กลอนสุภาพ |
|
๏ ปางป่วยไข้ได้ทุขยุคยากยับ |
ปราสสิ่งสัพซึ่งอำนวยความช่วยเหลือ |
มีมิตรไหนไจกรุนมาจุนเจือ |
โดยเอื้อเฟื้อเฝ้าถนอมพร้อมพนอ |
เหมือนหนึ่งท่านมารดาผู้มาด้วย |
ร่างระทวยระทดแท้แน่เทียวหนอ |
ต้องหม่นหมองมองหน้าน้ำตาคลอ |
ไนไจคอข้องระทมตรมด้วยทุข |
ถึงอ่อนแออแม้ระโหยแต่โดยจิต |
จดจ่อนิตย์เนืองหยู่สู้เฝ้าขลุก |
ด้วยตรากตรำทำธุระทะนุทะนุก |
ช่วยปลอบปลุกปลาบปลื้มยิ่งดื่มยา |
ความเจ็บปวดรวดเร้าบันเทาผ่อน |
หมอนที่หนุนกรุ่นร้อนริทธิ์ไข้กล้า |
ทำไห้เปลี่ยนแปรกลายพิสคลายคลา |
อ่อนละมุนละไมมาไม่ช้าที |
มวนมิตไนสมัยเรารุ่งเรืองนั้น |
ต่างเหหันหามิพบหลบหน้าหนี |
เนื่องโชคร้ายกรายพลันวันและปี |
ก้าวย่างรี่เร็วไวไกล้ทุกครา |
ต้องออกปากเปนวาจาว่าเรานี่ |
ช่างไม่มีที่จะรื่นจะเริงร่า |
เมคคือเคราะห์เดาะด้อยลอยต่ำมา |
อนาถาทุขทุ่มเข้าคลุมงำ |
เมื่อหัวไจเจ็บร้าวคราวบกพร่อง |
ความหวังปองต้องคลาดพลาดถลำ |
หยาดชีวิตถูกยาพิสคือเคราะห์กัม |
เข้าวางซ้ำทำอาการเหลือทานทน |
พายุไร้รุ้งระยับสลับสี |
และราตรีไม่มีดาวกลางหาวหน |
กลางวันอับลับแสงสุริยน |
ไม่ชวนชนชอบชมนิยมยอ |
เมื่อโครงการน์ความทยานทเยอชีพ |
ถูกเค้นบีบเบียนบ่อยลงร่อยหรอ |
เสียงนินทาก็มาสู่เปนคู่คลอ |
ไปตามข้อเสื่อมซามความย่อยยับ |
เขาเหล่านั้นดั้นด้นไปหนไหน |
เงาซึ่งไต่ตามเคลื่อนเขยื้อนขยับ |
นะคราสูริย์ส่องกะจ่างสว่างวับ |
เลยแลลับเลือนมัวไปชั่วคราว |
ซ่อนเสียไหนหนอปักสาไนหน้าร้อน |
เมื่อเสียงถอนหทัยแรงแห่งหน้าหนาว |
นะวันอันนพรรนไม้ไบร่วงพราว |
อนิจจา ! ถ้าจะกล่าวก็คือเคราะห์ |
ย่อมเปนหยู่เนืองเนืองเนื่องไปตาม |
ความสนไจหรือไนความสดวกเหมาะ |
หรือเคยชินชอบถูกที่ปลูกเพาะ |
หรืออีกข้อก็เพราะสมัยนิยม |
สิ่งทั้งสี่นี้ไนหย่างไดหนึ่ง |
เท่านั้นซึ่งส่งเสิมเพิ่มผสม |
เพื่อสงวนมวนมิตรสมาคม |
ไห้ปรารมย์รักไคร่หยู่ได้แล ฯ |
๏ แต่สัมพันธ์มั่นแม่นทั้งแน่นหนา |
ของมารดานั้นมิได้เปลี่ยนไปแน่ |
เหมือนเช่นกับสัพสภาพโชคลาภแปร |
ทั้งมวลแม้แต่จะอาดสามาถแปลง |
เปนต้นคือชื่อเสียงเสื่อมเสียสุด |
หรือความหลุดสละพรากจากตำแหน่ง |
จักทำลายไห้สลายหย่างร้ายแรง |
ก็จงแจ้งประจักส์ไจไม่ปรวนแปร |
โดยความที่มีชัยชำนะหรือ |
แม้เสียชื่อโชคร้ายทั้งหลายแหล่ |
บุตรธิดาได้รับสิ่งสัพแล |
ของท่านแท้ถ้วนทั่วต้องพัวพัน |
เลือดหัวไจไหลหลั่งและทั้งเหตุ |
ชลเนตรนองตาออกมานั่น |
ก็เพราะลูกผูกจิตนิตย์นิรันดร์ |
เนื่องด้วยสัชาติานบันดาลเปน |
เมื่อลูกหยู่ฉเพาะหน้าตาทั้งสอง |
ท่านมุ่งมองหมายไว้ด้วยไคร่เห็น |
เมื่อไม่หยู่วิานท่านไม่เว้น |
ต้องตื่นเต้นไต่เต้าต้องตามไป |
ปลงอุททิสปลิดทิ้งสิ่งสุขสานต์ |
จะยากนานเหนื่อยนั้นมิหวั่นไหว |
ปติเสธเหตุซึ่งพึงพอไจ |
หวังลูกไห้หรรสาด้วยปรานี |
ตั้งจิตมั่นมุทิตาปรารมย์รอบ |
เล้าโลมปลอบปลุกปล้ำทำหน้าที่ |
รู้สึกคิดขึ้นทั้งสิ้นโดยยินดี |
ไม่ต้องมีพิธีไดหรือไครเตือน |
พร้อมสดชื่นชื้นเย็นเปนสภาพ |
อันเอิบอาบอิ่มไจหาไหนเหมือน |
ความเปนมิตรสนิทเนานะเหย้าเรือน |
ไม่คลายเคลื่อนคลอคู่หยู่เนืองนิจ |
ทั้งหากล้าสามาถปราสระย่อ |
เข้มแข็งต่อมรนะประจำจิต |
อัสสาสะสุดท้ายปลายชีวิต |
ถอนด้วยคิดคุนพระรัตนตรัย ฯ |
๏ ความหวนนึกระลึกนี้เนื่องประกอบ |
เปนเครื่องครอบคลุมทุกยุคสมัย |
ระยะแห่งเหตุการน์อันผ่านไป |
โดยผ่องไสสุขสงบเรียมอบรม |
เมื่อท่านมีชีวิตประสิทธิ์ประสาท |
ธัมชาติแช่มชื่นระรื่นร่ม |
น่าเปรมปรีย์ปีติน่านิยม |
หย่างอุดมแด่เหย้าเนาสำราน |
ความรักที่ท่านสลัดปัดลูกสร |
แห่งทุขร้อนโชคร้ายกลายพ้นผ่าน |
ความสุภาพปราบข้อทรมาน |
วิประติสารโสกเส้าซึ่งเร้ารุม |
ความอ่อนโยนหย่างพร้อมละม่อมละมุน |
ทำหมอนหนุนขนะไข้ไห้นิ่มนุ่ม |
อนึ่งคือมือที่เคยประคองกุม |
เสียรปวดรุ่มร้อนเร่าบันเทาไป |
ความเคารพนบไหว้เปรียบได้ดุจ |
เปลวเพลิงจุดแจ่มแจ้งแสงสุกไส |
หมายบูชาสักการะนะดวงไจ |
ของเราไนท่านนั้นมั่นกระทำ |
และทั้งอีกอาการท่านยิ้มย่อง |
ฉายแสงส่องเหนือเราทุกเช้าค่ำ |
คงไสแจ่มจ้าเจิดหยู่เลิสล้ำ |
แม้โลกจำจักต้องมืดหมองมล |
เสน่หาการุนย์คุนเสถียร |
อันไม่เปลี่ยนแปลงนั้นบันดาลผล |
โอบอุ้มเอื้อเกื้อกู้ชูชีพชนม์ |
เรารอดพ้นภัยปลอดตลอดกาล |
นะท่ามกลางความร้างเมตตาจิต |
และมิคิดกตัูรู้คุนท่าน |
สิ่งเหล่านี้ที่พรรนนามามากมาน |
ทุกสถานจะลืมได้ไฉน – เอย ฯ |