บทนำเรื่อง
เรื่องนารีศรีสวัสดิ์ “ธนญไชยเศรษฐีสอนนางวิสาขา” แต่งเป็นกลอนสุภาพ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง ตอนต้นของเรื่องมีคำโคลงนำเรื่อง ๒ บท หนังสือนารีศรีสวัสดิ์เก็บรักษาอยู่ในหอพระสมุดวชิรญาณ ฉบับที่นำมาตรวจสอบชำระนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๓ เนื้อหาเป็นคำสอนให้สตรีรู้หลักการประพฤติปฏิบัติตน มีทั้งข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติ ผู้แต่งได้นำเรื่องราวจากพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับนางวิสาขา สตรีผู้มีความเป็นเลิศในการถวายทานแก่พระบรมศาสดาและพระภิกษุสงฆ์ในครั้งพุทธกาล ผู้แต่งได้นำเรื่องเป็นคำโคลงว่า
๏ นารีศรีสวัสดิ์สร้อย | สมญา สารเอย |
สอนยอดยุพาพะงา | เลิศแล้ว |
วรนุชวนิดา | ดูด่วน เทอญแม่ |
สารพี่สอนท่อนแก้ว | ก่ำฟ้าเฟือนศรี |
๏ เศรษฐีมีชื่อแจ้ง | ธนญไชย |
สอนธิดาดวงใจ | จากห้อง |
ลูกรักพ่อจักไป | เคียงคู่ ฤาแม่ |
ยามวิโยคพ่อพ้อง | เพื่อนผู้พิสมัย |
เนื้อหาของเรื่องนารีศรีสวัสดิ์ “ธนญไชยเศรษฐีสอนนางวิสาขา” มีที่มาจากเรื่องราวในพุทธประวัติ กล่าวถึงเศรษฐีนามว่า ธนญไชย เกิดในตระกูลเศรษฐีในเมืองภัททิยนคร มีภรรยานามว่าสุมนาเทวี มีธิดานามว่านางวิสาขา มีปู่ชื่อเมณฑกเศรษฐี นางวิสาขาเป็นที่รักดุจแก้วตาดวงใจของบิดามารดาและปู่ ด้วยเป็นหญิงที่ชาญฉลาด รู้จักในเหตุอันควรและไม่ควร เมื่อนางมีอายุได้ ๗ ขวบ เมณฑกเศรษฐีผู้เป็นปู่ได้ให้นางวิสาขาพร้อมบริวารทั้ง ๕๐๐ คน ขึ้นรถ ๕๐๐ คัน และแวดล้อมไปด้วยทาสีอีก ๕๐๐ คน ไปต้อนรับพระบรมศาสนา เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบลง นางวิสาขาพร้อมบริวารก็ได้บรรลุโสดาบัน นางวิสาขาจึงได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคลตั้งแต่เป็นเด็กหญิงอายุเพียง ๗ ขวบ
ครั้งนั้นในกรุงสาวัตถี มีเศรษฐีตระกูลหนึ่งชื่อว่า มิคารเศรษฐีมีบุตรชายชื่อว่า ปุณณวัฒนกุมาร เมื่อเจริญวัยสมควรที่จะมีคู่ครอง บิดามารดาจึงขอให้ปุณณวัฒนกุมารแต่งงานเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล แต่ปุณณวัฒนกุมารไม่ประสงค์จะแต่งงาน เมื่อถูกบิดามารดารบเร้ามากขึ้น เขาจึงกล่าวว่าหากเมื่อใดพบหญิงสาวที่ประกอบพร้อมด้วยความงาม ๕ ประการ ซึ่งเรียกว่าเบญจกัลยานีแล้วจะทำตามคำขอของบิดามารดา มิคารเศรษฐีจึงเชิญพวกพราหมณ์ผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านอิตถีลักษณะ ไปแสวงหาหญิงผู้มีความงามทั้ง ๕ ประการ พร้อมมอบมาลัยทองคำและเครื่องของหมั้นไปด้วย พวกพราหมณ์ได้แสวงหาไปตามเมืองต่างๆ จนมาถึงเมืองสาเกตได้พบกับนางวิสาขา ขณะนั้นนางวิสาขาอายุย่างเข้า ๑๕ – ๑๖ ปี และมีลักษณะเบญจกัลยาณีครบถ้วน คือ ผมงาม เนื้องาม กระดูกงาม ผิวงาม และวัยงาม พวกพราหมณ์จึงถามถึงชาติตระกูล เมื่อทราบว่าชาติตระกูลเสมอกัน พราหมณ์จึงสวมพวงมาลัยทองให้นางวิสาขาเป็นการหมั้นหมายและกำหนดวันวิวาหมงคล
ธนญไชยเศรษฐีผู้เป็นบิดาของนางวิสาขาจึงสั่งให้ช่างทองทำเครื่องประดับชื่อ มหาลดาปสาธน์เพื่อมอบให้ธิดา ซึ่งเป็นเครื่องประดับพิเศษที่มีคุณค่ามหาศาลถึง ๙ โกฏิ พร้อมมอบทรัพย์สินเงินทองของใช้ต่างๆ รวมทั้งข้าทาสบริวารและฝูงโคอีกจำนวนมากมายให้แก่นางวิสาขา และก่อนที่นางวิสาขาจะไปสู่ตระกูลของสามี ธนญไชยเศรษฐีได้สั่งสอนอบรมมารยาทสมบัติของตระกูลสตรีที่จะไปสู่ตระกูลของสามี ดังนี้
สอนให้รู้จักระมัดระวังในอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งการเดิน การนั่งการพูดจา และการแสดงกิริยาอาการ
ธนญไชยเศรษฐีผู้มีศักดิ์ | สอนลูกรักโฉมศรีวิสาขา |
เชิญมานี่ร่วมจิตของบิดา | จำวาจาพ่อสอนสมรเมือง |
เจ้าจะไปมีคู่แม่หนูจ๋า | จงฟังคำพ่อว่าเถิดเนื้อเหลือง |
เป็นนารีนี้ยากวิบากเคือง | จะยาตรเยื้องเดินนั่งระวังกาย |
จำนรรจาพาทีมีจังหวะ | อย่าเอะอะอึกกระทึกตรองตรึกหมาย |
สามีสอนร้อยชั่งฟังภิปราย | อย่าวุ่นวายเง้างอดยอดยุพิน |
สอนให้รู้จักจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือน และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ทั้งเรือนเหย้าข้าวน้ำจะทำกิน | ค่อยประคินคิดดูอย่าวู่วาม |
ควรจะหมดฤาจะยังจงสังเกต | ทั้งเครื่องเทศจุกจิกพริกมะขาม |
กะปิเกลือเนื้อปลาอย่าซาทราม | อีกถ้วยชามเก็บกวาดสะอาดตา |
ทั้งเครื่องใช้ไม้สอยน้อยแลใหญ่ | จงจัดไว้ตามทำเลในเคหา |
และ
ผ้านุ่งห่มร่มเสื้อหมวกสานซับ | จงเก็บพับแขวนเรียงเคียงไสว |
การในเรือนอย่าต้องเตือนกันร่ำไป | เห็นสิ่งใดรกชัฏพึงจัดแจง |
การรู้จักปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลสามี หากทราบว่าสามีไม่ชอบสิ่งใดก็ไม่ควรกระทำ และสอนว่าชีวิตการครองคู่นั้นผู้ชายไม่ได้เลือกสรรหญิงที่มีความงามเป็นเลิศ เพียงแต่หญิงนั้นมีมารยาทงาม วาจางามก็เป็นคุณสมบัติให้ชายรักได้
เมื่อจากไปไกลตาบิดาแล้ว | ถนอมใจผัวแก้วอย่าดูหมิ่น |
สามีแม้นเหมือนบิดาอย่าราคิน | ทั้งการกินการอยู่ดูให้ดี |
นางจะงามก็เพราะความปรนนิบัติ | สารพัดทุกกระบวนให้ถ้วนถี่ |
ถ้าสิ่งใดไม่ชอบใจของสามี | แม่โฉมศรีอย่าได้ทำให้ช้ำใจ |
อันรักรูปรักสมบัติเขาตัดขาด | มารยาทผูกมัดตัดไม่ไหว |
เหมือนพระราชนิพนธ์พจน์กำหนดไว้ | สำเนาในความดำริวชิรญาณ |
สอนให้มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อสามี โดยยกตัวอย่างให้เห็นถึงความจงรักภักดีของพระนางมัทรีที่ต่อพระเวสสันดรเมื่อครั้งถูกเนรเทศออกจากบ้านเมือง
นางกษัตริย์มัทรีนารีแก้ว | อันเลิศแล้วสุดสำอางเหมือนนางหงส์ |
บังคมทูลทรงฤทธิ์บิตุรงค์ | ขอตามองค์ภัสดาสวามี |
จะอยู่ในเวียงไชยไฉนเล่า | โอ้ร่มเกล้าเหลือล้นพ้นเกศี |
ลูกกลัวอายขายหน้าชาวธานี | จะเสียดสีแสร้งว่าสาระวอน |
จะนินทาว่าได้ว่าใจชั่ว | ช่างทิ้งผัวเสียได้ใจสมร |
เวลาสุขชื่นใจในนคร | เวลาร้อนแรมร้างคิดหมางเมิน |
ถึงยากเย็นเข็ญใจขอไปด้วย | จะสู้ม้วยตามเจ้าในเขาเขิน |
ไม่ขออยู่สู้กรรมที่ก้ำเกิน | จะด้นเดินแดนป่าพนาวัน |
ธนญไชยเศรษฐียังสอนให้นางวิสาขามีความเมตตาและยุติธรรมต่อข้าทาสบริวาร หากบริวารกระทำผิดก็ให้สอบสวนโดยรับฟังข้อเท็จจริง เมื่อนายมีความยุติธรรมและมีน้ำใจต่อบริวารเขาก็จะมีใจจงรักภักดีต่อเจ้านายโดยแท้จริง
มีผู้คนข้าไทเคยใช้สอย | จะพลั้งนิดผิดหน่อยอย่าหุนหวน |
เพ่งพินิจพิศดูให้คู่ควร | ค่อยสอบสวนเสียให้แน่กระแสความ |
จะเฆี่ยนด่าข้าไทอย่าให้เถียง | บรรทัดเที่ยงวางกระทู้อย่าผลูผลาม |
ถ้าจะอยู่หรือจะไปให้งดงาม | คนผิดตามผิดทำให้หนำใจ |
อย่าก้าวก่ายร้ายดีตีขนาบ | จะเป็นบาปเป็นกรรมฟังคำไข |
มันจะแกล้งกล่าวประจานทั่วบ้านไป | เพราะนายไม่รู้บังคับจะอับอาย |
เรื่องธนญไชยเศรษฐีสอนนางวิสาขานี้ นอกจากโอวาทคำสั่งสอนของธนญไชยเศรษฐีที่มีต่อนางวิสาขาแล้ว ในเรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้นได้อย่างชัดเจนในเรื่องของ “วัฒนธรรมการกินหมาก” ด้วยสังคมไทยในสมัยโบราณนิยมการกินหมาก บ้านเรือนในสมัยก่อนจะมีเชี่ยนหมากไว้รับแขก ในงานแต่งงานก็จะมีพิธีแห่ขันหมาก และเป็นค่านิยมของคนสมัยโบราณว่าการเจียนหมากเป็นงานศิลปะที่ต้องใช้ฝีมือ สตรีที่เจียนหมากได้สวยจึงเป็นกุลสตรีที่ได้รับการยกย่อง มีความเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ ดังคำสอนที่ธนญไชยเศรษฐีสอนนางวิสาขาว่า
หมากดิบเจียนเสี้ยนอ่อนผ่อนซื้อมา | จัดไว้ท่าผัวขวัญทุกวันไป |
จะบ้ายปูนจีบพลูดูประหยัด | อย่าใช้หวัดเลยแม่หนูดูไม่ได้ |
ถ้าปูนมากกัดปากลำบากใจ | ผัวจะได้ความแค้นแสนทวี |
เมื่อเวลาเจียนจีบจงรีบจำ | พลูจุ่มน้ำล้างชำระประสะศรี |
แล้วปูผ้ารองรับพับให้ดี | เจียนไว้ทีแล้วจึ่งจีบอย่ารีบรน |
อย่าเอาพลูเช็ดผ้านุ่งให้ยุ่งหยาบ | คนจะจาบจ้วงได้ไม่เป็นผล |
อย่ากินหมากซีกใหญ่แพ้ภัยตน | อย่าเอาก้นพลูทัดขัดนัยน์ตา |
หนึ่งเชี่ยนหมากอย่าให้รกพึงตกแต่ง | อันเต้าปูนอย่าให้แห้งนะลูกหนา |
การบูรกานพลูคู่กับยา | จงจัดหาไว้ให้พร้อมเถิดจอมใจ |
นอกจากธนญไชยเศรษฐีจะอบรมสั่งสอนในการปฏิบัติตนเป็นกุลสตรีที่ดีงามพร้อมสมบูรณ์แบบแล้วยังให้โอวาทที่เป็นแนวทางปฏิบัติตนในการครองเรือน ดังนี้
โอวาทข้อที่ ๑ สอนว่า ไฟในอย่านำออก หมายความว่า อย่านำความไม่ดีไม่ถูกต้องของพ่อแม่สามีและสามีไปพูดให้คนภายนอกฟัง ดังคำสอนว่า
ไฟฝ่ายในงามขำอย่านำออก | พ่อจะบอกแม่จงจำคำพ่อว่า |
ไฟข้างในใช่อื่นนะลูกยา | อันวาจาผัวขวัญนั้นคือไฟ |
โอวาทข้อที่ ๒ กล่าวว่า ไฟนอกอย่านำเข้า หมายความว่า เมื่อมีบุคคลภายนอกตำหนิพ่อแม่สามีและสามีว่าอย่างไร อย่านำมาเล่าให้คนในบ้านฟัง
อย่าได้เล่ากล่าวขวัญครหา | จงอุตส่าห์อดออมถนอมศรี |
ถึงหนักหน่อยเบาหน่อยค่อยพาที | อย่าจู้จี้สาระวอนจะร้อนใจ |
โอวาทข้อที่ ๓ สอนให้นางวิสาขาควรพิจารณาให้ของแก่คนที่ยืมของไปใช้แล้วนำมาส่งคืน
หนึ่งเพื่อนบ้านร้านถิ่นสิ้นทั้งหลาย | เขาแจกจ่ายข้าวของมากองให้ |
แม่งามสรรพรับรองให้ต้องใจ | แล้วพึงให้ตอบบ้างเหมือนอย่างเคย |
โอวาทข้อที่ ๔ ไม่ควรให้แก่คนที่ยืมของไปใช้แล้วไม่นำมาส่งคืน
หนึ่งเราให้เขาไม่ตอบประกอบก่อ | งามลอออย่าให้ซ้ำเร่งทำเฉย |
ถ้าหมูไปไก่มาอย่าละเลย | ควรจะเต๊ยตอบตามให้งามตา |
โอวาทข้อที่ ๕ ควรให้ทั้งแก่คนที่ให้และไม่ให้ คือ เมื่อมีญาติมิตรหรือผู้ยากจนมาขอความช่วยเหลือหรือพึ่งพาอาศัย เมื่อให้ไปแล้วแม้จะได้คืนหรือไม่ได้คืนก็ควรจะให้
หนึ่งเราให้เขาไม่ตอบพึงชอบให้ | มิหาไม่ข้อนี้นี่ดีแสน |
งามละอองตรองให้เห็นเป็นคะแนน | คือคนแค้นขัดข้องต้องขอทาน |
กับภิกษุสมณะผู้ละโทษ | จงปราโมทย์ตั้งจิตคิดสมาน |
พึงคิดหวังตั้งใจให้เป็นทาน | อย่าให้ท่านตอบแทนเลยแสนงอน |
โอวาทข้อที่ ๖ พึงนั่งให้เป็นสุข หมายความว่า ไม่นั่งในที่ที่กีดขวางของพ่อแม่สามีและสามี
หนึ่งร้อยชั่งพึงนั่งให้เป็นสุข | คอยปลื้มปลูกใจจำคำเฉลย |
อันพ่อผัวแม่ผัวของตัวเคย | จะอ้างเอ่ยสนทนาอย่าให้เกิน |
จะลุกนั่งระวังระไวให้บังควร | อย่าลอยนวลตีเสมอให้เก้อเขิน |
เสียจริตนางงามทรามเจริญ | จะนั่งเดินดูระบอบค่อยยอบกาย |
โอวาทข้อที่ ๗ พึงบริโภคให้เป็นสุข หมายความว่า ควรจัดเตรียมข้าวปลาอาหารให้พ่อแม่สามีและสามีบริโภคก่อน แล้วตนจึงบริโภคภายหลัง
หนึ่งยามกินให้เป็นสุขนะลูกรัก | แม่งามพักตร์แม้นเหมือนดั่งเดือนหงาย |
อย่าเสพโภชน์ก่อนผัวเร่งกลัวอาย | ถึงเย็นสายอดออมถนอมใจ |
โอวาทข้อที่ ๘ พึงนอนให้เป็นสุข หมายความว่า ควรจัดเตรียมเครื่องนอนทั้งฟูกหมอนให้สะอาดเรียบร้อยและหากสามีเข้านอนก่อน จงตรวจตราความเรียบร้อยของบ้าน
หนึ่งพึงนอนให้เป็นสุขอย่าทุกข์ร้อน | พ่อจะสอนร่วมจิตพิสมัย |
พึงปูปัดฟูกหมอนที่นอนใน | ให้ชื่นใจผัวขวัญนั้นนิทรา |
ถ้าผัวนอนก่อนนาฏจงคลาดเคลื่อน | ประตูเรือนน้อยใหญ่ในเคหา |
จงใส่จีมลิ่มกลอนทวารา | แล้วตรวจตราโคมไฟจะไหม้ลาม |
โอวาทข้อที่ ๙ พึงบำเรอไฟ หมายความว่า ภรรยาต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า พ่อแม่สามี และสามีเปรียบเสมือนดวงไฟที่จะต้องหมั่นดูแลรักษา
บำเรอไฟได้แก่บำเรอผัว | เป็นเรียวรั้วกั้นกายสายสมร |
พ่อสอนแล้วแก้วตาพะงางอน | จงจำสอนพ่อสั่งระวังตน |
และโอวาทข้อที่ ๑๐ พึงนอบน้อมเทวาดาภายใน หมายถึง ให้มีความสำนึกอยู่เสมอว่า พ่อแม่ของสามีและสามีเปรียบเสมือนเทวดาที่จะต้องให้ความเคารพนอบน้อม
อีกข้อหนึ่งพึงไหว้เทพเจ้า | โฉมเฉลาจำวาจาอย่าฉงน |
ไหว้ชนกชนนีสามีตน | จะเกิดผลพูนพัฒน์สวัสดี |
อย่าให้ขาดทุกวันหมั่นเคารพ | จะเลิศลบแหล่งหล้าทั่วราศี |
พ่อสอนแม่รูปหล่อย่อวาที | เสาวนีลูกน้อยกลอยฤทัย |
ธนญไชยเศรษฐีได้สอนความเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ ความสามารถด้านการเรือนและการรู้จักครองตน อีกทั้งกิริยามารยาท และการรู้จักปรนนิบัติสามี เช่น การจัดเตรียมเสื้อผ้า เครื่องนอนให้สะอาดสะอ้าน ให้ตื่นก่อนและนอนทีหลังสามี หมั่นคอยจัดเตรียมน้ำล้างหน้า และห้ามมิให้รับประทานอาหารก่อนสามี หากมีแขกไปใครมาให้เตรียมการต้อนรับดูแลข้าวปลาอาหารให้บริบูรณ์ หน้าที่เหล่านี้เป็นค่านิยมที่สังคมไทยโบราณมุ่งหวังให้สตรีประพฤติปฏิบัติตาม หากแต่ค่านิยมบางประการในสมัยนั้น เช่น สตรีต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง หรือการกราบเท้าสามีก่อนนอน จะไม่เป็นที่นิยมแล้วก็ตาม แต่หากสตรีเลือกข้อควรปฏิบัติตนเพื่อนำไปปรับใช้กับชีวิตการครองเรือนในปัจจุบัน ชีวิตครอบครัวก็จะพบกับความสุขได้เช่นเดียวกัน
เอกสารอ้างอิง
สุรีย์ มีผลกิจ. พระพุทธประวัติ. จัดพิมพ์โดยบริษัทคอมฟอร์ม จำกัด, ๒๕๔๑.