เวลาดึกในต้นฤดูฝน ทั้งดินฟ้าอากาศก็ทำหน้าที่ถูกต้องตามฤดูกาล หลังคาเรือนไม้สองชั้นดังสนั่นด้วยสายน้ำที่ตกจากฟ้า ตัวเรือนไหวยวบเมื่อถูกพายุปะทะเอาโดยแรง เสียงครืน ! เปรี๊ยะ ! ครืน ! ดังกระชั้น แสงสีขาวฉายวาบลงตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ต้นไม้ใหญ่น้อยลู่ปลายกิ่งราบลงตามกัน ประดุจจะหลบหลีกอำนาจเบื้องบนด้วยความหวาดเกรง

แต่ถึงแม้ในที่แจ้งจะมีภาวะปั่นป่วนเห็นปานนี้ ในที่กำบัง คือในเรือนหลังน้อยมิได้มีสภาพไกลจากความสงบเท่าใดนัก เจ้าสุนัขจูนอนอยู่ยามประจำหน้าบันได ขดตัวให้สั้นเข้าอีกหน่อย และซุกจมูกเข้าในหว่างเท้าหน้าให้ลึกที่สุดที่จะลึกได้ เด็กชายผู้มีหน้าที่รับใช้ ฝันว่านอนอยู่ในเรือซึ่งถูกคลื่นซัดโดยแรง หัวใจเต้นผิดปกติเล็กน้อยอยู่ขณะหนึ่งแล้วก็สงบ นางแม่ครัวขยับตัวอยู่ในผ้าห่ม นึกเสียดายน้ำฝนที่ไหลลงดินเสียเปล่าไม่ได้รองไว้ใช้ แล้วก็หลับต่อไป นายคนทำสวนนึกถึงแรงที่จะได้เป็นกำไรในวันรุ่งขึ้น เพราะต้นไม้ได้น้ำฝนแล้วไม่ต้องการน้ำที่คนเคยตักรด นึกแล้วก็หลับต่อไปด้วยความยินดี บุตรชายคนใหญ่แห่งเจ้าของบ้านลืมตาดูหน้าต่างข้างเตียงนอน ครั้นเห็นว่าปิดสนิทเรียบร้อยแล้ว ก็รีบหลับตาลงดังเก่าพร้อมกับยกหมอนข้างขึ้นวางบนอกต่างผ้าห่มหลับสนิทต่อไป ลูกหญิงเล็กนอนนิ่งเหมือนตุ๊กตา เป็นการนอนตามธรรมชาติแห่งร่างกาย และจิตใจที่กำลังเจริญ และโดยนัยนี้ก็ต้องการความพักผ่อนอันสนิท อย่างที่ฝนและพายุเพียงเท่าที่กล่าวยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะรบกวนได้ แทนความอลเวงแห่งดินฟ้าอากาศ หล่อนฝันถึงสถานที่อันสงบ มีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยม โปร่ง มีระเบียงงดงามเรียงรายกันหลายห้อง มีหญิงรุ่นเด็กและรุ่นสาวนับร้อยและมีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีลักษณะพิเศษบางประการ เป็นผู้ควบคุมเขาเหล่านั้น หญิงซึ่งมีลักษณะพิเศษก็ตัวผู้ฝันนั่นเอง

ก็แต่ว่าเจ้าของบ้านเล่า ตัวผู้เจ้าของบ้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง? หลับอยู่หรือตื่นอยู่หรือหลับแล้วตื่นแล้วก็หลับเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในบ้านที่อยู่ในความปกครองและความระแวดระวังของเขา?

บุคคลทั้งห้าซึ่งอยู่ภายใต้อารักขาของเขานั้น ไม่มีใครสักคนที่จะบอกถูกว่าเขาอยู่แห่งใด ถ้าจะมีผู้ถามขึ้นหรือมีการถามตัวเอง บางคนจะตอบว่าเขาอยู่ในห้องนอน บางคนจะตอบว่าอยู่ที่บ้านพระยาวิจิตรสารการ บางคนจะตอบว่า “เห็นจะอยู่บ้านโน้น”

เป็นที่ทราบกันตั้งแต่เย็น ว่าค่ำวันนี้คุณหลวงจะไม่บริโภคอาหารค่ำที่บ้าน เพราะคุณหลวงได้รับเชิญพระยาวิจิตรสารการไว้แล้วว่าจะไปรับประทานร่วมกับท่าน เนื่องในการที่ท่านทำบุญอายุครบห้ารอบ ต่อจากการรับประทานอาหารจะมีละครตลกแสดงให้ดู “เจ้าคุณท่านบอกให้พาหนูไปด้วย” คุณหลวงกล่าวแก่บุตรี “แต่...”

“แต่...” คำนี้มีความหมายเป็นสองนัย นัยหนึ่งผู้ฟังเข้าใจได้ตรงกับผู้พูด คือหมายถึงว่า “แต่หนูคงไม่ไป” เพราะ “หนู” มีนิสัยไม่ค่อยชอบสมาคมกับคนแปลกหน้า ส่วนอีกนัยหนึ่ง ผู้พูดหมายอย่างหนึ่ง และก็ไม่มีความประสงค์ที่จะให้ผู้ฟังเข้าใจถึง

หลวงประเสริฐเวชชศาสตร์ ได้เป็นแพทย์ประจำบ้านพระยาวิจิตรสารการมาเกือบสองปีแล้ว ย่อมจะมีความสนิทสนมกับบุคคลในบ้านนั้นมาก เมื่อมีการมงคลรื่นเริง ซึ่งเป็นการนานทีจะสักหน ก็เป็นธรรมดาที่จะกำหนดได้โดยยากว่าคุณหลวงจะลาจากเจ้าภาพได้เวลาใด

นอกจากนี้ในระยะ ๓-๔ เดือนที่แล้วมา คุณหลวงถือการออกจากบ้านที่ลูกอยู่ไปยัง ‘บ้านโน้น’ เป็นกิจวัตรประจำวัน และใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดวันละสองชั่วโมง และ ‘บ้านโน้น’ ก็ตั้งอยู่ในที่ใกล้บ้านพระยาวิจิตรสารการนั่นเอง

คุณหลวงไม่เคยแรมคืนที่ ‘บ้านโน้น’ ไม่เคยเลยแม้แต่สักคืนเดียว คุณหลวงจะไปถึงที่นั่นกี่โมงกี่ทุ่มกี่ยามก็ตาม คุณหลวงจะต้องกลับมาตื่นนอนเช้าในบ้านที่ลูกอยู่ทุกวัน ทั้งนี้จึงย่อมหมายถึงว่า ไม่มีผู้ใดในบ้านเก่าจะกำหนดถูกว่าคุณหลวงจะกลับบ้านเวลาใดแน่ และก็เพราะเหตุนี้ คนในบ้านเก่าก็สิ้นความพะวงต่อการที่คุณหลวงจะกลับมาถึงเมื่อไหร่ เพียงแต่เชื่อมั่นว่าคุณหลวงต้องกลับเป็นแน่แท้ ก็เป็นที่พอใจแล้ว

มูลเหตุที่ทำให้คุณหลวงต้องมีบ้านสองบ้านนั้น ได้แก่ความ ‘หน้าบาง’ ของคุณหลวงเอง ภรรยาเก่าของคุณหลวงได้สิ้นชีวิตไปเสียเมื่อสามปีก่อน คุณหลวงได้ครองตัวเป็นพ่อหม้ายผู้รักลูกยิ่งกว่าความสุขของตัวอยู่ตลอดมาจนถึงบัดนี้ แต่คุณหลวงเป็นชายอายุเพียง ๔๘ ยังไม่เข้าในวัยชรา ร่างกายยังมีความต้องการบางอย่างเพื่ออนามัย ทั้งยังเป็นปุถุชน ตามธรรมดาปุถุชนทั่วไปย่อมจะต้องแสวงหาเครื่องหย่อนใจบ้างไม่มากก็น้อย ชายอื่นมีทั้งภรรยา บุตรา บุตรี อยู่พร้อมหน้ายังต้องหา ‘อื่น’ เป็นเครื่องประกอบความสุข หลวงประเสริฐฯ ได้พบเครื่องประกันสุขภาพและเครื่องหย่อนใจมีลักษณะเป็นหญิงสาว แต่เผอิญเจ้าหล่อนอ่อนอายุกว่าบุตรชายใหญ่ของคุณหลวงถึงสามปี คุณหลวงจึงไม่มีความพอใจที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหล่อนและคุณหลวงเป็นที่ประจักษ์แก่ตาของลูก...

พายุและฟ้าค่อยสงบลง แต่สายฝนถี่ขึ้นจนชวนให้คิดว่าแผ่นดินกระเทือน เพราะน้ำหนักแห่งสายน้ำเหล่านั้นซึ่งทุ่มเทกันลงมาอย่างรวดเร็ว ในระยะนี้เสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าเรือนได้ดังขึ้น เป็นเสียงกระชากอย่างรุนแรงหลายครั้ง พร้อมกับเสียงตะโกนอย่างเร่งร้อน และเสียงกระชากประตู เขย่าประตูจนรั้วสังกะสีสั่นสะเทือนไปทั้งแนว

สุนัขที่หน้าเรือนคลานออกมานอกเก้าอี้อย่างตื่นๆ แล้วก็เห่ากระโชกด้วยเสียงอันแหลมพอที่จะทะลุลอดเสียงฝนขึ้นมาได้ นายคนทำสวนสะดุ้งตื่นขึ้นคิดพิศวงอยู่ในมุ้ง เสียงนางจูเห่ากระชั้นยิ่งขึ้น จนนางแม่ครัวตื่นขึ้นอีกคนหนึ่ง มิช้าบานประตูห้องชั้นล่างก็เปิดออกช้าๆ พร้อมกันทั้งสองห้อง ผู้เปิดทั้งสองคนมองเห็นกันและจำกันได้ ต่างคนต่างตั้งคำถามต่อกัน ในที่สุดนายคนทำสวนจึงตัดใจลงจากเรือนไปยังประตูรั้ว

ในเวลาเดียวกันนี้หน้าต่างชั้นบนได้เปิดออกอีกบานหนึ่ง มีแสงไฟฉายจากที่นั้นตรงไปยังประตู ผู้ฉายไฟพยายามตะโกนถามเรื่องราวจากผู้ที่อยู่เบื้องล่าง แต่เสียงฝนซึ่งยังดังอยู่คั่กๆ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ยินคำตอบ เขาจึงต้องละความพยายาม ฉวยได้ไม้เท้าอันใหญ่ที่สุดและอยู่ใกล้มือที่สุด แล้วก็รีบวิ่งลงมายังหน้าเรือนโดยเร็ว

ถึงเชิงบันได เขาพบบุรุษแปลกหน้าสองนาย นายหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวถึงเข่า และสวมหมวกเครื่องแบบตำรวจมือถือคบไฟฟ้า อีกนายหนึ่งเปียกปอนไปทั้งตัว จนผู้ดูไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเขาแต่งกายแบบไหน เขาผู้นี้กิริยาตื่นเต้นร้อนรนจนดูคล้ายวิกลจริต....

คำพูดของเขา? ในชั่วอึดใจเดียวเขาพูดหลายสิบคำ ทุกๆ คำปนอยู่ด้วยความละล่ำละลัก และความเดือดร้อนที่พลุ่งขึ้นจากใจ บุตรชายหลวงประเสริฐฯ ได้ยินทุกคำแต่เข้าใจน้อยคำที่สุด แม้แต่กระนั้นเพียงเท่าที่เขาเข้าใจ ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกดังหนึ่งหินก้อนใหญ่ตกลงมาทับตรงกลางอก ตกตะลึงชาแข็งไปทั้งตัว ชายผู้เป็นตำรวจพูดว่า

“รีบไปเดี๋ยวนี้บางทีจะทันเห็นใจ”

นายคนทำสวนยังมีสติดี เตือนชายหนุ่มว่า

“คุณเอาเสื้อฝนไปด้วยดีกว่า”

ชายหนุ่มวิ่งกลับขึ้นไปบนเรือน พอถึงบันไดขั้นบนที่สุดก็พบกับน้องสาว

“อะไรกัน?” เจ้าหล่อนถามเสียงสั่น

“คุณพ่อ....พี่...” เขาอ้อมแอ้มอยู่ในคอ

“อะไร? ทำไม?” หล่อนถลันเข้าถึงตัวเขา ความตกใจถึงขีดที่สุดปรากฏอยู่ในแววตา สีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคำตอบที่แจ่มแจ้ง เสียงของหล่อนก็เบาลงเกือบเป็นเสียงกระซิบ “เจ็บ? ตาย?”

“อยู่ที่โรงพยาบาลกลาง พี่จะไปเดี๋ยวนี้”

เขาผละจากหล่อน แต่หล่อนคว้าข้อมือเขาไว้ได้ข้างหนึ่ง และวิ่งตามเขาไปด้วย

ชายหนุ่มฉวยเสื้อฝนได้แล้วก็หันหน้าสู่บันได เขาไม่อาจที่จะสะบัดมือจากน้องสาว แต่ก็ไม่ลดฝีเท้าให้ช้าลงเพราะหล่อน ส่วนปากพูดว่า

“ทั้งฝนทั้งพายุยังงี้ พี่ไปคนเดียวดีกว่า...”

“หนูจะไป” หญิงสาวพูดในคอ ปล่อยมือพี่ชายแล้ววิ่งลงบันไดนำหน้าเขาไปทันที

ราวสามชั่วโมงภายหลัง ชายหนุ่มผู้หนึ่งมีร่างกายชื้นแฉะ เครื่องแต่งตัวยู่ย่น นั่งรถลากมาหยุดตรงประตูแห่งเคหะใหญ่หลังหนึ่ง กิริยาที่เขาผู้นั้นตบประตูแต่เพียงเบาๆ และเป็นระยะเท่ากันแต่เพียงสองครั้งแล้วก็มีเสียงโซ่และกุญแจดังขึ้น แสดงว่าเขาเป็นผู้คุ้นเคยกันสถานที่นี้ และเมื่อเขาเข้าไปในบ้านแล้วตรงขึ้นบันไดตึกชั้นล่าง ไขกุญแจประตูห้องด้านหน้าที่สุดนั้น ถึงแม้จะทำไปด้วยทีท่าของผู้ที่ตื่นเต้นและอ่อนแรงระคนกัน ก็ยังเป็นที่เห็นชัดว่าเขาเป็นบุคคลที่อยู่ประจำในเคหะนี้นั่นเอง

เดินผ่านห้องนั้นเลยไป โดยมิได้ปิดประตูเสียก่อน เขาขึ้นบันไดชั้นที่สอง ตรงไปยังห้องมุมที่สุด ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนั้นพร้อมกับเรียกด้วยเสียงอันแหบเครือ

“พี่ พี่ สุนทรี พี่”

เขาต้องเคาะประตูหลายครั้ง และกล่าวคำสองคำนั้นซ้ำอยู่หลายหน ถึงแม้กระนั้นเขามิได้มีกิริยาที่จะทุบประตูหรือแผดเสียงให้ดังขึ้นเพื่อแก้ความอัดใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงขานรับแล้ว ก็พูดสืบไปว่า

“ฉันเอง ออกมาหาหน่อยเถอะ.....ตามไปที่ห้องฉันนะ ยืนคอยไม่ไหวแล้ว จะตาย”

ผู้ที่เปิดประตูออกมาเป็นหญิงสาว นุ่งซิ่นแพรเนื้อดีอย่างเอก แต่เห็นชัดว่าได้เคยรับใช้เจ้าของมานาน จนถูกเลื่อนชั้นลงมาเป็นเครื่องใช้ในเวลานอน เสื้อชั้นนอกของหล่อนก็ค่อนข้างหลวม เห็นได้อีกว่าทำพิเศษสำหรับใช้ในเวลาที่ต้องการความสบายโดยเฉพาะ นอกจากนี้เจ้าหล่อนยังมีเสื้อคลุมทับเสื้อชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อตัวหล่อนปรากฏอยู่ท่ามกลางความสว่าง มองดูผู้ที่มารบกวนหล่อนในยามดึกเช่นนี้ วงหน้าอันเกลี้ยงเกลาของหล่อนสำแดงความตื่นเต้นและพิศวงไม่น้อย แต่น้ำเสียงที่พูดคงราบรื่นและสงบเสงี่ยมเป็นปกติดี “เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

อีกฝ่ายหนึ่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ยกมือขึ้นปิดหน้าสั่นศีรษะอย่างแสยงขน

‘พี่’ ก้าวเท้าเข้ามาไปใกล้ โน้มตัวลงแตะเสื้อตรงต้นแขนของเขา ออกวาจาคล้ายปรารภกับตัวเอง

“แช่เปียกอยู่จนแห้ง” ทำท่าเหมือนจะพูดอีก แต่หาพูดไม่ เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากที่แขวน นำมาคลุมตัวให้เขา คลุมแนบเนียนดีแล้วจึงถาม

“ไม่หนาวหรือ กินบรั่นดีเสียหน่อยเอาไหม? เลินเล่ออย่างนี้น่ากลัวปอดบวมตาย แข็งใจลุกขึ้นผลัดผ้าเสียหน่อยเถอะน่ะ”

เสื้อชั้นใน กางเกง ออกจากลิ้นชักมาด้วยมือของหล่อน เมื่อชายหนุ่มทำตามที่หล่อนแนะนำ หล่อนเดินเลี่ยงไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

ในทันทีที่สวมกางเกงเข้ากับตัวแล้ว ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงพิกล

“มานี่เถอะพี่ มาอยู่ใกล้ๆ กัน เย็นเหลือเกิน”

“ขึ้นเตียงนอนห่มผู้ให้อุ่นเสียประเดี๋ยวซี” หล่อนแนะนำอีก มองไปที่โต๊ะล้างหน้า “ขวดบรั่นดีเคยวางอยู่ที่นี่หายไปไหนเสียล่ะ?”

ชายหนุ่มร้องขึ้นทันใด “ไม่เอา ไม่เอา เรื่องเหล้าขอเสียที” เดินตรงไปเปิดมุ่ง ขึ้นเตียง คลี่ผ้าคลุมขาเอนตัวลงนอน ชักผ้าขึ้นคลุมหน้าอก แต่พอศีรษะถึงหมอนก็ผงกตัวขึ้นนั่งอีก พูดด้วยเสียงต่ำและเร็วปรือ

“ฉันขับรถชนคนตาย”

“อุ๊ย !” เจ้าหล่อนหันมาจ้องดูเขาทันที

“มานั่งที่นี่เถอะ” เขาว่า ปัดชายมุ้งกระเด็นไปทางหนึ่ง แล้วตบที่ข้างตัวเขา

หล่อนขยับเข้าไปใกล้อีก แต่หานั่งไม่ เขาวอนซ้ำอีกหลายหนจึงทำตาม

ชายหนุ่มขยับจากที่เดินมาเคียงหล่อน จนไหล่ประชิดกัน ดูท่าทางแข็งแรงขึ้น แต่ความตื่นเต้นยังมีอยู่ เขาตั้งต้นเล่าว่า

“ฉันขับรถมาตามถนนราชดำเนิน เวลานั้นฝนกำลังตกจั่กๆ ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา พายุกับฟ้าก็เหลือทน เผอิญไอ้เครื่องกวาดน้ำฝนมันเกิดฝืด เราจะทำให้มันเดิน พอดีถึงสี่แยกคอกวัว ไอ้รถอีกคันหนึ่งมาทางซ้าย ตัดหน้าเราไป ไอ้เราไม่ทันรู้ตัว ตรงรี่เข้าใส่มัน ผางเข้าให้ทางล้อหลังหรือยังไงแหละ กลิ้งไม่เป็นท่า ไอ้รถเราก็ดันเข้าไปกอดแน่นอยู่กับฟุตบาธ”

‘พี่’ นิ่งเงียบ ไม่ออกเสียง ไม่เคลื่อนไหว ความรู้สึกทั้งมวลปรากฏอยู่ที่แววตา

“สักเกือบๆ จะตี ๒ เห็นจะได้ เงียบราวกับป่าช้าหมาสักตัวก็ไม่มี เรารีบไปดูรถที่ถูกชน ไอ้อ๊อสตินจิ๋วมองดูคนในรถเท่าไหร่ก็ไม่เห็นว่ากี่คน เห็นแต่เป็นก้อนขาวโร่ ไอ้ก้อนขาวนั้นไม่กระดุกกระดิก ดูเหมือนหลับสบาย แต่ไอ้เรา....”

“ตายทันทีเทียวหรือ?” เจ้าหล่อนถาม

“เปล่า” เขารีบตอบ “ไปถึงโรงพยาบาลเป็นนานถึงได้ แต่ก็เท่ากันนั่นแหละ โอ๊ย ! ไปตามเอาแม่ลูกสาวมาร้องไห้เสียเป็นบ้า จนไอ้เราเกือบคลั่งด้วย”

“พ่อของเขาทั้งคน !”

“โอ๊ย ! พ่อของเราก็เคยตายนี่นา เธอไม่เห็นร้องเป็นบ้าเป็นหลังยังงั้นเลย.....”

แววตา ‘พี่’ แสดงอาการนึกขำเล็กน้อย แต่หล่อนถามเรียบๆ ว่า

“ลูกสาวนั่นสาวมากรึ?”

ชายหนุ่มแสดงอาการคิด ในที่สุดก็ขยับไหล่และว่า

“ไม่รู้สาวหรือเด็ก ดูแก่ๆ เด็กๆ พิกล” ย่นจมูกขึ้นและนิ่วหน้า “ใส่ไอ้เสื้อ ไอ้อย่างที่แม่ครัวเขาใส่กันน่ะ”

คราวนี้เจ้าหล่อนยิ้ม ด้วยอดที่จะนึกขันไม่ได้ “เอาเถอะช่างเขาเถอะ” หล่อนว่า “ทีนี้เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน?”

“หลวงประเสริฐเวชชศาสตร์ ชื่อนี้ฉันคงลืมไม่ได้เลยจนตาย” ความเดือดร้อนปรากฏในสีหน้า “โธ่ ! ฉันไม่นึกเลยว่าฉันจะต้องมาเป็นคนที่ทำให้คนตายไปเพราะฉัน”

สายตาอันเต็มไปด้วยความปรานีของหญิงสาวมองไปยังมือชายหนุ่ม มือของหล่อนก็เขยื้อนตามสายตา แต่เมื่อเขยื้อนแล้วหาไปไกลไม่ ยังคงวางอยู่บนตักเจ้าหล่อนนั่นเอง เจ้าหล่อนถอนใจแล้วถาม

“ตกลงคนในรถมีกี่คน?”

“คนเดียว ก็ยิ่งเสียกว่าพอ....”

“รู้ถึงตำรวจแล้วหรือยัง?” หล่อนถามตัดความ

“รู้แล้ว” เขาลงเสียงตอบ “ตำรวจน่ะซีเขาพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล เผอิญเคราะห์ดีอยู่หน่อย รถของเราที่ชนทั้งขอบถนนควรจะบอบไม่กระดิกน่ะ ยังอุตส่าห์ใช้การได้ ฉันลองเดินเครื่องถอยหลังมันก็ถอยออกมาดีๆ ใจมาขึ้นเป็นกอง ออกได้ก็เบ่งไปโรงพักฉวยเอาตำรวจมาได้สองคน ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้อีก ต้องกลับไปโรงพักโทรศัพท์เรียกรถโรงพยาบาลกลาง โอ๊ย ! มันแสนที่จะทุเรศ ไอ้ฝนก็ตก ไอ้เลือดก็นองเลอะเทอะ ไอ้คนเจ็บก็หน้าไม่เป็นหน้า หวือ !...”

หญิงสาวจึงช่วยเขาเรียงความ

“เธอขับรถชนรถคันหนึ่ง คนเจ็บหนัก ๑ คน เธอไปรายงานตำรวจ แล้วรับคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล แล้วไปตามลูกสาวคนเจ็บ....”

“ทั้งลูกสาวลูกชาย” เขาแก้

“อ้อ ! ลูกชายด้วย? ตกลงกี่คนด้วยกัน?”

“เท่านั้นแหละ สองคน...”

“ตกลงเธอก็ได้ทำหน้าที่ของเธอถูกต้องแล้ว แล้วทีนี้ทางตำรวจจะเอาอะไรกะเธอมั่ง?”

“ยังไม่รู้ เขานัดสามโมงเช้าพรุ่งนี้ นี่รถเราก็ตายอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นเอง ฉันมารถลาก มันเอาตั้งบาทแน่ะ”

“แล้วนั่นมากี่ชั่วโมงถึงได้ถึง?”

“ยังไงก็ยังดีกว่าเดิน”

ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งเงียบด้วยกัน ภายหลังหญิงสาวมองดูนาฬิกาตั้งบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วก็ปรารภขึ้นว่า

“สามโมงเช้าพรุ่งนี้ ! นี่มันก็จะเช้าอยู่แล้ว เธอนอนเสียทีซี ยังมีเวลาอีกเกือบ ๒ ชั่วโมง ฉันจะปลุกเธอสองโมงตรง”

ชายหนุ่มไม่ตอบว่ากระไร นั่งนิ่งขรึมอยู่ด้วยความใจลอย ต่อเมื่อเจ้าหล่อนลุกขึ้นจากเตียงจะเดินห่างไป เขาจึงมีอาการสะดุ้งคว้าข้อมือหล่อนไว้พลางถามว่า

“ไปไหนล่ะ?”

หล่อนหัวเราะเบาๆ “นั่นอะไร นั่งหลับหรือ?” หล่อนว่า “พอตื่นขึ้นก็ตกอกตกใจ นอนเสียซีจ๊ะ...แหม ! มือเย้นเย็น”

“ก็เธอจะไปไหนล่ะ? ฉันน่ะนอนไม่ได้หรอกคนเดียว ยังไงๆ ก็ไม่ยอมอยู่คนเดียว”

หญิงสาวดึงมือจากมือเขา มาแตะหน้าผากเขาเบาๆ เลื่อนจากหน้าผากมาจับต้นคอและแขน แล้วก็หัวเราะอีก ภายหลังจึงว่า

“คิดว่าไข้เส้นประสาทกินเสียแล้วอีก แต่เปล่าหรอกตัวไม่ร้อนเลย นอนเสียเถอะ ถ้านอนคนเดียวไม่ได้จริงๆ ก็คงจะต้องมีคนคอยเฝ้าอยู่เป็นเพื่อน แต่ฉันขอให้เธอนอนเดี๋ยวนี้”

เขาขยับตัวไปถึงกลางที่นอน แล้วก็ทำตามที่หล่อนสั่งอย่างเด็กว่าง่าย ยกผ้าห่มขึ้นคลุมถึงคอ อ้าปากหาวอย่างยืดยาว แต่ยังไม่ยอมหลับตา

หญิงสาวเดินไปยังกางเกงและเสื้อ ทั้งชั้นนอกชั้นในซึ่งกองสุมกันอยู่หน้าเก้าอี้ หล่อนหยิบเสื้อชั้นนอกขึ้นก่อน ถือหิ้วทำตัวเสื้อให้ห้อยตรง พลางหยิบของจากกระเป๋าออกวางบนเก้าอี้ทีละสิ่ง เมื่อหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าบนเบื้องขวา สีหน้าของหล่อนเผือดลง เพราะเหตุว่าซองนั้นซึ่งทำด้วยเงินและมีลวดลายเป็นถมมีรอยเยินลึกเป็นเส้นขวางตลอดความกว้างขวางแห่งตัวซอง !

วางวัตถุนั้นลงไว้ แล้ววางเสื้อลงเสียด้วย หล่อนเดินกลับไปที่ชายหนุ่ม ยืนชิดหน้าเตียง มองดูเขาทั่วตัวประดุจจะตรวจค้นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนกังวานแห่งความกังวลมิได้ปรากฏแก่ผู้ฟัง

“ตัวเธอเองน่ะถูกเจ็บที่ไหนบ้างหรือเปล่า คุณจิตร?”

เขาสั่นศีรษะโดยแรงและตอบอย่างพื้นเสีย

“ไม่มีเลย เขียวสักนิดหรือขีดสักนิดก็ไม่มี ฉันน่ะอยากจะให้ตัวเจ็บที่ไหนมากๆ สักแห่ง แขนไปสักข้างหนึ่งก็เอาเถอะ ยังจะเห็นว่าเสียอะไรมั่ง.....”

“ไอ้เสียน่ะเธอจะต้องเสียเป็นแน่ อย่าวิตกไปเลย ให้ถึงเช้าเสียก่อนเถอะ ว่าแต่เดี๋ยวนี้น่ะ ตามหน้าอกหน้าใจไม่เจ็บมั่งหรือ?”

“ไม่เจ็บ” ลงเสียงหนักขึ้นอีก “นิดเดียวก็ไม่มี”

“ดูเสียอีกทีเถอะจ้ะ ตรวจดูเสียให้แน่ เมื่อแรกเธออาจจะตื่นเต้นเกินไปจนไม่รู้สึกเจ็บ”

“พิโธ่ ! บอกว่าไม่มี” เขายืนยันเสียงแข็ง “หน้าอกหรือหัว หรือแขน หรือขา ยังอยู่ดีทั้งนั้น”

หล่อนนั่งลงบนเตียง เลิกผ้าห่มจากทรวงอกของเขา “ขออนุญาต” หล่อนกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างกระดาก แล้วใช้นิ้วมือกดเบาๆ ตามที่ๆ หล่อนกะว่าจะตรงกับกระเป๋าเสื้อนอกในเมื่อเขาสวมเสื้อเข้ากับตัว

ครั้งหนึ่งเขาร้อง “อุย ! นิ้วมือราวกะมือหมอนวดเชียวนะ” หล่อนมิได้เปลี่ยนสีหน้า คงทำงานของหล่อนต่อไป เมื่อนิ้วกดลงที่ตรงนั้นทีไร ทีนั้นชายหนุ่มก็สะดุ้ง ในที่สุดหญิงสาวจึงว่า

“หน้าอกเธอต้องกระแทกกับอะไรอย่างหนึ่งเป็นแน่ ปลดดุมเสื้อออก ฉันจะทาน้ำมันให้”

ดูเหมือนเขาจะพอใจอย่างยิ่งที่จะได้ ‘พี่’ มานั่งคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ รีบปลดดุมที่คอเสื้อโดยมิได้โต้แย้ง แล้วก็เหยียดแขนในท่าปล่อยตัว และหลับตาลงทันที

น้ำมันซึ่งเป็นยาทาแก้บวม เขียว ช้ำ ออกฤทธิ์แรงทำให้ร้อนๆ เย็นๆ ตามผิวหนังเป็นที่น่ารำคาญ แต่นิ้วมืออันอ่อนละมุนที่คลึงอยู่ตามที่นั้นมีอำนาจเหนือสิ่งอื่น ความรู้สึกสบายเริ่มจากที่นิ้วกดก่อนแล้วกระจายไปทั้งตัว ทำความอบอุ่นให้แก่ผู้รับสัมผัสภายในมิช้า ความปั่นป่วนแห่งดินฟ้าอากาศ ร่างแห่งชายผู้เคราะห์ร้ายมีเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต รวมทั้งหญิงสาวที่ร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนา จนทำให้ชายหนุ่มชังน้ำหน้า ทั้งหมดนี้ซึ่งเป็นภาพหลอนสิงอยู่ในสมองของชายหนุ่ม ก็ค่อยๆ เลือนหายตามกันไปโดยเร็ว

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ