๒๒
คืนที่สองแห่งการเดินทาง สุนทรีตื่นขึ้นในยามดึก พอรู้สึกตัวก็นึกได้ว่าตนนอนอยู่ในที่แห่งใด และพร้อมกันนั้น หล่อนก็มองไปยังร่างของดรุณีที่นอนอยู่เบื้องซ้ายของหล่อน
คืนนี้เดือนหงายกระจ่าง เข้าลักษณะที่ว่าอ่านลายมือได้ สุนทรีมองเห็นวงหน้าที่แนบอยู่กับหมอนใกล้หมอนของหล่อนเองได้อย่างถนัด เป็นหน้าของผู้ที่นอนหลับอย่างสงบและสนิทจริงสมกับวัยของผู้นอน มือซ้ายสอดไว้ใต้หมอน มือขวากอดผ้าห่มที่ซุกอยู่ตรงอก ริมฝีปากหุบสนิทจนเป็นเส้นเดียวกัน ถึงแม้กระนั้นก็ดูเหมือนมีร่องรอยอาการยิ้มอย่างเด็กที่กำลังฝันดีแฝงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวงหน้านั้น
สุนทรียิ้มน้อยๆ เมื่อใจของหล่อนนึกเอ็นดูต่อผู้ที่กำลังหลับ แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นบรรจงลูบเส้นผมเจ้าหล่อนผู้นั้นแต่เบาๆ แล้วนึกสงสัยว่าเจ้าหล่อนจะหนาวหรือไม่ ค่อยๆ จับมือหล่อนให้คลายจากผ้าห่ม ก็มีความรู้สึกเหมือนจับเนื้อเด็กเจ้าเนื้อ--เมื่อคลี่ผ้าห่มออกคลุมตัวให้ตั้งแต่เท้าถึงเหนือเอว สุนทรีก็รู้สึกมีความพอใจ เสมือนได้ปรนนิบัติเด็กที่หล่อนเคยรักมาเป็นเวลานาน
ทันใดนั้นสุนทรีนึกประหลาดตัวเองว่า เหตุใดจึงมีใจชอบงามพิศถึงเพียงนี้
“ชอบหรือสงสารกันแน่?” หล่อนถามตัวเองแล้วหล่อนก็ตอบตัวเองว่า งามพิศมีข้อที่น่าเมตตาอยู่หลายประการ
สุนทรีเห็นว่า งามพิศไม่มีจริตที่หล่อนดัดให้เป็นขึ้น เพื่อประกอบความเป็นสาวดังหญิงสาวอื่นๆ
สุนทรีเห็นว่างามพิศเป็นผู้เอางานเอาการอย่างแท้จริง ผู้ใดเริ่มจับงาน งามพิศต้องเข้าช่วย ผู้ใดทิ้งงาน งามพิศต้องเข้าต่อ ดังเช่นการรับประทานอาหารในเรือนี้ ผู้ใดหิวก่อนผู้นั้นเป็นผู้เริ่มตระเตรียม งามพิศก็เตรียมด้วย ครั้นเมื่ออิ่มแล้ว หาผู้เก็บได้ยาก งามพิศก็เป็นผู้เก็บทุกมื้อ
แต่สุนทรีเห็นต่อไปอีกด้วยว่า งามพิศไม่มีท่าเป็นจังหวะอันทำให้ดูงาม เมื่อจับต้องสิ่งใด แม้เป็นของเบางามพิศก็จับดังของหนัก เช่นในเวลาจับมีดโต๊ะตัดอาหารในจานข้าว งามพิศทำกิริยาดังหนึ่งหล่อนหั่นหมูที่อยู่บนเขียง
“ถ้ามีเวลาได้อยู่ใกล้ๆ กันนานๆ จะค่อยๆ สอนให้จนกว่าจะดี”
คิดแล้วสุนทรีพลิกตัวจากท่าเดิม หันหน้าเข้าทางประทุน ตั้งใจจะหลับ แต่แสงเดือนที่ส่องจับไม้อันประกอบกันเป็นประทุนเรือนั้น ดูแจ่มแจ๋ว เป็นสีนวลยั่วอารมณ์ให้ตื่นอย่างไรพิกล
หล่อนพลิกกลับมาทางเดิม ทอดตามาทางปลายเท้าเห็นตลิ่งสีมัวๆ อยู่รำไร เหนือตลิ่งขึ้นไปนั้นเป็นที่คนอยู่ มีกระท่อมและไร่ซึ่งชาวพื้นเมืองทำพอสักว่าทำ หรืออย่างดีที่สุด ก็ทำแต่พอกินตามนิสัยของไทยแท้ ที่นั่นสุนทรีมองเห็นมิได้ แต่หล่อนรู้ว่าคนเรือที่ร่วมทางมากับหล่อนได้ขึ้นไปอาศัยนอนอยู่สี่คน
ทางท้ายเรือ มีแพเล็กๆ จอดอยู่สองหลัง ครอบครัวที่แพนั้นเป็นจีนเขยสู่อยู่ปนกับชาวไทย อาชีพของเขาคือการล่องแพไม้ไผ่ไปขายทางปลายน้ำ ที่แพนี้นายสวงปลัดอำเภอกับนายร้อยตำรวจได้อาศัยนอน
ทางหัวเรือคือทิศเบื้องซ้ายสุนทรี เรือยนต์ที่พ่วงเรือมาดมาจอดอยู่ แสงจันทร์จับลำเรือเป็นสีนวลในท่ามกลางความสงัดและวิเวกเช่นนี้ ดูเป็นภาพที่น่าชม กลางลำเรือเห็นภาพดำเป็นรูปคนนอนสลัวๆ ผู้ที่นอนคือตัวผู้ใหญ่บ้านเจ้าของเรือและคนเรืออีกสามนาย
นึกเบื่อต่อภาพที่หล่อนดูอยู่บัดนั้น สุนทรีก็เปลี่ยนท่าอีก พังพาบ มองดูไปตรงหน้า ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นนั่งโดยที่อารมณ์ของหล่อนยิ่งสว่างและเบิกบานขึ้นเป็นลำดับ ตรงข้ามกับที่เรือจอด ตลิ่งเป็นเนินลาดหรือหาดทรายจรดขอบน้ำ และค่อยๆ สูงขึ้นจนเป็นฝั่งห่างจากน้ำประมาณสักสองเส้น
ดูไปบนฝั่งที่กล่าวนี้ ดูเหมือนแสงจันทร์จะแจ่มจ้าขึ้นกว่าเก่า ต้นไม้ใหญ่น้อยเป็นรูปร่างชัดเจน เห็นกระจ่างกระทั่งใบ เสียงการ้องขึ้นสองครั้ง ชะรอยจะหลงว่าแสงจันทร์เป็นแสงทอง
สุนทรีนึกถึงหลวงชาญยนตรกิจ ถ้าเขามาด้วยได้เห็นลักษณะภูมิประเทศในเวลานี้ เขาคงจะกล่าวบทกลอนอันเหมาะแก่กาละให้หล่อนฟัง
ลดสายตาจากที่สูงเลื่อนลงต่ำจนจรดปลายหาด ทันใดนั้นสุนทรีกะพริบตา พร้อมกับที่ความตื่นเต้นเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก อะไรนั่น ดำ ยาว ขึงเหยียดอยู่ริมน้ำขนาดสักเด็กอายุ ๑๕-๑๖ ปี “อุ๊ย! จระเข้” สุนทรีบอกกับตัวเอง จระเข้ขึ้นมานอนเกยหาด ! ความปิติที่ได้เห็นสิ่งประหลาดทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที ความอยากเห็นเจ้าสัตว์น้ำโดยถนัดทำให้รู้สึกว่าแสงจันทร์อ่อนไปมาก ไม่สว่างพอกับที่หล่อนต้องการ
สุนทรีบรรจงหยิบไฟฉายที่ใต้หมอน ด้วยความพยายามอย่างยิ่งในอันที่จะไม่ให้เกิดเสียงกุกกักแม้สักนิด หล่อนจำได้คนที่แพเขาบอกไว้เมื่อตอนเย็นว่า จระเข้เคยขึ้นมานอนเล่นที่หาด และตราบเท่าที่ไม่มีเสียงสิ่งใดรบกวน ก็จะนอนให้ดูอยู่นาน สุนทรีก็มีความประสงค์ที่จะดูจระเข้ให้นานเท่าที่สัตว์นั้นจะยอมให้หล่อนดู
เล็งปลายท่อนไฟฉายไปทางเงาดำ แล้วสุนทรีก็ผลักไกแสงไฟพุ่งตรงไปยังศีรษะจระเข้พอดี อุ๊ย ! ตาวาวอะไรเช่นนั้นนั่นน่ะ ดูไม่ผิดกับตาสุนัขหรือวิฬารเมื่อไฟฉายไปต้อง แต่ตาจระเข้งามกว่าเพราะเป็นสีแดง ใสแจ๋วแวววาว มิได้ผิดกับแสงทับทิม
ท่อนหางของเจ้าแห่งสัตว์น้ำชี้ตรงไปทางฝั่ง หัวหันลงทางริมหาด สุนทรีนึกถึงคำที่ชาวบ้านแถบนี้ว่าไว้เมื่อจระเข้ขึ้นเกยหาด หันศีรษะไปทางบกย่อมหมายความว่าตัว ‘เขา’ เป็นนักเลงโตในย่าน กล่าวคือไม่มีจระเข้ใดใหญ่กว่า ‘เขา’ หาก ‘เขา’ หันหัวลงทางน้ำ ย่อมแสดงว่า ‘เขา’ เป็นแต่ผู้น้อย ในย่านใกล้ยังมีนักเลงดีไปกว่า เจ้าจระเข้ที่สุนทรีเห็นก็มีท่วงทีเหมาะสมกับคำกล่าวนั้นไม่น้อย อาการของมันคล้ายกับมันมีความระแวงภัย และดวงตาที่แดงโพลงอยู่ ก็คล้ายกับว่ามันคอยจับจ้องสังเกตความเคลื่อนไหว ที่จะเกิดขึ้นในที่ใกล้ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด
แต่สุนทรีจะดูอยู่แต่ผู้เดียวมิได้ มาเที่ยวไทรโยคอันเป็นถิ่นที่ลือนามว่าชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่า ใครๆ ก็ต้องอยากเห็นสัตว์สำคัญในย่านน้ำ มือไวเท่าความคิด สุนทรีเอื้อมมือไปจับแขนงามพิศเบาๆ และกระซิบปลุก
“ลุกขึ้นดูจระเข้เร้ว” หล่อนบอกเมื่องามพิศลืมตา แล้วกำชับ “ค่อยๆ นะ อย่าทำเสียง เดี๋ยวจะหนีไปเสีย ไม่ต้องลุกขึ้น พังพาบก็เห็น”
งามพิศขยับตัวโดยมิได้ทำเสียงให้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แล้วสุนทรีได้ยินเสียงเจ้าหล่อนอุทานเบาๆ แสดงความตื่นเต้นหลายครั้ง
“ค่อยๆ ย่องไปปลุกคนอื่นมาดูด้วยถี” สุนทรีกระซิบ “ไม่ยังงั้นเขาจะอิจฉาเรา เร็วเข้า แล้วเบาๆ ด้วย”
แต่เมื่องามพิศยืดแขนยันตัวเพื่อจะลุกขึ้น จระเข้ก็เริ่มไหวตัวด้วย และในวินาทีนั้นเองก็เกิดเสียงวัตถุหนักกระทบน้ำดังโครม ! ซ่า ! จระเข้ฟาดหางสองครั้งแล้วก็ลงน้ำหายไป
“แล้วกัน !” งามพิศอุทาน วางตัวลงบนเสื่อที่นอนดังเดิม “แหม ! ขยับตัวนิดเดียวแหละนะคะทำไมมันถึงรู้ตัวได้”
“ไม่ใช่ลาภตาของคนอื่น” สุนทรีตอบแกมหัวเราะ ดับไฟฉายสอดเข้าไว้ที่ข้างหมอนดังเก่า “ลาภของเราสองคนเท่านั้น”
“เผื่อคุณไม่ปลุกดิฉันก็อดดูกัน” งามพิศกล่าวด้วยความรู้สึกบุญคุณอย่างจริงใจ
“ฉันไม่ปลุกเธอฉันก็ไม่มีพยานน่ะซี เวลาได้เห็นของแปลกต้องรีบหาเพื่อนดู ไม่ยังงั้นเล่าให้ใครฟัง เขาจะหาว่าเรากุ”
สีหน้างามพิศแสดงการคัดค้านที่เกิดขึ้นในใจ... ใครนะจะบังอาจคิดว่าคุณสุนทรีคนงามนี้กล่าวเท็จ?
งามพิศเกยคางลงบนมือทั้งสอง ซึ่งประสานกันอยู่บนหมอน มองดูภูมิประเทศเบื้องหน้า ภายหลังหล่อนปรารภขึ้นเบาๆ
“แหม ! เดือนหงายจริ๊ง ไม่น่านอนเลย”
แต่สุนทรีกำลังไม่ต้องการเพื่อนสนทนาอย่างเอก จึงพูดว่า
“แต่เธอควรจะนอนเสียดีกว่า เพราะพรุ่งนี้จะออกเรือแต่เช้า ถ้านอนกลางคืนไม่อิ่ม เดี๋ยวไปง่วงนอนกลางวันเลยหมดสนุก เขาว่าทางที่จะไปพรุ่งนี้จะงามกว่าทางที่ผ่านมาวันนี้อีก”
เมื่อสุนทรีพูด งามพิศตะแคงหน้ามาฟัง เมื่อพูดจบแล้วเจ้าหล่อนก็ยกคางขึ้นจากแขน วางศีรษะลงบนหมอนแล้วหลับตา แล้วในเวลาไม่ถึงสองนาทีก็หลับสนิท
หญิงสาวผู้อาวุโสกว่ามองดูด้วยความขำแกมพิศวง เมื่อได้ยินเสียงหายใจดังเป็นระยะสม่ำเสมอที่ดังอยู่ที่ข้างตัว ขำในข้อที่คำแนะนำของตนช่างศักดิ์สิทธิ์เสียนี่กระไร พิศวงในข้อที่บุคคลคนหนึ่งสามารถหลับได้เร็วถึงเพียงนี้ แล้วปรารภในใจ “นี่แหละเขาว่าเด็กหลับง่ายหลับดาย !”
หล่อนพยายามจะหลับบ้าง แต่สมองของหล่อนกลับไปนึกถึงจระเข้และประจิตรขึ้นพร้อมกัน ถ้าเขามาด้วยหล่อนคงจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นดูด้วย ถ้าเผอิญโชคเขาดีกว่าคนอื่นจระเข้ไม่ชิงหนีไปเสีย เขากับหล่อนบางทีก็จะมีข้อวิวาททุ่มเถียงกันตามเคย เพราะเขานั้นเป็นนักยิงสัตว์ เมื่อมีจระเข้เป็นเป้าในระยะใกล้ๆ เขาหรือจะปล่อยให้โอกาสผ่านไปเปล่า ส่วนสุนทรีก็จะต้องขัดขวาง เพราะหล่อนสังเกตน้ำเสียงชาวบ้านแถวนี้ดูเหมือนจะพากันถือว่าจระเข้เป็น ‘เกลอ’ กับเขามากกว่าศัตรู เขาเล่าว่าจระเข้เคยลักปลาที่เขาตากไว้ตามริมแพไปเป็นอาหารเสียบ่อยๆ แต่มันมีคุณสมบัติในข้อที่ไม่เคยประทุษร้ายชาวถิ่นเดียวกับมัน แต่ย่อมจะไม่ละเหยื่อที่มาจากถิ่นอื่น สุนทรีย่อมจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่ใกล้ชิดหล่อนกระทำการข่มเหงน้ำใจชาวบ้านแถบนี้ ผู้ซึ่งได้แสดงความอารีต่อคณะท่องเที่ยวอย่างดีที่สุด
ยุงตัวหนึ่งบินมาทำเสียงวี้ๆ อยู่ที่ข้างหูสุนทรี แล้วในที่สุดก็ไปเกาะนิ่งอยู่ที่แก้มของผู้ที่กำลังหลับ สุนทรีมองเห็นก็รีบปัดให้ แล้วนึกถึงว่ายุงมาเพราะลมสงัดกระมัง ถ้ากระนั้นหล่อนควรจะจัดกางมุ้งดีหรือไม่ ทั้งลำเรือนี้ก็มีแต่หล่อนกับงามพิศสองคนเท่านั้นที่พร้อมใจกันไม่ใช้มุ้ง เพราะต้องการความโล่งโถงยิ่งกว่าสิ่งอื่น
หล่อนตกลงใจว่าจะรอดูไปอีกสักครู่หนึ่ง แล้วอารมณ์ของหล่อนก็พาหล่อนย้อนกลับไปตามทางที่ได้ผ่านมาตลอดวัน....สุนทรีติดใจมากในหาดทรายอันใหญ่ยาวที่เรือจอด เพื่อให้ผู้โดยสารได้อาบน้ำ หาดนั้นลาด ทรายละเอียด น้ำลึกพอควรแก่การว่ายน้ำ บางตอนที่ใกล้ตลิ่ง หาดเป็นแอ่งมีก้อนกรวดขนาดใหญ่อยู่บนทราย น้ำใสแจ๋ว เห็นปลาตัวน้อยๆ ว่ายวนอยู่ระหว่างก้อนกรวด แม่สาวๆ พากันช้อนมาชมเล่นได้หลายตัว
นึกถึงแม่สาวๆ แล้วก็นึกไปถึงชายหนุ่มสองนายที่ร่วมทางมาด้วย นายร้อยตำรวจดูเหมือนจะเป็นคนช่างอายผู้หญิง ดังจะเห็นได้จากการที่เขาไม่ยอมร่วมวงรับประทานอาหารกับหมู่สตรีแม้แต่มื้อหนึ่งมื้อใด และในเวลาที่อาบน้ำ เขาก็เลี่ยงไปอาบให้ไกลที่สุด มิหนำซ้ำยังพยายามที่จะใช้เรือเป็นที่กำบังตัว
แต่ส่วนนายสวง เห็นจะเป็นผู้ที่เข้าไหนเข้าได้อยู่เสมอ และเข้าได้มากที่สุดกับธิดาข้าหลวง เมื่อตอนเย็นระหว่างที่กำลังอาบน้ำ นางสะอาดได้ปรารภกับสุนทรีว่า
“ต่อหน้าพ่อเขาน่ะ ตุกติกกันอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวเกิดรักกันอีตรงที่มาเที่ยวกับเราละก็แย่ทีเดียว พ่อเขาด่าเราด้วย”
“พ่อเขาคงไม่ว่า ไม่ยังงั้นเขาคงไม่เจาะจงเลือกนายสวงมาให้ไปกับเรา”
แต่เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว สุนทรีก็มิใช่ว่าจะนอนใจ หล่อนได้ตั้งคำถามอย่างฉลาดเพื่อหาความจริงจากงามพิศ จนในที่สุดก็ได้ความพอที่จะช่วยครูสะอาดให้คลายความกังวล