สุภาษิตสอนสตรี

  [๑]๏ ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร
ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน จำนงเนียรนบบาทพระศาสดา
อันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีป ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา
ก็ล่วงลับดับไกลนัยนา สู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์
ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผม
ให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม โดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย ฯ
๏ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย
อันความชั่วอย่าได้มัวมีระคาย จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคล
ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล
สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา
เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า
แม้แตกร้าวรานร่อยถอยราคา จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง
อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง ดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหาง
ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง ให้ต้องอย่างกิริยาเป็นนารี ฯ
๏ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน
จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์ บำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขิน
เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญ คงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรง
ใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาด ว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์
ถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์ ไม่รู้จักแต่งทรงก็เสียงาม ฯ
๏ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด ค่อยเยื้องยาตรยกย่างไปกลางสนาม
อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที
อย่าเหินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี
อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี เหย้าเรือนมีกลับมาจึ่งหารือ
ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ ผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือ
อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดือ เขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควร
อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต ระวังปิดปกป้องของสงวน
เป็นนารีที่อายหลายกระบวน จงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย
อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก จงรู้จักอาการประมาณหมาย
แม้ประสบพบเหล่าเจ้าผู้ชาย อย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแล
อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส
จริงมิจริงเขาก็เอาไปเล่าแช คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม ฯ
๏ อันที่จริงหญิงกับชายย่อมหมายรัก มิใช่จักตัดทางที่สร้างสม
แม้จักรักรักไว้ในอารมณ์ อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี
ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก เขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่
จงยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี เหมือนจามรีรู้จักรักษากาย
อันตัวนางเปรียบอย่างปทุมเมศ พึ่งประเวสผุดพ้นชลสาย
หอมผกาเกสรขจรจาย มิได้วายภุมรินทร์ถวิลปอง
ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาส ก็นิราศแรมจรัลผันผยอง
ไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง ดูทำนองใจชายก็คล้ายกัน
แม้นชายใดใจประสงค์มาจงรัก ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น
อันความรักของชายนี้หลายชั้น เขาว่ารักรักนั้นประการใด
จงพินิจพิศดูให้รู้แน่ อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล
เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจ มันมักไพล่แพลงขุมเป็นหลุมพราง
อันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด สารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่าง
แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง มาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัย
อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า จะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหน
เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล อย่าควรไปตามคำเขารำพัน
ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร สุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์
เขาจะนำไปให้ตายก็ตายพลัน คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกง
อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ ใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผง
อย่าเชื่อนักมักตับจะดับโครง มันชักโยงอยากกินแต่สินบน
อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด ต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหน
จงฟังหูไว้หูกับผู้คน สืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป ฯ
๏ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงใหล
คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร แม้นหญิงใดร่วมห้องจะต้องจน
มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย เหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผล
ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน แล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราว
ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้ ให้พอใจชกตีเขามี่ฉาว
ท่านจับได้ใส่ตรวนพรวนคอยาว แล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยา
เขาเป็นผัวตัวเป็นเมียเสียไม่ได้ มีหาไม่เงินทองก็ต้องหา
ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา ค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลง
เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก แสนลำบากบอบนักอย่ามักหลง
บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทะนง หน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไป
มีเข้าของเคยผูกให้ลูกเต้า ก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่
ลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ เอาไปไขว้เล่นโปจนโซโทรม
ยังแต่เมียจะเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ คอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉม
ครั้นรักผัวก็จะมัวด้วยลมโลม ต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัว
จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่ ต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัว
ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว จะยังชั่วด้วยไม่เฉยชะเลยใจ
จะหาคู่สู่สมนิยมหวัง จะระวังชั่วช้าอัชฌาสัย
ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไป ใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมือง
แต่ใจคนมักจะรนไปหาผิด ครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลือง
ต้องเดือดดิ้นกินน้ำอยู่นองเนือง จะสุดเปลื้องราคินให้สิ้นคาว ฯ
๏ เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว จะดีชั่วก็แต่ยังกำลังสาว
ลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาว จะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรอง
ถ้าคนดีมิได้ซ้ำระยำยับ ถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมอง
คงมีผู้ชูช่วยประคับประคอง เปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามี
ถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว จะปัดแผ้วถางผืนไม่คืนที่
เหมือนทองแดงแฝงฝ้าเป็นราคี ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงใจ
จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมอง ถือทำนองแบบโบราณท่านขานไข
อย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ จงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์
แม้รู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์
จงกำหนดอดส่าห์รักษาทรง อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาล
อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า เขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวาน
จงระวังตั้งมั่นในสันดาน อย่าลนลานหลงระเริงด้วยเชิงชาย
เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่ อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย
เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน
ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ จะจองจำตีโบยออกโหยหน
ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว
ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย กลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัว
แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว เราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเอง
จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก เพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหมง
ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง ใจตัวเองพาหลงไปลงตม
ท่านเลี้ยงมาว่าจะให้เป็นหอห้อง หมายจะกองทุนสินกินขนม
ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์ จึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจ
แม้ลูกดีก็จะมีศรีสง่า ญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใส
ถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล ก็มีใจสรรเสริญเจริญพร ฯ
๏ จงรักนวลสงวนงามห้ามใจไว้ อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอน
คิดถึงหน้าบิดาและมารดร อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี
เมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่
อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี เมื่อบุญมีคงจะมาอย่าปรารมภ์
อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้ อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสม
อย่าเกียจคร้านการสตรีจงนิยม จะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจน
ถ้าแม้ทำสิ่งใดให้ตลอด อย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่เป็นผล
เขม้นขะมักรักงานการของตน อย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแช
เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน อย่าเที่ยวพล่านพูดผลอประจ๋อประแจ๋
อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกัน
ระวังดูเรือนเหย้าและข้าวของ จะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่น
เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน จงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลง
มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ
ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ ได้การุญเลี้ยงรักษามาจนใหญ่
อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง
ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมภ์ กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง
จะปรากฏยศยิ่งสิ่งทั้งปวง กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งวิมาน
เทพไทในห้องสิบหกชั้น จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร
ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี ฯ
๏ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศี
เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ไยดี ดูเป็นทีอายเพื่อนเบือนอารมณ์
เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่ ทำพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถม
ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม ไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชา
คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์ คงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลา
ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทรา ทรมาหมกไหม้ในไฟฟอน
ถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า เทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์
ให้ยากยับอัปราอนาทร ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจ
แม้จะมีเงินทองของทั้งหลาย คงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัย
จะเกิดโจรราวีอัคคีภัย เพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณ
หญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก จะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุล
แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ เนรคุณมิได้คิดอนิจจัง
ซึ่งสตรีที่ท่านดีอย่าดูเยี่ยง จงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถัง
แม้ร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง ดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม ฯ
จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาว ให้พ้นคาวข่าวชั่วเข้ามั่วสุม
ให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุม จงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบาง
อย่าทำนองลักษณะจะเป็นโทษ ตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมาง
ถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง จะไว้วางกิริยาให้น่าดู
จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ
แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย
จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร ด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอา
เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
แม้พูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
ถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยว อย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยาม
เมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตาม มันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็น
ถึงจะไปในพิภพให้จบทั่ว แต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็น
จงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น จึงจะเป็นคนดีมีปัญญา
เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง จงระวังรั้งจิตกนิษฐา
อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอัชฌา แม้พลั้งพลาดบาทาจะอายคน
เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน
ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง
แม้สมรไปนอนที่เรือนไหน อย่าหลับใหลลืมกายจนสายสาง
ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง ความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัว
ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า ไม่อัชฌาเขาจะพากันยิ้มหัว
ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว แม้จะหัวหัวร่อพอสบาย
เมื่อยามยิ้มยิ้มไว้แต่ในพักตร์ อย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลาย
อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย อย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริง
จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่ง อย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิง
ใช่บ้านนอกขอกนามาแต่เยิง ทำเซอะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป ฯ
๏ เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่
ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปี
เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง แต่พอแจ้งเขาก็จับกระจกหวี
ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี จะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยา
อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด ให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสา
เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา จะได้หาเลี้ยงกันจนวันตาย
รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย
มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง
การวิชาหาประดับสำหรับร่าง อย่าเอาอย่างหญิงโกงที่โฉงเฉง
การมิดีที่ชั่วจงกลัวเกรง อย่าครืนเครงขับร้องคะนองใจ
คิดแต่ยากแต่จนเร่งขวนขวาย อย่าให้กายตกยากลำบากได้
พออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไร อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกิน
ค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน ค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญ
อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน ละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอาย
อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก ทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย
ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ
เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่ง อย่าทำแข่งวาสนากระยาหงัน
ของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน เหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไร
จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิม อย่ากระหยิ่มยศฐาอัชฌาสัย
อย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป ตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร ฯ
๏ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่ว ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวน
สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวล เป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กล
พอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศี ให้เวียนหวีได้วันละพันหน
ตรงการงานแล้วขี้คร้านเป็นกังวล แต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลา
ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู ยังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหา
วันนี้ละครใครที่ไหนมา แม้รู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไป
นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลง ดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหล
บ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป ช่างกะไรหนอกนิษฐ์ไม่คิดอาย
บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้น เที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงาย
ห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกราย พวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริง
ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก ปะเตะปลอกต้ำผางวางจนเหลิง
ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิง จะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียว
ใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง ทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยว
ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว ประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตรา
พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนัก เห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉา
เที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอา นั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดน
ที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น สู้ปิดปกยกตนนี่สุดแสน
ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน ก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบาย
หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว ให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหาย
ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย ไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บ
มือก็ไวใจกล้าหน้าก็ด้าน จะเอาขวานเข้าไปถากไม่อยากเจ็บ
แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ ขี้เกียจเก็บผลัดวางไว้กลางเรือน
อันการเหย้าแล้วไม่เอาเป็นธุระ คิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อน
คบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน จะคบคนพลเรือนก็เต็มที
ชั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ ด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่
ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี เข้าของมีให้ไปมิได้คืน
แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า จนชั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืน
มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน ใครจะชื่นชมชิดไม่คิดคบ
หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก จำจะบวกบอกใส่เสียให้จบ
ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ หล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล ฯ
๏ หญิงพวกหนึ่งนั้นทำปั้นเจ๋อ เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐาน
ไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดาน เห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามา
ล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง เที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนา
พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา เป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริง
ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น เป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิง
ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง เขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอย
ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่น เขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอย
ถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย ไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดี
อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์ เขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผี
เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี มันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาว ฯ
๏ ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์ ถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาว
อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว ไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชน
ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย เห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสน
ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน ลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดี
สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้ ว่าผู้ใดงามพักตร์สูงศักดิ์ศรี
ถึงเป็นองค์สุริยวงศ์พระจักรี แม้ไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไป
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า อย่าถือว่าตนงามตามวิสัย
ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร เขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ ฯ
๏ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์ แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐาน
ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาล แลละลานล้วนสุวรรณอันลออ
เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง เอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอ
แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ ลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบาย
หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง ต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหาย
แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย สายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้อง
แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ ผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลือง
ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง จนทองเหลืองก็ไม่ละจะกละงาม
ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์ ทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสาม
ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม ไม่มีความอายจิตสักนิดเดียว
เขาจึงว่าหน้าสดปรากฏอยู่ สมแก่ผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียว
เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว ไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มลงจมแปลง
เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่ จะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็ง
เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง เขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ ฯ
๏ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนด
เที่ยวยักย้ายร่วมชมภิรมย์รส ใครมาจดโผจับรับตะกาง
จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น เล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้าง
ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคาง ก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟัน
เพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย ทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสัน
เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์ ยื่นพระขรรค์ผัวให้กับอ้ายโจร
อันใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง จนลือดังข่าวก้องดังกลองโขน
เพราะนิสัยใจกนิษฐ์เล่นปลิดโยน จนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชย
ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ ต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉย
อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย ด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล ฯ
๏ บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์
ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การ
บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของ ให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสาน
ครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ บอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความ
ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น ชวนกันเดินหลีกออกนอกสนาม
ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม จนเลยลามลืมบ้านสถานตน
ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก เป็นโรครักเกิดมารศีรษะขน
ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน หมายประจญจะให้ดับที่อับอาย
รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด จะปกปิดเปลวไฟเห็นไม่หาย
เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย คงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตรา
ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ ก็อาดูรพูนเกิดสหัสสา
ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา เป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทา
ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข เอาลูกไปมุ่นหมกยกให้เขา
แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา พอปัดเป่าความอายให้หายแคลง
ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ มันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนง
ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลง มาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือ
ไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย เหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือ
ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิเฝ้าชิดเชื้อ นึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มี
เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก มันขายพักตร์สารพัดจะบัดสี
ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี แต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียง
เป็นกนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง ไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียง
เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียง เป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย
ท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์ ไม่พอที่เสียนวลอย่าควรเสีย
เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย ย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนาง
นี่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า จะเกิดมาทำไมให้หมองหมาง
เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง จะเอาอย่างนางโมราฤาว่าไร
เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม คนจึงลามเลยลวนมากวนได้
แม้รู้จักรักษาถือตราไว้ จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัว
อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด จับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัว
จึงจะนับว่าคนดีไม่มีมัว ถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชาย
เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศ สุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลาย
ถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย ก็อาจกลายส่งสวยด้วยใจงาม ฯ
๏ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม
ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเอง
ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ เขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหง
พลอยประจบกลบความไปตามเพลง เพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
ทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่ เขาจับได้ชายชู้ดูน่าขัน
ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์ ต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวน
เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม ไปนอนทิมตรากตรำเฝ้ากำสรวล
เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล แลแต่ล้วนลูกความออกหลามไป
ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น ก็ไม่ชื่นชมชิดพิสมัย
จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ จะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตน
ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว ข้างตัวกลัวก็บอกออกอนุสนธิ์
เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอาย
ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด จึงจำกัดศักดินาราคาขาย
ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชาย มันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืน
ก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว อยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่น
ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืน ต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอน
ที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก มีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอน
เพราะเหตุตัวชั่วชื่อลือขจร ที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดี
ครั้นลำบากยากใจสิได้คิด แต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสี
ใช่ไม่รู้ว่าเขาห้ามความถ้อยมี ชั่วฤาดีก็ได้ยินสิ้นทุกคน
เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย มันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝน
ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน ทำซุกซนจนได้ยากลำบากกาย
มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์ จะลงรักทองปิดไม่มิดหาย
อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย เปรียบเหมือนกายกามีราคีคาว
ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต คงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาว
ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว ไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารี
ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า ถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่
ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร
แม้ชั่วช้าใครเขาว่าแล้วโกรธเขา เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข
จะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไป ถึงตกใต้เทวทัตต์เพราะขัดเคือง
แม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธ เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง
ให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย ฯ
๏ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์ จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่
อันความดีมีอยู่ดูจำไว้ อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอม
จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ จงซื่อสัตย์สุจริตจิตถนอม
อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอม มโนน้อมเสน่หาต่อสามี
อย่าคบชู้สู่สมนิยมหวัง ไม่จิรังกาลดอกบอกโฉมศรี
เขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้ ถ้าแม้มีเข้าของต้องบำเรอ
ธุระอะไรจะให้มันเสียของ อันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอ
เพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอ ควรบำเรอลูกผัวของตัวตน
จะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน เพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผล
แม้นอกจิตคิดร้ายหมายประจญ จะพาตนยากยับอัประมาณ
จงกันภัยในเล่ห์เสน่หา อย่าให้มาปนปะจงประหาร
เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณ ถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไร
จงซื่อต่อภัสดาสวามี จนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัย
อย่าให้มีราคินที่กินใจ อุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดา
ถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้ ด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์
หญิงเดี๋ยวนี้แม้มีสัตยา ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน ฯ
๏ แม้เขารักแล้วอย่าทำดื้อจิต เร่งเกรงผิดกลัวภัยใหญ่มหันต์
คำนับนอบสามีทุกวี่วัน อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงตะบอน
ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน จุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อน
ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง
ถ้าแม้ว่าภัสดาเข้าไสยาสน์ จงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลง
เขาเมื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวดทรง ช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา
ประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ อย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขา
นอนให้ดีมีสติสิริเรา อย่าซบเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับ
จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา น้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพ
จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ จัดประทับเทียบทำให้น้ำนวล
ทั้งกะโถนคนทีขัดสีไว้ ให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วน
อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน จงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการ
แม้รู้ว่าสามีจะไปไหน แต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถาน
ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน ให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนา
จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้ เผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหา
อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทนา จงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวัง
อยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว นางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลัง
อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง เขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี ฯ
๏ ถ้าผัวทำราชการพระผ่านเกล้า เคยเข้าเฝ้าสู่วังนรังศรี
ทั้งล่วมปัดจัดแจงแต่งให้ดี หมากบุหรี่หาใส่ให้ไปกิน
อุตส่าห์ทำบำเรอเสนอสนอง ตามทำนองมิ่งมิตรเป็นนิจศิล
ปรนนิบัติภัสดาอย่าราคิน จึงจะภิญโญยศปรากฏไป ฯ
๏ เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง อย่าทอดทิ้งกิริยาอัชฌาสัย
เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์
แม้ผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้ อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสม
เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำคอยพรำพรม แม้ระดมทั้งคู่จะวู่วาม
อันโทโสโมโหไม่อดได้ ความในใจก็ดังออกกลางสนาม
ที่ชาวบ้านท่านไม่รู้จะรู้ความ อย่าทำตามใจนักมักจะเคย
เอาใจผัวผัวจะรักเจ้าหนักหนา หมั่นนำพาการเรือนอย่าเชือนเฉย
แม้ผัวทุกข์ขุกไข้ไม่เสบย อย่าวายเวยลามลวนให้กวนใจ
จงแย้มสรวลชวนปลอบให้ชอบชื่น เห็นเริงรื่นหัทยาจึงปราศรัย
ค่อยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฤทัย แม้สิ่งไรเขาไม่ชื่นอย่าขืนทำ
จะพูดจาสารพัดประหยัดปาก อย่าพูดมากเติมต่อซึ่งข้อขำ
ความสิ่งไรในจิตจงปิดงำ อย่าควรนำแนะออกไปนอกเรือน
การสิ่งไรที่ชั่วผัวเขาห้าม ประพฤติตามแบบแผนให้แม้นเหมือน
อย่าดึงดื้อถือตนเป็นคนเชือน จะเอ่ยเอื้อนโอภาให้น่าฟัง ฯ
๏ แม้พิโรธโกรธขึ้งกับภัสดา อย่านินทาว่าผัวตัวลับหลัง
พึงข่มขืนกลืนไว้ในอุรัง อุตส่าห์บังกลบเกลื่อนที่เงื่อนเงา
จึงจะว่านารีมีความคิด รู้ปกปิดมิดโทษไม่โฉดเขลา
ถึงใครรู้อยู่ว่าคมต้องชมเรา หนึ่งผัวเล่าเขาก็เห็นว่าเป็นดี
การนินทาด่าผัวนี้ชั่วถ่อย เป็นคนน้อยปัญญาเสียราศี
ถึงร้างหย่าหาใหม่วิสัยมี ชายที่ดีรู้กำพืดก็จืดไป
บ้างทำกลัวตัวสั่นแต่ต่อหน้า ถึงตีด่าก็สู้นิ่งไม่ติงไหว
ครั้นผัวเดินเกินเลยเฉยเฉียดไป ก็ด่าให้ไม่ดังตั้งกระซิบ
ทำเสงี่ยมเจียมตัวผัวไม่เห็น ดูเหมือนเช่นปากว่าตาขยิบ
ครั้นว่าเขาเข้าใจรู้ไหวพริบ ก็ต้องริบต้องร้างระคางแคลง ฯ
๏ บางนารีที่เป็นนางใจร้ายกาจ หมิ่นประมาททุ่มเถียงส่งเสียงแข็ง
สำรากก้องร้องแรกแหกกระแชง ตะคอกแกล้งข่มขี่ให้ผัวกลัว
ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด ให้สามีอัปยศลงหดหัว
ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว มัดมือผัวผูกแขวนแค่นเฆี่ยนตี
ทรมานภัสดาน่าสังเวช ดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสี
ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี ที่ไม่มีภัสดาให้มาดู
ข้างฝ่ายผัวใจดีมิได้ว่า นิ่งให้เมียเฆี่ยนด่าน่าอดสู
ดูเหมือนแม่กับลูกผูกขึ้นชู มิได้สู้รบรับสัประยุทธ์
ช่างกระไรใจคอมันอดได้ ดูเหมือนไม่มีจิตผิดบุรุษ
จึงยอมตัวกลัวเมียจนหัวมุด น้อยมนุษย์ที่จะเป็นได้เช่นนั้น
เหมือนเช่นเราแล้วไม่ต้องให้ตีตบ คงสู้รบโต้เต็มให้เข้มขัน
จะถีบถองเสียให้ยับไล่ขับกัน ร้างหย่ามันเสียให้ค้างอยู่กลางคัน ฯ
๏ สุภาษิตซึ่งประดิษฐ์มาไว้นี้ ล้วนแต่มีเยี่ยงอย่างดังเสกสรรค์
ใช่จะแกล้งแต่งคำมารำพัน คนทุกวันมักอย่างนี้มีอาเกียรณ์
จะร่ำไปสักเท่าไรก็ไม่หมด ขี้เกียจจดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยมือเขียน
อุตส่าห์ตรองตริตรึกนึกจำเนียร ตั้งความเพียรผูกข้อต่อเรื่องราว
พอเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์โทษ เป็นประโยชน์แก่สตรีที่สวยสาว
เป็นตำรับแบบฉบับไปยืดยาว ในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความ
ข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปขืนทำ จงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยาม
เก็บประกอบเอาแต่ชอบในเรื่องความ ประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดี
อย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะ จงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรี
ไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี กันบัดสีคำค่อนคนนินทา
ให้สุขีศรีเมืองเลื่องลือฟุ้ง หอมจรุงกลิ่นกลั้วทั่วทิศา
เป็นที่ชื่นเช่นอย่างนางสีดา ในใต้หล้าหมายประคองตัวน้องเอย ฯ


[๑] สุภาษิตสอนสตรีนี้ เดิมเรียกกันว่า “สุภาษิตสอนหญิง” หรือ “สุภาษิตไทย” แม้ในบัญชีชื่อหนังสือที่สุนทรภู่แต่งซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงไว้ท้ายประวัติสุนทรภู่ก็เรียกว่า “สุภาษิตสอนหญิง”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ