๒
เมื่อบุคคลถึงความตายด้วยอุปัทวเหตุ เป็นอกาลมรณะ ทั้งเขาเมื่อยังคงมีชีวิตอยู่มิใช่ผู้ที่มั่งคั่งมีหน้ามีตา วิธีจัดการศพที่ดีที่สุดที่ญาติผู้อยู่หลังของเขาระลึกได้ก็คือ ฝากศพไว้ในวัดใดวัดหนึ่ง ตามที่ชนชั้นสามัญทั่วไปมักจะทำกันนั่นเอง
แต่เพราะเหตุที่หลวงประเสริฐเวชชศาสตร์เป็นแพทย์ ตามธรรมดาของแพทย์ ถ้าแม้ไม่มีนิสัยเสียอันน่ารังเกียจเหลือเกินนัก ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่กว้างขวางกว่าบุคคลอื่นทั่วไปที่อยู่ในฐานะเดียวกัน ความตายของหลวงประเสริฐฯ ซึ่งได้ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ จึงเป็นเรื่องที่บุคคลหลายครอบครัวปรารภรำพันแสดงความเสียใจ และความอาลัยกันมาก
แต่ก็มีอีกน่ะแหละ เขาเหล่านั้นเล่าเรื่องสู่กันระหว่างคนรู้จักโจษจันกันตามที่เริงรมย์เช่นโรงมหรสพอันครึกครื้น หรือปรารภกันระหว่างผู้เป็นที่ชอบพอในเคหะอันร่มเย็น ในใจของเขาสมเพชเวทนา มีความต้องการที่จะช่วยเหลือเจืออยู่ด้วย แต่ไม่เห็นช่องทางที่เหมาะ เขาปรารภแล้วก็พูดเรื่องอื่นต่อไป มิช้าก็ลืมเรื่องนายแพทย์ที่เคยรักษาไข้ให้เขาเสียสนิท
ในระหว่างนั้นศพหลวงประเสริฐฯ ก็ตั้งอยู่บนศาลาเก่าคร่ำคร่าในเขตอารามแห่งหนึ่ง มีเครื่องตั้งประกอบไปด้วยแจกันต่างชนิด ที่เป็นเคลือบก็ดำด่าง ที่เป็นแก้วก็หนาและขุ่นมัว ปักด้วยดอกไม้ใบไม้ซึ่งทำด้วยผ้าชุบขี้ผึ้ง ยับและคร่ำด้วยรอยฝุ่นจนคิดไม่ออกว่าผู้ทำดั้งเดิมทีเดียวมีความตั้งใจจะให้เป็นดอกใบชนิดไหน หรือสีอะไรแน่ อาศัยความสว่างจากหลอดไฟฟ้าอันขุ่นมัวไม่แพ้วัตถุอื่นที่ทำด้วยแก้ว สายไฟฟ้าที่โยงจากเพดานมาสู่หลอดก็เก่าจนไม่มีสี ทั้งเป็นปุ่มปมและมีห่วงที่ผูกไว้ตามธรรมดาของดวงไฟที่ต้องเปลี่ยนที่แขวนและเลื่อนขึ้นลงบ่อยๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ไฟ
ความงามของสถานที่ตั้งศพชั่วคราวนี้ มีอยู่แห่งเดียวคือที่พวงหรีดดอกกล้วยไม้ ซึ่งวางอยู่บนหลังหีบศพ ถึงแม้จะได้วางอยู่ถึง ๓๖ ชั่วโมงเต็มแล้วดอกไม้ก็ยังสวยสดงดงาม เป็นเครื่องเชิดชูสถานที่ได้สถานหนึ่ง
คืนนี้เป็นคืนที่สามที่ศพได้มาตั้งอยู่ ณ ที่นี้ และจะเป็นคืนที่สุดแห่งการสวดหน้าศพตามประเพณีนิยม
ที่ในศาลาตรงริมฝาด้านหนึ่ง มีสตรีนั่งรวมกันอยู่สี่นาง คนหนึ่งเป็นพี่ร่วมท้องของผู้ตาย เพิ่งมาจากต่างจังหวัดเมื่อวันก่อนนี้เอง คนหนึ่งคือแม่ครัวประจำบ้าน คนหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านข้างเคียง เป็นผู้ที่มีความระลึกในบุญคุณของผู้ตายยังกรุ่นอยู่ในอก เพราะบุตรชายคนเล็กเพิ่งจะหายไข้ด้วยน้ำมือของผู้ตายเมื่อเดือนก่อนนี้ คนหนึ่งคือ งามพิศ ธิดาคนเดียวของหลวงประเสริฐฯ
ห่างจากคนทั้งสี่นี้ไปมาก ทางอีกฟากประตูหนึ่งมีสตรีอีกสองนางนั่งอยู่ นางหนึ่งอยู่ในขั้นปัจฉิมวัยเป็นมารดา นางหนึ่งสาวพริ้งหมดจดเป็นบุตรี ทั้งสองนางนี้หญิงฝ่ายเจ้าภาพไม่รู้จักว่าเป็นใครมาแต่แห่งใด
พระสงฆ์สี่รูปแยกย้ายกันนั่งตามสบาย อยู่ในที่ต่างๆ องค์หนึ่งอยู่บนอาสนะ ห้อยเท้าเหยียดยาวออกมาข้างหน้า องค์หนึ่งเอกเขนกพิงหมอน อีกสององค์อยู่บนม้ายาว เคี้ยวหมาก และคุยกันอย่างร่าเริง มีจีวรเลื่อนไหลจนเห็นหน้าอกส่วนบนได้ตลอด
ทางด้านหน้าตรงบันได นายคนทำสวนประจำบ้านผู้ตาย ผู้รักษาศาลา ผู้รักษาโรงเก็บศพ ทายกประจำอารามนั่งเล่นหมากรุกอย่างเพลิดเพลิน นายประพันธ์บุตรชายคนเดียวของผู้ตายเดิน ‘แกว่ง’ อยู่ในที่แจ้ง
ตอนดึกหน่อย มีบุคคลแปลกหน้าใหม่อีกผู้หนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ท่าทางประเปรียว เค้าหน้าคมสัน มาโดยรถยนต์ซึ่งเขาขับเลยเข้ามาถึงข้างศาลาแล้วเขาลงจากรถ มีพวงมาลัยขนาดใหญ่อยู่ในมือ นายประพันธ์รับวัตถุสิ่งนั้นจากเขา ทั้งสองมองดูกันอย่างกึกกักในใจ และแลกเปลี่ยนคำพูดกันอย่าง ‘ไม่เต็มปาก’ ซึ่งต่างฝ่ายต่างเข้าใจคำของกันได้โดยยาก
หมู่บุรุษที่เล่นหมากรุกเงยหน้าขึ้น หันมาดูพร้อมกัน ดูแล้วจ้องอย่างเปิดเผยประดุจได้เห็นสัตว์ประหลาดพลัดมาในหมู่คน ฝ่ายชายหน้าใหม่เมื่อ ‘ถูก’ ดูเช่นนั้นก็มีสีหน้าเฝื่อนหนักขึ้น และดวงตาขุ่นมัวหนักลง ในเวลาไม่ถึง ๕ นาทีเขาก็กลับไปขึ้นรถ
วันรุ่งขึ้นราว ๑๐ นาฬิกา หลังจากการถวายอาหารแด่พระสงฆ์และบังสุกุลศพแล้ว ก็มีการยกศพเข้าในที่รับฝากศพแรมปี เป็นการยกเท่านั้นอย่างแท้จริง คนหามสี่คน หามหีบศพไปตั้งไว้บนฐานเตี้ยเคียงกับหีบอื่น ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ก่อนแล้ว ธิดาคนเดียวของผู้ตายหน้ามืดซวนเซอยู่ตรงกลางห้อง พี่ชายคว้าตัวไว้ทันรีบประคองออกมาภายนอก ในเวลาเดียวกันนี้ รถยนต์ที่ได้มาจอดริมศาลาเมื่อคืนก่อนก็มาถึง
เจ้าของรถโดดแผลวลงจากรถอย่างว่องไว และปราดมาถึงตัวหญิงสาวทันที แขนข้างหนึ่งประคองหลังหล่อนไว้ ปากถามว่า
“เป็นอะไรไปล่ะ?”
“เป็นลมครับ” ประพันธ์ตอบ “เป็นลมมาจากในโรงนั่น”
“พาไปหาที่นั่งร่มๆ ซี” เหลียวมองไปรอบตัวเห็นที่ร่มมีอยู่หลายแห่ง แต่หาแห่งอันควรเป็นที่นั่งเอนสบายไม่ได้ เขาจึงพยักหน้าไปทางรถของเขาเอง แล้วก็ยกร่างอันปราศจากสติขึ้นด้วยกำลังแขนทั้งสองข้างนำไปยังที่หมาย
วางร่างลงบนเบาะหลัง ประคองจัดให้ศีรษะเอนอยู่พอเหมาะส่วน ควักผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อคลี่ออกโบกลมไปมา ดวงตาก็จับจ้องอยู่ที่หน้าอันซีดปราศจากโลหิต
เขาเห็นวงหน้าเป็นรูปรีใกล้จะเป็นรูปไข่ แต่เป็นหน้าของหญิงที่จะเป็นสาวก็ไม่ใช่ เป็นเด็กก็ไม่เชิง มีเนื้อหนาเกินไปที่ๆ ไม่ควรมี และบางเกินไปในที่ๆ ควรจะหนา ส่วนแห่งตาถูกทำให้เลื่อนด้วยแว่นกรอบกระอันใหญ่เกินควร สันคิ้วโก่ง แต่มีเส้นน้อยจนนับถ้วน เส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้ามีลักษณะแสดงว่าอ่อนนุ่ม แต่เหยียดตรงราวกับเส้นด้าย
ทันใดนั้นเขาเห็นเจ้าหล่อนเบิกตาขึ้นช้าๆ เห็นดวงตาใต้กระจกแว่นเป็นเงาโตผิดขนาดธรรมดา ก่อนที่เขาจะทอดแขนต่ำลงจากกิริยาที่กางผ้าโบกลม หญิงสาวก็เบนตัวหนีเขาโดยแรง พร้อมกับยกมือทั้งสองทำอาการดังจะผลักอกเขาให้กระเด็นไป
พอดีกับประพันธ์วิ่งมาถึง มือชูขวดยาดมซึ่งได้ไปขอมาจากผู้ชราคนหนึ่ง เมื่อเห็นน้องสาวไหวตัวปุบปับอยู่ในรถ เขาก็ร้องว่า “อ้าวฟื้นแล้ว !” มองดูขวดแก้วที่ในมือ “รีบเสียเกือบตกกระได”
หญิงสาวไม่เอาใจใส่ต่อบุคคลที่ห้อมล้อมอยู่ เลื่อนตัวออกให้หมิ่นที่นั่งมากที่สุดจะหมิ่นได้ ส่วนมือก็พยายามจะเปิดประตูรถ เจ้าของรถเอื้อมมือข้ามตัวหล่อนไปเปิดให้ พอเปิดแล้วหล่อนก็ก้าวลงแล้วเดินดุ่มห่างจากรถไปโดยเร็ว
ชายหนุ่มทั้งสองมองดูกัน ฝ่ายหนึ่งเลิกคิ้วแล้วก็เม้มริมฝีปาก แล้วก็ฝืนยิ้มออกมาเป็นลักษณะไม่สนใจแกมสมเพช อีกฝ่ายหนึ่งจะบึ้งก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิง ในที่สุดก็ยกขวดยาดมขึ้นจรดจมูกเพื่อแก้ขวยพอขอไปที
เจ้าของรถยกพวงหรีดจากที่นั่งตอนหน้า พร้อมกับถาม “ที่บรรจุศพอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ที่โน่นครับ” ประพันธ์ตอบพร้อมกับชี้มือประกอบคำพูด
“ที่ไหน?” อีกฝ่ายหนึ่งถามอีก ตามองตามมือที่ชี้ แต่ตามองเลยจากที่หมายไปมาก ครั้นรู้สึกตัวว่ายังไม่ฉลาดขึ้นกว่าเก่า จึงว่า
“คุณช่วยนำผมไปหน่อยก็แล้วกัน”
ประพันธ์มีสีหน้าอันจะอธิบายได้โดยยาก อึกอักอยู่ขณะหนึ่งแล้วจึงพูด
“ผมเอาไปวางให้ก็ได้” แล้วเอื้อมมือไปยังพวงมาลา แต่อีกฝ่ายหนึ่งเบนแขนหนี พร้อมกับพูดอย่างมั่นคง
“วันนี้ผมต้องวางเอง”
พูดแล้วเขาลงจากรถ พยักหน้าชวนประพันธ์ให้ออกเดิน
มาใกล้เรือนซึ่งมีลักษณะควรเรียกว่าโรง มีฝาก่อด้วยอิฐและปูน แต่หลังคามุงสังกะสี บุคคลสวมเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ยืนเป็นกลุ่มอยู่ ๑๕-๑๖ คน เข้าใกล้อีกจึงเห็นว่าเขายืนอยู่หน้าประตูโรงนั่นเอง และชายคนหนึ่งทำการปิดประตูโรงนี้
ความกึกกักในใจประพันธ์ทวีขึ้นทุกที จนถึงกับปรากฏออกมาในกิริยาที่เดิน และเมื่อเขาพูดเสียงของเขาก็ฟังดูปร่าพิกล
“ศพอยู่ในนี้”
“อ้อ !” อีกฝ่ายหนึ่งอุทานโดยมิได้ตั้งใจ แววตาเต็มไปด้วยความสนเท่ห์ ตรวจดูลักษณะแห่งโรงอย่างพินิจพิเคราะห์ “แหม ! ใหญ่โตมาก...” มองไปยังหมู่คน แล้วพูดดังขึ้น “ผมมาช้าไปหน่อย ได้ยินว่าจะบรรจุตอนเช้า ไม่ทันถามว่ากี่โมง...ถ้าเปิดประตูให้ผมเข้าไปสักหน่อยจะลำบากมากไหมครับ?”
ดวงตาหลายคู่มองดูเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผู้ถือกุญแจกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี
“ไม่ลำบากเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันมืดหน่อย ปิดหน้าต่างเสียหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบค่อนข้างห้วน พร้อมกับผู้พูดก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยเร็ว
แต่เมื่อประตูเปิดออกพร้อมกับส่งเสียง เอี๊ยด ! อย่างยืดยาว ชายหนุ่มชะงักอยู่ขณะหนึ่งก่อนที่จะก้าวข้ามธรณีเข้าไปภายใน สายตาละจากแสงสว่างเข้าสู่ที่มืดโดยปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้น ก็มีอาการเหมือนหยุดทำงานเสียเฉยๆ และกลิ่นประหลาดชนิดหนึ่งก็แล่นมาปะทะจมูกโดยแรง มีเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างๆ ตัวเขา แล้วมือของบุรุษผู้หัวเราะจับแขนเขา ผลักครึ่งจูงให้เดินไปข้างหน้า เขาเดินตามมือนั้นไปอย่างมึนงง ประสาททุกส่วนตึงเครียด เสียงบอกว่า “ตรงนี้แหละ” แล้วมีเสียงมือสัมผัสกับไม้กระดาน เขานึกเอาว่านั่นคงเป็นหีบศพ ก็ยกพวงมาลาขึ้นวางบนที่นั้น ก้มศีรษะคำนับพอเป็นพิธี แล้วก็หันหลังกลับเดินตามทางแสงสว่างมาสู่ประตู โดยมิได้หายใจแม้แต่สักครั้งเดียว
เมื่อประจิตรขับรถออกมาตามทางเก่า เขาพบคนหมู่หนึ่งประมาณสัก ๑๐ คน เดินอยู่ริมทางเป็นชายเกือบทั้งหมด มีหญิงปนอยู่ด้วยเพียง ๒ คน ทุกคนสวมเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์อย่างสุภาพเรียบร้อย ประจิตรเดาว่าเขาเหล่านั้นคงจะมายังพระอารามนี้ เพื่อเหตุผลอย่างเดียวกับตนเอง แล้วนึกสงสัยว่า เขาจะมีความรู้สึกสังเวชและงงเช่นเดียวกับตนหรือไม่
ความจริงก็เป็นอย่างที่ประจิตรเดา เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลชั้นข้าราชการ และคหบดี เป็นเพื่อนของหลวงประเสริฐฯ ผู้ตาย เมื่อได้ทราบเหตุร้าย ก็ได้พบกับนายประพันธ์ เพื่อทราบถึงวิธีการจัดศพต่อไป ในวันต้น นายประพันธ์ให้คำตอบว่า “คุณป้าจะมาจัดการ” แล้วภายหลังนายประพันธ์ได้ให้ข่าวใหม่ว่า “คุณป้าจะเอาศพไว้ที่วัด” ผู้ได้รับข่าวก็คาดกันว่าคงจะมีการฝังและก่อที่ฝังตามสมควร ก็บอกข่าวต่อๆ ไปยังเพื่อนฝูง แล้วเขาก็พากันมาตามกำหนดเวลาที่ประพันธ์ได้แจ้งไว้ และได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ผิดจากความคาดหมายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ทำให้เขาพากันเกิดความเศร้าสลดและมึนงงไปตามกัน
ตอนค่ำแห่งวันที่ได้กล่าวแล้ว ประจิตรกลับถึงที่อยู่พร้อมกับเพื่อนชายสามคนซึ่งมาในรถคันเดียวกันกับตัวเขา และอีกสองคนซึ่งมาในรถอีกสองคัน เกือบทุกคนในหมู่เขาเหล่านั้น อยู่ในเครื่องแต่งกายอันแสดงว่าเขากลับจากการเล่นกีฬา พอดับเครื่องเสร็จก่อนที่ตัวจะได้ลงจากรถ ประจิตรก็แหงนหน้าป้องปากตะโกนขึ้นไปยังหน้าต่างตึกชั้นบน
“สุนทรี ! สุนทรี ! เฮ...พี่ พี่สุนทรีจำ ลงมาข้างล่างหน่อย”
มีเงายาวฉายขึ้นบนฝาผนังห้อง แล้วเคลื่อนที่ช้าๆ หญิงสาวเยี่ยมหน้าออกมาตรงช่องหน้าต่าง
“แหม ต้องเรียกว่าพี่ถึงจะได้ยินนะ” ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องล่างพ้อ
“ได้ยินก่อนแต่ยังเดินไม่ถึง” อีกฝ่ายหนึ่งตอบพร้อมกับหัวเราะ “อย่าตะโกนอีกนะ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”
ประจิตรหันมาชวนสหาย “ไปซี แหม อยากกินน้ำจัง”
แล้วเขานำหน้าพาชายทั้งห้าคนไปยังห้องรับแขก ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวม เหยียดแขนเหยียดขาอย่างสบายเต็มที่ พอดีกับสุนทรีเข้าประตูมา
มองไปพบหน้าที่เคยคุ้นแล้วทุกหน้า เจ้าหล่อนก็ยิ้มอย่างร่าเริงแล้วว่า
“อ๋อ ไม่มีคนแปลกเลย เมื่อกี้ตะโกนลงมาแล้วมองเห็นรถหลายคัน ใจหายนึกว่ามีใครมาด้วย ขายหน้าเขาตาย อยู่ดีๆ ก็ตะโกนกันโหวกเหวก นี่มาจากสโมสรด้วยกันทั้งนั้นหรือคะ?”
“ทั้งนั้น นอกจากนายแมน” นายอนุชาติตอบ
“นายแมนน่ะ จิตรเขาเก็บได้ข้างถนน” นายแสงเสริม
“อ้าวคุณแมนทำไมไปอยู่ตามถนน ให้เขาเก็บมาล่ะคะ ทำชื่อเสียงเสียหมด”
“เทวดาเดินดินนี่ครับ” นายแมนตอบอย่างอารมณ์ดี หัวเราะเห็นฟันเกือบครบชุดทั้งล่างทั้งบน
“เทวดาเดินดินกินข้าวแกง” หลวงชาญยนตรกิจกล่าว
“ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกน่ะ” นายอนุชาติค้าน
หลวงชาญฯ หัวเราะแล้วว่า
“เทวดาเดินดินกินเหล้า”
“เปล่าเลย” ผู้ถูกล้อขัดด้วยเสียงอันดัง “ตั้งแต่ห่างสโมสรก็ห่างเหล้าไปด้วย”
“ยังงั้นลื้อกินอะไร?” นายแสงถาม
“กินอะไร? ก็กินน้ำน่ะซี แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหล้าติดบ้านเสียเลย ยังมีพอที่จะเลี้ยงลื้อทุกๆคนที่อยู่ที่นี่”
ไม่มีใครตอบว่ากระไร เพราะทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นรู้ดีว่า หากนายแมนจะมีเหล้าไว้ในบ้าน ก็คงจะเป็นเหล้าที่ผู้ขายต้องเพียรส่งบัญชีราคาหลายสิบหน จึงจะได้รับเงินตามบัญชีสักครั้ง สุนทรีรู้ไม่แพ้คนอื่น เพราะได้เคยเห็นต้นขั้วใบสั่งจ่ายเงินของประจิตร มีนามนายแมนปรากฏอยู่มากกว่าครั้งหนึ่ง แต่เจ้าหล่อนเป็นผู้ระงับความรู้สึกได้เร็ว จึงพูดว่า
“ไม่ใช่น้อยนะคะ” แล้วก็มองไปยังศีรษะอันมีผมบางของอนุชาติพร้อมกับยิ้ม
“เฮ้ย ! หมวกของอั้วหายไปไหน?” เขาผู้นั้นร้องขึ้น เจ้าหล่อนก็หัวเราะแล้วว่า
“ถึงจะใส่หมวก ดิฉันก็ต้องจำคุณได้เสมอ”
คนอื่นๆ พากันหัวเราะ หญิงสาวหันไปทางบุรุษอีกนายหนึ่ง ผู้ซึ่งนิ่งฟังคำพูดของคนอื่นๆ อยู่เงียบๆ แล้วปราศรัยว่า
“คุณสิงห์ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ กระแสสบายดีหรือคะ ดิฉันไม่ได้พบนานแล้ว”
“หมู่นี้ออดแอดหน่อยครับ” นายสิงห์ มุสิกกุล ตอบ “เขากำลังจะให้ลูกผมเป็นคนที่สอง”
“แล้วทำไมคุณถึงหนีมาเที่ยวคนเดียว?” หล่อนทำหน้าตาขึงขัง แต่แววยิ้มปรากฏในดวงตา
“เขาอนุญาตครับ” อีกฝ่ายตอบ ทำท่าสงบเสงี่ยม
“อ๋อ !” สุนทรีลงเสียงอุทาน “น่าเอ็นดูจริง ได้รับอนุญาตแล้วถึงได้มา”
ประจิตรเอ่ยขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างดัง
“แหม หิวน้ำจริง ! พี่จ๋าพี่ พวกเราคอแห้งกันทุกคน ไม่เลี้ยงอะไรมั่งหรือ?”
“หิวน้ำ ทำไมถึงถามว่าไม่เลี้ยง ‘อะไรมั่ง’ หรือ หิวน้ำก็เลี้ยงน้ำซีจ๊ะ”
“ผมหิวอื่นคร๊าบ” อนุชาติตอบแทนเพื่อน
“หิวขนมหรือคะ?” เจ้าหล่อนถามอีก วางหน้าเป็นคนซื่อ “หรือหิวข้าว?” และในขณะที่พูดนั่นเอง หล่อนเอื้อมมือไปกดกริ่งไฟฟ้า
อนุชาติเอ่ยขึ้นว่า
“ได้ยินใครพูดแว่วๆ ว่าประจิตรสาปเหล้าตั้งแต่ขับรถชนคนตาย....”
“สาปว่ายังไง?” สุนทรีถามกลางคำ “สาปให้เหล้าหายไปจากโลกยังงั้นหรือ?”
“โอ๊ะ แหม ยังงั้นก็ทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วยซีครับ สาปว่าจะไม่กินอีกต่อไป”
“อ้อ จริง ดูเหมือนสาปอยู่ได้ ๑๘ ชั่วโมง เป็น ๑๘ ชั่วโมงเทียวนะคะ เล็กน้อยอยู่เมื่อไหร่” คนใช้เข้ามาในห้อง หล่อนจึงหันไปสั่ง “ยกถาดที่ฉันสั่งให้เตรียมไว้เข้ามา” แล้วหล่อนหันไปพูดกับแขกของหล่อนต่อไป “ถ้าเหล้าสาบสูญไปจากโลก พวกผู้ชายคงเดือดร้อนกันพิลึก จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เสียก็ไม่รู้ แต่พวกผู้หญิงคงสาธุไปตามๆ กัน”
“ทำไมผู้หญิงถึงเกลียดเหล้านัก?” หลวงชาญฯ ถาม
“นั่นสิ” ประจิตรเสริม “ทำไมถึงเกลียดเหล้ากันนัก?”
“เพราะผู้หญิงไม่รู้จักค่าของการสมาคม” อนุชาติตอบ
“เอ๊ะ ทำไมพูดยังงั้นล่ะ” ผู้ตั้งปัญหาค้านขึ้นโดยเร็ว “ดูถูกผู้หญิงเกินไปนี้ คุณสุนทรีครับ โปรดแก้ปัญหาทีเถอะ คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวในที่นี้”
“ดิฉันคนเดียวจะตอบแทนผู้หญิงทุกคนยังไรได้”
“ได้ซิครับ ผู้หญิงชั้นคุณต้องตอบได้แน่ๆ”
“เอ๊ะ คุณหลวงก็มีผู้หญิงข้างเคียงที่พอจะถามได้”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เป็นงานเป็นการ
“อ๋อ อย่างนั้นให้เขาตอบสำหรับตัวเขาคนเดียวถึงจะได้ จะเอาคำตอบที่มีเหตุมีผลให้เป็นกลางต้องฟังจากคุณ”
“เออ นี่ผู้หญิงคนไหนเขามาตั้งให้ดิฉันเป็นผู้แทน ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ” เบือนหน้าไปทางอนุชาติ หล่อนพูดแกมหัวเราะ “ผู้หญิงเกลียดเหล้าเพราะผู้ชายมีความเห็นว่า เหล้าสำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ ในการสมาคม”
“นั่นไหมล่ะ” นายแมนอุทาน “ลื้อมันพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเสมอ”
“จำไว้ซี พูดกับครูต้องระวังให้มากๆ หน่อย” ประจิตรเสริม “พลาดไม่ได้ ขึ้นพลาดละด่าเอาเจ็บๆ”
คราวนี้เจ้าหล่อนไม่ตอบ และไม่ยิ้มด้วย คำพูดเช่นนี้หรือที่คล้ายกับอย่างนี้ ประจิตรได้เคยใช้บ่อยๆ ในเมื่อเขากับหล่อนมีข้อโต้แย้งกัน และเขาเป็นฝ่ายแพ้ เหตุฉะนั้นจึงกลายเป็นคำที่หล่อน ไม่พอใจฟัง พอดีกับคนใช้ยกถาดใหญ่เข้ามาในห้อง ถาดนั้นรองขวดเครื่องดื่มหลายชนิด มีถ้วยแก้วพร้อม ประจิตรผุดลุกขึ้นจากที่ พยักหน้าชวนสหายทั้งหลาย แล้วคนใช้กลับไปนำขนมปังและเนยแข็งชนิดที่เป็นเครื่องแกล้มเข้ามาอีก เมื่อได้ผสมวิสกี้โซดาให้ตัวเองแล้ว ประจิตรรินเวอรมุธใส่ในถ้วยเชิงนำไปส่งให้สุนทรี
หล่อนกล่าวคำขอบใจ แล้วรับถ้วยวางไว้บนโต๊ะใกล้ตัว เขาพยักหน้าเป็นเชิงขอร้องพร้อมกับกระซิบว่า
“เอาหน่อยน่ะ ไม่งั้นพวกนั้นจะเกรงใจ”
หญิงสาวค้อนให้แทนคำตอบ ยื่นมือไปจับถ้วยแก้วแต่ยังไม่ยกขึ้น ประจิตรดื่มเหล้าของเขาแล้วพยักหน้าซ้ำ หล่อนจึงจิบเหล้าสีแดงจากถ้วย แล้วถามอย่างเป็นงานเป็นการ
“ไปฝังศพหลวงประเสริฐหรือเปล่า?”
“ไป” เขาตอบโดยเร็ว “แหม เหม็นจัง เหม็นฉิบหายวายร้าย”
“อะไร ศพสามวันเท่านั้นแหละเหม็นแล้ว?”
“สามวันอะไร ศพตั้งร้อยปีก็มี ก็ฝังเฝิงเมื่อไหร่ล่ะ เอาไปใส่ไว้ในไอ้โรงบ้าอะไรก็ไม่รู้ แหม ! โผล่เข้าไปเกือบขาดใจตาย ขืนอยู่ช้ากว่านี้อีกวินาทีเดียวเป็นตายแน่”
สีหน้าผู้ฟังแสดงว่า หล่อนเชื่อเขาอย่างมากก็เพียงครึ่งเดียว ฝ่ายประจิตร อาศัยที่คุ้นเคยกับสีหน้าและนิสัยของเจ้าหล่อนยิ่งนัก ก็อ่านความคิดของหล่อนได้ จึงรีบยืนยันต่อไปโดยเร็ว
“พนันกันก็ได้ เธอไม่เคยเห็นไอ้ที่บ้าๆ พรรค์นั้นหรอก ฉันเองยังเซ่อแทบตาย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเข้าไปในที่ผีๆ ยังนั้น เหม็นยิ่งกว่าเวลาไปเผาศพอีก ยายลูกสาวน่ะถึงกับเป็นลม ก็แน่ละซี ใครจะทนไอ้กลิ่นเหม็นฉิบหายนั้นได้”
“ฮื้อ อย่าด่าผีซี เสียกิริยาจริงๆ เทียว”
เขาหัวเราะ ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่ม แล้วเงยหน้าขึ้นพูดอีกอย่างรวดเร็ว คล้ายกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“จะเล่าถึงยายงามพิศนะ ชื่อไม่สมตัว ให้ดิ้นตาย ! พิศแล้วไม่งามเลย แล้วหยาบคายที่สุด เป็นลมนะ เราอุ้มมาใส่รถของเรา เพราะไอ้ที่แถวนั้นหาที่นั่งสำหรับคนเป็นลมไม่ได้เป็นอันขาด แล้วเราอุตส่าห์นั่งพัดให้ พัดด้วยผ้าเช็ดหน้า กระพือๆ เข้า ไอ้พี่ชายวิ่งทะเลิ่กทะลั่กหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ กลับมาแม่น้องสาวฟื้นแล้ว แล้วทำไมรู้ไหม พอโงหัวขึ้นเท่านั้นแหละ เขาผลักเราแทบกระเด็นเชียว ถ้าจะนึกว่าเรากำลังจะไปจูบเจิบ หรืออะไรอย่างนั้นแหละ บ้าฉิบหายราวกับน่าจูบเสียเต็มที...”
“พิโธ่ ก็แกเป็นสาว ไม่เคยกับผู้ชาย แกก็ตกใจน่ะซี...”
“บ๊ะ ผู้ชายเป็นเสือเป็นช้างยังงั้นหรือ ก็เห็นแล้วว่าเขานั่งพัดให้ตัวอยู่ดีๆ พอผลักแล้วแม่เผ่นลงจากรถ จะขอบใจสักคำก็ไม่มี”
สุนทรียิ้ม อาศัยหล่อนเป็นครูประจำโรงเรียนใหญ่โรงเรียนหนึ่ง ย่อมมีความเคยชินต่อการพบเห็นบุคคลแปลกๆ ต่างวัยต่างชั้น ต่างชนิด ต่างมรรยาท ต่างจิตต่างนิสัย หล่อนไม่เห็นข้อแปลกในเนื้อความที่ประจิตรบรรยาย อนึ่งหล่อนตระหนักดีว่า ประจิตรก็เช่นเดียวกับชนส่วนใหญ่ เมื่อเกิดความไม่พอใจในใครคนหนึ่งเสียแล้ว ก็เห็นความบกพร่องในเขาคนนั้นมากเกินกว่าที่เขาเป็นจริงไปเสียเสมอ
“แปลกอีตรงที่เอาศพไปฝากไว้ในที่ยังงั้น” ในที่สุดหล่อนปรารภ “ทำไมไม่จัดการฝังหรือทำอะไรให้ดีกว่านั้นสักหน่อย”
ดื่มวิสกี้อีก รวดเดียวหมดถ้วย แล้วประจิตรปรารภตอบอย่างตรึกตรอง
“ฉันก็เห็นแปลกเหมือนกัน วิธีจัดงานศพนะทุเรศเหลือเกิน สถานที่ก็บุโร เหมือนกะแค่นทำโดยเสียไม่ได้---อย่าพูดถึงเขาเลย บ้า เราไม่เข้าใจเขาหรอก”
“แล้วเงินค่าปรับเอาไปให้เขาแล้วหรือ?”
“แล้วเสร็จกันไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้หละ” กลับหลังหันจะเดินไปยังหมู่เพื่อนซึ่งเฮฮากันอยู่รอบถาดเครื่องดื่ม แล้วหันกลับมาอีก “อียายลูกสาวน่ะแกเห็นฉันเป็นตัวเหี้ย หรืออะไรอย่างนั้นแน่ๆ ไม่มีปัญหา”
ประจิตรเดินห่างไป สุนทรีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองตามเขา พลางยิ้มอย่างเศร้าแกมขำในใจ