งามพิศลดตัวลงบนทราย มองดูหมู่คนที่กำลังเล่นน้ำทะเลด้วยความกระหายเป็นอย่างยิ่ง

แต่ความกระหายของงามพิศ เป็นความกระหายไม่มีความกระวนกระวายเจืออยู่ด้วย งามพิศรู้ว่าสุนทรีรับเอาตัวมาที่หัวหินเพื่อจะให้รักษาตัว เมื่อนายแพทย์ได้บอกแก่หล่อนว่าร่างกายของหล่อนยังไม่อยู่ในภาวะที่จะลงเล่นน้ำทะเลได้ หล่อนก็ไม่ต้องการที่จะลงเล่น ข้อที่หล่อนมีความกระหายนั้นเป็นเรื่องของใจ ซึ่งหล่อนห้ามมิได้ต่างหาก

นึกถึงเวลาที่เห็นคุณสุนทรีคนงาม ไปปรากฏขึ้นในที่อยู่ของตน งามพิศยังตื่นเต้นไม่หาย หล่อนไม่เชื่อนัยน์ตาของหล่อนเอง คิดว่าเพ้อไปเหมือนเวลาที่ความไข้กำลังขึ้นสูง จนได้ยินเสียงสุนทรีออกชื่อของตัว งามพิศก็ยังคิดว่าหูของตนได้ยินไปเอง แม้กระทั่งเมื่อได้รับสัมผัสคือเมื่อสุนทรีจับเนื้อต้องตัว ก็ยังไม่เชื่อความรู้สึกของตัวนัก จนกระทั่งเสียงอันเต็มไปด้วยอำนาจของคุณป้าดังขึ้นอย่างถนัดชัดเจน จึงแน่ใจว่าตนมิได้เพ้อหรือฝัน

นึกถึงเวลาที่สุนทรีกล่าวชวนงามพิศให้มาพักที่แหลมหิน งามพิศรู้สึกเหมือนได้น้ำทิพย์ หล่อนรู้ว่าคุณป้าจะขัดข้อง...เพื่อเหตุใดเหตุหนึ่งก็ตาม....ก็ช่างท่านเป็นไร งามพิศได้เห็นว่าไม่เสียแรงที่ตนได้ผูกใจรักใคร่คุณสุนทรีเป็นหนักหนา

นึกถึงคุณหมอที่ไปกับคุณสุนทรี ช่างมีความกรุณาต่อหล่อนเสียนี่กระไร เห็นจะเป็นแพทย์ชั้นสูงที่สุด ชำนาญการตรวจโรคที่สุด เก่งที่สุด ช่างทายอาการของงามพิศได้ถูกถ้วนโดยมิต้องตรวจร่างกาย หรือไต่ถามอาการก่อนแม้แต่สักคำเดียว ถ้าไม่เป็นเพราะคำพยากรณ์ของท่านที่ว่างามพิศจะเจ็บอีกไม่ช้า ถ้าหากหล่อนมิได้รับการบำรุงรักษาอันถูกตำราแพทย์ทันเวลา ที่ไหนเลยคุณป้าจะปล่อยให้งามพิศมากับคุณสุนทรี

และคุณหลวงที่เป็นเพื่อนนายแพทย์อีกคนหนึ่งเล่า ท่าทางใหญ่ ‘คนใหญ่คนโต’ ราวกับท่านข้าหลวง เขาเป็นคนตั้งต้นพูดทีหลังที่สุด แต่ก็เพราะคำพูดคำที่สุดของเขาว่างามพิศอาจจะกลายเป็นคน ‘ครึ่งบ้าครึ่งบอ’ หรือ ‘เสีย’ ไปตลอดชีวิต ถ้าหากหล่อนไม่รีบย้ายสถานที่ไปพักรักษาตัวในภูมิประเทศที่เหมาะนี่แหละ ที่ทำให้คุณป้ากล่าวคำตัดสินเป็นคำสุดท้าย คือคำที่ว่า “เมื่อคุณกรุณาเด็กก็แล้วแต่คุณ?”

แล้วงามพิศก็ได้เห็นวิมานลอยปรากฏอยู่ตรงหน้า.....คุณสุนทรีตามงามพิศเข้าไปในห้อง ช่วยเลือกเสื้อผ้า งามพิศตื่นเต้นงงงัน รู้สึกตัวว่าจนแสนจน จะหาเสื้อผ้าที่พอจะเรียกว่าใหม่หน่อยให้ได้แม้แต่สักชิ้นก็ไม่มี แต่คุณสุนทรียืนยันอย่างมั่งคงว่า ที่แหลมหินนั้น ไม่มีใครใช้เสื้อใหม่ผ้าใหม่ เขาแต่งตัวกันเหมือนอย่างแต่งอยู่กับบ้าน แล้วคุณสุนทรีเป็นผู้จัดเสื้อผ้าของงามพิศใส่ลงในกระเป๋า

คุณป้าเอาสร้อยข้อมือสองสายมา ‘แต่ง’ ให้หลาน คุณสุนทรีเธอชมว่าสวย ทองสุกดีมาก แล้วเธอก็หัวเราะ

เมื่อมาในรถไฟ งามพิศยังมีความรู้สึกไม่เชื่อความจริงที่ปรากฏแก่ตัวอยู่อีกบางขณะ แต่หล่อนได้เห็นและได้ยินผู้ที่พาหล่อนเดินทางมา หมั่นปราศรัยไต่ถามเรื่องราวแก่หล่อนเกือบไม่หยุดปาก และในตอนเย็นเมื่อแดดลบ คุณสุนทรีได้เปลื้องผ้าพันคอของเธอมาห่มให้งามพิศ

ตอนหนึ่งบ๋อยในรถไฟนำเบียร์มาให้แก่นายแพทย์และคุณหลวงเพื่อนของท่าน นำขนมปังและน้ำชามาให้คุณสุนทรี แต่งามพิศนั้นบ๋อยนำขนมปังและโคโก้มาให้

งามพิศนึกแน่ใจ ว่าตนจะรับประทานอาหารนั้นไม่ได้เลย ใจของหล่อนอิ่มจนเกินที่จะนึกถึงอาหาร แต่เมื่อได้รับประทานแล้วหล่อนก็เผลอตัวจนกระทั่งขนมปังหมดเกลี้ยงไปกับที่เพื่อจะแก้อายหล่อนได้ เหลือโคโก้ไว้ในถ้วยครึ่งหนึ่งทั้งๆ ที่รู้สึกเสียดาย

ครั้นถึงเวลาค่ำ เมื่อมีการเปิดไฟฟ้าในรถไฟได้สักครู่หนึ่ง คุณสุนทรีพางามพิศไปยังที่รับประทานอาหาร งามพิศต้องผ่านคนไปมากกว่าที่จะถึงที่นั่ง หล่อนรู้สึกประหม่าจนขาแกว่ง หล่อนได้นั่งในที่ตรงข้ามกับคุณสุนทรีมีนายแพทย์อยู่ข้างๆ บนพื้นที่เดียวกับหล่อน เป็นเหตุให้หล่อนต้องพยายาม ‘บีบ’ ตัวให้เล็กลงมากที่สุดที่จะมากได้

และหล่อนรู้สึกว่าโต๊ะที่ตรงหน้าแคบเหลือเกิน ส่วนของที่อยู่บนโต๊ะนั้นมากมายจนลานตา หล่อนกลัวว่ามือของหล่อนจะต้องปัดของตกลงไปจากโต๊ะสักสิ่งหรือสองสิ่งเป็นแน่

หล่อนรับประทานอาหารได้น้อย เพราะมัวแต่ต้องระวังมือแขน ถึงกระนั้นเมื่อหล่อนตักปลายังได้เอาข้อศอกของหล่อนไปกระตุ้นแขนนายแพทย์เข้าได้ แต่แทนที่หล่อนจะได้กล่าวขออภัย นายแพทย์กลับหันมาขอโทษหล่อนเสียก่อน

อาหารอีกอย่างหนึ่งรสแปลกและอร่อย แต่รับประทานแสนยาก เพราะต้องนั่นทุกคำถึงจะเข้าปากได้ ยิ่งผักต้มชิ้นนิดๆ ที่ประกอบกับอาหารนั้นด้วยแล้ว ยิ่งรับประทานยากไม่มีอะไรเท่า เพราะต้องใช้ส้อมเป็นเครื่องนำเข้าปาก จิ้มเอาก็ติดแต่เพียงชิ้นหรือสองชิ้นนิดๆ ครั้นจะหงายส้อมตักเอาแล้วส้อมป้อนเข้าปากด้วยก็กลัวจะผิดจากท่าที่ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสามกระทำ

อีกอย่างหนึ่ง ผ้าเช็ดมือที่เขาวางไว้ให้ช่างลื่นเสียจริงๆ ประเดี๋ยวๆ ก็ตกลงไปจากตัก แล้วงามพิศก้มลงจะเก็บทีไร นายแพทย์ก็ก้มลงเก็บให้หล่อนเสียก่อนทุกครั้ง

คุณสุนทรีทักว่างามพิศรับประทานอาหารได้น้อย งามพิศแก้ว่าเป็นเพราะหล่อนยังอิ่มอาหารเมื่อตอนเย็น

เมื่อมาถึงที่ๆ คุณสุนทรีบอกว่าเป็นที่พัก งามพิศรู้สึกตัวว่าสบายใจยิ่งขึ้น ท่านบิดาของคุณสุนทรีพูดคำเดียว ภรรยาของท่านพูดทีละมากๆ คล้ายๆ คุณป้าโดยไม่กวนให้หล่อนตอบเลย น้องๆ ของสุนทรีเข้ามาเป็นเพื่อนกับงามพิศ

หล่อนถูกบังคับให้เข้านอนพร้อมกับคุณเล็กๆ และหลับสนิทไปจนเช้า

รับประทานอาหารแล้ว คุณสุนทรีพางามพิศไปเที่ยวตลาด คุณหวินกับคุณนงก็ไปด้วย ตลาดนั้นมีของขายน้อยกว่าตลาดในจังหวัดที่งามพิศเคยอยู่ แต่สะอาดกว่าใหญ่โตกว่ามาก คุณหวินกับคุณนงซื้อขนมหลายอย่าง แต่คุณสุนทรีซื้อไข่ไก่อย่างเดียวเป็นห่อเบ้อเร่อ

เมื่อกลับจากตลาดได้สักครู่ใหญ่ คุณสุนทรีบังคับให้งามพิศดื่มนมสดอีกถ้วยหนึ่ง เป็นถ้วยที่สองที่งามพิศต้องดื่มในระยะสามชั่วโมงครึ่ง

เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้ว คุณสุนทรีบังคับให้นอนหลับ....ที่จริงคุณสุนทรีช่างบังคับหลายอย่างแต่งามพิศมีความสุขและเบิกบานที่สุดในการที่ถูกบังคับเช่นนี้

เมื่อหล่อนตื่นนอนขึ้น คุณสุนทรีเล่าให้ฟังว่า เธอได้เขียนจดหมายส่งไปกรุงเทพฯ ให้พี่ประพันธ์มาหาน้องที่หัวหินในวันเสาร์ที่จะมาถึง และกลับกรุงเทพฯ ในวันอาทิตย์

ดูเถอะคุณสุนทรีนี้เห็นจะไม่ใช่มนุษย์สามัญเหมือนคนอื่น เห็นจะเป็นเทพธิดาจุติลงมาเกิด ช่างกรุณาแก่งามพิศจนถึงกับคิดการทุกอย่างล้วนแต่จะทำให้งามพิศได้รับความสุขอย่างเยี่ยมๆ ทั้งนั้น งามพิศดีใจจริงๆ ที่ได้พบพี่ชาย ถึงแม้ว่างามพิศจะมิได้ใฝ่ฝันอยากพบพี่ประพันธ์บ่อยนัก แต่หล่อนรักเขามากเสมอเพราะเหตุว่าเขาเป็นพี่ชายคนเดียวของหล่อน

สุนทรีขึ้นจากที่น้ำลึกวิ่งมาตามที่ตื้น งามพิศรู้สึกหน้าชาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคุณสุนทรีละส่วนแห่งร่างกายไว้นอกเสื้อผ้าเป็นส่วนมากเหลือเกิน แต่หล่อนรู้ว่านั่นมิใช่เป็นการกระทำที่น่าเกลียด ก็ได้ยินเพื่อนๆ เขาคุยกันถึงเรื่องเสื้อสำหรับอาบน้ำทะเลบ่อยๆ และได้เห็นรูปถ่ายในหน้าหนังสือพิมพ์หลายครั้ง แสดงว่าผู้ที่อาบน้ำทะเลที่หัวหิน จะต้องสวมเสื้อแบบนี้ทุกคน

สุนทรีกล่าวแก่งามพิศว่า

“ไปกินของว่างกันก่อน ประเดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่”

งามพิศลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที

งามพิศรู้สึกว่าหล่อนรับประทานอาหารได้มากทุกมื้อ ถึงแม้กระนั้นก็ไม่วายที่สุนทรีจะวอนถามว่า “เอานั่นอีกไหม? เอานี่อีกไหม?”

รับประทานของว่างแล้วก็กลับลงมายังหาดทรายอีก สุนทรีชวนงามพิศเดินไปทางใต้ เด็กใหญ่และเด็กเล็กรวมทั้ง ๓ คนเดินไปด้วยพักหนึ่ง แต่ไม่ช้าก็ลดฝีเท้าเสียบ้าง นั่งลงเก็บหอยเสียบ้าง สุนทรีกับงามพิศก็เดินต่อไปตามลำพัง

ทั้งสองสนทนากันด้วยเรื่องเก่า คือเรื่องการเที่ยวไทรโยค และเรื่องบุคคลที่ร่วมทางไปในคราวนั้น งามพิศเล่าว่าส่งศรีได้หมั้นกับนายสวงแล้ว จะแต่งงานกันในเร็วๆ นี้

“วิชาครู ป.ม. เห็นจะค้าง?” สุนทรีพูดแกมหัวเราะ

“ค้างแน่ค่ะ” งามพิศตอบเรียบๆ “ที่จริงเขาว่าถึงเขาจะแต่งงานเขาก็จะเรียนต่ออีก แต่ดิฉันไม่เชื่อเพราะเขาบอกดิฉันเอง ว่าตั้งแต่ต้นปีมาเขายังไม่ได้เปิดหนังสือดูสักหน้าเดียว แต่งงานแล้วยิ่งจะมีธุระมาก จะเอาเวลาที่ไหนมาคิดถึงหนังสือ”

หล่อนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถอนใจน้อยๆ และพูดว่า

“ดิฉันเองก็คงค้าง เพราะไม่ทราบจะทำยังไง หนังสือก็ไม่มีเวลาได้ดู เมื่อกลับจากไทรโยคใหม่ๆ ยังได้ดูมั่ง แล้วก็ล้มเจ็บเสียตั้งเดือนกว่า เมื่อหายแล้วจะดู....ก็....ลำบากใจคุณป้าท่านว่า ถึงทีอ่านหนังสือละก็อ่านได้ พอทำงานเข้าเป็นต้องมีเรื่อง ดิฉันก็เลวจริงๆ ของท่านด้วยค่ะ เวลาอ่านหนังสือไม่รู้สึกเป็นอะไรเลย หน้ามืดบ้างเวลาที่อ่านๆ อยู่แล้วจะลุกขึ้นแต่ประเดี๋ยวเดียวก็หาย ส่วนเวลาทำงานอย่างซักผ้ารีดผ้าอย่างงี้เหนื่อยใจจะขาดเสียให้ได้”

เมื่อได้ฟังคำที่ว่า ‘ซักผ้า’ สุนทรีรู้สึกสะดุดใจ จึงถามรายละเอียดถึงงานที่งามพิศทำประจำวัน งามพิศเล่าไปโดยตลอดด้วยน้ำเสียงปกติมิได้มีกิริยาแสดงความขวยอาย สุนทรีฟังแล้วก็สลดใจอย่างยิ่ง

หล่อนคิดปรารภว่า จะคิดอ่านอย่างไรดีจึงจะช่วยงามพิศให้ได้รับความสุขสมควรแก่ฐานะอันแท้จริงของหล่อน จริงอยู่ในระยะเวลาหนึ่งเดือนสุนทรีจะช่วยให้งามพิศมีความสุขได้ทุกประการ แต่เมื่อพ้นเวลานั้นไปแล้วเล่า งามพิศก็จะต้องกลับสู่สภาพเดิม ถูกฝังอยู่ในที่ๆ เป็นข้าศึกแห่งความเจริญแก่จิตใจทุกสิ่งทุกประการ

แต่งามพิศมิได้คิดไกลไปเท่ากับที่สุนทรีกำลังคิดอยู่ งามพิศคิดเพียงเท่าที่ในวัยของหล่อนจะคิดได้ คือคิดถึงเวลาเฉพาะกาลอันเป็นเวลาที่ตนได้รับความสุข และมีหวังไม่น้อยในความรุ่งเรืองแห่งอนาคตกาลของตน เหตุฉะนั้นงามพิศจึงพูด

“แต่เวลาดิฉันหายดีแล้ว ดิฉันจะตั้งหน้าเรียนให้มากๆ ที่สุดทีเดียว สามปีพอเรียนได้ไหมคะ?”

สุนทรีมองดูผู้พูดด้วยความสงสาร สามปี เรียนโดยไม่มีครู ! มิหนำซ้ำยังมีอุปสรรคร้อยพันอย่าง ! แม้จะเพิ่มเวลาอีกเท่าตัวก็น่าจะไม่สำเร็จ แต่สุนทรีไม่มีความประสงค์จะให้เด็กท้อใจ จึงตอบว่า

“เอาแค่สี่เถอะ กำลังดี”

แล้วหล่อนคิดเมตตายิ่งขึ้นในเด็กสาวที่กำลังสนทนาอยู่กับหล่อนนี้ สงสารว่าเป็นกำพร้าที่พึ่งมิได้ทั้งเป็นคนซื่อทั้งไร้เดียงสา ทั้งมีมานะมั่นคงดี

นึกขำความลักลั่นของโลก หญิงที่ได้เคยมีความสัมพันธ์กับหลวงประเสริฐฯ สองนางกำลังเสพย์ความสุขกายสะดวกใจอยู่ในที่อยู่ของประจิตร เพราะหญิงนั้นอาศัยเล่ห์เหลี่ยมการลวงโลกเป็นเครื่องมือ แต่สายโลหิตของหลวงประเสริฐฯ แท้ๆ ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมและความยากแค้นจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด....สุนทรีถอนใจขึ้นโดยแรง

งามพิศหันมาดูหล่อน สุนทรีจึงต้องยิ้มรับดวงตาซึ่งสำแดงอาการพิศวง แล้วจับแขนเด็กสาวดึงเข้าหาตัวโอบบ่าเจ้าหล่อนไว้ด้วยวงแขน และเดินต่อไปช้าๆ ในกิริยาเช่นนั้น

สุนทรีมองดูนาฬิกา ชวนงามพิศกลับมาทางเก่า หล่อนไม่ประสงค์จะทำทางกลับให้เกินกำลังของงามพิศเดินมาได้ไม่ช้าก็พบกับหลวงชาญฯ

“ผมไปที่บ้านมาก่อน ได้ทราบว่าคุณมาเดินเล่นก็เลยเดินตามมา” หลวงชาญฯ กล่าวว่า

“ดีจริงค่ะ ได้เพื่อนคุยอีกคนหนึ่ง” สุนทรีตอบแล้วถาม “เกลอของคุณหลวงไปไหนเสียเล่าคะ?”

“หมอหรือครับ? เขาไปกรุงเทพฯ เสียแล้ว ถูกโทรเลขเรียกตัว เพราะเขามีไข้อยู่รายหนึ่ง เมื่อก่อนที่จะมาเขาฝากเพื่อนหมอด้วยกันให้ช่วยดูแลแทน ถ้าคนไข้จะกลับมีอาการหนักไปหรือยังไง อีตาเพื่อนถึงได้โทรเลขเรียก”

งามพิศรู้สึกใจหายวาบ แต่มิใช่วิสัยของหล่อนที่จะออกปากแสดงความรู้สึกต่อหน้าผู้ที่หล่อนยังไม่คุ้นเคย หล่อนพอใจมากเมื่อได้ฟังสุนทรีพูดว่า

“แหม ไม่อยากเชียว พบกันสามคนทุกๆ วัน มาขาดไปเสียคนหนึ่ง”

“เขาจะกลับมาอีกครับ” หลวงชาญฯ รีบตอบพร้อมกับหัวเราะ “เขาว่าเขาจะพยายามมาราวๆ มะรืนนี้ ถ้าช้าไปกว่านั้นก็แปลว่ามาไม่รอด หมายความว่าทิ้งคนไข้มาไม่ได้”

“ตาย ขอให้มารอดทีเถอะ” สุนทรีว่า “คนไข้ทางนี้ก็มีอยู่ด้วยนี่นา” แล้วหล่อนก็หัวเราะพร้อมกับหันไปดูงามพิศ

สุนทรีทำการบำรุงงามพิศอีก

งามพิศเพิ่งจะพ้นกำหนดไว้ทุกข์ คุณป้ายังมิได้ทำการซื้อหาเสื้อสีผ้าให้หล่อนเพิ่มขึ้นจากที่นี่ อยู่ในสมัยเมื่องามพิศยังอยู่กับบิดา

เวลากลางวันสุนทรีทำผ้านุ่งและเสื้อสำหรับให้งามพิศซื้อผ้ามาจากร้านในแหลมหินนี้เองบ้าง แก้ไขของๆ หล่อนที่มีอยู่แล้วให้เหมาะแก่ตัวงามพิศบ้าง และงามพิศนั้นมีฝีมือในการด้นหรือสอยดีพอใช้ได้ แต่ขาดความสามารถที่จะตัดและประกอบชิ้นผ้าให้เป็นรูปเสื้อ สุนทรีก็ตัดผ้าให้หล่อนและชี้แจงให้ด้นให้สอยในที่ๆ ควร

พ้นจากการเย็บ เมื่อมีเวลาเหลือจากการออกกำลังและการเที่ยว สุนทรีให้งามพิศยืมหนังสืออ่านทั้งภาษาฝรั่งภาษาไทยเป็นหนังสือชนิดเรื่องอ่านเล่น อ่านได้ง่ายซึ่งสุนทรีนำมาจากกรุงเทพฯ ด้วยเพื่อจะอ่านในเวลาที่มาพักสมอง

และสุนทรีสังเกตเห็นว่า เมื่องามพิศจับหนังสือเข้าแล้วก็มักจะอ่านอย่างที่ไม่อยากวาง ครั้งหนึ่งสุนทรีเห็นงามพิศร้องไห้เพราะอ่านหนังสือเรื่องโศก หล่อนเห็นข้นแล้วก็นึกเอ็นดู แล้วหล่อนนึกถึงความที่ประจิตรได้ยก ‘ภรรยาเก็บ’ ของเขามาเปรียบกับหล่อน ในกรณีที่หล่อนอยากร้องไห้เมื่อดูภาพยนตร์อันเป็นเรื่องกินใจ สุนทรีคิดว่างามพิศอาจจะอยากร้องไห้ได้เหมือนกัน ในเมื่อได้ดูภาพยนตร์เรื่องที่ ‘เรียก’ น้ำตา เพราะงามพิศเข้าใจภาษาฝรั่งพอที่จะเข้าใจเรื่องที่หล่อนเห็นปรากฏในจอภาพยนตร์ได้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ