๘
เสียงไอครึ่งกระแอมของคนที่เฝ้าไข้ ทำให้คนไข้ตื่นขึ้น แล้วเขาผู้ที่เป็นคนไอก็หลับต่อไป ในเวลาที่คนไข้พลิกตัวตะแคงหันหน้ามาทางเขานั่นเอง
สุนทรีเป็นหวัดในวันรุ่งขึ้น จากวันที่ไปเยี่ยมท่านบิดา แรกทีเดียวก็เป็นแต่เพียงอ่อนๆ มีอาการคัดจมูกและจามเล็กน้อย แต่วันต่อๆ มาหล่อนไปทำงานตามที่เคย ได้ใช้เสียงสอนนักเรียนสามชั่วโมงติดๆ กันสองวันซ้อน ก็เกิดมีอาการเจ็บคอ แล้วในที่สุดก็เป็นไข้
สุนทรีหยุดงานมาได้ห้าวันแล้วเพื่อรักษาตัว ประจิตรได้ออกความเห็นให้หล่อนเรียกหมอ แต่หล่อนได้หัวเราะอย่างเห็นขันพร้อมกับคัดค้านอย่างแข็งแรง อ้างเหตุว่าการป่วยเพียงเป็นไข้หวัดไม่ควรจะกวนหมอให้หมอเสียเวลา วันต่อๆ มาประจิตรพูดถึงเรื่องหมออีก สุนทรีก็ยืนคำตามเดิมอีก เขาก็ยักไหล่พร้อมกับพูดว่า
“ก็ตามใจน่ะซี”
แล้วเขาก็ไปทำงานในเวลาเช้าจนถึงบ่าย ไปเที่ยวในเวลาเย็นจนถึงกลางคืน กลับถึงบ้านก็เมื่อสุนทรีนอนหลับเสียเป็น ๒-๓ ชั่วโมงแล้ว ดังนี้ ถ้าจะรวมเวลาที่ประจิตรได้สละให้สุนทรีสำหรับนั่งพูดจากับหล่อน ตั้งแต่วันแรกที่หล่อนต้องนอนพักจนถึงวันนี้ ก็น่าจะรวมได้เป็นตัวเลขไม่เกิน ๖๐ นาที
เพราะฉะนั้นสุนทรีจึงประหลาดใจ เมื่อเห็นประจิตรนั่งหลับอยู่ข้างเตียง “นี่มาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่” หล่อนถามตัวเอง และเมื่อได้คิดต่อไปอีกสักครู่หนึ่งแล้ว “เมื่อคืนคงกลับบ้านเอาจวนรุ่ง”
ที่ๆ ประจิตรนั่งอยู่นั้นเป็นเก้าอี้เบาะหนังตัวที่สุนทรีเคยนอนเล่นเสมอนั่นเอง แต่ประจิตรมิได้ใช้ความยาวของเก้าอี้ให้เป็นประโยชน์โดยเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงเป็นข้อที่ทำให้สุนทรีสนเท่ห์ และเห็นขันอีกประการหนึ่ง เมื่อหล่อนนอนอยู่ในท่าตะแคง หล่อนมองเห็นเขาได้ถนัดทั่วทั้งตัว ศีรษะของเขาเงยขึ้นเล็กน้อยพาดอยู่กับขอบพนักเก้าอี้ แขนทั้งสองไขว้ทับอยู่กับหน้าอก หน้าขาวเด่นขึ้นมาจากสีกรมท่าซึ่งเป็นสีหนังที่บุเก้าอี้ และปลายจมูกก็แหลมเด่นขึ้นมากลางใบหน้า สุนทรีนึกถึงเวลาที่เขาแสดงความดื้อดึง อันเป็นนิสัยประจำตัวของเขา หรือเวลาที่เขามีเรื่องต้องโต้เถียงกับหล่อน และเขาเถียงไปอย่างที่เรียกว่า ‘ข้างๆ คูๆ’ ซึ่งทำให้หล่อนนึกอยากจะดึงจมูกเขาให้ขาดติดมากับมือ แต่ในเวลานี้หล่อนรู้สึกว่าเขามีจมูกน่าเอ็นดูอย่างประหลาด ทำให้หน้าของเขาดูน่ารักมากกว่าน่าชัง ผมของเขาดำและหนาเกาะกันเป็นทรงเรียบอยู่เสมอ สุนทรีเคยนึกอยากลูบคลำเล่นบ่อยๆ ในเวลาที่เขาทำตัวให้หล่อนนิยมชมชื่น....เวลานี้หล่อนก็นึกอยากจะลูบผมนั้นเบาๆ เพื่อความสุขแก่ใจของหล่อนเอง
เกิดความประดากขึ้นปัจจุบันทันด่วน เมื่อรู้สึกตัวว่าได้ปล่อยอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้มไป ในร่างของมนุษย์ผู้ชายที่นั่งหลับอยู่เฉพาะหน้า สุนทรีถอนสายตาจากที่หมายเดิม ย้ายมามองดูนาฬิกาข้อมือซึ่งหล่อนถอดวางไว้ข้างหมอน เห็นเข็มบอกเวลา ๑๗ นาฬิกากับ ๑๒ นาที ก็รู้ตัวว่าหล่อนได้หลับสนิทอยู่ ๓ ชั่วโมงเต็ม เป็นเครื่องแสดงว่าร่างกายสบายขึ้นมากแล้ว ทั้งความรู้สึกในจิตใจก็แช่มชื่น อิ่มเอิบราวกับว่ามิได้มีพยาธิอันใดเบียดเบียนอยู่เลย นึกใคร่ที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ ใคร่ที่จะลูบตัวด้วยของเย็นและของหอม พร้อมกับรู้สึกหิวอย่างแรงกล้า สุนทรีเปลื้องแพรเพลาะที่คลุมตัวไว้ทางหนึ่ง แล้วก็ก้าวขาลงจากเตียง
พ้นจากที่นอนมาได้เพียงสามก้าว ก็มีเสียงกระดานลั่นเบาๆ ทันใดนั้นเองประจิตรก็ลืมตา และพอเห็นสุนทรียืนอยู่เขาก็ผุดลุกขึ้น ถลันเข้าขวางหน้าหล่อนไว้ ส่วนปากก็พูดว่า
“จะไปไหน ลุกขึ้นเดินงุ่มง่ามไปไหน กลับขึ้นเตียงทันที”
“อะไรกัน?” หญิงสาวอุทานด้วยความพิศวงแกมข้น “อยู่ๆ ก็ทำราวกับเจ๊กตื่นไฟ”
“ช่างฉันเถอะ ไม่เหมือนเธอนี่ อวดดี หัวดื้อ จะตายไม่รู้ตัว บอกให้กลับขึ้นเตียง”
เสียงที่พูดเป็นเสียงบังคับ และมีลักษณะตื่นเต้นจนสุนทรีต้องกลับไปนั่งบนที่นอน แต่ปากยังคงพูดแกมหัวเราะ
“สีหน้าฉันบอกอาการตายแล้วหรือ หรือเธอฝันไปว่าฉันเพ้อ ฉันเจ็บมาตั้งอาทิตย์ ฉันก็เดินของฉันทุกวัน ทำไมวันนี้เกิดจะมีคนมาจับให้ฉันนอน?”
ประจิตรตอบด้วยเสียงเป็นงานเป็นการอย่างยิ่ง
“ฉันรู้แล้วว่าเธอน่ะใจแข็ง ไม่ออดแอด แต่ยังไงก็ตามขอให้กลับลงนอนเสียก่อน แม่คุณเถอะ วันนี้ขอเสียทีอย่าดื้อเลย จะให้กราบก็จะกราบเดี๋ยวนี้ จริงๆ นอนเสีย นอน นอน นอน” แล้วเขาจับบ่าหล่อนทั้งสองข้างค่อยๆ ผลักจนหล่อนต้องเอนตัวลงตามมือเขา
ประจิตรหยิบแพรเพลาะมาคลุมตัวให้ สุนทรีเกิดความคิดขึ้นในใจว่า ไม่เขาก็หล่อนกำลังมีจิตวิปลาศ ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็นึกขันจึงยิ้ม ปล่อยให้เขาปฏิบัติหล่อนตามใจเขา จนเขานั่งลงบนเตียงข้างตัวหล่อนเรียบร้อยแล้ว และกำลังมองดูหล่อนอย่างพินิจพิเคราะห์ หล่อนจึงถามขึ้น
“เธอฝันว่ากระไร คุณจิตร?”
“เมื่อไหร่?”
“เมื่อเธอนั่งหลับน่ะซี”
“ใครบอกล่ะว่าฉันฝัน ม่อยไปไม่ถึง ๕ นาที เอาเวลาที่ไหนมาฝันกัน?”
“ไม่ได้ฝันทำไมมาทำ....ทำแปลกๆ ยังงี้ล่ะ?”
“อ๋อ ! สำหรับเธอน่ะ ฉันก็ต้องเป็นคน....ไม่แปลกก็บ้า ไม่บ้าบออะไรอย่างหนึ่งเสมอแหละ”
“ก็ธุระอะไรถึงมาเจ้ากี้เจ้าการกะฉันล่ะ ไอ้คนหิวจะตายมาบังคับให้นอน”
“หิวรึ?” ประจิตรย้อนถาม “ไม่รู้นี่” เขาลุกขึ้นยืน “อย่าลุกขึ้นนะ ขืนลุกเป็นได้ทุบกันทั้งเจ็บๆ” เดินไปที่ประตูอย่างเร็วที่สุด ราวกับว่าทางไกลสัก ๓๐๐ เส้น และตะโกนเรียกคนใช้สุดเสียงสองครั้ง แล้วก็สาวเท้ากลับมาที่หน้าเตียง สุนทรีนึกขันกิริยาของเขาเป็นอันมาก และหมั่นไส้ก็ไม่น้อย แต่คร้านที่จะโต้เถียงให้ยาวความ ก็ค้อนให้แล้วพลิกตัวหันเข้าข้างฝาเสียทันที
ราวหนึ่งนาทีภายหลัง หล่อนได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาในห้อง แล้วเสียงประจิตรสั่งอย่างเบาที่สุดให้คนใช้ไปละลายนมหนึ่งถ้วยโดยเร็ว คำว่า ‘นม’ นั่นเอง ทำให้สุนทรีนิ่งอยู่ไม่ได้ จึงรีบพลิกตัวมาทางเก่าพร้อมกับร้อง
“อย่าไปงัดเอานมมาจริงๆ นะ ฉันเททิ้งหมดจริงๆ ด้วย เอาน้ำชาของฉันมาตามเคย แล้วอะไรเค็มๆ ที่หนักท้องมาด้วย หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มหันมาจ้องดูหล่อน แล้วหันกลับไปทางคนใช้ “เอามาทุกอย่าง ทั้งที่คุณผู้หญิงสั่งด้วย ทั้งที่ข้าสั่งด้วย” เขาพูด แล้วเดินมาใกล้สุนทรีอีก หล่อนจึงเห็นว่าเขาถือปรอทอยู่ในมือ เขาถามหล่อนว่า
“เธอลองปรอทครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”
“เมื่อเที่ยง” สุนทรีสะบัดเสียงตอบ
“มันขึ้นถึงเท่านี้มากี่วันแล้ว?”
“เท่านี้? เท่าไหน? วันนี้มันไม่ได้ขึ้นเลยแม้แต่สักขีดเดียว เมื่อวานนี้แหละยังมี ดูเหมือน ๙๙ ครึ่ง หรือยังไงแหละ”
“อะไรไม่ขึ้น !” ประจิตรกล่าวอย่างเห็นขัน “ใครเป็นคนดูให้เธอ?”
“ฉันก็ดูของฉันเองน่ะซี ใครมั่งในบ้านนี้ที่ดูปรอทเป็น?”
“แล้วเธอไม่เห็นหรอกหรือว่ามันขึ้นถึง ๑๐๔ ?”
“อื๋อ !” หญิงสาวอุทาน ลุกขึ้นพังพาบในทันทีทันใด “ตาลายไปเสียแล้วพ่อบุรุษพยาบาล ๙๘ เท่านั้น ไม่เกินแม้แต่ครึ่งขีด ทั้งเมื่อเช้าเมื่อเที่ยง”
ประจิตรส่งปรอทให้หล่อนแล้วพูดเรียบๆ
“ดูเสียอีกทีหนึ่ง ให้เห็นว่าใครตาลายแน่”
สุนทรีรับปรอทมาดู เห็นขีดสีเงินอยู่ในขีดที่ประจิตรบอกจริง แต่หล่อนรู้แน่ว่าขีดนั้นมิได้แสดงความไข้ในตัวหล่อน ครั้นแล้วหล่อนนึกถึงความจริงขึ้นได้ ก็หัวเราะกิ๊กออกมาทันที พร้อมกับทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วว่า
“นึกได้แล้ว ก็เอามันแช่น้ำร้อนไว้ มันจะไม่ขึ้นยังไง เมื่อกลางวันฉันลูบตัวเสร็จแล้ว สักครู่ก็ลองปรอท แล้วเอาปรอทใส่ไว้ในขันน้ำร้อนที่เขาเอามาให้ลูบตัว น้ำร้อนมันยังมีติดก้นขัน มันถึงได้ทำให้ปรอทขึ้นลิ่วไปอย่างนั้น”
ประจิตรทำหน้าอย่างที่จะอธิบายได้โดยยาก เกิดความรู้สึกในความเขลาของตนอย่างเด่นชัด แต่ยังไม่อยากจะยอมรับทีเดียวจึงว่า
“เธอลองให้ฉันเห็นแก่ตาอีกทีเถอะ”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ยื่นปรอทให้เขาพร้อมกับพูดว่า
“สะบัดมันลงเสียก่อนซี”
ในระหว่างอมปรอท ประจิตรเล่าว่า
“ฉันโทรศัพท์เรียกไอ้หมอสุทัศน์แล้วนะ มันตอบว่าประเดี๋ยวมันจะมา ประเดี๋ยวภาษาอะไรของมันก็ไม่รู้ ตั้งแต่ ๔ โมงครึ่งจนป่านนี้ยังไม่จบ นั่งคอยมันจนกระทั่งหลับ”
ด้วยความอยากหัวเราะเต็มที สุนทรีเม้มริมฝีปากไว้ได้ด้วยความลำบาก ประจิตรดูนาฬิกาพลางเดินกลับไปกลับมาที่หน้าเตียง ไม่ช้าก็พูดขึ้นอีกว่า
“อะไรไม่ว่าหรอก ทีนี้กลัวจะเป็นไทฟอยด์ ไอ้ไข้เปรตนั่นหายแล้วยังมีการหัวโกร๋น หรือบ้าๆ บอๆ ไปก็มี นึกสงสัยแม้แต่นิดเดียวก็ต้องระวังอย่างที่สุด”
พอดีกับสุนทรีมองเห็นเข็มนาฬิกาบอกเวลา ที่พอแก่การวัดความร้อนในร่างกายแล้ว หล่อนก็ชักปรอทออกจากปากและส่งให้เขา
“ปกติ” ประจิตรกล่าวเมื่อดูปรอทแล้ว พร้อมกับยิ้มจืดๆ “บ้าระยำ ตกใจเสียแทบตาย”
“นึกยังไงถึงเกิดมาดูปรอทที่ลองไว้ร้อยปี” สุนทรีถาม
“อ้าว ! ก็กลับจากทำงานก็อยากรู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ถามใครก็ไม่ได้เรื่อง แม่สาวชมก็บอกว่าเธอนอนหลับตั้งแต่บ่าย นึกในใจว่าทำยังไงถึงจะรู้ เห็นไอ้ปรอทมันวางอยู่บนโต๊ะก็เลยหยิบมาดู....”
“เผอิญเป็นความร้อนของน้ำร้อน หาใช่ความร้อนของฉันไม่ แล้วนึกอย่างไรถึงเกิดร้อนรนอยากรู้อาการฉันขึ้นมามากถึงเพียงนั้น?”
“เอ๊ะ ! ทำไมถึงถามยังงั้นนะ” ประจิตรกล่าวสีหน้าแสดงความฉุนเล็กน้อย “ก็คนอยู่ด้วยกัน เจ็บไข้จะไม่ให้อยากรู้อาการมั่งเทียวหรือ?”
เจ้าหล่อนไม่ตอบ เพราะรู้อยู่ว่าการที่บุคคลหนึ่งทำให้อีกบุคคลหนึ่งเห็นว่าเขาใจดำนั้น เขาผู้ทำมิใช่จะรู้ตัวว่าตัวใจดำเหมือนที่อีกฝ่ายหนึ่งนึก ฉะนั้นสุนทรีจึงตัดบทเสียโดยพูดว่า
“ไปโทรศัพท์บอกหมอสุทัศน์เสียไป ว่าเราไม่ต้องการเขาเลย อย่าให้เขามาเสียเวลาของเขา”
“น่าจะปล่อยให้มันมา แล้วเตะมันกลับไป” ประจิตรว่าแล้วเดินออกไปนอกห้อง
เมื่อเขากลับมาอีกพบประตูห้องปิดสนิท สุนทรีผู้ซึ่งคอยฟังฝีเท้าของเขาอยู่ร้องบอกว่า
“อย่าเพ่อเข้ามา รออีก ๕ นาทีถึงจะเข้ามาได้ ฉันกำลังเช็ดตัว”
“ยังงั้นฉันจะไปอาบน้ำเสียก่อน” ประจิตรตอบ
ราว ๑๐ นาทีภายหลัง สุนทรีลงมือรับประทานอาหารว่าง ประจิตรถือถ้วยเบียร์มือหนึ่ง ขวดเบียร์มือหนึ่ง เข้ามานั่งอยู่ข้างหล่อน
เขาแสดงความยินดีที่หล่อนรับประทานได้มาก แล้วเสริมว่า
“หน้าตาก็ไม่บอกแล้วว่าเป็นคนเจ็บ พรุ่งนี้ก็ไปเที่ยวได้”
“ช้าก่อน !” สุนทรีด้าน “ถ้ายังไปทำงานไม่ได้ ก็ไปเที่ยวไม่ได้เหมือนกัน”
“พิโธ่ ! ไปเที่ยวน่ะมันไปสบาย ไปทำงานน่ะมันเหนื่อย เหมือนกันที่ไหน”
“อยู่บ้านก็หาความสบายได้ คนที่จะรักษาตัวก็ควรจะอยู่บ้าน ถ้าไม่ต้องการจะรักษาตัวก็ควรจะไปทำงาน ถ้ามิฉะนั้นก็จะเป็นคนที่ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่”
เขารู้เท่าว่าใจของหล่อนนึกถึงเขา เมื่อหล่อนกล่าวประโยคหลังนี้ แต่ไม่ออกรับ
ภายหลังเขาเอ่ยขึ้นว่า
“เมื่อคืนโชคบันดาลให้ไปพบคนที่เช่าบ้านหลวงประเสริฐฯ อยู่ แปลกเหลือเกินเราเพียรไปหาถึงสองหนไม่พบ ถึงทีเมื่อเราไม่ได้นึกได้ฝันถึงเลยดันไปพบเข้าได้”
“ไปพบเข้าที่ไหนล่ะ?”
ประจิตรออกนามสถานหย่อนใจ อันมีชื่อมากที่สุดในพระนคร แล้วเล่าต่อไปว่า
“ชื่อหลวงเจน? เจนอะไรก็ไม่รู้ วิธีที่รู้จักกันก็แปลก พวกเขากับพวกเราต่างคนต่างก็เต้นรำกัน แล้วยังไงไม่รู้ พวกเราดันเข้าไปนั่งในหมู่เขา มิหนำซ้ำอนุชาติยังฉวยเหล้าเขามากินเสียอีก เรื่องมันก็คือว่าต่างคนต่างมึนเข้าไปด้วยกัน แต่มันมึนไปในทางสนุกจนถึงกับ ‘Your girls are my girls, my girls are your girls.’๑ ลงท้ายหลวงเจนฯ ชวนไปพักที่บ้าน”
“พัก !?” สุนทรีสวนคำ
ประจิตรหัวเราะ ไม่ตอบ พูดเลยไปเสียว่า
“เมื่อแรกก็จะเอากับเขาหรอก พอไปพบเป็นไอ้บ้านนั้นเข้าเลยลา”
“ยังอุตส่าห์จำได้ด้วยหรือ?”
“จำได้ ที่จริงเราสติดีกว่าเพื่อน”
“แล้วได้เรื่องนายประพันธ์ไหมล่ะ?”
“ไม่ได้....”
“อ้าวไหนว่าสติยังดี?”
“ดีจริงๆ ถามแล้ว แต่อีตาผีนั่นแกไม่ฟัง แกจะลากเราเข้าบ้านท่าเดียว”
“แล้วทำยังไงถึงจะได้รู้เรื่องล่ะ ต้องไปหาแกเวลากลางวันซี ไม่ยังงั้นพ่อจะเมาเสียอีกหรอก?”
“หากลางวันไม่พบ ได้ความว่าแกไปที่นั่นอาทิตย์ละสองหนเท่านั้น แล้วไปจำเพาะเวลากลางคืนวันพฤหัสกับวันเสาร์”
“เอ๊ะ ! เพราะเหตุใด?”
“เพราะเมียเขาอนุญาตเพียงเท่านั้น”
“มีเมียแล้วด้วย ! โอ๊ย ! แม่เจ้าประคุณนั่นก็ประเสริฐจริง ถ้าแกจะเบื่อหน้าผัวแกเวลาเมาหรือยังไง แกถึงเลยไม่ให้กลับบ้านเสียคืนหนึ่งเต็มๆ ทีเดียว?”
“ไม่ยักใช่ เขาอนุญาตกันให้มาค้างกับเมียน้อย แต่พ่อเจ้าประคุณหามีเมียน้อยเป็นเนื้อเป็นตัวไม่ เช่าบ้านไว้เพื่อเหตุอื่นอาทิตย์ละสองหน”
“น่าเอ็นดู ! อยากรู้จักพ่อเทวดาคนนี้จริง อี๊! แต่อยากรู้จักเมียมากกว่า อยากเห็นผู้หญิงประเสริฐ เห็นจะเป็นครอบครัวที่มั่งมีมาก?”
“เข้าใจว่าอย่างนั้น”
สุนทรีมีนิสัยอย่างหนึ่งซึ่งคล้ายกับสตรีทั่วไป เมื่ออยู่ด้วยบุรุษผู้เป็นที่รัก จะรักโดยสถานใดก็ตาม สิ่งใดตนเกลียดกลัว ไม่อยากให้เขาประพฤติ หรือกระทำมากที่สุด ก็มักจะท้าหรือเตือนว่าเมื่อใดเขาจึงจะทำสิ่งนั้น เพราะเหตุนี้สุนทรีจึงพูดว่า
“เธอเมื่อไรจะมีบ้านพักกับเขามั่งล่ะ หรือมีไว้ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้?”
ประจิตรรู้ดีถึงเหตุที่กีดกันเขามิให้ทำสิ่งที่สุนทรีกล่าว เขาถือตัวของเขาเหมือนผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวคือ มีสุภาพสตรีสาวที่เขาจะต้องปกปักรักษา ไม่เป็นการบังควรที่เขาจะหลงระเริงอยู่นอกบ้าน ในเวลาค่ำคืนมากเกินไปนัก แต่เมื่อเจ้าหล่อนผู้นี้ได้ถามประชดขึ้น เขาก็ตอบว่า
“ธุระอะไรจะต้องไปเช่าเป็นเดือนให้เสียเงิน เช่ามันเป็นรายวันมิดีกว่าหรือ เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ดีด้วยไม่ต้องซ้ำที่ ไม่เบื่อ”
อึดใจหนึ่งเต็มๆ สุนทรีนึกอยากให้คู่สนทนาของหล่อนถูกสิ่งใดสิ่งหนึ่งจับตัวโยนออกไปเสียให้พ้นหูพ้นตา
-
๑. หญิงของท่านเป็นของฉัน หญิงของฉันเป็นของท่าน ↩