หลวงชาญฯ กำลังอธิบายความแตกต่างระหว่างโปกำ กับโปปั่นให้สุนทรีฟัง เมื่อ ‘ขา’ บริดจ์ทั้งสี่คนออกมาเดินแก้เมื่อยที่ชายหาด ประจิตรไขว้แขนเข้ากับแขนสุทัศน์ พาเดินห่างจากสุนทรีกับหลวงชาญฯ ไป ๗-๘ ก้าว แล้วก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันเบาเพื่อมิให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ยิน

“นี่หมอ มีคนเขาเลือกคู่ให้ลื้อแน่ะ”

“ใคร?” นายแพทย์ถามในเสียงหัวเราะ

“คนใกล้ๆ น่ะแหละ เขาอยากยกผู้หญิงของเขาให้ลื้อ ถ้าลื้อไม่เอาเขาจะยัดเยียดให้อั๊ว”

“ก็ใครล่ะ?” สุทัศน์ถามอีก พิศวงในการที่ชื่อของตัวกับประจิตรเข้าคู่กัน

“งามพิศ”

“เอ๊ะ ใครเป็นคนจะยกให้?”

“สุนทรี เขาอยากให้เด็กของเขาแต่งงาน ที่จริงเขาคะยั้นคะยอจะยกให้อั๊ว แต่ถ้าได้ลื้อเขาก็พอใจ”

“อั๊วไม่เอา” สุทัศน์ตอบอย่างง่ายและเด็ดขาด

“ทำไม?”

“ก็อั๊วไม่รักน่ะซี ลื้อทำไมไม่เอาล่ะ?”

ประจิตรนิ่งคิดแล้วจึงตอบ

“อั๊วไม่แน่ใจ”

“ลื้อเห็นที่อื่นดีกว่าเสียแล้วน่ะซี” น้ำเสียงสุทัศน์ออกขุ่น “ดีกว่า ใกล้กว่า”

“ไหน? สุนทรีน่ะ? อั๊วไม่เชื่อว่าเขาจะเอาอั๊ว เรารู้จักกันดีเกินไป รู้เท่ากันหมดทุกอย่าง เอะอะก็คอยขัดคอกันตะพึด”

สุทัศน์กลืนน้ำลายด้วยความลำบาก ฝืนถามออกไปได้ด้วยเสียงหัวเราะ

“เขารักลื้อหรือเปล่า ว่างั้นเถอะ?”

“เขารักอั๊วอย่างน้อง” แล้วประจิตรก็หัวเราะอย่างเห็นขัน “เพราะยังงั้นถึงเอางามพิศมายัดเยียดให้”

“ก็ตามใจเขาหน่อยซี เด็กก็น่าเอ็นดูนี่นา”

“ก็ลื้อล่ะ?”

“ก็อั๊วบอกแล้วว่าอั๊วไม่เอา”

“ทำไมล่ะ?”

“เอ ! ก็อั๊วบอกแล้วว่าอั๊วไม่รัก”

“อุบ๊ะ นี่มิเหลือแต่อั๊วคนเดียวหรือนี่” แล้วประจิตรก็หัวเราะอีก

เสียงสุนทรีเรียกชื่อเขา ชวนให้เข้าบ้าน เพราะดึกควรแก่เวลาที่จะนอน ประจิตรจึงผละจากสุทัศน์

ในทันทีที่ประจิตรกับสุนทรีเลี้ยวเข้าประตูบ้านแล้ว สุทัศน์ก็ตรงเข้ามาหาหลวงชาญฯ และพูดอย่างร้อนรน

“คุณหลวง พรุ่งนี้ต้องหาเวลาพบสุนทรีให้ได้ แล้วถามให้รู้ว่าจริงหรือที่เขาอยากให้ประจิตรแต่งงานกับงามพิศ?”

“คุณไปรู้มาจากไหนล่ะ?” หลวงชาญฯ ถาม

“ประจิตรบอกเมื่อตะกี้นี้เอง” แล้วสุทัศน์ก็เล่าคำพูดของประจิตรโดยย่อ ในตอนสุดท้ายเขาเสริมว่า “คุณหลวงต้องช่วยผมหน่อย ความเป็นความตายทีเดียว”

หลวงชาญฯ คิดถึงตัว ใจหายเล็กน้อยเมื่อนึกถึงว่าตัวไม่มีโอกาสแม้แต่ที่จะได้ ‘ลองพยายาม’ สำหรับตัวเอง แต่ไม่คิดริษยาเพื่อน ตอบเรียบๆ ว่า

“สุนทรีจะทำยังไงกับเมียเก่าของประจิตร แต่ก็ช่างเถอะธุระของเขา เราเอาแต่ธุระของเราดีกว่า ผมจะถามดูให้เป็นที่แน่ใจคุณ”

ตอนบ่ายในวันรุ่งขึ้น เมื่อสุนทรีอาบน้ำอยู่ในทะเลพร้อมด้วยงามพิศและน้องๆ หล่อนประหลาดใจมากเมื่อเห็นหลวงชาญฯ ถีบรถจักรยานมาตามชายหาด แล้วมาหยุดลงที่ตรงหน้าที่พักของหล่อน ต่อจากนั้นเขาจูงรถหายเข้าไปในรั้วบ้าน สักครู่ก็กลับออกมาโดยมีร่างกายอยู่ในเสื้อสำหรับอาบน้ำกับผ้าเช็ดตัวเล็กผืนหนึ่ง

หล่อนถามเขาทันทีที่เข้ามาใกล้หล่อนพอพูดกันได้ยิน

“ไหนเมื่อคืนนัดจะเล่นกอล์ฟกับคุณจิตรยังไงล่ะคะ คุณจิตรไปทางโน้น ทำไมคุณหลวงไพล่มาทางนี้”

“ผมให้สุทัศน์เขาแทน” หลวงชาญฯ ตอบหน้าตาเฉย “ผมเบื่อ นึกอยากอาบน้ำทะเลมากกว่า”

สุนทรีหัวเราะอย่างเห็นแปลกและเห็นขัน แล้วก็ไม่พูดว่ากระไรอีก

หลวงชาญฯ ว่ายออกไปที่ลึก ดูสุนทรีเล่นกับน้องๆ ของหล่อน ภายหลังหล่อนว่ายห่างออกไปจากคนอื่นหลวงชาญฯ ก็ว่ายเข้าไปหา

หล่อนชวนเขาพูดเรื่องเรือใบและโป๊ะปลา แล้วเตือนถึงเรื่องที่จะไปเที่ยวถ้ำพญานคร เขาให้คำตอบสำหรับข้อต้นแล้วแก้คำถามสำหรับข้อหลังว่าเขายังไม่พบผู้นำทางที่จะไว้ใจได้ หล่อนหัวเราะและพ้อว่า

“คุณหลวงไม่ไว้ใจว่าดิฉันจะอดทนพอน่ะเอง แต่ที่จริงเวลานี้ดิฉันก็ไม่นึกอยากจะไปมากนัก เป็นห่วงงามพิศแก แกอาจจะยังไม่แข็งแรงพอที่จะทนแดดทนฝนก็ได้”

เห็นช่องเหมาะดังนั้น หลวงชาญฯ จึงถามขึ้นว่า

“ผมได้ยินว่าคุณจะยกงามพิศให้ประจิตรหรือ?”

“แหม ใครบอกคะ? เร็วจริง !”

“สุทัศน์บอก แล้วเขาอยากรู้ด้วยว่าจริงไหม?”

สีหน้าสุนทรีแสดงความเอาใจใส่มากขึ้นในทันที

“ทำไมคุณสุทัศน์ถึงทึ่งมากนัก คุณสุทัศน์รักงามพิศหรือคะ?”

“ไม่ใช่ เขารักคนอื่น เขากลัวประจิตรจะเป็นคู่แข่งของเขา”

“อุ๊ย ไม่มีแน่” สุนทรีตอบ “ถ้ามีดิฉันจะต้องทราบ เรื่องพรรค์นี้คุณจิตรอดพูดไม่ได้หรอก อกแตก” หล่อนหัวเราะเบาๆ “อ้อยังงี้เอง มิน่าวันนั้นคุณสุทัศน์พูดถึงเรื่องผู้ชายที่เคราะห์ร้าย ไปรักผู้หญิงที่เขามีเจ้าของแล้ว บอกคุณสุทัศน์เถอะค่ะ อย่าเข้าใจผิด คุณจิตรยังไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนเป็นจริงเป็นจังเลย”

หลวงชาญฯ ยิ้มแล้วจึงถาม “แน่หรือครับ?”

“แน่ซีคะ เพราะยังงั้นดิฉันกำลังอ้อนวอนให้รักงามพิศยังไงล่ะคะ”

แล้วหล่อนถามบ้าง

“คุณสุทัศน์นึกว่าคุณประจิตรรักใครคะ?”

หลวงชาญฯ นิ่งไปขณะหนึ่งด้วยกำลังชั่งใจถึงการควรไม่ควร ในที่สุดเขามองสบตาสุนทรีแล้วก็ยิ้มและกล่าวว่า

“ผมไม่มีสิทธิที่จะบอก เขาไม่ได้สั่งผมมาด้วยแต่ผมใบ้ให้คุณฟังได้ สุทัศน์ก็เหมือนกับเพื่อนของประจิตรทุกคน เขานึกว่าคุณเป็นคู่หมั้นของประจิตร”

คำพูดของหลวงชาญฯ มีความหมายกระจ่างดีที่สุด แต่สุนทรีพยายามที่จะเข้าใจแต่เพียงพื้นของคำพูดนั้น จึงตอบแกมหัวเราะอย่างใจเย็น

“ไม่แต่เพื่อนของคุณจิตร เพื่อนของดิฉันก็เข้าใจผิดอย่างนั้นทุกคนเหมือนกัน แต่ที่จริงเรารักกันอย่างพี่น้องแท้ๆ”

หลวงชาญฯ ขึ้นจากน้ำพร้อมกับสุนทรี แล้วอาศัยห้องประจิตรเป็นที่แต่งตัว ต่อจากนั้นเขาอยู่รับประทานของว่างจนเสร็จ แล้วก็ลากลับไปที่พักพร้อมกับสัญญาว่าจะมาใหม่ในตอนกลางคืน

สุนทรีเตรียมตัวจะไปเดินเล่นกับงามพิศตามเคย มีความพอใจที่จะได้เดินพลางใช้ความคิดพลางในที่แจ้งสงบและปลอดโปร่ง แต่ครั้นแล้วมีความอยากรู้ชนิดหนึ่งเกิดขึ้นโดยแรงกล้า ก็กลับใจพูดแก่งามพิศว่า

“เธอไปเดินเล่นกับน้องๆ ได้ไหมวันนี้ ฉันรู้สึกเมื่อยขา เห็นจะเป็นที่เล่นน้ำมากไปเล่นเสียทั้งเช้าทั้งเย็น”

งามพิศรู้สึกเสียใจ แต่ไม่แสดงความรู้สึก หันกลับเข้าในห้อง หยิบหนังสือได้เล่มหนึ่ง แล้วก็ออกไปทางหน้าบ้าน

หล่อนบ่ายหน้าไปในทางตรงกันข้ามกับที่เด็กๆ กำลังเดินอยู่ มาไกลจากหน้าบ้านพอสมควร แล้วก็นั่งลงในที่สบาย แล้วเปิดหนังสือออกอ่าน

ส่วนสุนทรี ตัดสินใจว่าวันนี้จะรบกวนความสงบของท่านบิดาสักครั้งหนึ่ง และเชื่อว่าการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นการบาป เพราะเหตุว่า ลูกถึงแม้จะพึ่งตัวเองได้มากเพียงไรก็ย่อมจะต้องมีเวลารบกวนพ่อบ้าง ในเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้น

หล่อนตรงเข้าไปที่เฉลียงน้อย อันเป็นที่ๆ พระวนศาสตร์ฯ นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ เมื่อหล่อนนั่งลงข้างเก้าอี้ ท่านลดหนังสือลงจากระดับตาแล้วถาม

“วันนี้ไม่ไปเที่ยวหรือ?”

“ไม่ไปค่ะ” สุนทรีตอบ

แล้วหล่อนถามชื่อหนังสือที่คุณพระอ่าน ได้รับคำตอบว่า “เรื่องการป่าไม้ในอเมริกา”

เมื่อตอบแล้ว พระวนศาสตร์ฯ ก็ไม่พูดว่ากระไรอีก สุนทรีเริ่มรู้สึกว่ากำลังแห่งความตั้งใจเดินของหล่อนลดลง ก็พอดีได้ยินนางวนศาสตร์ฯ ส่งเสียงมาจากเฉลียงใหญ่

ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่สุนทรีต้องการจะหาประโยชน์มารดาเลี้ยงของหล่อน หล่อนรู้ว่านางวนศาสตร์ฯ เป็นคนชอบเล่า และมักจะเล่ายืดยาวจนผู้ฟังสิ้นศรัทธาที่จะฟังให้จบเรื่อง แต่ถ้าเมื่อใดผู้ฟังพยายามเลือกเฟ้นเรื่องแก่นของเรื่องให้ถูกถ้วน ก็จะพบเนื้อความที่ตรงกับความจริงอย่างละเอียดที่สุด

สุนทรีจึงพูดขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างดัง

“คุณพ่อคะ หมอสุทัศน์นี่บิดามารดาของแกเป็นใครกันคะ รู้จักกันมานานแล้วยังไม่มีความรู้ว่าแกเป็นใครมาจากไหน?”

“ลูกพระยากำแหงรณภพ” พระวนศาสตร์ฯ ตอบแล้วก็นิ่งอยู่เพียงนั้น คล้ายกับท่านคิดว่าคำพูดของท่านควรจะพอแก่ความอยากรู้ของธิดาแล้ว

แต่นางวนศาสตร์ฯ สาวเท้าเข้ามาที่เฉลียงเล็ก ความอยากพูดปรากฏอยู่ในสีหน้า นั่งลงแล้วก็ฉวยเอาคำของสามีเป็นต้นเรื่อง บรรยายความรู้ต่อไปอีกยืดยาว ซึ่งเมื่อสรุปแล้วก็เกิดเป็นความรู้แก่สุนทรีว่า

สุทัศน์เป็นบุตรนายทหารนอกราชการเคยมีพี่ ๘ คน น้อง ๓ คน ทั้งนี้ไม่นับน้องที่เป็นลูกเมียน้อย แต่ในปัจจุบันพี่มีเหลืออยู่เพียง ๖ คน บิดามิใช่เป็นผู้มั่งคั่งนักมีฐานะพอให้การศึกษาแก่ลูกได้ทั่วถึง ลูกที่ยังไม่มีคู่ มีแต่สุทัศน์คนหนึ่ง พี่สุทัศน์คนหนึ่ง กับน้องสุทัศน์สองคน

ส่วนตัวสุทัศน์เอง เป็นผู้มีฐานะดีพอสมควร มีที่อยู่อันเป็นสิทธิแก่เขาโดยสมบูรณ์ มีรายได้งดงามเนื่องจากที่เขาเป็นผู้มีความตั้งใจจริงอยู่เป็นนิจในการงานที่เขาทำ

ในท้ายแห่งคำของภรรยา พระวนศาสตร์ฯ หยุดอ่านหนังสือ เสริมขึ้นคำหนึ่ง

“สุทัศน์เป็นคนดีมาก”

สุนทรีตัดสินใจในขณะนั้นเอง...

เมื่อไรประจิตรทำใจของเขาให้ตกลงแต่งงานกับงามพิศได้ เมื่อนั้น สุนทรีจะทำใจของหล่อนให้ตกลงรับรักนายแพทย์สุทัศน์โดยเร็วที่สุด และจะพยายามทำใจให้รักเขาได้ในเวลาต่อจากนั้นไม่ช้านัก

แล้วหล่อนรู้สึกเศร้า และขำ และสนเท่ตัวเองในข้อที่ตัดสินใจในการมีคู่ราวกับตัดสินใจในการเล่น

แต่แล้วก็คิดต่อไปว่า

ขั้นต้นแห่งการเล่น กับขั้นต้นแห่งการมีคู่ ก็ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก การเล่นมีความอยากเล่นเป็นมูลเหตุในบางครั้ง มีเหตุผล คือความเล็งถึงประโยชน์แห่งการเล่นเป็นมูลเหตุในบางคราว การมีคู่ก็มีความพอใจอยากได้เป็นมูลเหตุในบางครั้ง มีเหตุผลคือความเล็งถึงประโยชน์แห่งการมีคู่เป็นมูลเหตุในบางคราว เช่นเดียวกัน !

ส่วนเหตุการณ์ต่อไปจากนั้นเล่า ?

การเล่นมีความตั้งใจ ฝีมือ.... และโชคเป็นปัจจัยให้เกิดผลได้หรือผลเสีย การมีคู่ก็มีความตั้งใจ ความมั่นคง และโชค เป็นปัจจัยให้เกิดสุข หรือเกิดทุกข์เช่นเดียวกันอีก?

งามพิศอ่านหนังสือบ้าง ใจลอยไปจากหนังสือคิดถึงเหตุการณ์และบุคคลต่างๆ ที่หล่อนพบปะมาแล้วบ้าง จนท้องฟ้ามืดมัวลงทุกทีโดยที่หล่อนมิได้รู้สึกตัว

หล่อนสะดุ้งโดยแรงด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงห้ามล้อประจำจักรยานดังเอี๊ยดขึ้นในที่ใกล้

เงยหน้าขึ้น เห็นประจิตรกำลังตั้งรถจักรยานที่เขานั่งมา แล้วเขาเดินเข้ามาใกล้หล่อนพลางถาม

“นั่งด้วยคนได้ไหม?”

หล่อนนึกในใจว่า จำเป็นอย่างไรเขาจึงต้องถามหล่อนเช่นนั้น แล้วก็ตอบค่อยๆ ว่า

“ได้ค่ะ”

“ทำไมมานั่งอยู่คนเดียว?” เขาถามเมื่อนั่งลงตรงหน้าหล่อนแล้ว

“คุณสุนทรีเมื่อยขา ไม่ได้ออกมาเดินเล่นค่ะ”

“เธออาบน้ำทะเลหรือเปล่า?”

“อาบค่ะ”

“เหนื่อยไหม?”

“ไม่เหนื่อยค่ะ”

“เห็นจะแข็งแรงดีแล้ว? นั่งอยู่อย่างนี้ไม่รู้สึกเย็นหรือ?”

“ไม่เย็นค่ะ”

แล้วหล่อนนึกในใจอีกว่า จำเป็นอย่างไรเขาจึงต้องมานั่งเอาใจใส่ถามหล่อนดังนี้

ประจิตรหยิบช็อกเคล่ตห่อยาวและใหญ่ ออกจากกระเป๋าเสื้อสีน้ำเงินแก่ของเขา พร้อมกับพูดว่า

“ซื้อมาฝากเธอ ไม่ทราบว่าเธอชอบอย่างไหน แต่สุนทรีเคยชอบอย่างนี้ ก็เลยซื้อมาให้เธอด้วย” แล้วเขาส่งห่อของนั้นให้หล่อน

งามพิศประหลาดใจและดีใจระคนกัน พนมมือไหว้แล้วก็รับของมาถือไว้ด้วยกันกับหนังสือ

“พรุ่งนี้ไปตีกอล์ฟด้วยกันไหม?”

หล่อนเบิกตากว้าง แต่แล้วก็หลับตาลง ตอบว่า

“ตีไม่เป็นนี่คะ”

“เป็นซี ไปถึงสนามแล้วเป็นเอง หรือเกลียดฉันไม่อยากไปด้วย?”

หล่อนรำคาญในคำพ้อของเขา รีบตอบว่า

“เปล่า....” แล้วก็เปลี่ยน “ไม่ใช่ค่ะ แต่ยังไม่เคยเห็นสักทีเขาตีกันยังไง”

“เธอยกโทษให้ฉันแล้วหรือ?”

“โทษอะไรคะ?”

“โทษที่ทำให้เธอเป็นกำพร้า ให้เธอต้องออกจากมหาวิทยาลัย ให้เธอต้องไปอยู่กับคุณป้าที่ดุเป็นเสือ”

“ยกแล้วค่ะ”

“ทำไมถึงยกล่ะ”

“คุณสุนทรีบอกให้ยก” แล้วหล่อนก็ก้มหน้าลง

เขาหัวเราะเบาๆ แล้วถาม

“คุณสุนทรีบอกให้ทำอะไรละเป็นทำหมดทุกอย่างเทียวหรือ ?”

“ค่ะ”

“ไม่เว้นสักอย่างเดียว?”

“ค่ะ”

“เผื่อคุณสุนทรีบอกให้รักฉันล่ะ จะรักไหม?”

หล่อนนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วตอบ

“รักค่ะ”

ทันใดนั้นหล่อนหน้าแดง ภาพแห่งท่าที่หล่อนเคยเห็นนายสวงกับส่งศรีแสดงต่อกันปรากฏขึ้นในความคิด

ประจิตรส่ายหน้ากับตัวเอง

“ว่าง่ายมาก” เขานึก

เขาไม่เคยพบกับหญิงอย่างนี้มาแต่ก่อน เกิดความสงสัยว่าจะทำอย่างไรจึงจะปลุกความเป็นสาวของหล่อนให้ตื่นได้

เขาเอื้อมมือไปจับมือหล่อน งามพิศมองดูด้วยซื่อและสงสัย แต่เมื่อเขาบีบมือหล่อนแรงขึ้นและกุมไว้ด้วย หล่อนก็ดึงมือหนีโดยแรง

ประจิตรยิ้มด้วยความพอใจเล็กน้อย

“ฉันจับมือเธอแสดงว่าฉันขอเป็นมิตรด้วย เพราะเธอบอกว่ายกโทษให้ฉันแล้ว เธอไม่ยอมให้จับก็แปลว่าเธอไม่ยกโทษจริงน่ะซี”

หล่อนทำหน้าสลด แววตาเต็มไปด้วยความวิตกและไม่แน่ใจ

“ถ้าเธอยกโทษให้ฉันแล้วจริงๆ” ประจิตรพูดอีก “ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอไปลำบากอีกเลย เธออยู่ที่ไหนฉันจะตามไปคอยช่วย ตอบมาดูทีรึ เธอยกโทษให้ฉันจริงหรือเปล่า”

หล่อนสงสัยอีกว่า เหตุใดเขาจึงกังวลต่อการยกโทษหรือไม่ยกโทษของหล่อนนัก เขาก็เป็นถึงคุณประจิตรน้องชายคุณสุนทรี ส่วนหล่อนเป็นแต่เพียงงามพิศ !

“ก็บอกแล้วเมื่อตะกี้นี้นี่คะ” ตอบเสียงแผ่วเบา

“ยังงั้นก็ขอจับมืออีกที”

หล่อนกระอักกระอ่วนอยู่นาน แล้วจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไปให้เขาแล้วลืมตัวซ่อนหน้าลงจนมิดคาง แต่ประจิตรมิได้เห็นเป็นที่ควรติ เมื่อจับมือหล่อนไว้แล้ว เขาชะโงกตัวไปข้างหน้าและรวดเร็วอย่างที่งามพิศไม่มีโอกาสจะได้รู้สึกตัว เขาดึงหล่อนมากอดไว้และจูบหล่อนที่แก้มโดยแรง

งามพิศผลักและดิ้นเป็นพัลวัน ได้กลิ่นเหล้าปนกับกลิ่นบุหรี่ แต่หล่อนไม่รู้สึกว่าเป็นกลิ่นเหม็น ประจิตรกอดและรัดหล่อนไว้แน่นและจูบหล่อนซ้ำอีก งามพิศรู้สึกว่าจิตใจอ่อนลง ดังจะละลายในบัดนั้น ประจิตรเชยคางหล่อนขึ้นได้โดยง่าย ตามองตาอันเต็มไปด้วยความหวั่นหวาดสะทกสะเทิ้น จรดริมฝีปากลงบนริมฝีปากอันสั่นระริกอยู่เบื้องต่ำ....

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากการสัมผัสเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง ประจิตรบอกกับตัวเองว่าเขารักงามพิศได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เขาจะแต่งงานกับหล่อนโดยเร็วที่สุด !

จบบริบูรณ์

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ