หมวด ๒ ว่าด้วยลักษณทรัพย์

นักปราชญ์ทั้งหลายรวบรวมใจความมาอธิบายไว้โดยย่อว่าทรัพย์นั้น คือสรรพสิ่งที่มีคุณประโยชน์และมีค่าซื้อขายหยิบยกแลกเปลี่ยนกันได้ ทั้งต้องมีที่สิ้นสุดด้วย

ตามความอธิบายนี้ เมื่อจะสันนิษฐานว่า สิ่งใดควรจะเรียกว่าทรัพย์ ก็ต้องพิจารณาดูว่าสิ่งนั้นจะมีประโยชน์และมีค่าหรือไม่ จะซื้อขายหยิบยกแลกเปลี่ยนกันกับสิ่งอื่นได้หรือไม่

อากาศที่เราใช้สำหรับหายใจเปนต้นนั้น เปนประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้าอากาศไม่มีเราก็คงชีวิตรอยู่ไม่ได้ แต่หากว่าอากาศมีอยู่ทั่วไปโดยไม่มีที่สุดสิ้น ใครจะต้องการใช้หายใจมากน้อยสักเท่าใดก็ได้ ค่าแลกเปลี่ยนของอากาศนั้นก็ไม่มีอยู่เอง เพราะเมื่อเราหายใจเราไม่ต้องการออกแรงทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ใครจะเอาอากาศมาขายแลกเปลี่ยนเอาเงินของเราหาได้ไม่ เพราะเรามีใช้พอความต้องการอยู่แล้ว

คนอาศรัยอยู่ในเรือซึ่งลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา จะต้องการน้ำกินสักเท่าใดก็ได้ น้ำนั้นก็ไม่มีค่าแลกเปลี่ยนอย่างใดที่จะเรียกว่าเปนทรัพย์ได้ แต่ถ้าคนนั้นไปอยู่ในที่ดอนจะต้องเดินลงมาตักน้ำหาบหามขึ้นไปไว้ใช้ โดยที่จะต้องออกแรงเหน็ดเหนื่อยบ้าง ถ้าไม่ไปตักเองก็ต้องจ้างคนอื่นไปตักมาให้ คือเอาเงินหรือสิ่งของออกแลก เมื่อเปนเช่นนี้แล้ว น้ำนั้นก็มีค่ากลายเปนทรัพย์ขึ้นทันที เพราะน้ำที่ตักมานี้ ๑ มีประโยชน์ ๒ มีค่าซื้อขายแลกเปลี่ยนกันกับของสิ่งอื่นได้

เมื่อแยกลักษณทรัพย์ออกเปนสามประเภทเช่นนี้แล้ว ก็พึงจะยกตัวอย่างต่อไปว่า ของสิ่งใดจะมีลักษณเข้าอยู่ในประเภทนั้น ๆ บ้าง คือ

๑. สัมภารทั้งปวงที่เปนสิ่งเปนอันซึ่งมีค่าและนิยมกันอยู่แล้วว่าเปนทรัพย์สมบัติเช่นที่ดิน, สวน, ไร่นา, บ้านเรือน, ช้างม้า, โคกระบือ, ต้นผลไม้, เข้าปลาอาหารต่าง ๆ นา ๆ และเงินทองอันมีค่าแลกเปลี่ยนเปนราคาเงินตราได้นั้นเปนต้น

๒. แรงทำการงานฝีมือวิชาความรู้ความชำนาญและความคิด ซึ่งจะแลกเปลี่ยนซื้อขายเปนราคากันได้ เช่นแรงกุลีแบกหาม แรงคนไถนาเกี่ยวเข้า ช่างไม้, ช่างเหล็ก, ช่างปั้น, ช่างเขียน, หมอยา, หมอกฎหมาย, ครูอาจารย์ เหล่านี้เปนต้น จะแลกเปลี่ยนกันแต่ลำพังแรงต่อแรง เช่นช่างไม้ทำการให้ช่างเหล็ก ๆ ทำการให้ช่างไม้ หรือจะซื้อขายแลกเปลี่ยนแรงทำการนั้นเปนราคาเงินทองก็ได้

๓. ความเชื่อคือความที่ไว้วางใจแก่กันได้ว่าจะทำจริงตามสัญญา หรือจะสุจริตซื่อตรงไม่ฉ้อโกงนั้นก็มีค่าแลกเปลี่ยนซื้อขายกันเปนราคาได้ ประดุจสินค้าและค่าแรงทำการ มีตัวอย่างเช่นธนบัตร์ของรัฐบาลเปนต้น ธนบัตร์เปนแต่กระดาษชิ้นเดียว แต่รัฐบาลได้สัญญาว่าจะใช้เงินให้แก่ผู้ถือเท่าจำนวนที่ได้พิมพ์ลงไว้ ผู้ถือธนบัตร์เชื่อว่ามีกรรมสิทธิ์ที่จะเรียกเงินจากรัฐบาลตามจำนวนเมื่อใดก็ได้ ธนบัตร์นั้นก็มีลักษณคล้ายกับเงินตรา จะตกไปอยู่ในมือผู้ใด ผู้นั้นอาจจะมีกรรมสิทธิ์ในสรรพสิ่งของทั้งปวงที่ขายกันอยู่ในตลาด อันมีค่าแลกเปลี่ยนเท่ากันกับจำนวนเงินในธนบัตร์นั้นได้ หรือจะใช้ธนบัตร์นั้นซื้อแรงคนมาทำการให้แก่ตนก็ได้ การที่รัฐบาลออกธนบัตร์ก็เท่ากันกับขายความเชื่อ ซึ่งคนทั้งหลายมีอยู่ต่อรัฐบาล ส่วนจำนวนเงินที่จะได้นั้น จะอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ถือเชื่อว่ามีกรรมสิทธิ์ในเงินนั้นแล้ว ก็เปนอันใช้ได้อยู่เอง

กระดาษต่าง ๆ ของแบงก์ หรือผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งได้เขียนสัญญาลงไว้ว่า จะใช้เงินให้แก่ผู้ถือเช่นนั้นก็มีอีกหลายอย่าง สักแต่ว่าผู้ถือเชื่อแล้วก็เปนอันใช้ได้เท่าเงินเหมือนกัน

เพราะเหตุฉะนี้ ความเชื่อจึงนับได้ว่าเปนทรัพย์อย่างหนึ่ง และเปนทรัพย์สำคัญที่มีค่าซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในการค้าขายมากยิ่งกว่าเงินตราในปัตยุบันนี้เปนอันมาก ดังจะได้เห็นต่อไปอีก

ตัวอย่างที่ยกมากล่าวนี้ รวมใจความว่าลักษณของทรัพย์ แยกออกต่างกันได้สามอย่าง คือ สมบัติที่มีค่าเปนเงิน ๑ แรงทำการ ๑ ความเชื่อ ๑ การค้าขายและการทำมาหากินทั้งสิ้น ตกอยู่ในการแลกเปลี่ยนทรัพย์สามอย่างเท่านี้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ