๑๗
“เบรค ! เบรคไว้ เบรคไว้ !”
งามพิศได้ยินเสียงที่ตะโกนตามหลังมา และเข้าใจความหมายดีแต่มือของหล่อนหาทำความเข้าใจไม่ รถจักรยานก็วิ่งเข้าใส่ต้นไม้ดังกึก ! แล้วก็ล้ม ตัวงามพิศลงไปนอนตะแคงกอดรถอยู่บนดิน
ส่งศรีวิ่งมาถึงตัวเพื่อน ตกใจด้วยขันด้วยหัวเราะพลางบ่น
“บอกให้เบรค ให้เบรค ไม่เบรคไว้นี่ เจ็บไหม?” แล้วพยายามยกรถขึ้นตั้ง
หลวงเอนกฯ เดินมาเบื้องหลังธิดา หัวเราะพลางถาม
“เจ็บไหม? หัวเข่าชนต้นไม้หรือเปล่า? จะวิ่งมาช่วยก็ไม่ทัน”
ก่อนอื่นงามพิศจับแว่นตาให้เข้าที่ แล้วจึงลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นตามตัว รู้สึกขัดที่สะโพกแต่ไม่เอาใจใส่ ตอบเสียงใสแกมหัวเราะ
“ไม่เจ็บหรอกค่ะ”
“คุณพ่อกำลังชมว่าเก่ง....”
“นั่นซี พอออกได้ก็ไปปร๋อ ที่ไหนได้ วิ่งเข้าหาต้นไม้เสียแล้ว แต่ไม่เป็นไรถ้าใจกล้ายังงี้ละก็เดี๋ยวก็เป็น แล้วไอ้รถถีบนี่น่ะ ถ้าไม่เจ็บเสียมั่งก็ไม่เป็นหรอก”
ส่งศรีหันหน้าเข้าหารถ จับแฮนเดิ้ลหันไปมาพลางเล็งดู ทำท่าคล้ายผู้ชำนาญ ตามธรรมดาของผู้ที่ ‘พึ่งเป็น’
งามพิศถามด้วยเสียงแสดงความกังวล
“หักไหมเธอ? หรือถลอก? หรือบุบที่ไหนบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่มี” ส่งศรีตอบ “แฮนเดิ้ลเอียงไปหน่อย ทีหลังพอขึ้นแล้วเธอจับเบรคไว้ให้แน่นซี พลาดท่าก็เบรคปี๊บ” พูดจบแล้วส่งศรีก็เหยียบเท้าซ้ายลงบันไดรถพร้อมกับขยับเท้าขวาตามไปด้วย ทำดังนั้น ๒-๓ ครั้ง แล้วก็ขึ้นนั่งบนอานได้และถีบรถวนไปในที่ใกล้
ข้าหลวงยืนมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า
“พ่อไปละนะ แกจะหัดกันต่อไปก็เรียกนายป้านเขามา”
ข้าหลวงเดินไปทางเรือนที่อยู่ งามพิศมองตามตัวเพื่อนซึ่งเคลื่อนที่วกวนไปกับรถ แล้วแต่ทางที่ล้อจะพาไป โลหิตฉีดแรงด้วยความกระหาย ดวงตาก็วาวอยู่ในกระจกแว่น
ส่งศรีมาลงรถตรงหน้าเพื่อนแล้วอธิบาย
“มือต้องกุมเบรคไว้เสมอที่เธอ แล้วเวลาจะหลีกอะไรก็แฮนเดิ้ลนิดเดียว แล้วตัวก็หันไปตาม อย่าไปขึ้นมันไว้ ถ้าขืนมันก็ล้มกันเท่านั้นเอง”
งามพิศถอนใจ ตรงเข้าลูบคลำรถ แล้วพารถเดินยิ่งเกิดความกระหายเป็นทวีคูณ นึกคอยว่าเมื่อไหร่เพื่อนของตนจึงจะเรียกนายป้าน แล้วหวังว่าข้าหลวงจะได้สั่งให้นายป้านมาต่องานที่ได้ตั้งต้นไว้ แล้วกลับนึกท้อใจว่าตนเห็นจะไม่มีโอกาสได้ ‘ถีบเป็น’
งามพิศรู้สึกตรงกับที่ว่า ‘ใจมาขึ้นเป็นกอง’ เมื่อเห็นนายป้านโผล่ออกมาจากเรือนใหญ่ แต่แล้วก็เห็นว่านายป้านเดินตรงไปตามทางที่จะออกไปนอกจวน ใจที่มาเป็นกองก็หายไป แต่ด้วยความที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า หล่อนก็บอกแก่เพื่อน แต่บอกด้วยเสียงธรรมดาค่อนข้างจะเรื่อยๆ เฉยๆ เสียด้วยซ้ำ
“นายป้านกำลังจะไปไหน”
ส่งศรียกมือขึ้นป้องปากและตะโกนไปทันที
“ตาป้านไปไหน?”
ชายคนใช้ผู้ซึ่งยังขาดอายุสำหรับที่จะเป็นตาอีกหลายปีนั้นหยุดชะงัก แล้วก็บ่ายหน้ามาทางผู้ที่เรียกตน
“เห็นท่านบอกให้มาหัดรถถีบ ผมนึกว่าคุณอยู่แถวหน้าจวน”
“หัดหน้าจวนจะได้แขนขาหัก ไม่ใช่ฉันหรอกแม่นี่แน่ะ เขาอยากหัดมั่ง เมื่อตะกี้คุณพ่อท่านจับให้เขา”
เมื่อเข้าใจแล้วว่าผู้ที่ตนจะต้องช่วยนั้นไม่ใช่นายของตน นายป้านก็มีสีหน้าแสดงความไม่เต็มใจจนงามพิศมองเห็น ความเกรงใจเกิดขึ้นแก่งามพิศอย่างแรง แต่ความ ‘อยากเป็น’ ก็มีกำลังนักหนา
“จับพอให้ฉันนั่งแล้วก็ปล่อยเท่านั้นแหละจ้ะ” ในที่สุดหล่อนพูดขึ้น ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาเต็มไปด้วยความวิงวอนอย่างอ่อนน้อม
นายป้านค่อยๆ เดินเข้าใกล้รถ งามพิศก็จัดแจงหันตัวรถเสียเอง ให้หน้ารถหันไปทางที่มีเครื่องกีดขวางน้อยที่สุด แล้วก็เข้ายืนที่
“เบรคอยู่มือขวา เวลาหลีกไม่ขืนตัว” งามพิศท่องอยู่ในใจ พร้อมกับหัวใจเต้นแรงด้วยความ ‘อยากเป็น’ ความมานะและความตื่นเต้น ส่วนเท้าก็เหยียบบันไดขึ้นไปนั่งบนอาน
วื๊ด ! นายป้านเสือกรถด้วยกำลังแขนโดยแรง แซ้ก !....เท้างามพิศหลุดจากบันไดทั้งสองข้างแต่รถก็ยังทรงตัวอยู่....งามพิศแกว่งเท้าเบาๆ พอคลำหาบันได อ้า ! ได้แล้วข้างหนึ่ง อ้าว ! ได้อีกข้าง หนึ่งด้วย งามพิศถีบ ถีบ.....ตามหลักที่ท่านข้าหลวงสอนไว้ว่า “ถีบไว้เป็นไม่มีล้ม” ตัวคดไปข้างขวาทีหนึ่ง ข้างซ้ายทีหนึ่ง ข้างขวาอีกทีหนึ่ง ข้างซ้ายอีก ข้างขวาอีก....ตะโพกก็พลิกไปพลิกมา หน้ารถก็ส่ายว่อกแว่ก งามพิศก็ยังคงถีบๆๆ ได้ยินเสียงส่งศรีหัวเราะบ้าง ร้องว้ายบ้าง แต่เพียงแว่วๆ เอ๊ะ ! นั่นต้นไม้อีกแล้ว....เบรค งามพิศสั่งตัวเอง พยายามนึกว่ามือขวาอยู่ข้างไหน วื้ด ! ตัวเฉียดต้นไม้ไปเพราะงามพิศไม่ได้ห้ามล้อ รถโดนแล้วก็ตั้งตัวได้....เกิดความรู้สึกขึ้นว่า ตนพารถหลีกเครื่องกีดขวางมาอย่างหวุดหวิด ใจบานด้วยความปีติ ลองอีกทีก็ได้ หักรถอ้อมไปทางซ้าย.....เอ๊ะ.... เอ๊ะ ! นี่ยังไงจึงเร่มาทางขวา ต้นไม้อีกแล้ว เลยตามเลย เบนขวาให้หนักหน่อย ว้าย! ต้นไม้ ! หลีก กึก ! ซึ่ก ! งามพิศยืนอยู่บนดิน รถซวนแต่ไม่ถึงกับล้ม และอยู่ในบังคับแห่งข้อมือของงามพิศ
“นึกว่าอีกผางหนึ่งแล้ว” ส่งศรีกล่าวเมื่องามพิศจูงรถเข้ามาใกล้ “เธออย่าให้มันคดไปคดมาซี นั่งให้ตรงๆ”
งามพิศหัวเราะเรื่อย หน้าแดงตาเป็นประกายฟังคำแนะนำอย่างสนใจยิ่งพร้อมกับถูฝ่ามือเข้ากับตะโพก เพื่อเช็ดเหงื่อที่เปียกฝ่ามือจนทำให้มือลื่น พอเช็ดแล้วก็ตั้งรถใหม่ และทำท่าเตรียมพร้อมพลางดูนายป้าน
เมื่ออยู่บนจักรยานครั้งนี้ งามพิศตั้งสติได้ดีขึ้นหัวใจที่ยังคงเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นนั้นก็หนักไปในทางปิติทะยานใจ และลำพองในสิ่งที่ประสบใหม่มากกว่าที่เป็นเพราะความกลัว รถยังคงส่ายไปส่ายมา ตัวก็ยังคงคดไปคดมา แต่งามพิศเกือบมั่นใจว่ารถไม่ล้ม หล่อนระดมกำลังขาเต็มที่ แข็งข้อมือไว้มั่น เมื่อใกล้จะถึงที่หมายก็ใช้ความพยายามหักแฮนเดิ้ลรถเอียงวูบ ดังจะคว่ำแต่ก็แล่นต่อไปได้ ว่อกแว่กไปอีกราวสัก ๒๐ ครั้ง ก็กลับมาถึงที่ๆ ส่งศรียืนอยู่ งามพิศหยุดรถและลงยืนได้โดยเรียบร้อย
เจ้าหล่อนหัวเราะ มองดูพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความปิติและภูมิใจ แต่สีหน้าของส่งศรีไม่แสดงความตื่นเต้น และอาการต้อนรับเหมือนเมื่อคราวก่อน งามพิศหัดถีบรถได้เร็วเกินไป ! ส่งศรีตรงเข้าจับแฮนเดิ้ลเหมือนจะเตือนให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าใครเป็นเจ้าของรถนั้น
“แหม ! หวิดล้มหลายทีแต่ไม่ยักล้ม” งามพิศกล่าว “แต่ถึงยังไงไม่ชนต้นไม้อีกแน่ เบรคได้แล้ว อีทีนี้นึกได้ท่องเสียเกือบตาย เบรคๆๆๆ ! อู๊ ! เหนื่อยพอใช้ แหม ! เหงื่อออก มือเหนียว หมด” แล้วงามพิศก็ถูฝ่ามือเข้ากับตะโพกดังคราวก่อน
“นายป้านเอารถไปเก็บ” ส่งศรีพูดตามองดูแผ่นดิน
นายป้านนั้นก็ไม่รู้สึกสนุกอยู่แล้ว ในข้อที่ต้องมาเฝ้าคอยช่วยบุคคลคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมิได้มีอำนาจเหนือตัวเขาด้วยประการใดเลย เมื่อนายสาวสั่งดังนั้น ก็ย่อมมีความเต็มใจที่จะปฏิบัติตามในทันที แต่แม้กระนั้นก็ยังมองดูผู้สั่งด้วยความสงสัย และนึกฉงนสนเท่อยู่
ส่วนงามพิศ ความเบิกบานในวงหน้าละลายไปทันที ปล่อยมือจากรถมองดูเพื่อนคิ้วขมวดเข้าหากัน แล้วในที่สุดก็พูดขึ้น ช่วยเพื่อนหลอกตัวของตัวเอง
“เย็นแล้วนะ เธอยังไม่ได้อาบน้ำ เดี๋ยวมีแขกมารับประทานข้าวกับคุณพ่อ แล้วนายป้านก็จะต้องไปทำงานอย่างอื่นอีก”
ส่งศรีทำพื้นดินที่ตรงเท้าให้เป็นรูปรอยต่างๆ ซึ่งไม่มีความหมายอันใด งามพิศออกเดินก่อน ส่งศรีก็เดินตามลากรองเท้าแตะจนฝุ่นขึ้นข้างหลังเป็นควัน ทั้งสองไม่พูดอะไรกันเลย
มาใกล้จะถึงหน้าจวน พบสุนัขกับวิฬารคู่หนึ่งกำลังแสดงท่ามุ่งร้ายต่อกันอย่างเหี้ยมหาญ สุนัขเห่ากระโชกและกระโดดไปมาอยู่ตรงหน้าวิฬาร นางวิฬารยืนตัวสั่นขนพอง แต่อาการที่ย่อเท้าหลัง และย่อเท้าหน้าไว้ข้างหนึ่ง แสดงว่าเตรียมพร้อมที่จะป้องกันตัวจนสุดฤทธิ์ ด้วยความที่กลัวภัยจะเกิดแก่สัตว์รักของเพื่อนและของตัวเอง งามพิศลืมความขุ่นหมองในใจ ฉวยข้อมือส่งศรีบอกให้ดูภาพ ตรงหน้า แล้วทั้งสองก็คว้าท่อนไม้และก้อนดินที่ใกล้มือวิ่งเข้าตวาดขว้างปาจนเจ้าสุนัขหนีไป
“แต้ม มานี่มะ แต้ม ไอ้หมามันไปแล้ว” ส่งศรีเรียกวิฬาร ซึ่งขึ้นไปเกาะติดอยู่บนโคนต้นขนุนด้วยความตกใจ และเมื่อเจ้าของตรงเข้าจับตัว นางแต้มยังไม่คืนสติเล็บที่เกี่ยวกับเปลือกไม้จึงยังคงเกี่ยวแน่น จนงามพิศและส่งศรีต้องเข้าช่วยกันปลดให้ ส่งศรีอุ้มนางวิฬารงามพิศก็ลูบหลังวิฬารด้วยความปรานี
“ไอ้หมาบ้า” ส่งศรีบ่น แล้วเล่าแก่เพื่อน “ไม่รู้มันมาจากไหนเธอ มาวิ่งเล่นแล้วก็ทำเหม็นด้วย คอยไล่กันเท่าไรก็ไม่ฟัง ทีหลังเราชักสงสารให้ข้าวมันกิน มันยังไม่ว่าดีอีก ทะเล้นมารังแกแมวของเขา”
“ไม่เจียมตัวเลยนะ” งามพิศว่า
ส่งศรีปล่อยนางแต้มลง นางวิฬารเดินตามเคลียขามาได้สักหน่อย ครั้นแล้วก็มองเห็นสิ่งที่สบใจคือนกเอี้ยงสาริกาซึ่งโดดอยู่ใต้ต้นไม้ จึงผละจากทางเก่าทำท่าย่างเท้าเพียงเข้าไปใกล้นก
ดูเหมือนว่าพอนางแต้มห่างไปเสียแล้ว ความร่วมใจระหว่างเพื่อนหญิงทั้งสองก็ห่างตามไปด้วย งามพิศกลับนึกขึ้นได้ถึงความมึนตึงของเพื่อนจึงหยุดเดินแล้วพูดว่า
“ฉันไปละ ออกประตูนี้แล้วไปเลี้ยวทางโน้น”
“เดี่ยว” ส่งศรีรีบค้านโดยเร็ว “ยังวันอยู่เลยจะรีบไปไหน?”
“ไปบ้านน่ะซี”
“ไปทำไมกันนะบ้านน่ะ ไปทำงานไม่เห็นสนุกอะไรเลย ไปทำน้ำมะนาวกินกันดีกว่า” พูดแล้วส่งศรีก็ฉวยข้อมือเพื่อน และสาวเท้าเร็วขึ้น
รู้สึกสหายไม่กระตือรือร้นด้วยเหมือนอย่างเคย ส่งศรีก็หันมามองดูหน้าด้วยความสงสัย แล้วจึงนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์เมื่อคราวก่อน ส่งศรีจึงถาม
“เธอโกรธฉันเหรอ?”
“เปล่า!” งามพิศตอบ ตามองไปข้างหน้าไม่ดูตาเพื่อน
“ขี้ปด”
“จริงๆ” แล้วงามพิศก็กัดริมฝีปากที่เริ่มสั่นด้วยความน้อยใจ
เว้นระยะอยู่ครู่หนึ่งส่งศรีจึงถามอีก
“ไม่โกรธทำไมจึงรีบกลับล่ะ?”
“เดี๋ยวคุณป้าจะคอย”
“ชี้ย !” ส่งศรีอุทาน “ไปน่ะไปทำน้ำมะนาวกินกันก่อน” ขณะนั้นเจ้าหล่อนถึงบันไดแล้ว จึงเลยเข้าไปในเรือน
ช่วยกันหามะนาวเกลือน้ำตาลภาชนะที่จะใช้กับน้ำแข็ง แล้วงามพิศก็เป็นผู้บีบน้ำมะนาวลงเหนือผ้ากรองที่พาดปากแก้ว พอได้ถ้วยหนึ่งแล้ว ส่งศรีเป็นผู้รับไปปรุง
“เธอได้หนังสือแล้วหรือยัง?” ส่งศรีถามในระหว่างนั้น
“ยัง”
“ที่สั่งไปก่อนล่ะ?”
“ทั้งก่อนทั้งหลัง” เสียงงามพิศที่กล่าวประโยคใหม่นี้ค่อนข้างห้วน แต่ส่งศรีไม่ได้สังเกต จึงพูดเรื่อยไป
“ของฉันมาแล้ว แต่เห็นเข้าแล้วเบื่อจัง เรียนซ้ำเรียนซาก จนหนังสือขาดแล้วก็ยังต้องเรียนอีก ใครไม่รู้เป็นคนสู่รู้ไปบอกคุณน้าว่าหนังสือเรียนของฉันอยู่ในตู้ ไอ้เราขอไปจะให้ท่านซื้อใหม่ๆ ส่งมา ท่านกลับเอาวจีวิพากษ์เล่มเก่าส่งมาให้”
งามพิศก็กำลังคิดอย่างขมขื่นอยู่ในใจว่า ‘รถถีบก็คงไม่ได้เป็น วิชาครูก็คงไม่ได้เรียน รถถีบก็คงไม่เป็น’ แล้วขัดใจตัวเอง ที่ได้ปล่อยให้ความปรารถนาสองประการนั้นเกิดขึ้นแก่ตัว
“คุณพ่อว่าเราควรจะสอบ ป.ป. ได้ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ที่แท้เรายังไม่ได้ตั้งต้นจับอะไรเข้าเลย ฉันคอยเธอ เมื่อไหร่เธอได้หนังสือฉันถึงจะลงมือเรียน เราจะได้ผลัดกันเป็นครูเป็นนักเรียน คุณพ่อยังบอกว่าดี เออ ! นี่แล้วเธอรู้ไหม คุณพ่อท่านสบประมาทฉันนะ ท่านว่าถ้าฉันไม่มีเพื่อนเรียน เรียนเองคนเดียวยังไงๆ ก็คงไม่สำเร็จ”
งามพิศคิดถึงความในจดหมาย ที่ประพันธ์เขียนตอบจดหมายของหล่อนราว ๑๐ วัน หลังจากที่หล่อนได้ขอหนังสือเขา ประพันธ์บอกให้หล่อนขอเงินจากคุณป้าในนามของเขาเป็นจำนวน ๕๐ บาท และว่าเขาจะแบ่งเงินจำนวนนั้นซื้อหนังสือให้หล่อน จดหมายฉบับนี้สวนทางกับฉบับที่สอง ที่งามพิศเขียนขอหนังสืออีกชุดหนึ่ง งามพิศได้ฝ่าอันตรายในการถูกดุ แจ้งความต้องการของประพันธ์ แก่คุณป้า ผลลัพธ์ก็คือหล่อนได้ฟัง ‘เทศน์’ กันฑ์ใหญ่ยาวโดยไม่ได้สิ่งใดมากกว่านั้น
คิดถึงความลำบากในการหาสตางค์ ๓๓ สตางค์สำหรับเป็นค่าดวงตราไปรษณีย์แล้วยิ่งช้ำใจ จดหมายฉบับแรกทำให้งามพิศต้องอดอาหาร ๑ มื้อครึ่ง และเสียคำมุสาไปหนึ่งคำ ทั้งนี้ยังต้องนับว่าโชคช่วยหล่อนอย่างเหลือเกินด้วย คือตามปกติงามพิศไม่เคยได้ถือสตางค์เลย แต่วันนั้นคุณป้ามีธุระด่วนอย่างหนึ่ง จึงรับประทานอาหารจาก ‘หาบ’ เสร็จก่อนที่งามพิศจะได้ลงมือรับประทาน ท่านส่งธนบัตร ๑ บาทให้งามพิศ เพื่อให้ชำระค่าอาหารของท่านและของหล่อนเอง แล้วท่านก็รีบไปธุระ งามพิศเคยรับประทานอาหารมื้อนี้เป็นมูลค่า ๘ สตางค์ หล่อนอดอาหารเสียแล้วก็ยักสตางค์ไว้เท่าจำนวนนั้น วันหลังหล่อนรวบรวมกำลังใจทั้งหมดที่มีอยู่รับประทานแต่เพียง ๕ สตางค์ แล้วก็ทำกุลีกุจอไปขอสตางค์คุณป้าเพื่อให้แม่ค้า คุณป้าถามว่าค่าอาหารของหล่อนนั้นกี่สตางค์ งามพิศตอบว่า ๘ สตางค์ คุณป้าส่งสตางค์ ๑๐ ให้สองอัน คือรวมทั้งค่าอาหารของท่านเอง ๑๐ สตางค์ด้วย งามพิศนำสตางค์ไปคืนให้ท่านเพียง ๒ สตางค์
สำหรับจดหมายฉบับที่สอง งามพิศได้ทำการลักทรัพย์มุสา และก่อความเดือดร้อนแก่คนทั้งบ้าน คือลอบหยิบเศษสตางค์จากเชี่ยนหมากคุณป้า ครั้นคุณป้ารู้สึกว่าสตางค์ขาดจำนวนไปไต่ถามงามพิศก็ตอบว่าไม่เห็น คุณป้าซักถามทุกๆ คนตลอดจนถึงคุณลุง ครั้นไม่ได้ความก็บ่นว่าด่าทอไปตลอดวัน เมื่อถึงฉบับที่สาม คือฉบับที่ตอบประพันธ์ว่าคุณป้าไม่ให้เงินนั้น งามพิศไม่มีกำลังใจพอที่จะทำกลมารยาอย่างใดอีก ก็ขอสตางค์จากคุณลุงลับหลังคุณป้า และเมื่อคุณลุงถามเหตุผลหล่อนก็แจ้งไปตามจริง แต่ข้อที่หล่อนได้ขอหนังสือประพันธ์นั้น งามพิศเว้นเสียไม่เล่าด้วย
น้ำมะนาวหมดเกลี้ยงไปแล้ว ๔ ถ้วยแก้ว พร้อมกับที่การพูดจ้อไม่หยุดปากของส่งศรีกำลังจะหมดลง ด้วยงามพิศมองออกไปทางหน้าต่าง ไม่เห็นแสงแดดก็ตกใจรีบลุกขึ้นยืน และบอกแก่เพื่อน
“ต้องไปแล้ว ช้าไม่ได้ เดี๋ยวถูกดุอีก”
“เธอเคยถูกดุหรือเวลากลับจากที่นี่?” ส่งศรีถามโดยเร็ว
งามพิศเสียใจที่ได้พลั้งปากไปแล้ว แต่จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย
“เวลาท่านข้าหลวงให้คนไปส่งละก็ไม่ถูก ถ้าไปคนเดียวโดยมากมักจะโดน”
“งั้นให้นายป้านไปส่งเถอะ” ส่งศรีกล่าวแล้วลุกขึ้น แต่งามพิศยึดข้อมือไว้และพูดว่า
“อย่าๆ ไม่ต้อง กวนเขาเปล่าๆ ฉันไปเองได้ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ยังไม่เย็นมาก”
พูดแล้ว งามพิศหยิบผ้าเช็ดหน้าของหล่อนที่วางอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มกับเพื่อนแล้วก็วิ่งไปที่บันได สวมรองเท้าแล้วก็วิ่งต่อไปโดยเร็วจนพ้นเขตจวนจึงเดิน
วิธีที่งามพิศกลับเข้าบ้านลักษณะเกือบคล้ายวิธีของนักย่องเบา หลบหลีกไปตามที่มีต้นไม้บังถึงบันไดได้ยินเสียงคุณป้าพูดอยู่กับคุณลุง หล่อนรีบผลุนเข้าในครัวลงมือจัดหาภาชนะสำหรับที่ตั้งที่รับประทาน เมื่อเช็ดภาชนะก็เลือกที่ๆ มีเครื่องกำบังตัวได้ พอเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างจึงยกจานเดินออกมาจากครัว
นางจำนงฯ นั่งอยู่ทางเฉลียงด้านหน้า เมื่อเห็นงามพิศก็มีสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เพราะเหตุที่ยังมิได้นึกคอยหลานเลยจนนิดเดียว แต่น้ำเสียงที่ทักนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง
“อ้อ ! กลับละรึ มายังไงนั่นน่ะ?”
“มาคนเดียวค่ะ”
“แล้วสั่งให้ไปเมื่อไหร่อีกล่ะ?”
“ไม่ได้สั่งค่ะ”
“อ้อ ! คราวนี้ไม่ได้สั่ง”
น้ำเสียงคุณป้าเป็นเสียงประชดชัดๆ แต่ประชดใครนั้นยากที่จะกล่าว อย่างไรก็ตาม งามพิศตอบว่า
“เมื่อมาไม่พบท่านข้าหลวงค่ะ”
“อ้าว ! ไปไหนเสียล่ะ?”
“ยังไงไม่ทราบค่ะ ดิฉันกลัวจะเย็นมากก็เลยรีบกลับมา”
คุณนายเชยนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วก็ว่า
“อย่างรีบ !”
คืนนั้นงามพิศนอนไม่ค่อยหลับได้เลย จิตใจครุ่นคิดถึงจักรยานและหนังสือที่ต้องการใช้สำหรับเรียน แต่ดูเหมือนจะคิดหนักไปในทางจักรยานมากกว่าทางหนังสือ เวลา ๑๕ นาทีที่งามพิศนั่งอยู่บนรถและนำรถให้แล่นไปได้นั้น ได้ทำให้งามพิศมีความรู้สึกเป็นรสชาติพิเศษอย่างประหลาด ความสำนึกว่าขณะนั้นตนเป็นที่พึ่งของตน และด้วยตน เจ้ารถสองล้อซึ่งมีปกติยืนหรือวิ่งเองไม่ได้ ได้พาตนเคลื่อนที่ไปโดยระยะทางหลายว่า ความชื่นใจเมื่อถูกลมปะทะหน้าโดยแรงขณะที่รถแล่น เหล่านี้ทำให้ความรู้สึกของงามพิศตื่นเต้นไปในทางปลาบปลื้มและทะยานใจ แต่ความสำนึกว่าตนเป็นผู้มีแต่ตัวและตัวคนเดียว เป็นผู้ไม่มีหวังที่จะได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามความปรารถนา ทำให้งามพิศตื่นเต้นไปในทางขมขื่นเดือดแค้นในโชคชะตาของตนเอง
ลุปลายปัจฉิมยาม งามพิศฝันเห็นตนเองถีบจักรยานอยู่ในจวนข้าหลวง แต่ผู้ที่จับรถให้หล่อนเมื่อหล่อนจะขึ้นนั่งหาใช่ข้าหลวงหรือนายป้านไม่ เป็นหลวงประเสริฐเวชศาสตร์ งามพิศเห็นบิดายืนมองดูหล่อนด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม แล้วก็ตื่นจากหลับในขณะนั้นเอง
งามพิศลืมตาขึ้น เริ่มรู้สึกตัวว่าฝัน รอบตัวมีแต่ความมืด ส่วนในใจก็อ้างว้างเปล่า ทันใดนั้นงามพิศเกิดความคิดถึงบิดาเพียงใจขาด ข้อนๆ ในทรวงอกมากขึ้นทุกที ไม่ช้าหล่อนก็คว่ำหน้าลงกับหมอนและสะอื้นแรง
หล่อนตื่นสายมากในวันรุ่งขึ้น จึงถูกคุณป้าบ่นว่าหลายคำ
แต่เมื่อถึงตอนบ่าย งามพิศได้รับความประหลาดใจไปในแนวที่ดีจนไม่เชื่อความจริงที่ปรากฏแก่ตา
ขุนจำนงฯ กลับจากที่ว่าการอำเภอพร้อมด้วยหนังสือตั้งใหญ่ ที่นายมุ่ยเป็นผู้แบกตามหลังมา กับจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งท่านขุนใส่มาในกระเป๋า
ท่านขุนเรียกงามพิศมารับวัตถุสองอย่างนี้ ซึ่งมีผู้ส่งมาถึงหล่อนทางไปรษณีย์
คุณป้าตกตะลึง ร้องว่า “นี่กระไร ใครส่งมาทำไมกัน?”
งามพิศจำลายมือประพันธ์ที่ปรากฏบนหลังซองได้ดี กลัวคุณป้าจะเรียกจดหมายไปอ่านก็เหลือที่จะกลัว ตื่นเต้นเพราะเห็นหนังสือก็แสนที่จะตื่นเต้น นึกขอบใจและสงสารพี่ชายก็หนักหนา
“จดหมายใคร?” คุณป้าถาม
“พี่ประพันธ์ค่ะ”
“เขียนมาว่ายังไง จะกวนเอาเงินอีกรึ?”
งามพิศฉีกซองจดหมายอย่างงกงัน จนริมกระดาษจดหมายขาดติดไปกับริมซองด้วย
อ่านดูอย่างเร่งร้อน ได้ความพอเป็นเลาๆ เพราะคุณป้าเวียนถามไม่หยุดปาก แล้วงามพิศตอบว่า
“เขาบอกว่าเขาส่งหนังสือมาให้เท่านั้นแหละค่ะ”
“หนังสืออะไร? ส่งมาทำไมกันเป็นกองสองกองอย่างนี้”
“ส่งมาให้ดิฉันเรียนค่ะ”
“เรียนอะไร เรียนไปไหนกันอีก ที่เรียนมาแล้วเป็นกองสองกอง ฉันไม่เห็นแกรู้ประสาอะไร ! ไปเอามาจากไหนกันนี่ เจ้าประพันธ์ไปเอามาจากไหน หนังสือใหม่ๆ ทั้งนั้น ก็ไปซื้อเขามานั่นแหละ แหมนี่มิตักเข้าไปตั้ง ๕-๖ บาทหรือนี่ แล้วก็มากวนจะเอาเงินที่ฉัน”
งามพิศนึกรักคุณลุงขึ้นอย่างมากมาย ในข้อที่ท่านนิ่งเฉยเสียไม่ปริปากว่ากระไรเลย ทั้งๆ ที่ท่านย่อมรู้ราคาหนังสือทั้งหมดดีแล้ว เพราะหล่อนได้พินิจดูทุกเล่มอย่างละเอียดลออ