่าได้เราถึงได้มา ไม่ยังงั้นก็....” จักษุประสาทไปกระทบกระจกแว่นที่วางอยู่ตรงนั้น โทสะจริตพลุ่งขึ้นโดยแรง มิทันได้ยั้งคิด ก็ฉวยแว่นตาเหวี่ยงออกไปตรงช่องม่านทันที
น้ำกลืนแว่นหายไปแล้ว ส่งศรียังไม่รู้ตัวว่าได้ทำสิ่งใดลงไป เป็นครู่หนึ่งความตกใจจึงปรากฏขึ้นบนสีหน้า แล้วความเสียใจปริวิตกก็เกิดขึ้นตาม ส่งศรีผลัดผ้าด้วยมือและแขนอันไม่มั่นคง คำถามเกิดขึ้นในใจ เจ้าหล่อนลังเลอยู่นาน ภายหลังจึงตอบได้ว่า
“ไม่รู้ไม่ชี้”
ส่งศรีรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด เมื่อหล่อนได้เห็นผู้ที่อยู่บนฝั่งเดินเป็นแถวเข้ามาใกล้จะถึงเรือ ตามองไปที่กองเสื้อผ้าของงามพิศ แล้วมองขึ้นไปบนฝั่ง แล้วกลับมาจับจ้องที่กองเสื้อผ้าอีก ริมฝีปากเม้มสนิท ท่องอยู่ในใจว่า
“เราไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ไปแตะต้อง ไม่ได้เฉียดเข้าไปที่นั่น”
เรื่องแว่นตาหายกลายเป็นเรื่องมีผลไปในทางขบขัน แทนที่จะเป็นผลในทางเดือดร้อนดังที่ผู้ต้นเหตุได้คาดไว้
มีการค้นหากันอย่างวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับที่ทุกๆ คนพากันฉงนสนเท่ ว่าของนั้นหายไปได้อย่างไร สายใจกับฤดีเป็นพยานว่าได้เห็นงามพิศถอดแว่นตาออกไว้ก่อนที่จะขึ้นฝั่ง สวงก็ยืนยันว่า เมื่อเขารับงามพิศขึ้นจากเรือนั้น เขาเห็นงามพิศมิได้สวมแว่นตาอยู่
เจ้าของเรือตั้งปัญหาเป็นข้อแรก ว่าแว่นตานั้นมีกรอบทำด้วยโลหะชนิดใด ครั้นได้รับตอบว่าเป็นแว่นตากรอบกระ นายเรือก็พึมพำถ้อยคำที่แสดงว่า ถ้ากระนั้นลูกเรือของเขาคงจะบริสุทธิ์ปราศจากมลทินในเรื่องนี้ทุกคน
งามพิศจำได้แม่นยำว่าได้วางแว่นตาไว้บนเสื้อซึ่งพับซ้อนไว้บนซิ่น หล่อนไม่อาจที่จะเชื่อลงไปได้ว่าตนจำผิดราวกับฝันไปเช่นนั้น แต่เมื่อมองไม่เห็นเหตุที่จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาโยกย้ายของนั้นไปเสีย ก็จำเป็นต้องทนนิ่งให้ผู้อื่นเขาคิดว่าตนเผลอเรอ
ข้อขำเรื่องนี้อยู่ที่ตรงว่า เมื่อมีผู้ปรารภแสดงความกังวลในข้อที่หล่อนจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ได้ชัด เพราะขาดแว่นที่เคยใส่ประจำ หล่อนก็เล่าขึ้นอย่างหน้าตาเฉยเป็นความว่า หล่อนได้ให้นายแพทย์ตาตรวจตาหล่อนเมื่อก่อนที่บิดาจะสิ้นชีวิตราวสักปีเศษ นายแพทย์ได้แจ้งแก่หล่อนว่าสายตาของหล่อนใกล้ที่จะเป็นปกติสมแก่อายุ แล้วได้เปลี่ยนกระจกแว่นให้ใหม่ และสั่งว่าอีก ๖ เดือนให้ไปตรวจอีกครั้ง บางทีจะถอดแว่นได้ทีเดียวใส่แต่เฉพาะเมื่อสายตาต้องใช้ความเพ่งเล็งอย่างจริงจัง จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็เกินกำหนดที่นายแพทย์นัดเป็นเวลานานแล้ว งามพิศก็ยังมิได้ไปหานายแพทย์ทางตาอีกเลย
“พิโธ่ เวรกรรม !” ครูสะอาดอุทานเสียดัง “ช่างทนให้ดั้งจมูกแบกแว่นอยู่ได้เป็นนมเป็นนาน ไอ้เราจำเป็นต้องใส่เวลาอ่านหนังสือหรือดูหนัง ยังเกลียดแทบตาย ถ้าไม่จำเป็นละไม่ใช้เสียเลย”
“ดิฉันใส่มาตั้งแต่เจ็ดขวบค่ะ” งามพิศอธิบายวางหน้าตาเฉยอยู่เช่นเดิม “เลยเคย ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลก”
“แล้วเวลาถอดแล้วรู้สึกเป็นยังไง?” สุนทรีถาม
“รู้สึกเหมือนจมูกมันหายไปค่ะ”
ผู้ฟังหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แล้วสุนทรีถามว่า
“ฉันถามถึงความรู้สึกที่ตาเธอน่ะ มันฟางหรือเห็นอะไรมัวไปบ้างไหม เอ้า ! อย่างเวลานี้แหละ เธอมองเห็นลิงบนยอดเขาหรือไม่เห็น มันมีกี่ตัว?”
งามพิศมองไปในที่ไกลครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า
“แปดตัวค่ะ”
“อะไรแปด !” สายใจท้วง “เห็นเกินตาคนดีไปอีก”
“แปดจริงๆ” งามพิศว่า “ที่ซอกหินสองก้อนนั่นน่ะสามตัว เห็นไหม บนยอดทีเดียวอีกสี่...”
“ถูกแล้ว สามกับสี่เป็นแปดรึ?”
“ก็มันอยู่ในโพรงนิดนั่นอีกตัวหนึ่ง...........นั่นยังไงนั้นๆ เร็วเข้า เดี๋ยวเรือจะเลยไปเสีย แน่ะมันชะโงกดูทำหน้าพิก๊ล !”
มีการหัวเราะอย่างสนุก และตื่นเต้นเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทุกคนเห็นเจ้าวานรตัวนิดยงโย่ขึ้นยักหน้าไปมาอยู่ในโพรงแล้วมันก็วิ่งบนยอดเขา และลับตาหายไป
เมื่อกลับมาถึงที่พัก นักเที่ยวต่างหิวจัดอยู่ด้วยกันจึงต่างถือเอากล้วยน้ำว้าที่ซื้อจากชาวบ้านเป็นอาหารสิ้นไปทั้งหวี สุนทรีสั่งงดน้ำชาเพราะเห็นว่าเย็นมาก แล้วไม่ช้าก็จะถึงเวลาอาหารค่ำ นางจิ๋วลงมือติดไฟจะตั้งหม้อข้าว ครูสะอาดตื่นเต้นอยู่กับปลานวลจันทร์ซึ่งชาวแพนำมาขาย เกี่ยงกันด้วยเรื่องราคาไม่ค่อยจะตกลงกันได้ ครั้นซื้อขายกันเสร็จก็ยังเป็นปัญหา ในข้อที่ยังมิรู้ว่าจะใช้ปลาประกอบเป็นกับข้าวชนิดใดดี
สุนทรีเป็นผู้ที่จะเข้าครัวก็ต่อเมื่อหล่อนเห็นแก่ลิ้นและกระเพาะของผู้อื่น นิสัยของหล่อนแท้ๆ ไม่ค่อยจะชอบทางนี้นัก เมื่อเดินทางมากับนางสะอาดผู้ซึ่งเป็นนักประกอบอาหารชั้นเอก และมีศรัทธาที่จะประกอบอยู่เป็นนิจ มิหนำซ้ำยังมีนางสาวบุญช่วย นางสาวฉลวยเป็นผู้ที่ชอบทำทุกๆ สิ่งตามครูสะอาด สุนทรีก็ทอดธุระเรื่องอาหารเสียทีเดียว
แล้วคณะเที่ยวก็พากันขึ้นฝั่งไปดูไร่ของชาวบ้าน และภูมิประเทศที่ติดต่อกับแถบนี้ แล้วเขาพักนั่งที่ริมตลิ่งไม่ห่างกับเรือนัก หญิงแปดชายหนึ่งคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ภายหลังจึงมีผู้เห็นว่า บัดนี้เขาทั้งหมดมีจำนวนเพียงแปดคนเท่านั้น คืองามพิศได้หายไปจากที่เดิมแล้ว
พอดีกับตะวันลับไม้ ความเยือกเย็นวังเวงเกิดขึ้นทีละน้อย เขาจึงพากันกลับมาลงเรือ
“เอ๊ะ ! นี่งามพิศหายไปไหน?” สุนทรีปรารภขึ้นทันที เมื่อไม่เห็นงามพิศอยู่ในเรือมาด แต่พอถามขาดคำหล่อนมองไปข้างหน้า ก็เห็นงามพิศอยู่ในเรือสำปั้นลำเล็กขนาดจุคนได้ไม่เกิน ๔ คน เรือลอยลำอยู่กลางน้ำงามพิศถือท้ายอย่างทะมัดทะแมง มีเด็กชายอายุสัก ๑๓-๑๔ ปีนั่งมาด้วย เรือน้อยนั้นเป็นหัวมาทางเรือใหญ่
เมื่องามพิศขึ้นอยู่บนเรือมาดแล้ว กำลังส่งพายคืนให้เด็ก สุนทรีพูดเป็นเชิงตำหนิแกมข้น
“เธอนี่ซนพอใช้ ซนอย่างนี้เสมอหรือเปล่านะ?”
งามพิศยิ้มมีลักษณะวิตกเจืออยู่ด้วย เพราะเกิดความเห็นขึ้นว่าตนค่อนข้างจะ ‘แผลง’ ไปหน่อยจริง สุนทรีถามซ้ำอีก
“ถามจริงๆ ซนยังงี้เสมอหรือเปล่า?”
“ไม่เสมอค่ะ” หญิงสาวตอบโดยสุจริต “อยู่กับคุณป้าไม่ซน กลัวท่านดุ อยู่กับคุณพ่อก็ไม่มีที่ซน นอกจากที่โรงเรียน”
“แล้วไปหัดพายเรือมาจากไหน?”
“เมื่อเล็กๆ ดิฉันเคยอยู่กับคุณยายที่บ้านในคลองบางกอกน้อยค่ะ เย็นๆ พายเรือเล่นทุกวัน”
“แล้วเดี๋ยวนี้คุณยายท่าจะเสียๆ แล้ว”
“ค่ะ ท่านเสียก่อนคุณแม่สองปี” แล้วงามพิศก็ถอนใจเบาๆ
สุนทรีรู้สึกว่าความเศร้ากำลังจะเกิดขึ้นในใจคู่สนทนา ไม่มีความปรารถนาที่จะให้เป็นเช่นนั้น จึงเบือนหน้าไปพูดกับครูสะอาดถึงเรื่องอื่นต่อไป
ทุกๆ วันตลอดเวลาที่เดินทางมานี้ คณะเที่ยวรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายระหว่าง ๑๘ กับ ๑๙ นาฬิกา พอเสร็จการรับประทานแล้ว ต่างคนก็จัดที่นอนของตน ต่อจากนั้นผู้ใดสมัครจะนอนก็นอน ที่สมัครนั่งเล่นหรืออ่านหนังสือก็กระทำตามอัธยาศัย เฉพาะคืนนี้ เมื่อการบริโภคพ้นไปสักครู่ ครูสะอาดก็ตั้งต้นหาวอย่างเปิดเผย นายสวงจึงขยับจากที่ ทำอาการจะขึ้นจากเรือ ดรุณีทั้งสี่นางปรึกษากันจะตามเขาไปด้วยก็พอดีได้ยินเสียงคนโจษกันว่าจระเข้ขึ้น ทำให้ความเอาใจใส่ของผู้ที่อยู่ในเรือทุกคนไปรวมอยู่ในเรื่องนั้น
ชาวแพที่อยู่ฝั่งน้ำโน้น มาหานายท้ายเรือยนต์ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับเขา ระหว่างทางเขาเห็นจระเข้ลอยตัวอยู่กลางน้ำ จึงเล่าให้สหายของเขาฟัง
สาวชาวกรุงฯ ปรารภกันว่า จระเข้ขนาดใหญ่อาจหนุนเรือมาดให้ล่มได้หรือไม่ คนเรือที่อยู่บนฝั่งได้ยินก็หัวเราะ แล้วถือวิสาสะปลอบขวัญลงมาว่า “จระเข้แถวนี้ไม่ทำคนบนเรือ” มีเสียงหัวเราะอีก แล้วเสียงที่สองเสริม “แต่โดดลงไปหาละก็ฮุบเลย”
“แล้วทำยังไงเราถึงจะได้เห็นมั่งล่ะ?” ผู้ที่อยู่ในเรือมาดปรารภอีก
“ลงเรือไปดูก็ได้ครับ” เสียงหนึ่งตอบมาเป็นเหตุให้เกิดเสียงอุทานหลายเสียงประสานกันขึ้น
“ตายละ ใครจะกล้า !”
เจ้าของเรือผู้ซึ่งนั่งอยู่ในเก๋งเรือยนต์ ลุกขึ้นมาที่ท้ายเรือ และพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“เอาไฟฟ้าฉายดูก็ได้ครับ”
สุนทรีลุกขึ้นจะไปหยิบไฟฉาย งามพิศรู้เท่าก็ลุกขึ้นวิ่งไปหยิบมาเสียก่อน สุนทรีได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็พูดแก่เจ้าของเรือว่า
“เชิญนายคนที่เขามาจากแพให้มาที่นี่หน่อยได้ไหมจ๊ะ ให้เขาช่วยฉายไฟให้หน่อย จระเข้อยู่ที่ตรงไหน”
พอหล่อนพูดจบ ก็มีผู้ฉายไฟจากเรือยนต์ พุ่งไปทางกลางน้ำ แล้วส่ายไฟไปมาเพื่อหาตัวจระเข้ สุนทรีก็ฉายไฟของหล่อนไปตามแนวนั้นด้วย ในที่สุดมีเสียงพูดมาจากเรือยนต์ว่า
“นั่นแน่ะ ตรงโน้น มองเห็นตาแดงๆ”
ข้างฝ่ายสุนทรีก็เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแดงแว๊บๆ อยู่อีกทางหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในเรือมาดก็เห็นเป็นพยานหล่อนด้วยเสียงจากทางเรือยนต์ว่าจระเข้ขึ้นสองตัว มีเสียงค้านว่าไม่ใช่ จุดแดงที่สองเป็นพรายน้ำ หรือมิฉะนั้นก็ตัวแมลง ทางเรือมาดสาวน้อยทั้งสี่นางยืนเขย่งบ้างก้มบ้าง ชวนกันดูไปตามทางไฟฉายทั้งสองทางมีเสียงร้องวุ้ยว้าย ฝ่ายผู้ใหญ่ก็เตือนให้ระวังตัวหน่อย จะพลัดลงน้ำเป็นเหยื่อจระเข้ เสียงสาวน้อยพอกันว่าอีกฝ่ายหนึ่งเบียดตนเกินไปจนยืนไม่อยู่ ทางเรือยนต์ก็ยังเถียงกันว่าจุดแดงสองจุดนั้นจุดใดเป็นตาจระเข้ เพราะไฟฉายต้องจุดนานเท่าไร ก็เห็นแต่เพียงจุดมิได้เห็นสิ่งใดมากไปกว่านั้น งามพิศผู้ซึ่งหมอบอยู่กับกราบเรือปรารภขึ้นว่า
“นี่เราลงเรือไปดูก็หมดเรื่องกัน”
“โอ ! ฉันละไม่ขอไปด้วยละ” ส่งศรีเอ่ยขึ้นทันที
“ฉันก็ลา” ฤดีรับ “เดี๋ยวมีขาข้างเดียวเหลือกลับไปบ้าน”
สายใจกระหายอยากเห็นมาก แต่เป็นผู้ที่ไม่เคยผจญภัยอย่างใดเลย ก็พึมพำเบาๆ
“จะไม่เหลือเอาเลยน่ะซี สงสารคุณแม่”
“ก็คนเรือเขาพายเรือผ่านมา มันก็ไม่ทำอะไรนี่” งามพิศแย้ง “ทำไมจะต้องทำแต่จำเพาะเวลาเราไปกับเขาด้วย ชาวแพเขาบอกฉันว่าไม่ดุเท่าไหร่ นอกจากเราจะเอาเรือขึ้นไปเกยหลังมัน ยังงั้นก็เซ่อเต็มที่ควรให้จระเข้กินเสียให้เข็ด”
สุนทรีกำลังใคร่ครวญถึงคำพูดของงามพิศ เพราะความทิษฐิกำลังเริ่มเข้าจับใจหล่อน ขึ้นชื่อว่าจระเข้ใหญ่ทั้งที ได้เห็นแต่เพียงลูกตา มิหนำซ้ำยังมิรู้ว่าจระเข้แน่หรือมิใช่ ดูก็น่าอัดใจไม่น้อย
ครูสะอาดปรารภขึ้นว่า
“นี่ตาไหนมันตาจระเข้กันแน่นะ”
นายสวงได้ไปสนทนากับชาวแพ ที่มาจากฝั่งโน้นแล้ว เขากลับมาแจ้งแก่สุภาพสตรีว่า
“คนที่พายเรือมาเขาว่าเราจะไปดูก็ได้ เรือเขาจุคนห้าได้สบาย แต่ขอว่าพอเข้าไปใกล้จระเข้แล้วถึงจะตกใจอะไร ก็ขอให้อยู่นิ่งๆ ผมบอกเขาแล้วว่าผมจะไป”
“นิ่งซีคะ” งามพิศรับคำโดยเร็ว “ไปเร็ว ใครไปมั่ง?”
สุนทรีนึกในใจว่า กลางคืน มืดเช่นนี้ การที่จะลงเรือเล็กออกไปกลางลำน้ำอันกว้างใหญ่ แม้ไม่มีสัตว์ร้ายก็น่ากลัวพออยู่แล้ว....ถึงกระนั้นหล่อนก็ลังเล !...
ครูสะอาดนึกพอใจ ในข้อที่ฤดีกับสายใจเบือนหน้าอย่างหวาดกลัว เพราะถ้าเจ้าหล่อนทั้งสองจะไป ครูสะอาดก็จำต้องขัดขวาง ส่งศรีกลัวแทนนายสวงเป็นกำลังแต่ไม่อาจทักท้วง
เมื่อเรือน้อยถอยมาถึงเรือใหญ่ งามพิศก็หันไปถามสุนทรีด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า
“คุณไม่ไปหรือคะ?”
อีกฝ่ายหนึ่งถอนใจขณะที่ตอบ
“อยากไป....แต่.....”
“ดิฉันไปก่อน แล้วเผื่อไม่เห็นมีอันตรายจะกลับมารับ....”
“ฮึ ! ปล่อยให้เด็กนำเรื่อย” สุนทรีว่า แล้วหัวเราะเบาๆ “ออกขายหน้าเสียแล้ว ไปฉันไปกับเธอเดี๋ยวนี้แหละ”
ความยินดีปรากฏขึ้นในวงหน้างามพิศอย่างเด่นชัด ครูสะอาดถามสุนทรีอย่างพิศวง
“ไปจริงๆ แหละหรือ?” ครั้นเห็นสุนทรีเตรียมจะลงในเรือเล็ก ก็พูดอย่างหวาดเสียว “กล้าจริงแฮะ”
เรือเล็กมาไกลจากฝั่งเรือจอดราวเส้นเศษ นายสวงเป็นผู้ฉายไฟ เมื่อมองอยู่แค่ระยะไฟฉาย สุนทรีก็มีความรู้สึกเป็นปกติ แต่ครั้นมองไกลไปอีก เห็นแต่ความมืดและความว่างเปล่า หล่อนก็รู้สึกใจหายเยือกเย็นอย่างไรพิกล จะเป็นด้วยเรือน้อยมาไกลเรือใหญ่มาก หรือจะเป็นที่หล่อนต้องสำรวมใจมิให้ตื่นเต้น สุนทรีรู้สึกคล้ายกับว่าเรือที่หล่อนนั่งอยู่ห่างจากมนุษย์ทั้งหลายสัก ๑๐๐ คุ้งน้ำ หูของหล่อนไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดนอกจากเสียงพายกระทบพื้นน้ำดังจ๋อมๆ กับเสียงผู้ถือท้ายพูดพึมพำ
หล่อนสะดุ้งเมื่องามพิศสะกิดแขนหล่อนเบาๆ ชี้ให้ดูตรงไปที่แสงไฟฉาย....เจ้าแห่งสัตว์น้ำลอยเทิ่งอยู่เห็นชัดตั้งแต่ศีรษะไปจนตลอดตัว ขนาดเท่าลำพาหนะที่สุนทรีนั่งมา ลักษณะน่าเกรงขามสมกับที่เป็นเจ้าแห่งถิ่น คนเรือพายเรือเข้าไปใกล้อีก คัดท้ายให้เรือตั้งลำขนานกับตัวจระเข้ พอตั้งได้ ท่อนหางของจระเข้ก็จมลง....ท่อนหัวจมตาม น้ำกระเพื่อมฮวบ แล้วหมุนเป็นวงกลมใหญ่ถนัด สุนทรีใจหายวาบราวกับรู้สึกว่าเรือกำลังจะจม
ขากลับ สุนทรีค่อยหายใจสะดวกขึ้น ด้วยมองเห็นแสงไฟจากเรือใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และขากลับนี้ก็ดูเหมือนเรือแล่นเร็วมาก เพียงครู่เดียวก็ถึงปลายทาง
“เออ ! นึกๆ ไปแล้วอยากเป็นลิง !”
สุนทรีนั่งอยู่ในเรือสำปั้นเล็ก ซึ่งมีงามพิศเป็นผู้พายหัว และชาวแพเป็นผู้ถือท้าย เมื่อได้ฟังงามพิศกล่าวประโยคนั้น สุนทรีก็หัวเราะ พร้อมกับถามว่า
“ทำไม เห็นว่าตัวเองยังไม่คล่องพอยังงั้นหรือ? อยากจะปีนป่ายตามต้นไม้ได้เหมือนลิง?”
งามพิศราพายยกขึ้นวางพาดตัก ตาจับอยู่ที่ฝูงวานร ซึ่งไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามต้นไม้บนเนินเขา บางตัวกำลังยงโย่ทำเสียงขู่ตะคอกเมื่อเห็นเรือพายเข้าใกล้ แล้วหล่อนถอนใจอีกพร้อมกับตอบว่า
“เป็นลิงดีกว่าสัตว์อื่น เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับมนุษย์ ไม่ถูกจับ ถูกฆ่า เป็นสัตว์อื่นถูกรังแกเรื่อย”
“ไม่มีสัตว์อะไรในโลกที่ไม่ถูกรังแก” สุนทรีตอบ “ชั่วแต่มากหรือน้อยเท่านั้น ว่าแต่เธอเป็นคนอยู่มิดีกว่าเป็นลิงอีกหรือ?”
“เป็นคนเบื่อค่ะ เดี๋ยวคิดยังงั้นเดี๋ยวคิดยังงี้ อยากเป็นนั่นเป็นนี่แล้วก็เป็นไม่ได้สักอย่าง เป็นลิงไม่มีหัวคิดไม่ต้องคิดถึงอะไร สบาย ขอแต่ให้ปืนไปปืนมาตามต้นไม้เท่านั้น”
ตั้งแต่ได้ร่วมทางกันมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่งามพิศรำพึงถึงตัวเองเป็นวาจาให้เข้าหูสุนทรี ดังนั้นจึงเป็นผลให้ผู้ฟังเกิดความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“เธออยากเป็นอะไร งามพิศ?” สุนทรีถาม
อีกฝ่ายหนึ่งนิ่งไปนาน จนผู้ถามคิดว่าเจ้าหล่อนใจลอยไปเสีย หรือมิฉะนั้นก็ไม่ได้ยิน จึงถามซ้ำ
“เธออยากเป็นอะไร งามพิศ?”
คราวนี้งามพิศหัวเราะ และเนื่องจากที่หล่อนหันหลังมาทางท้ายเรือ สุนทรีจึงไม่อาจเห็นความรันทดและความกระดากใจในสีหน้าของหล่อนได้ ในขณะที่หล่อนพูดว่า
“อยากไม่เป็นเรื่องค่ะ ล้วนแต่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น”
“เถอะน่ะ” สุนทรีกระเซ้า “ถึงเป็นไปไม่ได้ก็บอกเถอะ ฉันอยากรู้”
งามพิศนิ่งไปอีก ขณะที่ใจของหล่อนกำลังต่อสู้อยู่กับความใคร่ที่จะเปิดความคิดออกปรับทุกข์กับผู้ที่หล่อนรักและ ‘ติด’ อย่างที่เด็กสาวย่อมจะ ‘ติด’ บุคคลใดบุคคลหนึ่งด้วยเหตุผลบางประการ แต่ในที่สุดงามพิศก็ตอบอย่างเด็ดขาด พร้อมกับตั้งต้นพายเรืออย่างขนานใหญ่
“ป่วยการค่ะ เหลวๆ ทั้งนั้น....เอ๊ะ หาดนี่ตื้นจริง” หล่อนฉวยโอกาสออกอุทาน เมื่อพายกระทบสิ่งที่แข็งอยู่ใต้พื้นน้ำ “ท่าเราจะต้องขึ้นเสียที่ตรงนี้แล้วละ ยิ่งไปต่อไปก็จะไกลออกไปทุกที”
“ขึ้นก็ขึ้น” สุนทรีตอบ ติดใจในเรื่องที่พูดค้างมากกว่าที่จะนึกถึงจระเข้ใหญ่ที่ตนพยายามพายเรือมาคอยดู แล้วถามผู้ถือท้ายเรือ “ที่ๆ ลาดน้อยกว่านี้มีไหม ที่ไม่ต้องย่ำน้ำมากน่ะ ฉันเสียวไส้กลัวจะย่ำเอาเจ้าเข้า”
‘เจ้า’ ที่สุนทรีกล่าวนั้นหมายถึงจระเข้ สุนทรีทำตามลัทธิของชาวบ้านนี้ เขาถือกันว่าถ้าออกชื่อจระเข้ จระเข้อาจขึ้นได้ไม่ทันให้รู้ตัวและอาจหนุนเรือให้คว่ำไปได้
“ที่ตื้นเจ้าไม่อยู่หรอกครับ โน่น ! ต้องทางโน้นตรงปากน้ำกับลูกเขานั่นแน่ะ เห็นกันบ่อยๆ”
เขาคัดท้ายเรือเหหัวเข้าชนหาด งามพิศหยั่งน้ำด้วยใบพาย แล้วรั้งผ้าซิ่นขึ้นและก้าวออกจากเรือ สุนทรีจึงทำตาม แล้วคนเรือก็ไสเรือขึ้นเกยหาดแห้งไว้
เดินมาตามริมหาด เพื่อจะตัดทางตรงไปยังชะง่อนเขา พอถึงแง่หาดแง่หนึ่ง เห็นผีเสื้อฝูงใหญ่เป็นจำนวนพันบินว่อนอยู่ มองดูคล้ายทองใบถูกลมพัดปลิวไปมา ทั้งงามพิศและสุนทรีอุทานขึ้นพร้อมกัน แล้วงามพิศก็แล่นเข้าในหมู่ผีเสื้อประกบมือเข้าด้วยกัน ช้อนเอาเจ้าสัตว์สีทองไว้ได้ตัวหนึ่ง ตัวอื่นๆ ในกลุ่มก็แตกกระจายขึ้นแล้วก็กลับมาบินล้อมรอบตัวหล่อน บ้างก็เกาะติดมากับเสื้อ บ้างก็ติดมากับผม งามพิศวิ่งกลับมาที่สุนทรี ประคองหยิบสัตว์ที่จับได้ขึ้นให้ดู
ชมเชยเจ้าสัตว์ตัวทองปีกทองอยู่พักหนึ่ง แล้วหล่อนก็ชูแขนข้างที่มือถือผีเสื้อขึ้น คลายนิ้วมือเพื่อปล่อยให้สัตว์น้อยเป็นอิสระ พร้อมกับพูดว่า
“กลับไปหาเพื่อนของเจ้าไป เราไม่ข่มเหงเจ้าหรอกเดี๋ยวชาติหน้าจะลำบากยิ่งกว่าชาตินี้”
น้ำเสียงเศร้าซึ่งผู้ฟังสังเกตได้ว่า หลุดจากปากโดยมิได้มีความตั้งใจเช่นนี้ กระเทือนใจสุนทรีไม่น้อย แต่เวลานี้มิใช่เวลาเหมาะแก่การสนทนาถึงเรื่องลึกซึ้ง เช่นเรื่องของจิตใจและทุกข์สุข สุนทรีจึงได้แต่มองงามพิศนิ่งอยู่
ถัดจากที่นั้นไปใกล้จะถึงชายเขา มีหย่อมหินอยู่ระเกะระกะ มีต้นไม้ต้นน้อยๆ ชนิดล้มลุกขึ้นอยู่เป็นพืด เกือบทุกต้นมีดอกกลีบแดงเกสรเหลืองลักษณะคล้ายดอกชบาหนูที่บานเต็มที่ แต่มีกลีบเพียง ๔ กลีบ และบางประดุจแพร ดอกไม้เหล่านี้เองเป็นเครื่องชักจูงผีเสื้อให้มาสู่ สุนทรีและงามพิศชี้ให้กันดูด้วยความตื่นเต้น แล้วเก็บดอกไม้เสียบผม และห่อผ้าเช็ดหน้าไว้คนละหลายดอก
แล้วผู้นำทางนำเจ้าหล่อนทั้งสองไปถึงเชิงเขา ต่อจากนั้นก็ปีนป่ายไปตามก้อนหินจนถึงชะง่อนหินเขาส่วนหนึ่งคนเรือชี้ที่จระเข้เคยขึ้น แล้วเขาปีนต่อไปยังที่สูงและนั่งอย่างสบายอยู่ ณ ที่นั้น
จากที่ๆ สุนทรีกับงามพิศยืน มองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เห็นปากน้ำไทรโยคได้ถนัด ที่นั่นเป็นที่ๆ จระเข้เคยขึ้นบ่อยๆ เพราะเป็นทางที่ปลาไหลตามกระแสน้ำในลำน้ำน้อยมาสู่ลำน้ำใหญ่ มองไกลออกไปอีกเห็นที่ๆ เรือจอดเห็นแพที่อยู่ของผู้นำทาง ทางทิศใต้ หาดใหญ่ขนานกับลำน้ำ กำลังถูกแสงแดดฉายทำให้เห็นเป็นสีทองแดงต่อกันเป็นพืดสุดสายตา
เมื่อได้ยินชมภูมิประเทศอยู่ครู่หนึ่งแล้ว สุนทรีเลือกที่นั่งได้ตรงใต้ต้นไม้ งามพิศเลือกได้อีกที่หนึ่งอยู่บนยอดแห่งชะง่อนผาทีเดียว เท้าทั้งสองข้างยันไว้กับหินก้อนเล็ก หลังพิงกับหินก้อนใหญ่ ศีรษะหงายพิงหินก้อนเดียวกันนี้ งามพิศทำท่าสบายดังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม
เวลานั้นเป็นเวลาราวๆ ๑๕ นาฬิกา ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงกล้า แต่ลมพัดมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสายพอดับความร้อนให้หายได้ เสียงนกตีทองร้อง ป๊ก ป๊ก ป๊ก เป็นจังหวะ นกอื่นๆ อีกหลายพันธุ์เกาะอยู่ตามกิ่งไม้เจรจากันจู๋จี๋ เอียงคอดูมนุษย์อย่างทึ่ง มิได้แสดงความหวาดสะดุ้งอย่างไรเลย
สุนทรีมองดูภูมิประเทศรอบข้าง พลางนึกถึงเพื่อนเที่ยวอีก ๖ นางที่มิได้มากับหล่อนด้วย เนื่องจากเมื่อตอนเช้าคณะเที่ยวได้ไปในป่าโดยทางรถ เช่ารถยนต์ของกำนันตำบลนี้เป็นพาหนะ ทางนั้นเป็นทางลำบาก ข้ามห้วยข้ามธารหลายครั้ง รถกระเทือนกระแทกตรงกับคำที่ว่าฟัดผู้นั่งเสียจวนเจียนจะหายใจไม่ทัน จนรู้สึกบอบช้ำปวดเมื่อยไปทั้งตัว เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้ว สามครูจึงพากันนอนหลับอย่างสนิท
สุนทรีได้จัดการให้นายจี๊ดและนางจิ๋วไปดูน้ำโจน นายสวงกับนายร้อยตำรวจไปยิงปลาในลำน้ำไทรโยค กับเจ้าของเรือและผู้นำทางคนหนึ่ง เนื่องจากที่ลำน้ำนั้นตื้นมาก และน้ำใสมาก ชาวถิ่นนี้จึงใช้ปืนยิงปลาเล่นบางคราว แทนที่จะใช้เบ็ดหรือเครื่องดักอย่างอื่น
งามพิศเป็นผู้ริชวนให้สุนทรีมาเที่ยว ซึ่งสุนทรีก็รับด้วยความเต็มใจ เพราะนิสัยของหล่อนเป็นผู้ไม่ชอบหลับในเวลากลางวันอยู่แล้ว และการนั่งเปล่าอยู่ในเรือก็มิใช่สิ่งที่สนุกนัก
สุนทรีเพลินชมธรรมชาติจนลืมสิ่งใดๆ ในโลกรวมทั้งตัวเอง ภายหลังสายตาของหล่อนแลไปยังหญิงสาวเพื่อนร่วมทาง หล่อนก็ตื่นจากภวังค์ ด้วยเห็นเพื่อนร่วมทางของหล่อนนั้นปิดหน้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ดูท่าทางอ่อนระทวยเป็นอย่างยิ่ง สุนทรีจึงถามขึ้นว่า
“เหนื่อยหรือ งามพิศ? หรือง่วงนอน?”
อีกฝ่ายหนึ่งขยับตัว ยกมือจากวงหน้าช้าๆ สุนทรีรู้สึกว่าวงหน้าเจ้าหล่อนนั้นหม่นหมองผิดจากที่เคย อาการที่ยิ้มก็ดูแห้งแล้งดังยิ้มของคนเจ้าทุกข์ ก่อนที่สุนทรีจะได้ออกปากถามว่ากระไรต่อไป งามพิศพูดขึ้นว่า
“คุณรู้จักคนชื่อประจิตรไหมคะ? ผู้ชายค่ะ”
สุนทรีตกอยู่ในอาการลังเล ในที่สุดจึงตอบว่า
“คนชื่อประจิตรมีหลายคน ฉันก็คงต้องรู้จักเข้าสักคนหนึ่ง แหละ”
งามพิศหดขาเข้าหาตัว วางคางบนเข่า นิ่งอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงว่า
“คนที่ชนรถคุณพ่อของดิฉันน่ะค่ะ เขาชื่อประจิตร?”
“แล้วยังไงล่ะ?”
“ดิฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงมั่ง” งามพิศตอบช้าๆ “ดิฉันอยากให้เขาตายเร็วๆ ดิฉันแช่งเขาทุกวัน”
โลหิตฉีดขึ้นหน้าสุนทรีโดยแรง ความฉุนโกรธก็แล่นขึ้นสมอง แต่เป็นอยู่เพียงขณะจิตเดียว แล้วหล่อนก็พูดแกมหัวเราะ
“ประจิตรคนนั้นแหละที่ฉันรู้จัก”
ดวงตางามพิศแสดงความประหลาดใจ และตกใจด้วยถามขึ้นทันที
“เขาเป็น....คุณรู้จัก...รู้จักกันมากหรือคะ?”
สุนทรีตอบแกมหัวเราะเช่นเดียวกับคราวก่อน
“ก็มากอยู่ แต่ไม่มากถึงกับทนฟังเธอนินทาเขาไม่ได้ ฉันถือตัวเป็นกลาง เธออยากจะว่าอะไรเขาอีกก็ว่ามาเถอะ”
งามพิศกัดริมฝีปาก ตาขุ่น เบือนหน้าไปทางหนึ่ง ภายหลังจึงหันกลับมาทางสุนทรีและพึมพำ
“ดิฉันไม่ได้นึก....เมื่อตะกี้ดิฉันไม่ทราบ”
“แล้วเมื่อทราบแล้วเป็นยังไงไปล่ะ?” น้ำเสียงสุนทรีมิได้แปลกไปจากเดิม “ถึงฉันจะเป็น....เพื่อนของ....นายประจิตร ฉันก็ยังเป็นเพื่อนของเธอได้ต่อไปไม่ใช่หรือ ฉันไม่เก็บคำที่เธอว่าไปบอกเขาหรอก”
งามพิศนึกในใจว่า หล่อนอยากจะให้คำแช่งด่าของหล่อนได้เข้าหูประจิตร จะทำให้หล่อนดีใจเป็นอันมาก เว้นแต่ว่าหล่อนจะเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าสุนทรีนำความไปบอกเพราะหล่อนโกรธแทนเขา
หล่อนไม่พูดว่ากระไรอีก และสุนทรีก็ไม่ชักชวนให้พูด สุนทรีรำพึงอยู่ว่ามรณกรรมแห่งบิดาของงามพิศคงจะได้นำความทุกข์มาให้งามพิศอย่างมหันต์ ถ้ามิฉะนั้นไหนเลยเด็กหญิงผู้มีหน้าซื่อและบริสุทธิ์เช่นนี้ จะจองเวรจองกรรมมุ่งร้ายหมายขวัญต่อผู้เป็นต้นเหตุแห่งมรณกรรมของหลวงประเสริฐฯ ถึงปานนี้
เป็นครู่หนึ่งต่อมา งามพิศจึงเอ่ยขึ้น
“ดิฉันไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึงเลย”
“ทำไม?” สุนทรีถามน้ำเสียงอ่อนโยนด้วยความสงสารที่มีอยู่ในใจ
“ก็พรุ่งนี้เราจะออกเรือกลับนี่คะ” แล้วงามพิศก็ถอนใจยาว
“ฉันก็ยังไม่อยากกลับ แต่จำเป็น เรากะวันกันไว้เท่านี้ แล้วธุระทางบ้านก็มีอยู่ด้วย”
งามพิศนิ่งเงียบไปอีก สุนทรีเว้นระยะครู่หนึ่งแล้วก็พูดสืบไป กระแสเสียงอ่อนหวานยิ่งขึ้น
“ขอแนะนำอะไรเธอสักอย่าง ด้วยความหวังดีแท้ๆ ไม่ใช่อย่างอื่น เธออย่าไปผูกเวรกับคนที่เขาทำให้เธอเป็นทุกข์ คิดเสียว่าเขาไม่ได้แกล้ง เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร การผูกเวรจึงไม่ใช่ทางที่คนฉลาดคนดีจะนำมาใช้ ตั้งหน้าอดทนทำความดีไว้ดีกว่าต่อไปภายหน้าจะเห็นผล การเรียนของเธอน่ะอย่าทิ้งเสีย อุตส่าห์พยายามแล้วเธอจะหาความสุขได้มาก เมื่อเวลาที่เธอทำงานหาเลี้ยงตัวของเธอได้เอง ฉันกลับไปกรุงเทพฯ แล้วจะคอยฟังข่าวจากเธอ ขัดข้องเรื่องหนังสือหรืออะไรละก็บอกไปทันทีทีเดียว สิ่งใดที่เกี่ยวกับเธอละก็ฉันช่วยได้ ฉันจะช่วยทั้งนั้น”
แทนคำตอบใดๆ งามพิศพนมมือขึ้นไหว้สุนทรีดวงตาของหล่อนมีน้ำตาคลอตา และริมฝีปากของหล่อนก็สั่นระริก
สุนทรีก็รู้สึกหายใจไม่สะดวกเหมือนกัน รีบเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วก็ตะโกนถามผู้นำทางถึงเรื่องจระเข้
ได้รับคำตอบอย่างหัวเสียเล็กน้อย ว่าจระเข้ไม่ขึ้น และในเวลานั้นดวงตะวันกำลังต่ำลงทางทิศตะวันตกมาก แสงแดดลอดใต้พุ่มไม้เข้ามาทำให้เกิดความร้อน สุนทรีจึงชวนงามพิศกลับ
ขามานี้เรือทวนน้ำ ต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงเรือใหญ่ ผู้โดยสารเรือทั้งสามคนมีเหงื่อโชกตัว ทางเรือมาดพอสายใจเห็นผู้ที่กลับมาถึงใหม่ก็ตะโกนพ้อ
“แหม คุณครูไปเที่ยวไม่ชวนหนูมั่งนี่คะ”
“ก็จะชวนยังไงล่ะ หนูนอนหลับออกปุ๋ย”
“สนุกไหม?” สายใจหันไปถามงามพิศ
สุนทรีเป็นผู้ตอบแทน “สนุก แต่ร้อนหน่อยอยากอาบน้ำจะตายอยู่แล้ว”
คนอื่นก็พากันปรารภถึงเรื่องอาบน้ำด้วย เจ้าของเรือสำปั้นผู้ซึ่งกำลังรับรางวัลจากสุนทรีจึงว่า
“แถวนี้อาบได้ แต่อย่าออกไปลึกนัก ไม่ดี”
“ทำไมจ๊ะ จระเข้หรือ !” สุนทรีถาม
คนเรือหัวเราะและพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็ออกเรือไป
ในเวลานั้น เรือที่พานายจี๊ดกับนางจิ๋วไปดูน้ำตกก็มาถึง สุนทรีร้องว่า
“แหมนายจี๊ดกลับมาพอดี ฉันกำลังจะหิวอยู่แล้ว”
งามพิศผลัดเสื้อผ้าอย่างว่องไว แล้วโดดโพล่งลงไปอยู่ในน้ำ
ฝูงปลาตะเพียนที่แหวกว่ายอยู่ริมเรือแตกกระจายไป แต่ในครู่เดียวก็กลับมาวนเวียนอยู่รอบตัวงามพิศอีก สีแดงเหลือบทองของปลาเป็นประกายไหวๆ อยู่ในน้ำอันใสแจ๋ว หญิงสาวนุ่งแดงใส่แดง มีข้าวสุกที่เตรียมไว้แล้วอยู่ในมือ แบมือไว้ใต้พื้นน้ำเจ้าปลาก็ว่ายลอยตัวฮุบเอา บางตัวฮุบจนเพลินชะล่าใจขึ้นก็ฮุบเอานิ้วมืองามพิศเข้าไปด้วย ขนาดของปลาใหญ่กว่าฝ่ามือของงามพิศ บางตัวขนาดเท่าพัดเท่าด้ามจิ้วเล็ก หางปลาโบกว่ายไหวๆ ทำให้น้ำเป็นจุดนิดๆ แววๆ เหมือนเศษแก้วที่แดดส่อง ตาปลาแจ๋วลอดความแจ๋วของผิวน้ำขึ้นมาให้เห็น ตาของดรุณีผู้ที่ให้อาหารปลาก็ออกแสงเป็นประกายด้วยความรื่นรมย์
ครั้นคนอื่นๆ พากันลงอาบน้ำ งามพิศก็กล้าขึ้นโผออกไปนอกแนวที่เรือจอด แล้วก็แหวกว่ายกระแสน้ำทวนกลับมายังที่ บางคราวก็ทอดตัวให้ลอยปล่อยให้สายน้ำพัดพาออกไปไกล แล้วจึงว่ายกลับมาที่หาด ท่าทางคล่องแคล่วแข็งแรงราวกับมีชีวิตอยู่ในน้ำมาเป็นเวลานาน
งามพิศขึ้นจากน้ำ ผลัดเสื้อผ้าออกซัก ครั้นแล้วก็หายเข้าไปในประทุนเรือ ทาแป้งและหวีผม เสร็จแล้วก็ออกมานั่งทางเรือ ตรงที่ๆ คนอื่นๆ อาบน้ำกันอยู่
สุนทรียืนฟอกสบู่อยู่ตรงชายฝั่ง มองเห็นหน้างามพิศขาวเป็นนวล มีริบิ้นสีดำคาดผมกันมิให้ลงมาปรกหน้า ดอกไม้ดอกหนึ่งเสียบอยู่กับบิ้นใกล้จอนหู มีลักษณะให้เห็นได้ว่าผู้เสียบๆ ไว้ด้วยความรักดอกไม้ มากกว่าคิดถึงความสวยงามของตัวเอง สุนทรีมองด้วยความทึ่ง เกิดความเห็นว่าดอกไม้ทำให้งามพิศเป็นสาวน่าเอ็นดูขึ้นอย่างประหลาด พิศต่อไปอย่างที่ไม่เคยพิศมาแต่ก่อน เห็นริมฝีปากสีแดงเกือบเท่าสีดอกไม้ที่เสียบผม ดวงตาสีดำดูเป็นเงา และอาการที่หัวเราะอยู่กับเพื่อนสาวๆ ก็เป็นอาการของเด็กสาวที่ยังอ่อนเดียงสาต่อวิถีของโลกเป็นอันมาก