|
๏ จะสอนสาวคราวรุ่นเจริญศรี |
ให้เลื่องชื่อลือชาทุกราตรี |
เหมือนมณีเกิดประดับสำหรับกาย |
กำหนดจิตคิดจำที่คำสอน |
จะถาวรดังดวงวิเชียรฉาย |
เป็นที่หวังสังรเสริญแก่ฝูงชาย |
จะเปรมปรายปราโมทย์จำนงจง |
เป็นสตรีรู้มีอัชฌาสัย |
จะอำไพเอี่ยมสำอางดังนางหงส์ |
อย่าคบค้าชาติกาสกุณวงศ์ |
จะพาองค์อัปภาคย์ลำบากนาน |
ที่ควรพูดแล้วจึงพูดแต่สุภาพ |
ที่คำหยาบนั้นอย่าข้องสนองสาร |
อย่าทำโลนตลกเล่นเช่นหญิงพาล |
อย่ากล่าวหาญอวดอ้างเหมือนอย่างชาย |
จะกินอยู่รู้มีมารยาท |
ให้สมชาติกระสัตรีมณีฉาย |
ไม่ควรสรวลแล้วอย่าสรวลให้แพร่งพราย |
อย่าชวนชายตาฉ่ำชำเลืองชม |
อย่าเดินชายกรายแขนให้เกินขนาด |
อวดฉลาดพูดเล่นไม่เห็นสม |
ที่สิ่งชั่วอย่าได้กล่าวสมาคม |
จะพลอยข่มศรีหน้าให้ตามอม |
เป็นสตรีรู้มีอัชฌาสัย |
จะอำไพเลื่องลือระบือหอม |
ถึงพี่น้องรอบข้างเป็นนางจอม |
จะเฝ้าถนอมตัวได้เมื่อไรมี |
รู้ระบอบชอบผิดจิตสุภาพ |
ให้ราบคาบแช่มช้อยเจริญศรี |
งานการสนใจสิ่งไรมี |
ให้ถ้วนถี่รู้ประคิ่นทั้งกินนอน |
รู้เก็บหอมรอบริบไว้เป็นเรือน |
อย่าเลื่อนเปื้อนจงจำที่คำสอน |
อนึ่งปูนเกลือข้าวน้ำแลฟืนรอน |
อย่านิ่งนอนไว้ให้หมดมันไม่ดี |
ถ้วยชามครัวไฟอย่าให้รก |
ทั้งสากครกล้างคว่ำประจำที่ |
(ต้นฉบับหายไป) |
อย่าให้บูดราคีทิ้งไว้กลางทาง |
ผ้านุ่งผ้าห่มจงหมั่นซัก |
เหม็นสาบนักพาตัวให้มัวหมาง |
จีบประจงพับไว้เป็นที่วาง |
อย่าผลัดกองไหว้กลางที่ทางเดิน |
อนึ่งบิดรมารดาคณาวงศ์ |
ทั้งเผ่าพงศ์พี่น้องอย่าห่างเหิน |
จงนบนอบเช้าค่ำให้จำเริญ |
อย่าทำเมินจะได้พึ่งกันต่อไป |
จะแต่งตัวให้ดูแต่สุภาพ |
ทำราบราบพอควรอัชฌาสัย |
งามจริตจิตเจียมเสงี่ยมใจ |
จะอำไพยิ่งกว่าเครื่องอาภรณ์ |
จะเที่ยวพูดกับเพื่อนอย่าเชือนเฉย |
อย่าละเลยงานการที่ฝึกสอน |
อย่าพูดเพ้อแปรดแปร้นทำแสนงอน |
ผู้ใหญ่สอนเจ้าจงจำไว้ใส่ใจ |
จะเดินก็ให้ดูมารยาท |
ให้สมชาติลูกสกุลอันแจ่มใส |
อย่าโลดเต้นเช่นลิงหญิงจังไร |
เขาไยไพเยาะเล่นไม่เป็นการ |
อย่าหัวเราะให้ดังถึงหลังเรือน |
อย่าด่าเพื่อนทำคารมอยู่ฉาดฉาน |
มิใช่การแล้วอย่าเอามาเป็นการ |
เขาไม่วานแล้วอย่าวิ่งเข้าชิงทำ |
ที่ควรเสียแล้วจึงเสียอย่าเสียดาย |
อย่าฟูมฟายเจ้าหน้าพาให้ร่ำ |
เห็นได้กอบชอบแล้วจึงเสียกำ |
ของทำมาด้วยยากลำบากกาย |
ตระหนี่นักมักตัดหนทางสั้น |
ใจใหญ่นักมักพลันจะฉิบหาย |
ที่ควรเสียแล้วจึงเสียอย่าเสียดาย |
รู้เทถ่ายมื้อเช้าไว้เป็นเย็น |
เกิดมาเมื่อคราวบรมสุข |
ที่ความทุกข์ความยากยังไม่เห็น |
เมื่อคราวเมืองแตกพม่าน้ำตากระเด็น |
แต่หัวเช่นมันกลอยไม่มีกิน |
อย่าดูถูกเงินเฟื้องสลึงบาท |
เมื่อยามขาดยืมใครไม่ได้สิ้น |
รู้เก็บหอมจะได้ออมไว้ซื้อกิน |
วันคืนยังไม่สิ้นอย่าเชื่อใจ |
อดเปรี้ยวจะได้เคี้ยวซึ่งของหวาน |
บูราณว่าเริงนักมักเป็นไข้ |
อย่าชิงสุกก่อนห่ามตามน้ำใจ |
เป็นไพร่เสียก่อนจึงเป็นนาย |
เป็นผู้หญิงรู้ซึ่งปรนนิบัติ |
สารพัดการเรือนแลซื้อขาย |
อย่ากินแล้วเที่ยวพูดเหมือนผู้ชาย |
ทำมักง่ายจะได้ยากลำบากนาน |
อย่าชักสื่อเก็บความไปเที่ยวเล่า |
เนื้อความเขาแล้วอย่าควรสนองสาร |
อย่าปากบอนซ่อนเงื่อนมิใช่การ |
คบคนพาลมักจะพาเป็นราคี |
สงบเสงี่ยมเจียมตัวประสาหญิง |
อย่าเย่อหยิ่งคารมให้เสียงมี่ |
เป็นธิดามีหน้าลูกผู้ดี |
จะวาทีอย่าให้หยาบจงน้ำนวล |
เมื่อบัวทองอยู่ในห้องชลาสินธุ์ |
ระรวยรินรื่นรสรำจวนหวน |
รักษากายอย่าให้หมองละอองนวล |
จะหอมหวนยิ่งกว่ารสสุคนธา |
เป็นหญิงพาลใจจ้านไม่รู้อาย |
คบผู้ชายมากแขกเห็นแปลกหน้า |
ทำชม้อยช้อยชายชำเลืองตา |
เล่นหน้าดัดจริตให้พิกล |
ลางทีหญิงแสนงอนทำค้อนควัก |
ตาชำลักสอดแสวงทุกแห่งหน |
ทำขวยเขินเมินพูดกับเพื่อนตน |
แต่งแต่กลเล่นตัวทั้งตาปี |
งานการสิ่งใดมิได้ทำ |
อาบแต่น้ำแล้วก็วิ่งเข้าหาหวี |
ผัดหน้าตะบอยสอยระเบียบให้เรียบดี |
แล้วสีสีผึ้งกินหมากให้ปากคม |
พ่อแม่เรียกใช้มิใคร่จะลุก |
ข้าวหุงสุกแล้วก็พลอยเข้าประสม |
อันหญิงถ่อยเช่นนี้อย่านิยม |
สมาคมคบหาเป็นราคี |
ถึงได้คู่ชูชมภิรมย์รัก |
ไอ้ชายถ่อยทรลักษณ์ไม่บัดศรี |
จะเยินยับอัปราทั้งตาปี |
ที่เขาดีเขาก็เกลียดไม่กล้ำกราย |
ถึงรูปดีก็จะมีแต่อัปยศ |
ไม่ปรากฏโชติช่วงวิเชียรฉาย |
เหมือนมะเดื่อสุกแดงเป็นแสงพราย |
ก็เสื่อมหายคลายรสอันโอชา |
อันนารีศรีสวัสดิ์เจริญโฉม |
งามประโลมลักขณาอันเลขา |
ลูกผู้ดีมีสกุลสุนทรา |
เหมือนจินดาควรคู่กับบูริน |
มีน้ำใจเลื่อมใสเป็นกุศล |
บำเพ็งผลสุจริตเป็นนิจศิล |
รักษากายมิให้สลายเป็นมลทิน |
ทั้งนั่งนอนก็ประคิ่นระวังองค์ |
งามสุภาพรู้จักรักษาศักดิ์ |
สงวนพักตร์มิให้ต้องละอองผง |
ที่สิ่งชั่วมิให้กรายระคายองค์ |
ให้สมวงศ์เหมราชสะอาดตา |
เอาจริตจิตเจียมเสงี่ยมงอน |
ต่างอาภรณ์เครื่องประดับแลภูษา |
เอาถ้อยคำสำนวนสุนทรา |
ต่างมหามงกุฎกรรเจียกจอน |
เอามารยาทกริยาอัชฌาสัย |
เป็นนางในบริวารสลับสลอน |
เอาข้อวัตรประนิบัติสถาวร |
เป็นฉัตรกั้นทินกรไว้กับกาย |
เอาความสัตย์กตัญญูเป็นหมู่ทหาร |
จะต่อต้านข้าศึกให้สูญหาย |
เอาสติปัญญาอันเพริศพราย |
เป็นป้อมค่ายคันคูประตูเมือง |
สำหรับได้ป้องกันอันตราย |
ให้กระจายขจรชื่อระบือเลื่อง |
สมสกุลพูลสวัสดิ์เป็นศรีเมือง |
จะปราดเปรื่องเสาวภาคย์ภิญโญยล |
ฟังแล้วจงจำที่คำสอน |
ให้ถาวรเป็นสุขศุภผล |
เป็นที่หวังสังรเสริญแก่ฝูงชน |
เหมือนอุบลบัวทิพย์ประทุมทอง |
เบิกบานอยู่ในสระมุจลินท์ |
ไม่แผ้วพักราคินมลทินหมอง |
หอมระรื่นชื่นรสสุคนธ์ละออง |
เป็นที่ปองภุมเรศประเวศชม |
ถึงอยู่ไกลได้กลิ่นก็บินว่อน |
มาเชยซาบเกสรเกษมสม |
ไม่เบื่อหน่ายคลายอิ่มในอารมณ์ |
สงวนชมมิให้ช้ำระกำนวล |
เหมือนวิเชียรงามละไมอำไพแสง |
กระจ่างแจ้งจับฟ้าเวหาหวน |
ไม่มีฝ้าฟองระคายสลายนวล |
เป็นคู่ควรนัคเรศบุรีเรือง |
แม้นมีอยู่ในนิเวศประเทศใด |
จะอำไพออกชื่อระบือเลื่อง |
ควรประดับแหวนทองอันรองเรือง |
ที่เนื้อเหลืองเก้าน้ำธรรมดา |
ทั้งแสงทองจับแก้วดูแวววาม |
ดูอร่ามงามสุดจับสีหน้า |
ถ้าพลอยหุงปรุงแต่งด้วยมายา |
จะซื้อมาไพเบี้ยก็เสียดาย |
ชอบประดับแหวนตะกั่วหัวมะกล่ำ |
พอแดงแดงดำดำไปเร่ขาย |
เขาติชาติเสียว่าค่าแหวนทวาย |
จะขายได้ก็แต่คนกระฎุมพี |
อันข้อเปรียบอุปไมยให้วิตถาร |
จงตรองการดูให้แจ้งในแห่งที่ |
อันจิตชั่วเหมือนตัวกระสัตรี |
ใครทำดีก็จะดูสะอาดตา |
ถึงจะได้คู่ชมภิรมย์รัก |
ก็สมศักดิ์สุริยวงศ์แลพงศา |
ใครทำชั่วก็จะมัวด้วยนินทา |
จะพลอยพาพี่น้องให้หมองเอย ฯ |