๑
วันคืนล่วงไปเรื่อยๆ จนย่างเข้าฤดูฝนอีกรอบหนึ่ง ในฤดูนี้ หลวงชาญยนตรกิจเคยออกจากพระนครมาพักที่หัวหินเกือบทุกปี
บางปีเขามาทั้งครอบครัว คือมีภรรยามาด้วย คำว่าภรรยามาด้วยนี้ ย่อมหมายถึงว่าญาติของภรรยาสหายของภรรยาก็มาด้วยอีกคน เพราะหัวหินในฤดูฝนเป็นหัวหินที่ค่อนข้างเงียบเหงา เป็นธรรมดาที่ผู้มาพักย่อมเตรียมหาเพื่อน เพื่อแก้เหงาให้แก่ตัว ดังนี้ หลวงชาญฯ ก็เช่าบ้านให้ใหญ่หน่อย สำหรับเป็นที่พัก เพื่อความสะดวกของตนเองและเพื่อความสะดวกของผู้ที่มาพักร่วมด้วย
บางปีภรรยาของเขาไม่อยากย้ายสถานที่ หลวงชาญฯ ก็เลือกได้เพื่อนของเขาเอง สองคนหรือสามคนหรือสี่คนชวนกันมาพักในบ้านที่เล็กหน่อย หุงหาบริโภคเองบ้างอาศัยร้านที่สะอาดหรืออาศัยโฮเต็ลเป็นที่บริโภคบ้าง แล้วแต่ความตกลงระหว่างเพื่อนด้วยกัน ฆ่าเวลาด้วยการกีฬาทั้งนอกร่มและในร่ม และบางทีก็ลงเรือใบไปเที่ยว หรือไปยิงสัตว์ หรือต้อนกระต่ายป่า
เฉพาะปีนี้ หลวงชาญฯ กับสุทัศน์ได้ตกลงกันล่วงหน้าไว้นาน ว่าเขาจะพยายามมาหัวหินพร้อมกัน และพักอยู่ด้วยกัน การที่ตกลงล่วงหน้าไว้นานเช่นนี้ ทำให้หลวงชาญฯ ต้องพักอยู่กับสุทัศน์เพียงสองต่อสอง เพราะนายแพทย์สุทัศน์ได้กล่าวแก่หลวงชาญฯ อย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมมีเพื่อนมากก็จริง แต่ไม่ชอบคลุกคลีกับใคร นอกจากคนที่ผมสนิทสนมด้วยจริงๆ”
และหลวงชาญฯ กับสุทัศน์นี้เป็นเพื่อนที่คบกันได้เพราะอุดมคติต้องกันอย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง เพราะมีนิสัยตรงกันข้ามกันอย่างที่จะเป็นน้ำหนักถ่วงกันได้พอเหมาะพอดีในเมื่อเอาขึ้นตาชั่งคู่กันแล้ว
กล่าวคือ สุทัศน์ยังมีนิสัยเป็นเด็กหนุ่มเกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หลักเกณฑ์การดำเนินชีวิตยังตรงแนวอยู่ในหลักจรรยาที่เขาได้รับการอบรมมาแต่ก่อน เกลียดกลัวความชั่วทุกชนิด และให้อภัยความผิดของบุคคลได้ยาก ส่วนหลวงชาญฯ เป็นผู้ที่ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกเป็นจริงเป็นจัง จนถึงกับปล่อยให้จิตใจไปเก็บมาคิดมาฝันเป็นกังวล โดยนัยนี้ เขาไม่ค่อยเชื่อในความดีวิเศษของมนุษย์ และเมื่อได้ประสบพบเห็นความผิดที่มนุษย์กระทำก็ไม่คิดพิศวง
เพราะฉะนั้นหลวงชาญฯ จึงเป็นผู้ที่คบใครคบได้ และเขาเป็นผู้ที่มักจะตามใจเพื่อนอยู่เสมอ ก็ล้มความคิดที่จะหาเพื่อนร่วมที่พักเป็นคนที่สองที่สามต่อไป
ครั้นเมื่อมาถึงแหลมหินแล้ว หลวงชาญฯ ได้พบเพื่อนที่มาพักอยู่ก่อนหลายคน เขาชักชวนให้สุทัศน์ไปเข้าหมู่เพื่อนเหล่านั้นด้วย สุทัศน์ไม่ขัดข้อง เพราะการคบเพียงเที่ยวด้วยกันรับประทานอาหารด้วยกันชั่วมือสองมื้อหรือเล่นกีฬาด้วยกัน ไม่หมายความว่าผู้คนทั้งสองฝ่ายจะต้องเป็นเพื่อนสนิทแก่กันอย่างแท้จริง
วันนี้ฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่เช้า แต่พอบ่ายจัดฝนก็หาย หลวงชาญฯ กับสุทัศน์ก็เพิ่งลุกจากวง ‘โพ้กเคอร์’ มานั่งดื่มเบียร์อยู่ที่ร้านเล็กๆ ใกล้หาด
ตอนหนึ่งหลวงชาญฯ เอ่ยขึ้นว่า
“ใครคนหนึ่งบอกผมเมื่อกลางวันว่า คุณสุนทรีจะมาหัวหินรถด่วนใหญ่คืนวันนี้”
สุทัศน์ผู้ซึ่งนั่งทอดตัวพิงเก้าอี้อยู่ในกริยาของคนง่วง และเบื่อตัวเองอย่างที่สุดนั้น ผงกศีรษะขึ้นทันทีพร้อมกับถามอย่างทึ่ง
“ใครเป็นคนบอก?”
หลวงชาญฯ นิ่งคิด
“จำไม่ได้” เขาว่า “นึกไม่ออก เอ ! เมื่อกลางวันผมไปพบใครที่ไหนบ้าง?”
“เมื่อกลางวันหรือเมื่อเช้า กลางวันผมก็เห็นแต่พวกที่จ้ำโพ้กเค่อร์อยู่กับเรานั่นแหละ ไม่เห็นมีใครที่ไหนอีก”
“ถ้ายังงั้นคงเป็นเมื่อเช้า ใครนะ? เมื่อเช้าพบใครมั่งที่ตลาด อ้อ ! นายเทียม ! นายเทียม เมียนายเทียมเป็นคนบอก”
สุทัศน์ทอดศีรษะลงกับพนักเก้าอี้ดังเก่า พูดว่า
“ผมรู้แต่ว่า คุณพระวนศาสตร์ฯ จะมาแน่ ผมเองแหละเป็นคนบอกให้มา อยากให้ท่านมาพักรักษาตัวเสียสักพักหนึ่ง แต่จะมาเมื่อไหร่แน่ยังไม่รู้ ท่านบอกแต่ว่าท่านจะมาให้ทันพบผมที่นี่”
“ผมไม่ยักมีโอกาสรู้จักท่านผู้นี้ เคยแต่เห็น รู้ว่าท่านเป็นใคร?”
“เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ” สุทัศน์กล่าวช้าๆ “ใจใหญ่มาก แต่เป็นคนขรึมหน่อยๆ อะไรๆ ก็เฉยเรื่อยตรงกันข้ามกับเมีย” แล้วสุทัศน์ก็หัวเราะ
“คุณเห็นจะคุ้นเคยกับที่บ้านนั้นมาก”
“คุ้นมาก เกินกว่าที่หมอกับคนไข้ที่เคยรักษากันเพียงพักสองพักควรจะคุ้น ผมรักนิสัยพระวนศาสตร์ฯ” เขาชะงักเล็กน้อยแล้วเสริม “แต่ผมไม่เข้าใจอะไรของท่านบางอย่าง”
“เป็นต้นว่าอะไร?” หลวงชาญฯ ถาม
สุทัศน์สั่นศีรษะน้อยๆ แล้วก็ตอบว่า
“พูดไม่ถูก”
ความชื้นแฉะและพยับโพยมแห่งอากาศ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองมีความครุ่นคิดไปในแง่ที่ใกล้กับความเปล่าเปลี่ยวและเงียบเหงาในอารมณ์ จึงนิ่งเงียบไปด้วยกัน ภายหลังหลวงชาญฯ เป็นผู้พูดให้ก่อน
“ผมเคยเห็นสุนทรีครั้งแรกที่หัวหินนี่เอง รู้จักกันก็ที่หัวหินนี่แหละ ประจิตรเขาแนะนำ”
“ผมรู้จักที่สนามม้า คุณหลวงเป็นคนแนะนำ พบกันครั้งที่สองที่บ้านเขา ผมไปหาประจิตรเรื่องอะไรก็ลืมเสียแล้ว ยังพบคุณหลวงอยู่ที่นั่นด้วย”
“ผมจำไม่ได้” หลวงชาญฯ ตอบเรื่อยๆ
สุทัศน์นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า
“ผมยังเคยนึกว่าคุณหลวงรักสุนทรี”
หลวงชาญฯ มิได้ถอนสายตาจากมือของเขาที่กำลังลูบคลำถ้วยแก้วเบียร์ ตอบอยู่ในใจว่า “ทายเก่งพอใช้” แล้วความจำข้อหนึ่งเกิดขึ้นซ้อนความคิดนั้น จึงเงยหน้าขึ้นมองดูสนทนาแล้วกล่าวเป็นเชิงถาม
“ดูเหมือนคุณก็เคยบอกกับผมว่า คุณสงสัยว่าแสงกับนายแมนรักสุนทรี”
สุทัศน์ไม่ตอบคำถามโดยตรง พูดต่อไปเป็นกลางๆ
“เมื่อแรกรู้จักกันใหม่ๆ ผมนึกว่าประจิตรกับสุนทรีเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ที่หลังเป็นนานถึงได้รู้ว่าเขาเป็นกันยิ่งกว่าพี่น้อง” แล้วสุทัศน์ก็หัวเราะมีกระแสเสียงค่อนข้างขุ่น
หลวงชาญฯ ไม่ตอบ และการนิ่งของหลวงชาญฯ ทำให้สุทัศน์อัดใจ เพราะสุทัศน์พูดด้วยมีความต้องการอย่างแรงกล้า ในอันที่จะฟังความเห็นบางประการจากคู่สนทนา
เป็นครู่หนึ่งหลวงชาญฯ จึงเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ยั่วยวนเป็นที่หนึ่ง”
“ผมเกลียดคนยั่วยวน” สุทัศน์สวนคำขึ้นทันที
“เกลียดแต่เวลาที่เป็นของคนอื่นน่ะซี เป็นของตัวขี้คร้านจะหลง”
“ผมเกลียดคนยั่วยวน” สุทัศน์ยื่นคำอย่างดุดันเน้นคำหนักยิ่งขึ้น “ดูราวกับจะตั้งใจปั่นหัวผู้ชายเล่นเสียทุกคน”
“ผมกำลังพูดถึงคุณสุนทรีนะ” หลวงชาญฯ บอก
“นั่นแหละ เกิดมาไม่เคยเห็นใครยั่วยวนเท่า”
“เออ ! ถ้ายังงั้นผมเห็นจะใช้คำพูดหนักไป ขอเปลี่ยนเสียใหม่เถอะ เป็นคนมีเสน่ห์มาก พราวไปทั้งตัวแต่ผมไม่โทษว่าแกแกล้งทำมันขึ้น”
“ผมเกลียดผู้หญิงคนนั้น” สุทัศน์ว่าอีก “เข้าใกล้ราวกับเข้าใกล้ไฟ”
หลวงชาญฯ รู้สึกว่าคำพูดนั้นอยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวขวัญ นึกรำคาญจึงว่า
“ผู้หญิงมีความร้อนของไฟอยู่ในตัวทุกคน แต่ความเย็นของน้ำเขาก็มีอยู่เหมือนกัน มันแล้วแต่คนที่ไปเข้าใกล้เขาต่างหาก เข้าถูกก็เย็น เข้าผิดก็สมน้ำหน้า” แล้วเกิดความไหวพริบในน้ำคำของสุทัศน์ ก็มองจับตาเขาแล้วถามตรงๆ “คุณนี่ก็คงรักสุนทรีเหมือนกัน?”
สุทัศน์ขยับตัวโดยแรง ผิวหน้าแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว อึกอักเป็นครู่จึงเกิดความฉลาด ย้อมถามแกมหัวเราะ “เหมือนกัน ! เหมือนกันกับใคร?”
“เหมือนกันกับผม” หลวงชาญฯ ตอบตรงอีก และเมื่อได้สารภาพออกมาเช่นนี้แล้ว ก็เกิดความสมเพชตัวเองพร้อมกับนึกเมตตาชายหนุ่มที่นั่งอยู่เฉพาะหน้า จึงชี้แจงต่อไปว่า
“ถ้าจะพูดกันตามตรงทีเดียว จะว่าไม่เคยรักก็ได้คือไม่ทันได้รัก เป็นแต่ตาลายไปชั่วคราวแล้วก็หาย”
“ตั้งแต่เมื่อไรนี่?”
“นานแล้ว ตั้งแต่แรกรู้จักกันใหม่?”
“แล้วยังไงอีกล่ะ?”
“แล้วก็เกิดความรู้ขึ้นว่าเขามีเจ้าของ เราเองก็มีเจ้าของเหมือนกัน แปลว่ากันชนทั้งหน้าทั้งหลัง”
“พอรู้สึกอย่างนั้นก็หายรักเทียวหรือ?”
หลวงชาญฯ หัวเราะแล้วว่า
: “ก็บอกแล้วยังไงว่ายังไม่ทันได้รัก เป็นแต่ตาลายไป”
“เอาเถอะน่ะ พอรู้ความจริงแล้วก็หายเป็นปลิดทิ้งเทียวหรือ?”
อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มเชื่อแน่ว่า ความสนใจของสุทัศน์เป็นความสนใจนอกเหนือความสนใจสามัญ ที่บุคคลพึงมีต่อคำพูดของคู่สนทนาเสียแล้ว นึกขึ้นก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังแล้วว่า
“นี่เรื่องอะไรผมถึงจะมานั่งปรับทุกข์ให้ชู้ฟัง”
“เอาเถอะน่ะ” สุทัศน์กล่าวอย่างร้อนรน “ผม.....ผม...ผมอยากรู้”
หลวงชาญฯ หัวเราะอีก แล้วจึงเล่าต่อไป
“พอได้สติก็เสียอกเสียใจไปพักหนึ่ง” หัวเราะเสียงดังยิ่งกว่าครั้งก่อน “บ้า ! มนุษย์เรานี่มีเวลาบ้าได้มาก ๆ แล้วทีหลังก็ตีห่าง พยายามไม่พบไม่ปะ จนกระทั่งโลกหมุนให้เผอิญไปพบกันเข้าอีก ที่ไหนก็ไม่รู้จำไม่ได้เสียแล้ว เอ๊ะ พบทีนี้ดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร ยังเห็นว่าแกมีความน่ารักน่าเอ็นดูอยู่ในตัวมาก แต่ไม่ทุรนทุรายที่จะเอามาเป็นของตัว ออกจะพอใจเพียงแต่อาศัยคนอื่นเขาชมอยู่ห่างๆ”
สุทัศน์ดื่มเบียร์รวดเดียวหมดถ้วย แล้วลุกขึ้นเดินส่ายไปมา แล้วนึกขึ้นได้ว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่สาธารณะใช่ที่ๆ ตนจะทำกิริยาอันผิดปกติ ก็กลับนั่งลงดังเก่า
หลวงชาญฯ ดื่มเบียร์หมดถ้วยแล้วเหมือนกัน มองดูสหายนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองทางหาดทรายแล้วก็ปรารภขึ้นว่า
“วันนี้ไม่มีคนอาบน้ำเลย ท่าจะกลัวแมงกะพรุน เราไปอาบกันไหม?”
ดูเหมือนสุทัศน์จะไม่ได้ยินคำพูดนี้ หรือหูของเขาได้ยิน แต่สมองของเขาไม่ยอมทำความเข้าใจด้วยเขาพูดขึ้นว่า
“ผมไม่เข้าใจคนสองคนนั่น”
“สองคนไหนอีกล่ะ?” อีกฝ่ายหนึ่งถาม
“ที่เขาพูดค้างอยู่น่ะ”
“สุนทรี?”
“นั่นแหละ”
“แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”
“ก็จะมีใคร พ่อประจิตรของเขาน่ะซี”
“ไม่เข้าใจเขาว่ายังไง?”
“ไม่เข้าใจผู้หญิงมากกว่า อยู่ด้วยกันกับ.....คู่หมั้น จะแต่งงานแต่งการกันเสียก็ไม่แต่ง แล้วก็ไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดว่าเป็นคู่หมั้นกัน....หรือเขาจะเป็นพวกสมัยใหม่ ถือว่าการแต่งงานเป็นเครื่องผูกมัดเกะกะ สู้อยู่ด้วยกันเฉยๆ ไม่ได้ นึกจะเลิกกันเมื่อไหร่จะได้เลิกง่ายๆ”
ทั้งที่หลวงชาญฯ มีความเห็นที่กว้างมาก หดได้ยืดได้ตามกรณี เขาก็อดนึกไม่พอใจในการคาดคะเนของสุทัศน์มิได้ จึงพูดด้วยเสียงค่อนข้างแข็ง
“ทำไมคุณถึงไปนึกเชื่อว่า ผู้หญิงสาวผู้ชายหนุ่มจะอยู่บ้านเดียวกันโดยสุจริตใจไม่ได้?”
“ผมไม่ได้เชื่อ” สุทัศน์ค้านเสียงแข็งเหมือนกัน “ผมปรารภเท่านั้นเอง ก็เมื่อเป็นคู่หมั้นคู่รักผมก็เห็นมันผิดวิสัยที่จะอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีอะไรกันเลย ถ้าจะนับกันอย่างพี่น้องก็ให้มันรู้ไปซี นี่คุณหลวงเองก็รับว่าประจิตรเป็นเจ้าของสุนทรี ผมเองก็รู้มาจากทางแม่เลี้ยงสุนทรีว่าเป็นเช่นนั้นจริง”
“มันอาจจะเป็นแต่เพียงความตั้งใจของผู้ใหญ่ที่ตายไปแล้วก็ได้ หรือเมื่อตอนแรกเขาอาจจะรักกัน แต่ทีหลังต่างคนต่างเห็นว่า นิสัยของตัวไม่ถูกกันก็ได้....”
“ไอ้การรออย่างนี้ วันหนึ่งมันอาจจะพลาด.....”
“ก็พลาดแล้วยังไง พ่อประจิตรเกิดมีเมีย....”
“นั่นน่ะซี มันถึงดูเป็นเรื่องลึกลับยิ่งขึ้น แล้วทีนี้คนสวยของคุณหลวงจะออกไม้ไหน?”
น้ำคำและน้ำเสียงของสุทัศน์ ทำให้หลวงชาญฯ นึกจำความรู้สึกของตนในสมัยที่กำลัง ‘ตาลาย’ ขึ้นได้อย่างถนัดถนี่ เกิดความเห็นอกชายหนุ่มเลือดร้อนผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของตน จึงพูดว่า
“คอยดูเขาไปก็แล้วกัน เขาจะออกไม้ไหน เผื่อ...บางทีผู้หญิงคนนี้จะเป็นเนื้อคู่ของคุณก็ได้ ผมจะดีใจด้วยมากๆ” แล้วหลวงชาญฯ ก็หัวเราะ
สุทัศน์รู้สึกคล้ายกับหัวใจพองโตขึ้น รีบกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวโดยหันไปเรียกเบียร์จากผู้ขายอีกขวดหนึ่ง
“เอ๊ะ !” หลวงชาญฯ ทัก “จะเอาอีกหรือ? สองขวดแล้วนะ”
“อีกขวดเถอะ” สหายของเขาตอบ
“เดี๋ยวจะค่ำไป ไม่ได้อาบน้ำทะเลหรอก”
“อาบบนบกดีกว่า วันนี้ผมขี้เกียจ”
“งั้นก็ตามใจ ดีเหมือนกัน นั่งจมมันอยู่ที่เดียวยังงี้แหละ” แล้วหลวงชาญฯ ก็เอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ และเหยียดขายาวออกไปใต้โต๊ะ
เมื่อสุทัศน์กำลังรินเบียร์ใสใส่ถ้วยของเพื่อน แล้วใส่ในถ้วยของตัวเองด้วย หลวงชาญฯ พูดขึ้นอีกว่า
“เออ ! สีเขียวๆ แดงๆ ชักจะมีขึ้นประปรายแล้ว ผ่านมาให้ชมแก้เหงาหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
สุทัศน์นั่งอยู่ตรงข้ามกับหลวงชาญฯ เบือนหน้าไปดูอย่างเสียไม่ได้ แล้วก็เบือนกลับมาทางเก่า
อีกครู่หนึ่งต่อมาเขาเกือบสะดุ้ง เมื่อได้ยินหลวงชาญฯ พูดขึ้น
“เอ๊ะ เอ๊ะ พูดถึงเสือ เสือมา พูดถึงช้าง ช้างมา นี่พูดถึงเทวดา เทวดาก็มาด้วยหรือไหนว่าจะมารถด่วนกลางคืนยังไง?”
ได้ยินคำสุดท้าย สุทัศน์หันขวับไปดูตามทางที่สายตาหลวงชาญฯ จับอยู่ แต่แล้วก็หันกลับมามองดูถ้วยเบียร์ถามเนือยๆ ว่า
“เทวดาของคุณหลวงนี้ใครกันนะ?”
“เทวธิดา ผมพูดผิดไป” หลวงชาญฯ ตอบหัวเราะ “แหม! เด็กตามเป็นฝูง ไปหอบเอาลูกใครที่ไหนมามั่ง” พูดแล้วหลวงชาญฯ ก็ลุกขึ้นยืน
สุทัศน์เคืองตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าใจของตัวเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด พึมพำอยู่ในคอว่า
“แดมน์ฟูล !”
หลวงชาญฯ เดินห่างไป สุทัศน์สะกดใจไว้มั่น ไม่หันตามไปดู เขาดื่มเบียร์หมดไปครึ่งถ้วยแก้ว แล้วพยายามจะดื่มอีก แล้วรู้สึกว่าท้องอิ่มจนจะกลืนสิ่งใดไม่ได้ก็สาดเบียร์ที่เหลืออยู่ทิ้งเสีย
ในระหว่างนั้นหลวงชาญฯ กับสุนทรีต่างเดินเข้าใกล้กัน สุนทรีจำหลวงชาญฯ ได้ก็โบกมือให้เขาด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม
เมื่อถึงระยะที่พูดกันได้ยิน หลวงชาญฯ พูดขึ้นก่อนว่า
“ไหนว่าจะมารถด่วนกลางคืน ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปรับ”
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าหล่อนตอบ “ดิฉันกลัวคุณหลวงจะลำบาก เลยชิงมาเสียก่อน”
“พิโธ่” หลวงชาญฯ อุทานแล้วถาม “ประจิตรมาด้วยหรือเปล่า?”
“ว่าจะมา แต่ยังไม่มา ดิฉันมากับคุณพระ...คุณพ่อ นี่น้องดิฉันทั้งนั้นค่ะ....ไหว้คุณหลวงเสียจ้ะ”
หลวงชาญฯ พยักยิ้มรับกิริยาแสดงความเคารพของเด็กแล้วถามสุนทรีว่า
“คุณพักที่ไหน?”
“ที่เก่าแหละค่ะ บ้านคุณประจิตร คุณหลวงล่ะคะ?”
หลวงชาญฯ บอกชื่อบ้านที่เขาพัก สุนทรีร้องว่า “อ้อ” แล้ว ถามต่อไป
“มาทั้งครอบครัวหรือคะ?”
“เปล่า มาคนเดียว....”
“โถ ! เหงาแย่ ไปรับประทานข้าวบ้านดิฉันเถอะทุกมื้อเทียว”
“ขอบคุณมาก ผมมีเพื่อนอยู่ด้วยคนหนึ่ง หมอสุทัศน์”
“อ๋อ ยิ่งดีใหญ่ คุณพ่อก็ชอบไปน่ะซี”
แล้วหล่อนชวน
“กลับหลังหัน เดินไปกับดิฉันได้ไหมคะ? หรือคุณหลวงมีธุระจะไปทางใด”
“เปล่า ผมเดินมารับคุณต่างหาก”
ทั้งเด็กใหญ่และเด็กเล็กที่มากับสุนทรี ได้เดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว หลวงชาญฯ กับสุนทรีจึงเดินเคียงกันไปตามลำพัง
เมื่อใกล้จะถึงที่ตนนั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน หลวงชาญฯ เห็นกิริยาที่สุทัศน์ยังคงนั่งหันหลังอยู่เช่นเดิม ก็รู้สึกขันนึกอยู่ในใจว่า “เราไม่เคยบ้าถึงเท่านี้”
ทันใดนั้นเขาบอกแก่สุนทรีในเสียงหัวเราะ
“หมอสุทัศน์นั่งอยู่นั่น”
“อ้อ นั่นคุณสุทัศน์หรือคะ? เห็นข้างหลังจำไม่ได้ แหม นั่งเคร่งราวกับพระธรรมยุติไม่เหลียวแลดูใครเลยเสียแต่มีขวดเบียร์ตั้งเป็นแถว..... แวะเข้าไปหาหน่อยนะคะ”
หล่อนสาวเท้าเร็วขึ้นเล็กน้อย แล้วส่งเสียงล่วงหน้าไปก่อน
“คุณหมอคะ คนไข้มาถึงแล้วเที่ยวบ่นถึงคุณหมอกับใครๆ ออกทั่วไปหมด”
สุทัศน์หันหน้ามาทางเสียงช้าๆ แล้วก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เช่นเดียวกัน หลวงชาญฯ มีอุปาทาน เห็นไปว่าทั้งสีหน้าและท่าทางของเขาดูผิดปกติพิกล นึกสนุกจึงพูดขึ้นว่า
“สุทัศน์กำลังนินทาคุณอยู่กับผมออกกลุ้มไป”
“รึคะ? ตายจริง ! นินทาเรื่องอะไรน่ะ?”
สุทัศน์ถามตัดบทขึ้นทันที
“คุณพระมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“วันนี้เองค่ะ เมื่อแรกว่าจะมาตั้งแต่เมื่อวาน ดิฉันจะมารถด่วนเมื่อคืนนี้ เพราะดิฉันอยากจะเอาเปรียบจะให้คนที่มาก่อนจัดบ้านไว้ให้เสร็จ พอมาถึงก็ได้นอนสบาย แต่คุณพ่อท่านไม่ยอมให้ดิฉันมาตามลำพังกับคนใช้ผู้หญิง เลยต้องมาพร้อมกับท่าน หนีโรงเรียนมาด้วยนะคะ เอาเปรียบเพื่อนอย่างร้ายกาจ พอสอบเสร็จโรงเรียนยังไม่ทันปิดดิฉันเปิดหนีมาแล้ว” น้ำเสียงของหล่อนหมดกังวานหัวเราะ เมื่อหล่อนพูดต่อโดยมิได้ตั้งใจ “อยากออกจากกรุงเทพฯ เต็มที”
“คุณพระเห็นจะอยู่ที่นี่นานเท่าคุณ”
“โอ๊ย เอาแน่กับท่านไม่ได้หรอกค่ะ ว่าแต่วันนี้คุณหมอไปหาท่านหน่อยซีคะ ออดแอดออกจะแย่ไปแล้วบ่นเรื่อยว่าให้ท่านมาทำไมก็ไม่รู้”
สุทัศน์ไม่ตอบว่ากระไร สุนทรีจึงพูดต่อไปอีก
“ไปเดินเล่นกันไหมคะ?”
สุทัศน์มองดูหลวงชาญฯ เขาผู้นี้จึงว่า
“วันนี้หมอออดแอด อยากแต่จะนั่งกอดขวดเบียร์แต่ที่จริงไม่ควร เพราะนั่งเกาะไพ่มาหลายชั่วโมงแล้วควรจะเดินเสียบ้าง”
“ผมอยากจะไปอาบน้ำเสียก่อน และจะรีบไปเยี่ยมคุณพระ”
“แล้วรับประทานข้าวเย็นที่นั่นด้วย” สุนทรีต่อ หันกลับมาทางหลวงชาญฯ หล่อนกล่าวว่า “คุณหลวงด้วยนะคะ”
“ครับ....อ้า....แล้วแต่คุณสุทัศน์เขา” แล้วหลวงชาญฯ ก็หัวเราะ