๓
ตอนค่ำแห่งวันรุ่งขึ้น ทางบ้านหลวงประเสริฐฯ ผู้ตายกำลังมีการอภิปรายถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประพันธ์และงามพิศ ทั้งในปัจจุบันและภายหน้า
หลวงประเสริฐฯ มีญาติสนิทอยู่สองคนคือ พี่สาวซึ่งเป็นภรรยานายอำเภอคนหนึ่ง กับน้องชายซึ่งรับราชการเป็นนายทหารชั้นนายพันโท ทั้งสองคนอยู่ต่างจังหวัด แต่ในคราวที่หลวงประเสริฐฯ ถึงมรณภาพนี้ ฝ่ายผู้เป็นอายังมิได้ส่งข่าวอย่างหนึ่งอย่างใดมาถึงหลาน ฝ่ายหลานเมื่อโทรเลขบอกข่าวร้ายไปแล้ว ก็มิได้ติดใจคอยการเกี่ยวข้องจากฝ่ายอาโดยประการหนึ่งประการใด ฉะนั้นการตกลงในเรื่องผู้กำพร้าทั้งสอง จึงขึ้นอยู่กับความเห็นของ ‘คุณป้า’ แต่ผู้เดียว
แต่ความเห็นนั้น พองามพิศได้ยินเข้าก็ร้องไห้ออกมาด้วยเสียงอันดัง เป็นเหตุให้ ‘คุณป้า’ คือ คุณนายเชย จำนงพิทักษ์ราษฎร์ เอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“รู้แล้วว่าหล่อนน่ะไม่อยากไปอยู่กับฉัน เพราะไอ้ฉันน่ะมันอยู่บ้านนอกบ้านนา แต่ว่าหล่อนจะอยู่ในกรุงเทพฯ น่ะ หล่อนจะอยู่กะใคร?”
งามพิศนึกถึงโรงเรียนที่เป็นสถานศึกษาเดิมของหล่อน นึกถึงบรรดาครูที่เคยกรุณาต่อหล่อน แล้วนึกถึงเพื่อนที่เคยสนิทสนมกันมาก แต่พอนึกแล้วก็ได้คิดว่า ตนไม่มีสิทธิและหน้าที่อันใดที่จะไปขอพึ่งเขา
“พ่อประพันธ์น่ะก็ตามทีเถอะ เขาเป็นผู้ชาย อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แล้วเขาก็ต้องเล่าเรียนให้จบ แกน่ะเรียนแล้วไปทำอะไร เสียเงินเสียทอง แล้วที่สุดเข้ามันก็ไอ้หุงข้าวกวาดเรือน แกน่ะเวลานี้ก็ไม่เป็นประสาอะไรเลย ไปอยู่กับฉันเสียอีกฉันจะได้ให้หัดให้ทำไปทีละน้อย ลุงเขยหรือเขาก็รักแกออกจะตาย ลูกเต้าเขาก็ไม่มี”
ในร่างกายของงามพิศนั้น มีธรรมชาติซึ่งจะก่อเกิดเป็นคุณลักษณะประจำตัวอยู่หลายประการ แต่ธรรมชาติเหล่านั้นยังอ่อนอยู่ทุกส่วน เพราะงามพิศพึ่งจะมีอายุได้ ๑๗ ปี เหตุฉะนั้น การที่จะแถลงความคิดเห็นของตนโดยอาศัยเหตุผลแย้งความเห็นของผู้อื่น จึงเป็นสิ่งที่เหนือความสามารถของหล่อนในปัจจุบันนี้
เมื่องามพิศอยู่กับบิดา ความปรารถนาของหล่อน เปรียบเหมือนความปรารถนาของท่านบิดาเอง งามพิศไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาเหตุผล เพื่อนำออกแสดงแม้แต่สักครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะว่างามพิศไม่มีความปรารถนาอันใด ที่นอกเหนือไปจากความเห็นชอบของหลวงประเสริฐฯ งามพิศปรารถนาจะเรียนให้จบหลักสูตรมัธยมบริบูรณ์ หลวงประเสริฐฯ ก็เห็นชอบด้วย เรียนจบแล้วหล่อนปรารถนาจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย หลวงประเสริฐฯ ก็เห็นชอบด้วยอีก ส่วนความปรารถนานอกไปจากนี้ เช่น ปรารถนาเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรือปรารถนาเที่ยวเตร่บ้างบางครั้งบางคราว หลวงประเสริฐฯ ก็เห็นว่าสมควรแล้ว
ในขณะที่คุณป้าเพ่งเล็งถึงแต่ความครึกครื้นแห่งพระมหานคร และความเงียบเหงาในต่างจังหวัด งามพิศนึกถึงอยู่แต่การศึกษาในวิชาอักษรศาสตร์ ซึ่งหล่อนได้ตั้งต้นมาแล้วเกือบเต็มเทอมและมีความสามารถที่จะศึกษาได้ดีไม่แพ้เพื่อนนิสิตชั้นเดียวกัน แต่ในขณะนี้สมองของหล่อนช่างมืดคลุ้มเสียนี่กระไร คำพูดอันเป็นกิจลักษณะดูเหมือนจะสูญจากความจำไปเสียสิ้น จนปัญญาเข้าแล้วหล่อนก็ได้แต่ร้องไห้
คุณป้าเอ่ยถึงสิ่งที่ใจของท่านจ่ออยู่อีกเป็นครั้งที่สอง
“แล้วไอ้ที่เรียนน่ะ แกเรียนของแกเปล่าๆ ได้เมื่อไหร่ ต้องไปเสียเงินให้เขาไม่ใช่หรือ ปีหนึ่งตั้งร้อยตั้งชั่ง เก็บเอาไว้ยังจะได้ซื้อเข็มขัดนากเข็มขัดทองคาดสวยๆ เงินที่ได้ทำขวัญน่ะ แบ่งให้พ่อประพันธ์เขาครึ่งหนึ่ง แล้วไอ้ที่เหลือก็จะทำดอกเบี้ยได้เดือนละหลายบาท แล้วเวลาหนูไปอยู่กับป้าแล้ว อะไรๆ ก็ไม่ต้องซื้อต้องหา ลุงป้ากินยังไง ใช้ยังไง หนูก็ยังงั้น เวลาที่ตัวเป็นสาวเป็นนางออกบ้านออกเรือนไปก็จะได้มีหน้ามีตา ยังไม่ดีอีกหรือ?”
เมื่อได้ใช้ความคิดหาเครื่องล่อใจหลานสาว จนเต็มความสามารถเช่นนี้แล้ว เห็นหลานยังก้มหน้าร้องไห้เรื่อยไป คุณป้าก็เริ่มโมโหอีก จึงตวาดเอาว่า
“อุ้ย จะพูดอะไรก็ไม่พูด เอาแต่ร้องไห้ผะอืดๆ โทโสเกิดแล้วนะ เป็นลูกเป็นเต้าแม่ตีตาย”
ถึงแม้จะตกใจกลัวอำนาจคุณป้ายิ่งนัก แต่อำนาจของตัวที่จะบังคับตัวให้หยุดร้องไห้ก็แรงไม่พอ คุณป้าฉุนโกรธหนักขึ้น จึงหันหลังให้หลานสาวเสียทันที เริ่มต้นปรึกษากับหลานชายสืบไป
“เข้าของๆ พ่อแกน่ะ ป้าไม่เกี่ยวข้องด้วย แกจะขายหรือทำอะไรก็ตามใจแก แต่บ้านนี้ล่ะ แกจะว่ายังไง?”
“ผมจะอยู่ครับ”
“แกจะอยู่เองหรือ? เอ้อเฮอ ผีหลอกตาย ขายเสียไม่ดีหรือ เอาเงินสดมาทำดอกเบี้ยดีกว่า ป้าจะรับไปทำให้เอง ตามหัวเมืองหาดอกเบี้ยได้งามๆ เหมาะๆ เข้าได้ตั้งร้อยละสิบทีเดียว”
“ขายเสียแล้วผมก็ไม่มีที่อยู่” ชายหนุ่มพึมพำตอบ
“ก็เช่าเขาชี เดือนละสี่บาทห้าบาทก็พออยู่ถมไป แกตัวคนเดียวน้องนุ่งก็ไม่มีแล้ว”
ประพันธ์นิ่งอึ้ง ภายหลังจึงตอบว่า
“ผมไม่ทราบจะไปหาที่ไหน”
“โอ๊ย ที่ไหนๆ ก็หาได้ถม ป้าไม่ได้บอกให้แกขายวันนี้พรุ่งนี้นี่นะ หาที่อยู่ได้เมื่อไหร่ถึงค่อยขาย แต่ไอ้โฉนดน่ะป้าจะเอาไปด้วย เอาไว้กับแกเดี่ยวหายเหยไปจะลำบาก”
คำที่ว่า ‘หาที่อยู่ได้เมื่อไหร่ถึงค่อยขาย’ เป็นเครื่องปลอบใจประพันธ์พอแล้ว เขาจึงไม่ได้แย้งว่าอะไรอีก การอภิปรายก็ยุติลงเพียงนี้
เมื่องามพิศอยู่กับพี่ชายเพียงสองต่อสอง หล่อนก็หยุดร้องไห้และเอ่ยถามขึ้นอย่างวิงวอน
“พี่พันธ์ ให้หนูอยู่ด้วยคนไม่ได้หรือ?”
“พี่ พี่...” ชายหนุ่มอึกอัก ใจหายวาบด้วยความสงสาร “พี่ไม่รู้รึ ก็คุณป้าจะเอาหนูไปด้วยนี่”
“ก็หนูไปอยู่หัวเมือง หนูก็ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยน่ะซี โธ่หนูไม่อยากเลย หนูอยากเรียนของหนูให้จบ” พอขาดคำน้ำตาก็ร่วงพรูออกมานองแก้ม
ตื้นตันในลำคอยิ่งขึ้น ความฉลาดก็ยิ่งน้อยลง ประพันธ์มิรู้ที่จะตอบว่ากระไร
“พี่พันธ์ไม่ช่วยหนูมั่งนี่นา” เด็กสาวพ้อพลางสะอื้น
“โธ่ ทำไมพี่จะไม่อยากช่วย” เป็นคำตอบอันจริงใจที่สุด ทั้งเป็นเสียงร้องของหัวใจด้วย “แต่พี่ไม่มีอำนาจอะไรนี่”
อำนาจ ? ! ! ! ประพันธ์เป็นนิสิตแผนกวิศวกรรมศาสตร์ปีที่ ๒ และมีอายุ ๒๒ ปี แต่เขาก็ยังหารู้ไม่ว่าอำนาจของเขามีหรือไม่เพียงไหน ในกรณีเช่นไร
วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ สั่งให้หลานสาวจัดการเก็บของลงหีบ “พรุ่งนี้โมงเช้าต้องไปทีเดียว ธุระมีทางโน้น” คุณป้ากล่าวแก่หลานสาว
‘ธุระ’ จะหาความได้จากคำที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ปรารภแก่หญิงเพื่อนบ้านของหลวงประเสริฐฯ ว่า “ไม่ได้หรอก ท่านขุนของฉันน่ะเปรียวนัก ทิ้งไว้คนเดียวมากวันละเกิดความทุกที อีคนแถวนั้นก็ชอบให้ท่าเสียด้วย”
สั่งแล้วคุณนายก็ออกจากที่พักไปซื้อของบางอย่างที่ต้องการ นายประพันธ์ไปยังสถานศึกษาตามที่เคยตั้งแต่เวลาเช้า งามพิศก็ร้องไห้พลางทำงานตามคำสั่งของคุณป้าไปพลาง มีนางแม่ครัวมาอยู่เป็นเพื่อน คอยปลอบโยนไปตามความสามารถที่จะทำได้
ตอนกลางคืนเมื่อนอนอยู่ในมุ่งแต่ผู้เดียว และร้องไห้จนสิ้นน้ำตา โดยมิได้บรรเทาทุกข์ลงได้เลย แล้วความคิดแปลกๆ หลายประการได้เกิดขึ้นแก่งามพิศ ซึ่งเมื่อสรุปเข้าก็เป็นรูปอุบายที่จะหลบหลีกการเดินทางในวันพรุ่งนี้ งามพิศยังมิได้เขียนหนังสือลาออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยยังไม่ยอมเชื่อว่าตัวเองจะต้องออกเป็นแน่ “เราจะแกล้งทำเจ็บเสีย” หล่อนบอกแก่ตัวเอง “พอคุณป้าไปแล้วเราก็จะไปเรียนใหม่” และอีกขณะหนึ่ง “เราจะหนีไปมหาวิทยาลัยแต่เช้า เราเข้าห้องเล็กเชอร์แล้วคุณป้าจะทำอะไรเรา เย็นลงเราจะไปเสียกะเพื่อน อาศัยเขานอนสักคืนหนึ่งหรือสองคืน พอคุณป้าไปแล้วเราก็กลับมาอยู่บ้านเรา” ต่อจากนั้นก็นอนคิดถึงสหายหญิงบรรดาที่คุ้นเคยกันมาก ทั้งที่เป็นนักศึกษาด้วยกันและไม่เป็น ส่งศรี ประจง ประคอง ฯลฯ ยังไม่เหมาะ ไม่เป็นที่ไว้ใจพอ เหลือแต่อัปษรเป็นเพื่อนรักร่วมใจกัน ตั้งแต่เมื่อเรียนอยู่ในชั้นสามัญ ครั้นล่วงมาถึงขั้นนักศึกษาแล้วก็ยังรักใคร่กันอยู่มาก เห็นทีจะไปอาศัยนอนด้วยได้
แต่ครั้นรุ่งเช้าขึ้นแล้ว ได้ยินเสียงคุณป้าเดินพูดทำนั่นทำนี่ ความอ่อนแอก็เกิดขึ้นแก่งามพิศ แผนการทั้งสิ้นที่คิดไว้ก็จะละลายไป วงหน้างามพิศนั้นซีดขาวทั้งตัว ทั้งใจ ทั้งมือ ทั้งเท้า สั่นระริก กระนั้นงามพิศก็ไม่อาจที่จะลงนอนแสดงตัวเป็นคนไข้ คุณป้าเดินวุ่นอยู่ทางหนึ่ง จัดและตรวจของต่างๆ งามพิศอยู่อีกทางหนึ่งโดยลำพัง หล่อนก็ไม่อาจคิดถึงเสื้อผ้าที่เคยสวมไปมหาวิทยาลัย จนกระทั่งคุณป้าเตือนให้แต่งตัว คุณป้าเองแต่งอยู่ทางอีกห้องหนึ่ง งามพิศนุ่งดำและสวมเสื้อคอปกแบบเดียวกับที่แต่งไปศึกษาทุกวัน แต่หล่อนหาอาจที่จะเดินออกประตูบ้านไปขึ้นรถเมล์ดังที่เคยทำทุกๆ เวลาเช้าไม่
ถึงเวลาจะออกจากบ้านไปขึ้นรถยนต์เช่า ซึ่งคุณป้าสั่งให้นายคนสวนไปตามมาไว้ นางแม่ครัวขนของพลางร้องไห้พลาง จนถูกนางจำนงฯ ตวาดเอาอย่างดัง นางสุนัขจูร้อง เต้น หอน อยู่รอบๆ ตัวนายสาว งามพิศมีความรู้สึกเสมือนหัวใจของหล่อนพยายามจะทำลายทรวงอกให้แยกออก เพื่อหาทางหนีออกจากร่าง เกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะให้เหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง แต่เท้าของหล่อนก็พาตัวหล่อนขึ้นนั่งบนรถเคียงกับคุณป้าโดยเรียบร้อย
ยานยนตร์เคลื่อนออกจากที่ ความบีบเค้นในทรวงอกงามพิศทวีขึ้นโดยแรง เหลียวดูแม่ครัว เด็กชายรับใช้ รวมทั้งนางจู ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความวิงวอน ประดุจจะร้องขอให้ทั้งสามช่วยฉุดตัวไว้จากกำมือคุณป้า ถอนสายตาจากคนและสัตว์ มองหน้าต่างห้องบิดาเป็นครั้งที่สุด ก็พอดีกับรถเลี้ยวมุมถนน ภาพบ้านที่เคยอยู่ลับหายไปทันที