บทนำเรื่อง
เรื่องคำฉันท์สอนหญิงนี้ เป็นหนังสือเก่าไม่ปรากฏนามผู้แต่งได้จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ ในหนังสือวชิรญาณ และต่อมาได้พิมพ์เป็นเล่ม ครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เพื่อแจกในงานทอดกฐินของคณะสามัคคีวัดพิกุลโสคันธ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพิมพ์ครั้งที่ ๓ ในงานฌาปนกิจศพนางปุ่น สำเนียงพิน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ ในการจัดพิมพ์เรื่องคำฉันท์สอนหญิงครั้งนี้ได้ตรวจสอบชำระโดยใช้ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นหลัก โดยปรับอักขรวิธีบางส่วนให้ใกล้เคียงกับปัจจุบัน
เรื่องคำฉันท์สอนหญิงแต่งด้วยคำประพันธ์ ๓ ชนิด คืออินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ จำนวน ๕๖ บท กาพย์ฉบัง ๑๖ จำนวน ๗๘ บท และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ จำนวน ๓๖ บท เนื้อเรื่องเป็นสุภาษิตสำหรับสตรีทุกชนชั้น กล่าวถึงข้อควรประพฤติปฏิบัติของกุลสตรี
เนื้อหาตอนต้นของคำฉันท์สอนหญิงบอกจุดมุ่งหมายในการแต่งไว้ว่า
๏ ข้าขอเผด็จแสดง | ผจงแต่งซึ่งคำสอน |
ไว้เป็นสุนทรกลอน | คดีโลกลำดับความ |
๏ ไว้ให้แก่นาเรศ | เฉลิมเกศอนงค์งาม |
รุ่นสาวเจริญทราม | พิศวาสแสวงชาย |
๏ นารีอันมีศักดิ์ | วรพักตร์ดั่งเดือนฉาย |
สงวนตัวไม่มัวระคาย | จะระคนด้วยมลทิน |
๏ เสมือนดังวิเชียรรัต | นะลือระบือระบิน |
เป็นอรรคนาริน | รจนาวราโฉม |
๏ ควรเป็นมงคลขวัญ | นัยเนตรวิเศษโสม |
นัสนาฎสวาทโลม | ฤดีชายให้ ถวิล |
เนื้อหาของคำสอนนี้กล่าวถึงข้อที่ควรปฏิบัติและข้อห้ามที่สตรีไม่ควรกระทำ และมีตัวอย่างของผลดีจากการปฏิบัติตามคำสอนและผลร้ายเมื่อไม่ปฏิบัติตาม ดังตัวอย่าง
สอนให้ระมัดระวังตนในเรื่องการเดิน การยืนและการลุกนั่ง
๏ เดินเหินอย่าเมินพักตร์ | แลชำลักชำเลืองยล |
เห็นชายทำอายฉงน | ระริกร่านัยน์ตามัน |
๏ ยามเดินอย่าเมินประมาท | ให้พลั้งพลาดล้มเซซวน |
ยามยืนอย่ายืนยวน | กมลขึงตะลึงแล |
๏ ยามเดินอย่าเดินเหย่า | ระเหยาะย่างเหมือนอย่างกา |
อย่าเดินเอาศิรา | ชะโงกเงื้อมไปก่อนกาย |
๏ ลุกนั่งระวังตน | อย่าลุกลนทะลึ่งไป |
ภูษาแลผ้าสไบ | จงปกปิดให้มิดกาย |
และสอนให้รู้จักวิธีการเดินที่ถูกต้องผึ่งผายและสง่างามเสมือนท่าทางของช้างทรง
๏ ให้เดินผจงบาท | ด้วยลีลาศชำเลืองชาย |
แอ่นอกให้ผึ่งผาย | เหมือนดังเป็ดวิเศษดี |
๏ เดินเหมือนคชาทรง | มงคลราชหัสดี |
จะเป็นเฉลิมศรี | ศุภสุนทรานาน |
สอนการแต่งกายให้งามอย่างพอดี เหมาะสมกับฐานะและการรู้จักเลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับลักษณะของตนเอง
๏ แต่งกายให้สมศักดิ์ | วรพักตร์วิไลวรรณ |
คนดำห่มแดงฉัน | ไม่ฉายเฉิดประเสริฐศรี |
๏ คนขาวจะนุ่งห่ม | อันใดใดก็งามดี |
คนดำต้องห่มสี | แต่หม่นหมองแลเขียวคราม |
๏ ห่มแดงแลสีนวล | บมิควรจะเห็นงาม |
ชายเห็นจะเย้ยหยาม | บริภาษให้บาดใจ |
และหากสตรีแต่งกายมากเกินไปดูไม่สมควรก็จะได้รับการติเตียน
๏ ทาแป้งแต่งเกินสกนธ์ | สำหรับคำคน |
จักเคาะจักข้อนนินทา |
สอนให้รู้จักการใช้วาจาที่ไพเราะ อ่อนหวาน ไม่ใช้คำพูดที่นินทาว่าร้าย หรือการพูดจาหยาบคาย และไม่พูดยกตนข่มผู้อื่น
๏ นารีอันมียศ | มธุรสย่อมแจ่มใส |
เยื้อนยิ้มพริ้มละไม | พจนารถสวาทหวาน |
๏ อย่ากล่าวยุบลบ่อน | สบถล่อนให้เกินการ |
อวดโอ้พูดโวหาร | ยกตัวตั้งอวดมั่งมี |
๏ อย่าค่อนนินทาท่าน | มิใช่การกระสัตรี |
ความชั่วแลความดี | ย่อมมีทั่วทุกตัวคน |
๏ อย่าหยิ่งเผยอผยอง | ลำพองตนกระมลทิน |
ปากร้ายผูกไพริน | แก่เพื่อนมิตรสนิทนาง |
๏ จงเจียมเสงี่ยมจิตต์ | แต่งจริตให้สำอาง |
พูดจาอย่าราญทาง | แก่เพื่อนรักสมัครตน |
๏ เป็นหญิงอย่าใจบาป | วาจาหยาบพูดสามานย์ |
กล่าวโลนตลกพาน | เหมือนเช่นชายบ่อายใจ |
๏ พูดจาอย่าให้เคืองระคาย | เอาใจไว้พลาง |
กันคนติฉินนินทา |
สอนให้ระมัดระวังตนในเรื่องรับประทานอาหาร เช่น อย่าทำกิริยาหันหน้าหันหลังยามรับประทานอาหาร อย่าเปิบข้าวคำใหญ่ หรือเคี้ยวอาหารและซดน้ำแกงด้วยเสียงที่ดัง
๏ ยามกินอย่าผินพักตร์ | บริโภคกระยาหาร |
แสนทรัพย์ศฤงคาร | จะเนืองนองดั่งน้ำไหล |
๏ ประจิมจักมียศ | เป็นยอดอย่างสุรางค์ใน |
อุดรจักมีภัย | อย่าผินพักตร์รับอาหาร |
๏ ยามกินอย่ากินเติบ | ค่อยป้อนเปิบให้สบาย |
ข้าวตกลงเรี่ยราย | ไม่สู้ดีอัปรีย์ตน |
๏ เคี้ยวข้าวดังจับจับ | จะอาภัพวิบัติคน |
ซดแกงเหมือนเสียงกรน | ดังโฮกโฮกกระโชกลม |
สอนให้ระวังตนในเรื่องกิริยาการนอน เช่น อย่านอนหงาย อย่านอนก่ายหน้าผาก หรือนอนกอดอกและหากนอนไม่ระวังหรือนอนไม่ถูกทิศทาง อาจจะทำให้เจ็บป่วยได้ แต่ถ้าหากนอนในท่าที่ถูกต้อง ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จะมีสุขภาพที่ดี
๏ ยามนอนอย่านอนหงาย | เอากรก่ายวิลาศแปร |
กอดอกอดูรแด | ฤดีดิ้นถวิลชาย |
๏ ยามกินอย่ากินเติบ | ค่อยป้อนเปิบให้สบาย |
ข้าวตกลงเรี่ยราย | ไม่สู้ดีอัปรีย์ตน |
๏ เคี้ยวข้าวดังจับจับ | จะอาภัพวิบัติคน |
ซดแกงเหมือนเสียงกรน | ดังโฮกโฮกกระโชกลม |
๏ นอนหลับละเมอฝัน | บ้างเคี้ยวฟันสยายผม |
ครางครวญรัญจวนตรม | กลสะอื้นไม่ฟื้นตัว |
๏ บ้างนอนน้ำลายไหล | บ้างถอนใจดูน่ากลัว |
เสียงกรนเหมือนเสียงวัว | ดูอนาถประหลาดใจ |
๏ บ้างนอนเป็นท่ายักษ์ | ย่อมชั่วนักคนจัญไร |
มือสอดเข้าไว้ใน | ระหว่างขาท่าอัปรีย์ |
๏ ระมัดระวังตัว | อย่านอนชั่วมักไม่ดี |
โรคาจักยายี | อายุน้อยจักถอยแรง |
๏ นอนดีจะมีทรัพย์ | กิติศัพท์เป็นศักดิ์แสง |
คำสอนให้นอนตะแคง | เอาแขนพาดไปตามสกนธ์ |
๏ เหยียดเท้าลำดับบาท | เอากรพาดหนุนเศียรตน |
เป็นสวัสดิมงคล | ชื่อสีหไสยา |
สอนให้รู้จักทำครัว และมีความละเอียดรอบคอบดูแลความเรียบร้อยเรื่องงานในครัว เช่น คอยหมั่นล้างถ้วยชาม อย่าให้ข้าวคาหม้อ คอยดูแลครัวไฟให้เรียบร้อยสะอาดตา เมื่อหุงข้าวทำครัวเสร็จแล้วต้องดับไฟ
๏ ด้วยตัวเป็นหญิง | กับข้าวทุกสิ่ง | ให้รู้จักทำ | |
รู้ต้มรู้แกง | ของแห้งของน้ำ | ผักพล่าปลายำ | ทำให้ดีดี |
และ
๏ ข้าวปลาอย่าคาหม้อ | ไว้เหลือหลอให้บูดรา |
ถ้วยชามอย่าให้คา | หมั่นล้างคว่ำทำให้ดี |
๏ ครัวไฟอย่าให้รก | สกปรกมักอัปรีย์ |
หม้อข้าวฝาละมี | อย่าเปลี่ยนผลัดพลัดกันไป |
๏ หุงข้าวอย่าผินหลัง | หมั่นระวังทั้งฟืนไฟ |
เสร็จสรรพดับให้ได้ | อย่าทิ้งไว้จักไหม้เรือน |
๏ กินแล้วอย่าฉุยแฉ่ | ให้พ่อแม่ต้องตักเตือน |
อย่าทิ้งไว้ให้กลาดเกลื่อน | เปื้อนครัวไฟนั้นไม่ดี |
สอนให้รู้จักปรนนิบัติดูแลสามี เช่น เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ข้าวปลาอาหารต้องดูแลให้สามีรับประทานก่อน จนเมื่อสามีรับประทานเสร็จตนจึงค่อยรับประทาน จัดเตรียมที่นอนให้สะอาดเรียบร้อย เตรียมน้ำสำหรับล้างหน้า คอยพัดวีเมื่อยามร้อน เป็นต้น
๏ อนึ่งให้นอบน้อมจอมสกนธ์ | ปรนนิบัติผัวตน |
โดยสุจริตพิสมัย | |
๏ ถึงมีทาสาข้าไทย | อย่าได้ไว้ใจ |
ให้หุงให้หาอาหาร | |
๏ ตาดูหูใส่ในการ | กลัวคนสามานย์ |
ใส่ยาจักฆ่าสามี |
และ
๏ จวนใกล้ไขแสงสุริยง | ตื่นจัดบรรจง |
น้ำสรงชำระพักตรา | |
๏ เสร็จสรรพแล้วกลับออกมา | หุงหาโภชนา |
บรรจงอย่าให้ใครทำ | |
๏ แต่งให้ผัวกินอิ่มหนำ | ยกมาล้างคว่ำ |
แล้วตัวจึงค่อยหากิน | |
๏ วัตถาอาภรณ์อันดี | สำหรับสามี |
จงจีบประดับพับวาง | |
๏ เย็นค่ำย่ำแสงสุริยน | นั่งนอบมอบสกนธ์ |
เข้าปรนนิบัติพัดวี | |
๏ ผจงปัดปูที่นอน | เลือดไรในหมอน |
จงหาอย่าได้คายคัน |
และเมื่อสามีมีจิตปฏิพัทธ์ด้วย ภรรยาต้องพร้อมใจอย่าทำท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์
๏ อนึ่งสามีมีใจ | รักร่วมพิสมัย |
สังวาสสวาทหฤหรรษ์ | |
๏ จงมีปรีดาเสมอกัน | อย่าทำเดียดฉันท์ |
ให้ขัดให้ข้องขุ่นเคือง | |
๏ ไฟลุกฝอยลุกรุ่งเรือง | ไฟดับฝอยประเทือง |
ให้ดับระงับตามกัน |
และ
๏ หญิงใดสามีผูกพันธ์ | มีจิตคิดกระสัน |
ประสงค์จำนงในนาง | |
๏ แม้รู้อย่าทำราญทาง | กล่าวคำให้ระคาง |
ระบัดระเบียดเสียดสี |
สอนให้มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อสามี แม้สามีจะได้รับความลำบาก ภรรยาจะไม่ทอดทิ้งสามี
๏ ถึงผัวตกไร้ | ยากเย็นเข็ญใจ | อย่าเอาตัวหนี | |
ผัวยากเมียยาก | ลำบากแสนทวี | ผัวมีเมียมี | ภักดีต่อกัน |
สอนให้มีความเคารพนบนอบต่อบิดามารดาสามีเสมือนบิดามารดาตน และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อญาติวงศ์
๏ บิดรมารดาสวามิน | อย่าให้ติฉิน |
รังเกียจรังกนหม่นหมาง | |
๏ ไปลามาไหว้ให้สำอาง | คิดเหมือนพ่อนาง |
แม่บังเกิดเกล้าเกศี | |
๏ พี่น้องญาติกาสามี | เจรจาพาที |
โอบอ้อมถนอมใจกัน | |
๏ ไปมาหาของกำนัล | ใส่โตกเชี่ยนขัน |
คำนับให้สมพักตรา | |
๏ พี่น้องไปมาหา | นั่งพูดจาอย่าทำอาย |
พบปะเข้าทักทาย | ปากเราะรายพูดให้ดี |
๏ ลุงอาแลตาปู่ | ไปมาสู่ด้วยไมตรี |
ข้าวปลาหาหุงจี่ | ตามยากมีให้ท่านกิน |
๏ จงมีศรัทธา | ได้ของอะไรมา | เปรี้ยวเค็มหวานมัน | |
จงแบ่งทำบุญ | เพิ่มพูนสมสรรค์ | กรวดน้ำรำพรรณ | ให้แก่ญาติกา |
สอนให้ไม่นำเรื่องในบ้านหรือความลับของสามีไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง และหากสามีโกรธขึ้ง ภรรยาต้องระงับอารมณ์ไม่เถียงทะเลาะกันให้เป็นที่ติฉินของชาวบ้าน
๏ ความลับผัวแจ้งกิจจา | ไว้ในอุรา |
อย่าได้แถลงแพร่งพราย | |
๏ ปากบอนข้อนกล่าวบรรยาย | ผัวจักได้อาย |
ให้ควรสงวนภัสดา | |
๏ แม้ว่าสามีโกรธา | อย่าตอบวัจนา |
อดออมถนอมน้ำใจ | |
๏ หายโกรธจึงค่อยเฉลยไข | เล่าความตามนัย |
ยุบลแต่ต้นเหตุมี |
สอนให้ประพฤติตนเป็นคนดี รู้จักรักนวลสงวนตัว เมื่อเวลาค่ำไม่ออกนอกบ้าน และหากจะออกจากบ้านต้องมีเพื่อนไปด้วย
๏ แม้ผู้มีศักดิ์ | อย่าทำทรลักษณ์ | เหมือนน้ำใจหญิง | |
รักนวลสงวนหน้า | วงศาอย่าประวิง | จักงามเพริศพริ้ง | เป็นภูมิผู้ดี |
๏ แดดออกดูตากของ | ฝนตกรองแต่วารี |
เย็นย่ำค่ำราตรี | อย่าจรลีจากเคหา |
หรือ
๏ หญิงสาวจักไปไหน | มีเพื่อนไปจงไคลคลา |
คนเดียวอย่าลีลา | เขานินทาว่าสามานย์ |
สอนให้ไม่เข้าบ่อนเล่นการพนัน หรือเล่นละครฟ้อนรำ ควรประกอบอาชีพอยู่กับบ้านเพื่อระวังรักษาตน
๏ อย่าเข้าบ่อนใหญ่ | เล่นโปชนไก่ | ทำใจสามานย์ | |
เป็นหญิงนักเลง | เล่นเพลงเสงการ | ปากกล้าหน้าด้าน | ประจานกายตน |
๏ อย่าเป็นละคร | เที่ยวเล่นเที่ยวฟ้อน | ทุกแห่งทุกหน | |
เป็นหญิงไม่อาย | ผู้ชายเข้าปน | จับจูบลูบสกนธ์ | ให้หม่นหมองศรี |
๏ อย่าร้องสักวา | ดอกสร้อยมาลา | ทับโทนมโหรี | |
หากินกับบ้าน | งานการจงดี | รักษาอินทรีย์ | อย่าได้ไปไกล |
สอนให้เรียนรู้วิชาการช่างฝีมือในงานเย็บปักถักร้อย ซึ่งเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของการเป็นกุลสตรีไทย
๏ รู้เย็บผ้าสงฆ์ | จีวรสบง | กระทงใบศรี | |
รู้ปักรู้พวง | สร้อยสรวงมาลี | จีบพลูบุหรี่ | ฟั่นธูปฟั่นเทียน |
๏ ให้รู้ทอผ้า | บัวดอกเมล็ดงา | ม่วงไหมให้เนียน | |
แกะประจำกัน | สารพรรณวาดเขียน | ให้นางมีเพียร | เรียนรู้วิชา |
ให้ศึกษาและเรียนรู้หนังสือเพื่อเป็นวิชาประดับตน
๏ รู้หนังสือไทย | ขัดเข้าจักได้ | อ่านตำรายา | |
ได้อ่านสวดมนต์ | เล่าบ่นคาถา | ตามแต่ปัญญา | เป็นทางนิพพาน |
ผู้แต่งได้เปรียบเทียบสตรีเสมือนดอกไม้และแหวนประดับที่งดงามหากรู้จักระวังรักษาตนจะมีคุณค่า แต่ถ้าสตรีนั้นชอกช้ำบุบสลาย จะไม่เป็นที่ปรารถนาของบุรุษ
๏ เปรียบเหมือนกับดอกไม้ | ม้วนแทรกใส่ในอาจม |
ผู้ใดใครจักชม | ดอกโสมมไม่นำพา |
๏ ถ้าว่าสุมาลี | เกสรมีงามรจนา |
เป็นที่เสน่หา | จิตเมตตาทุกตัวคน |
๏ ตัวดีมีคนรัก | ทำทรลักษณ์จักได้อาย |
หัวแหวนแสนเสียดาย | ตกแตกทะลายหายราคา |
๏ เปรียบเหมือนกับหญิงสาว | ทำราญร้าวใส่กายา |
ชายดีมีปรีชา | ไม่ปรารถนาจักเชยชม |
นอกจากคำสอนให้สตรีรู้จักการประพฤติและปฏิบัติตนให้เป็นกุลสตรีที่ดีงามแล้ว ยังเปรียบเทียบคุณค่าความดีของสตรีในลักษณะต่าง ๆ เช่น
- หญิงที่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อสามีและตนเอง เสมือนมีสร้อยสังวาลที่มีค่าไว้ประดับกาย
๏ ความสัตย์กตัญญูยุพิน | เป็นสายเกาบิล |
สังวาลแลสร้อยสวมทรง |
- หญิงที่มีอัธยาศัยไมตรีดี เสมือนมีแหวนทองอันมีค่าประดับนิ้วมือ
๏ อัธยาอาศัยในอนงค์ | จัดเป็นธำมรงค์ |
สุวรรณวลัยใส่กร |
- หญิงที่รู้จักคิดและมีสติปัญญา เสมือนมีเครื่องแต่งกายอันงดงามวิจิตรไว้ประดับตน
๏ สติปัญญาถาวร | จัดเป็นอาภรณ์ |
ภูษิตวิเศษเจษฎา |
- หญิงที่ปฏิบัติตนตามหลักพรหมวิหาร ๔ เสมือนมีอาภรณ์อันมีคุณค่าไว้ประดับกาย และเป็นศักดิ์ศรีแก่วงศ์ตระกูล
๏ หนึ่งจิตเมตตากรุณา | มุทิตาอุเบกขา |
เป็นผ้าสไบใส่สี | |
๏ สำหรับประดับกระสัตรี | ให้เอี่ยมองค์ฉวี |
สมศักดิ์ตระกูลกัลป์ยางค์ |
นอกจากนี้ผู้แต่งยังชี้ให้เห็นถึงคตินิยมของสังคมไทยสมัยก่อนที่สตรีจะต้องแต่งงานมีคู่ครองและให้สามีเป็นผู้ปกป้องดูแลเสมือนมีแหวนวงอันล้ำค่ามาประดับนิ้วมือและเป็นความภาคภูมิใจประการหนึ่งของสตรีที่ตนมีเจ้าของแล้ว มิต้องห่วงใยที่บุรุษใดจะมาหมายปองอีก
๏ นารีมีคู่สู่แสวง | คนย่อมยำแยง |
บห่อนจักเย้ยไยไพ |
และ
๏ แหวนดีจักมีราคา | เพราะหัวจินดา |
ประดับสำหรับธำมรงค์ |
และเช่นเดียวกันหากหญิงใดไม่มีคู่ครองก็เหมือนด้อยศักดิ์ศรีความเป็นสตรีเปรียบประดุจดอกไม้ที่ไม่มีใครเด็ดดอมจะมีแต่ร่วงโรยไป
๏ หญิงใดแรมร้างสามี | เปรียบเหมือนมาลี |
ไม่มีเจ้าของหวงแหน | |
๏ สำหรับผึ้งต่อตัวแตน | เบียนบ่อนซ้อนแกน |
ก็โรยไปรื่นรสสุคนธ์ |
คตินิยมอีกประการหนึ่งคือ การพิจารณาเลือกสตรีเป็นคู่ครอง บิดามารดาฝ่ายชายจะต้องเลือกสตรีที่มีมารดาประพฤติปฏิบัติดีและได้อบรมเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี
๏ เขาจักขอสู่ | เขาย่อมแลดู | พงศ์พันธุ์ผู้ใหญ่ | |
ดูช้างดูหาง | เยี่ยงอย่างกวัดไกว | ดูนางเล่าไซ้ | ให้ดูมารดา |
และ
๏ ถ้าว่าตัวดี | แม้มีบุตรี | เอี่ยมองค์นงคราญ | |
จักได้สั่งสอน | ให้อ่อนพจมาน | กิริยาอาการ | เหมือนดังมารดา |
เรื่องคำฉันท์สอนหญิงยกตัวอย่างลักษณะสตรีไว้ ๓ แบบ คือสตรีที่ได้แต่งงานด้วยการสู่ขอถูกต้องตามประเพณี สตรีที่ติดตามชายคนรักไปอยู่ด้วยกัน และสตรีที่คบชายมากหน้า ซึ่งสตรีทั้ง ๓ แบบนี้ใครเลือกที่จะประพฤติตามแบบที่ถูกต้อง ชีวิตจะประสบแต่สิ่งที่ดี แต่หากเลือกในสิ่งที่ผิดระบอบประเพณีจะเป็นที่ครหาทั่วไป และกล่าวถึงลักษณะของหญิงที่ประพฤติไม่ดีซึ่งมารดาไม่ได้อบรมสั่งสอน หญิงเหล่านี้แม้จะมีรูปลักษณ์งดงามเพียงใด บุรุษก็ไม่มีความปรารถนาที่จะเลือกเป็นคู่ชีวิต หญิงที่ชอบแต่งตัว ชอบเที่ยวกลางคืนกับผู้ชาย หญิงที่พูดมาก หญิงเหล่านี้ชีวิตจะประสบความหายนะ ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย และไม่มีใครคบเพราะไม่เชื่อใจ
ตอนท้ายของเรื่องผู้แต่งได้ชี้แจงว่า ให้สตรีรู้จักพิจารณาเลือกปฏิบัติตนและกระทำในสิ่งที่ดีเป็นบุญกุศลแก่ชีวิต เมื่อมีครอบครัวจะได้พบกับบุรุษที่ดีมีชาติตระกูลและเมื่อนำคำสอนเหล่านี้ไปปฏิบัติในการครองชีวิต เพื่อทำหน้าที่ภรรยาที่ดี หมั่นคอยปรนนิบัติดูแลสามีจะทำให้สามีรักเกิดความเกรงใจ และผลจากการปฏิบัติดีจะเกิดความเป็นสิริมงคลเป็นที่กล่าวขานชื่นชม และชีวิตการครองคู่จะพบกับความสุขความเจริญแก่วงศ์ตระกูลสืบต่อไปได้
๏ ปรนนิบัติไว้องค์อินทรีย์ | เสมือนดังดวงมณี |
มีสีประเสริฐเฉิดโฉม | |
๏ ร้อนใจอะไรชายจักประโลม | ใครเห็นแล้วโสม |
นัสเสน่ห์น่าถนอม |
และ
๏ แม้ผู้เสาวภาคย์สุนทร | ฟังวัจนาคำสอน |
ที่พี่ร่ำพรรณนา | |
๏ จักมียศเลื่องเดชา | กฎทั่วชาวชวา |
ว่ากำภุญชัยสยาม |
เรื่องคำฉันท์สอนหญิงเป็นคำสอนที่เป็นหลักประพฤติปฏิบัติสำหรับสตรี เพื่อนำไปใช้กับชีวิตครอบครัวและสังคมให้สตรีรู้จักการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง เหมาะสม ทั้งการใช้กิริยาวาจา มารยาทการแต่งกาย และการรู้จักปรนนิบัติ ดูแลเอาใจใส่ต่อสามีเพื่อทำหน้าที่ภรรยาที่ดี คำสอนและข้อปฏิบัติเหล่านี้เป็นค่านิยมประการหนึ่งของสังคมไทยที่มุ่งหวังให้สตรีรู้จักทำหน้าที่และปฏิบัติตนเป็นคนดี แม้ว่าข้อห้ามบางประการของสตรีในสมัยนั้นในเรื่องของการเล่นละครฟ้อนรำจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมไทยในปัจจุบันแต่คำสอนและข้อควรปฏิบัตินี้ยังคงเป็นประโยชน์สำหรับสตรีในสังคมไทยเลือกนำไปใช้เพื่อเสริมคุณค่าในตนเอง