หมวด ๑๐ ว่าด้วยกฎธรรมดาทั้งหลาย ซึ่งเปนที่บังคับสำหรับให้เกิดผลเปนทรัพย์เพิ่มพูลยิ่งขึ้น

ในบทที่กล่าวด้วยลักษณขรงทำการและลักษณทุน ได้ชี้แจงไว้พอเปนเค้าแล้วว่า ในการที่จะกระทำให้เกิดผลเปนทรัพย์นั้น จำจะต้องใช้แรงทำการและทุนประกอบกันอย่างใดบ้าง สัมภารทั้งหลายซึ่งเกิดจากที่ดินจึงจะมีค่าแลกเปลี่ยนเปนคุณเปนประโยชน์แก่มนุษย์ ได้ชี้แจงลักษณทุนบางอย่าง ทั้งได้กล่าวถึงคุณประโยชน์และทางได้เปรียบเสียเปรียบในวิธีปันหน้าที่กันทำการ วิธีทำการระดมสมทบแรงและวิธีเรี่ยรายสมทบทุนกันเข้าหุ้นส่วนทำการใหญ่และการเล็กเปนต้น และในบทหลังที่สุดได้กล่าวว่า ที่แผ่นดินในกรุงสยามมีมากมายเหลือแรงราษฎรทำจึงต้องทิ้งว่างเปล่า ไม่เปนผลอยู่อย่างใด

ตามที่ได้กล่าวมานั้นจะพึงเห็นได้ว่า ถ้าจะทำให้ที่ดินเกิดผลเปนทรัพย์เพิ่มพูลยิ่งขึ้น ในการทำนาหรือเพาะปลูกพืชพันธุ์ไม่อย่างใดเปนต้น ก็จำจะต้องใช้ที่ ๆ ว่างเปล่าอยู่นั้นให้เปนที่เกิดผล โดยที่จะขยายที่ทำการให้กว้างใหญ่ออกไปเปนมูลเหตุที่จะต้องเพิ่มเติมแรงทำการให้มากขึ้น และเมื่อจะต้องเติมแรงให้มากขึ้นแล้วก็ต้องจำเปนเติมทุนให้มากขึ้นตามกัน เพราะที่ดินต้องอาศรัยแรงทำการ แรงทำการต้องอาศรัยทุนเปนกฎธรรมดาอยู่เช่นนี้ เพราะฉนั้น กฎธรรมดาซึ่งเปนที่บังคับให้เกิดผลขึ้นจากที่ดินจากแรงทำการแลจากทุนต่าง ๆ กันเปนสัดเปนส่วนไปอย่างละสิ่งนั้น จึงรวมกันเปนกฎธรรมดาซึ่งจะประกอบกันเข้าเปนที่บังคับสำหรับให้เกิดผลเปนทรัพย์เพิ่มพูลยิ่งขึ้น

ในบทนี้จะวินิจฉัยลักษณกฎธรรมดา ซึ่งเปนมูลเหตุที่จะทำให้ที่ดินเกิดผลมากขึ้นโดยที่จะเพิ่มเติมแรงทำการเสียชั้นหนึ่งก่อน ในบทหน้าจึงจะว่าด้วยกฎธรรมดา ซึ่งเปนที่บังคับให้ทุนเพิ่มพูลยิ่งขึ้นต่อไป

อาณาเขตร์ของบ้านเมืองย่อมมีที่สิ้นสุดด้วยกันทุกประเทศก็จริง แต่ประเทศหนึ่งก็คงจะมีที่ดินซึ่งยังมิได้ทำการเพาะปลูกเหลืออยู่บ้าง เช่น กรุงสยามที่มีที่ว่างเปล่าอยู่เปนอันมาก เหตุซึ่งต้องทิ้งที่ว่างเปล่าไว้ฉนี้ คงเปนเพราะว่าถ้าไปทำการเพาะปลูกขึ้นในที่นั้น ผลซึ่งจะได้คงไม่คุ้มกับค่าแรงและทุนซึ่งจะต้องออกไป ถ้าการเปนเช่นนี้ก็ได้ความว่าจะขยายที่แผ่นดินเพาะปลูกให้กว้างใหญ่ออกอีกไม่ได้ เพราะไม่มีผู้ใดจะยอมขาดทุนไปทำการเพาะปลูกลงในที่นั้น และเมื่อจะมีผู้ไปจับจองที่ใหม่ซึ่งว่างเปล่าอยู่นั้นทำการเพาะปลูกต่อไปอีก ก็คงมีเหตุอย่างใดขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นไปทำการในที่ชนิดนี้อยู่ได้ การเลี้ยงชีพเปนเหตุอันใหญ่ยิ่งที่จะบังคับให้คนมีความอุส่าห์และสู้อดทนทำการ แม้แต่ได้ทำการอย่างใดลงจะไม่มีกำไรเหลือกินเลย ก็ต้องจำใจทำสักแต่ว่าพอให้ได้อาหารกินไปพอครองชีวิตอยู่เท่านั้น ความข้อนี้เปนเหตุอย่างหนึ่งซึ่งจะบังคับให้คนต้องจำใจไปทำการในที่อันเลวทรามได้ผลน้อยไม่คุ้มกับความเหน็ดเหนื่อยที่ออกแรงทำ

ราษฎรชาวบ้านนอกบ้านป่าซึ่งไปเที่ยวตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างไกลที่ประชุมชน ห่างทางบกทางน้ำที่สดวกนั้นย่อมจะได้ผลจากแรงทำการของตัวน้อยกว่าชาวเมือง ซึ่งอยู่ในกลางประชุมชน คนพวกนั้นไม่เคยบริโภคของดี ไม่เคยนุ่งห่มใช้สรอยเครื่องภาชนะที่มีราคา ไม่ได้ศึกษาฝึกหัดวิชาความรู้ และไม่สู้ได้ฟังความคิดที่ฉลาดอย่างใด ซึ่งจะนำให้ใจมักใหญ่ใฝ่สูงขึ้นกว่าเก่าได้ ก็มีความปราถนาน้อย สักแต่ว่าทำการได้ผลพอเลี้ยงชีพแล้วก็เปนอันพอใจกัน ถึงจะยากจนแทบจะไม่มีผ้านุ่งห่มที่ไม่ต้องปุปะ ก็อุส่าห์ทนอยู่ตรากตรำไปถ้าไม่ถึงแก่ความอับจนแท้แล้วก็ไม่ขวนขวายย้ายที่ไปหากินที่อื่น เพราะมีความรักถิ่นที่เกิดเปนประมาณ เมื่อความปราถนามีแต่เพียงที่จะทำการหาผลพอเลี้ยงชีพอย่างเดียว เวลาว่างการงานคงมีป่วยการมากอยู่เสมอ เปนเหตุที่จะทำให้เคยตัวจนเปนสันดานเกียจคร้านขึ้นได้ เมื่อนิสัยคนเปนเช่นนี้แล้วความเจริญย่อมจะเดินไปได้อย่างช้าที่สุด แม้จะต้องหักร้างถางพงขยายที่เพาะปลูกให้กว้างขวางออกได้บ้าง ก็จะเปนเพราะชาวบ้านนั้นเกิดมากขึ้น ถ้าไม่ทำก็จะไม่มีอาหารพอเลี้ยงกัน ในเวลาว่างการเพาะปลูกนั้นจะมีการอย่างอื่นทำบ้าง ก็แต่การจักสานกระบุงตะกร้าและเครื่องหาปลาดักลอบ ส่วนผู้หญิงก็มีการปั่นฝ้ายทอผ้าที่จำเปนจะต้องทำเพื่อปิดบังความลอายและพอกันความหนาวความร้อนตามฤดูกาลเปนต้น เมื่อตรวจดูในกระท่อมของคนพวกนี้ก็จะเห็นได้ว่า มีดพร้าจอมเสียมเครื่องมือหากินและเครื่องใช้บางอย่าง มีหม้อไหเปนต้น ซึ่งตัวทำเองไม่ได้ต้องซื้อเขาใช้นั้น ต้องซื้อราคาแพงทุกอย่าง ต้องซื้อแพงเพราะหนทางกันดาร การขนสินค้าไปมาจากตลาดในเมืองหรือที่ประชุมชนไม่สดวก ประกอบทั้งความอันตรายที่อาจถูกโจรผู้ร้ายปล้นสดมตามทางด้วย ผู้ที่จะอุส่าห์หาบของไปขายในที่กันดารเช่นนั้น ได้แต่ทีละน้อยพอจุกำลังหาบหาม ก็จำจะต้องเรียกราคาอย่างแพง ให้มีกำไรคุ้มค่าเหน็ดเหนื่อยและพอที่จะชวนใจให้อุส่าห์ไปใกล้ความอันตรายตามทางได้บ้าง ถ้าชาวบ้านป่าจะหาบผลเพาะปลูกของตัวไปขายถึงที่ประชุมชนเอง ก็จะเอาไปได้ทีละน้อยเหมือนกัน แลกของได้แล้วก็ต้องหาบหามกลับบ้านอีก ได้ความเหน็ดเหนื่อยท้อใจเท่าใด ความอยากได้ของตลาดมาใช้ก็ต้องน้อยลงตามกัน เมื่อเปนเช่นนี้ความขวนขวายทำการงานและความอุส่าห์อดออมถนอมทรัพย์ไว้เปนทุนก็ต้องน้อยอยู่เอง

แต่ในการแลกเปลี่ยนสินค้าซึ่งกันและกันนั้น คงจะต้องมีคนกลางที่ฉลาดกว่าเข้ามารับทำธุระขนของให้เสมอ คนพวกนี้คือพวกพ่อค้าซึ่งตั้งหน้าทำการเลี้ยงชีพด้วยการซื้อถูกขายแพง มีหมู่บ้านหนาแน่นอยู่แห่งใด คนพวกนี้คงจะอุส่าห์หาบหามของไปส่งถึงแห่งนั้น การที่หาบของไปขายหรือแลกสินค้าถึงที่บ่อเกิดนั้น ได้เปรียบที่ตรงว่าถ้าผู้ขายมีของขายน้อย มีผู้ซื้อที่จะซื้อของอย่างนั้นมากด้วยกัน ผู้ซื้อจำจะต้องขึ้นราคาให้ผู้ขายโดยที่จะแย่งกันให้ได้ของนั้นก่อนเสมอ หรือถ้าจะเปนแต่เพียงแลกเปลี่ยนกันผู้ซึ่งนำผลเพาะปลูกในที่บ้านนอก เช่นที่ยกมากล่าวนั้น คงจะให้ผลที่ตัวทำได้มากกว่าค่าของที่พ่อค้าเอามาส่งเปนแน่ พวกเพาะปลูกด้วยกันแข่งลดค่าแรงทำการของตัวเองลงให้เขาเสมอไป ยิ่งมีผลปลูกเพาะเหลือกินอยู่มากก็ยิ่งลดราคาลงมาก เพราะความแข่งกันเองเปนต้นเหตุเช่นนี้

เพราะเหตุที่ภูมิประเทศแผ่นดินสยามอยู่ใกล้เส้นสูนย์กลางโลก ธรรมดาดินฟ้าอากาศ และฤดูนิยมทำให้มีความร้อนและความชื้นฝนโชกชุ่มอยู่ได้สมั่มเสมอตามฤดูกาล ทั้งได้อาศรัยแนวภูเขาใหญ่อันเปนทิวแถวต่อเนื่องกันโดยยืดยาวทางทิศตวันออกตวันตกและทิศเหนือ โอบอ้อมล้อมกันให้น้ำฝนเอิบอาบทราบซึมที่ดินไหลลงมารวมกันในแม่น้ำใหญ่น้อยทั่วไป พืชพันธุ์ไม้ทั้งหลายในพระราชอาณาเขตร์จึงได้งอกงามบริบูรณ์สดชื่นอยู่ได้ตลอดปี ช่วยให้การเพาะปลูกเจริญผลได้รวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องออกแรงตกแต่งบำรุงรสดินเปนความเหน็ดเหนื่อยมากมายหลายประการนัก สัตว์ป่าสัตว์บ้านกุ้งปลาผักหญ้าทั้งปวง เกิดมีและคงชีวิตรอยู่ได้ดีแต่ลำพัง โดยที่คนไม่ต้องออกแรงทำการบำรุงเลี้ยงและระวังมากมายเท่าใด อาหารการกินจึงได้บริบูรณ์ยิ่งนัก

แต่การกธรรมดาซึ่งช่วยทำให้การหาอาหารกินได้โดยง่ายดายนี้เอง กลับกระทำให้ราษฎรมีความเกียจคร้านเคยตัวหนักขึ้น ไหนยังความร้อนจะทอนกำลังแรงทำการให้ละเหี่ยใจอ่อนหิวง่าย ต้องหยุดพักผ่อนความเหน็ดเหนื่อยบ่อย ๆ ชักชวนให้ท้อถอยต่อการงานอยู่เสมอนั้นอีก เมื่อเปรียบกันดูกับชาวต่างประเทศซึ่งเกิดในเมืองหนาวมีฝรั่งและจีนเปนต้น ชาวเมืองเราจึงได้แพ้เปรียบแก่เขา ในความอดทนความหมั่นขวนขวายทำการงานและความอุส่าห์เก็บออมถนอมทรัพย์นั้นมากนัก ชาวเมืองหนาวขัดสนด้วยเสบียงอาหาร เพราะจะทำการเพาะปลูกไม่ได้ตลอดปี ต้องกังวลขวนขวายในการที่จะทำตัวให้อุ่นพอที่จะทนความหนาวอยู่ได้ โดยที่จะต้องมีเสื้อผ้าอย่างหนากับถุงน่องรองเท้าทั้งต้องหาฟืนไว้ผิงไฟได้ตลอดฤดูหนาว ซึ่งยืดยาวอยกว่า ๖ เดือน ต้องสั่งสมอาหารไว้ให้บริบูรณ์อิ่มหนำอยู่เสมอ และที่สุดจะนั่งนิ่งอยู่ในบ้านโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถออกแรงให้โลหิตเดินอุ่นร่างกายบ้าง ก็จะทนความหนาวอยู่ไม่ได้ ความหนาวบังคับให้มีความปราถนามากมายหลายอย่าง ซึ่งเราไม่จำเปนจะต้องมีต้องทำเช่นนี้ ความหมั่นของชาวเมืองหนาวจึงมีเช่นสันดานติดตัวตรงกันข้าม กับความเกียจคร้านท้อถอยต่อการงานของเรา เมื่อความปราถนาของเขามีมากและความกังวลขวนขวายในการเลี้ยงชีพมาก ความพยายามและความคิดที่จะซอกแซกแหวกช่องหากิน ก็ย่อมจะมากขึ้นตามกัน เพราะเหตุต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ คนต่างประเทศมีพวกจีนเปนต้น ยิ่งเข้ามาอาศรัยหากินในเมืองเรามากขึ้นก็ยิ่งขับเขี้ยวแข่งขัน กันคนไทยให้กระจัดกระจายกันห่างที่ประชุมชนออกไปอยู่ตามทุ่งนาป่าดงเสมอไป ยิ่งห่างไกลไปก็ยิ่งทำการได้ผลจากแรงน้อยลง เพราะทำการอย่างอื่นสู้เขาไม่ได้ ก็ต้องจำใจออกไปจับจองที่ใหม่ทำการเพาะปลูกในที่ ๆ จะได้ผลน้อย โดยจะต้องออกแรงมากดังที่กล่าวมาแล้ว ลงปลายก็ต้องแข่งแย่งกันเองขายผลเพาะปลูกลดราคาค่าแรงของตัวลงเสมอไป

เมื่อคิดเฉลี่ยดูว่าคนหนึ่งทำนาได้เข้าปีละ ๓ เกวียน ๆ หนึ่งขายได้ราคา ๕๐ บาทเปนเงิน ๑๕๐ บาท. วันหนึ่งได้ค่าแรง ๔๒ สตางค์ ตามชั้นชาวนาที่มีความปราถนาน้อยก็พอจะอยู่เปนความศุขได้บ้าง แต่ราคาเข้าชนิดนี้เปนเข้าในนาที่อยู่ในบริเวณกรุงเทพฯ ซึ่งใกล้ตลาดเข้าจึงขายได้ราคาดี แต่ถ้าที่นานั้นห่างไกลออกไปจากแม่น้ำ และทางรถไฟซึ่งจะขนเข้ามาขายถึงโรงสีได้โดยความกันดารเปลืองแรงขนมาก ประมาณว่าเข้านั้นจะขายได้ในท้องนาเพียงเกวียนละ ๒๔ บาท ๓ เกวียนเปนเงิน ๗๒ บาท คิดเปนค่าแรงคงได้แต่วันละ ๒๐ สตางค์ และโดยที่คนพวกนี้อยู่ห่างไกลที่ประชุมชน ยังจะต้องซื้อผ้านุ่งห่มและของใช้ราคาแพงอีก ก็ต้องเปนคนยากจนค่นแค้นน่าสมเพชอยู่เอง ถ้าคนเหล่านี้ทิ้งถิ่นที่เดิมเสีย เข้ามารับจ้างทำการงานในที่ประชุมชนมาก คงจะได้ค่าแรงแพงขึ้นกว่าค่าทำนานั้นมาก ยิ่งเปนพวกลาวตวันออกที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกยิ่งหนักมาก ในทำเลที่เหล่านั้นไม่มีถนนหนทางที่สดวก ทำนาได้เข้าเหลือกินแล้วบรรทุกเข้าไปขายทางไกลไม่ได้ก็ต้องขายโดยราคาต่ำถึงเกวียนละ ๑๐ บาท ค่าแรงของคนพวกนี้จึงน้อยถึงกับอุส่าห์เดินทางเข้ามารับจ้างในที่ใกล้กรุงเทพฯ พอจะได้ค่าจ้างออกไปเลี้ยงครอบครัวได้เปนศุขไปได้ชั่วครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง

จะทำประการใด ผลซึ่งจะเกิดจากที่ดินและแรงทำการของชาวเราจึงจะสมบูรณ์ทวีขึ้นได้อีกนั้น เปนปัณหาอันสำคัญใหญ่อยู่เสมอ การกสิกรรมในเมืองไทยในสมัยนี้จะแยกออกพิจารณาได้ต่างกัน ๓ อย่างคือการทำนา ๑ การทำไร่ปลูกไม้ล้มลุก ๑ การทำสวนปลูกไม้ใหญ่ที่อยู่ได้ยืดยืนแต่ต้องคอยอยู่นานจึงจะเกิดผล ๑

การทำนาซึ่งทำกันเปนพื้นทั่วไปทั้งแผ่นดิน และเปนผลประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง ซึ่งเมืองเราต้องอาศรัยอยู่นั้น แรงทำการได้ผลเปนค่าแรงน้อยเพียงใดได้กล่าวมาแล้ว ถัดนี้ไปเปนการทำไร่ปลูกไม้ล้มลุกมีไร่ยาไร่อ้อยไร่ฝ้ายและไร่ผักเปนต้น การชนิดนี้ต้องออกแรงคนทำมากกว่าทำนา จึงได้ผลมากพอที่จะให้คนทำการนั้นได้ค่าจ้างเท่ากันกับค่าแรง ปานกลางประมาณตั้งแต่วันละ ๔๐ ถึง ๗๕ สตางค์ แล้วยังมีกำไรส่วนทุนที่ต้องทดรองลงไว้ในการทำไร่เปนดอกเบี้ยอีกชั้นหนึ่ง โดยมากไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ละ ๑๕ ต่อปี แต่เพราะเหตุที่การทำไร่มีผลมากขึ้นจึงทำเสียทั่วไป คนไทยไม่อดทนพอจึงทำไม่ได้ ต่อนี้ไปเปนการทำสวนปลูกต้นไม้ ซึ่งจะทำได้ก็ต้องลงทุนแล้วคอยไปนานจนกว่าจะเกิดผล ถ้าต้องคอยอยู่ถึง ๗ ปี ปีหนึ่งคิดค่าดอกเบี้ยในต้นทุนร้อยละ ๑๕ ก็เปนต้นชนดอก แต่โดยมากเมื่อเกิดผลแล้ว ผลที่ได้นั้นคงจะคุ้มทุนและดอกเบี้ยที่ลงไปในน้อยมีประมาณว่า ๓ ปีครึ่ง ถ้าเปนอย่างนี้ก็เปนอันว่าได้ดอกเบี้ยในต้นทุนเดิมเกิน ๑๐๐ ละ ๕๐ ต่อปี จัดได้ว่าเปนผลประโยชน์ดีและถาวรแน่นอนกว่าการทำไร่ ซึ่งแม้ว่าการเพาะปลูกบางอย่างในไร่นั้นจะมีกำไรมากกว่า ก็ไม่ถาวรมั่นคงเท่ากัน ที่สวนต้องมีราคาดีกว่าที่ไร่และนาหลายเท่า โดยที่จะกะขนาดเนื้อที่กว้างยาวเท่ากัน มีราคาดีกว่าเพราะเกิดผลประโยชน์มากกว่าเปนต้นเหตุ

การทำไร่ทำสวนยังมีที่เลือกปลูกผลพันธุ์ไม้ของสดและของแห้งอีก ของสดคือผักและลูกไม้นั้นทำได้แต่จำเภาะให้พอกินในเมือง เพราะเปนของที่จะเก็บไว้ไม่ได้นาน พอที่จะส่งไปขายทางไกลได้ ถ้าทำเหลือเฟือนักราคาจะตกต่ำป่วยการค่าแรงไป ส่วนของแห้งมียาสูบฝ้ายและพริกไทยเปนต้น จะส่งไปขายทางไกลนอกประเทศได้ ถึงจะทำมากก็คงมีผู้ต้องการเสมอ

การทำไร่ได้เปรียบกว่าการทำนาโดยที่ได้ผลค่าแรงมากกว่ากันเช่นนี้ เหตุใดคนไทยจึงชอบทำนามากถึงกับสู่กระจายออกไปอยู่ห่างไกลที่ประชุมชนจนได้ค่าแรงน้อยนักหนา ดูเหมือนว่าจะรังเกียจการขุดดินฟันดินซึ่งเปนการหนักนั้นอยู่มาก การทำนาถึงโดยว่าต้องตรากตรำตากฝนตากแดดมาก ก็ยังได้อาศรัยแรงโคกระบือช่วยผ่อนแรงได้

เมื่อความที่กล่าวมาเปนจริงเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ที่ดินเกิดผลมากขึ้นได้อีก ก็มีแต่ที่จะเพิ่มเติมแรงและเติมทุนลงอีกเท่านั้น

การลงแรงลงทุนช่วยในทางนี้ มีการขุดคลองการทำถนนหนทางที่จะให้ได้ขนผลเพาะปลูกไปถึงทำเลที่ขาย โดยสดวก เปนสิ่งสำคัญมากกว่าอื่น ถ้าทางขนสินค้าเดินได้สดวกการขนสินค้าเบาแรงลงได้เพียงใด แรงทำการและที่ดินก็จะได้ผลทวีขึ้นเพียงนั้น แต่การเช่นนี้เปนการใหญ่ นอกจากรัฐบาลก็ไม่มีผู้ใดทำได้ การทำทางรถไฟ การขุดคลองและการบำรุงรักษาหมั่นชุดหมั่นส้อม และการทำประตูน้ำ ซึ่งเปนคุณในทางที่จะทดน้ำขึ้นให้เรือเดินสดวกเสมอ ทั้งจะให้น้ำไหลบ่าเข้าไปเลี้ยงต้นเข้าต้นไม้โชกชุ่มอยู่ได้ในชั่วเวลาจะต้องการ เปนต้น

การออกแรงลงทุนทำถนนหนทางบกทางเรือเช่นนี้ เปนสาธารณประโยชน์ทั่วไป ราษฎรได้ผลจากทุนจากแรงทำการและที่ดินมากขึ้นเพียงใด ก็ช่วยให้บ้านเมืองยิ่งเจริญขึ้นเพียงนั้น รัฐบาลได้ประโยชน์โดยทางอ้อมอยู่เสมอ

การออกแรงลงทุน บำรุงที่ดินให้รสาหารของต้นไม้ดีได้เมล็ดผลมากขึ้น โดยที่จะขุดร่องน้ำหรือพูนดินให้น้ำไหลซึมทราบเข้าออกถึงรากไม้ ทำให้ดินโปร่งอากาศเดินถึงได้และไม่ให้น้ำขังเน่าอยู่จนรสดินเปรี้ยว เปนอันตรายแก่ต้นไม้ และการใช้ปุ๋ยเติมรสดินให้ต้นไม้มีอาหารดีขึ้นเปนต้น

การลงทุนซื้อเครื่องมือที่ดีมาใช้ช่วยผ่อนแรงทำการให้เบาลง และการใช้เครื่องจักร์ต่าง ๆ ซึ่งนานาประเทศคิดทำใช้อยู่ทุกวันนี้ เปนกำลังเพิ่มเติมแรงคน ทำการเกิดผลเพาะปลูกทวีขึ้นได้เปนอันมาก และการใช้เครื่องจักร์กลไกต่าง ๆ เปนของที่คนไทย อาจจะเรียนทำเรียนใช้ได้โดยง่าย เพราะมีเชาวน์ดีอยู่ในทางนี้อย่างหนึ่งนั้น ยิ่งมีใช้ในบ้านเมืองมาก ผลของแรงทำการก็ยิ่งจะมากขึ้น

การเลี้ยงสัตว์พาหนะ น่าจะเอาใจใส่ให้ยิ่งขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้ เพราะผู้ที่มีที่ไร่นาจะต้องเลี้ยงโคกระบือใช้ด้วยกันทั้งสิ้น ถึงจะเลี้ยงไว้ให้มากเกินกว่าจะต้องการใช้ในการทำนาในที่นั้น ก็จะไม่เหน็ดเหนื่อยขึ้นนัก ถ้าหากว่าในทำเลที่เลี้ยงสัตว์นั้นมีหญ้าบริบูรณ์ดีตลอดปี เมื่อมีโคกระบือเลี้ยงอยู่ ๓ ตัวแล้วเพิ่มขึ้นเปน ๑๐ ตัว ก็ไม่ต้องหนักแรงรักษาขึ้นอีกสักเท่าใด ถ้ามีคนระวังเลี้ยงได้ ๑๐ ตัวแล้วจะเพิ่มขึ้นถึง ๑๐๐ ตัวก็จะไม่ต้องเติมคนเลี้ยงอีกกี่คน การเลี้ยงสัตว์พาหนะเปนการเบาเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมาก

ประชาชนราษฎรในบ้านเมืองย่อมเกิดทวีมากขึ้นเปนธรรมดา และในบ้านเมืองใด ยิ่งมีการทำผลประโยชน์ได้มากอย่างต่างชนิด การค้าขายภายในประเทศนอกประเทศยิ่งแพร่หลายขยายตัวกว้างขวางออกไป คนต่างประเทศจีนแขกฝรั่งเปนต้น ก็ยิ่งจะเข้ามาพลอยอาศรัยทำการหาผลประโยชน์มากขึ้น เมื่อประชาราษฎรทวีขึ้นและมีคนนอกประเทศต้องการผลเพาะปลูกของเรามากขึ้น เสบียงอาหารในบ้านเมืองเบาบางลงเพียงใด ราคาก็ย่อมจะแพงขึ้นทั้งที่ดินเรือกสวนไร่นาและที่สำหรับก่อสร้างบ้านเรือนอยู่ ก็ต้องมีราคาแพงในตามกัน ค่าแรงทำการเพาะปลูกอาหารซึ่งคนต้องการกินมากขึ้นนั้นก็จะเกิดผลมีค่าสูงขึ้นด้วย

เมื่อผลเพาะปลูกแพงขึ้นเช่นนี้แล้ว ก็จะหักร้างถางพงขยายที่ทำเลเพาะปลูกให้กว้างขวางออกไปอีกได้ แต่ก่อนผลเพาะปลูกราคาต่ำ จะขยายที่ทำการกว้างออกไม่ได้เพราะไม่มีกำไร ทีนี้ราคาผลเพาะปลูกแพงขึ้น ก็คงมีผู้ที่จะกล้าไปลงทุนออกแรงทำ หรือถ้าจะขยายที่เพาะปลูกให้กว้างใหญ่ออกไม่ได้ ก็ต้องเติมแรงเติมทุนบำรุงที่ ๆ จำกัดอยู่นั้นให้เกิดผลมากขึ้น โดยที่จะเพิ่มเติมปุ๋ย ขุดร่องพื้นดินหรือลงทุนซื้อเครื่องมือที่จะช่วยคุ้มแรงคนให้น้อยลงอย่างใดนั้นมาใช้ เช่นการบำรุงไร่ผักและสวนผลไม้เปนต้น เมื่อออกแรงบำรุงมาก ผักและผลไม้นั้นก็บริบูรณ์มากขึ้นตามกัน

แต่การที่จะขยายที่เพาะปลูกให้กว้างออก หรือทำการลงทุนออกแรงให้มากขึ้นนั้น ต้องมีที่เขตรคั่นเปนกฎธรรมดาบังคับอยู่เสมอ ถ้าขยายที่ดินห่างไกลออกไปนักการขนผลเพาะปลูกไปส่งถึงผู้ที่จะต้องการบริโภคใช้สรอยไม่สดวกยากยิ่งกันดารหนักขึ้น ก็ต้องเปลืองแรงเปลืองทุนในการทำผลนั้นมากขึ้นตามกัน และในการที่จะเติมแรงเติมทุนบำรุงที่ดินให้เกิดผลมากขึ้นก็เปนอย่างเดียวกัน ค่าใช้สรอยที่ต้องเติมขึ้นเพราะเหตุที่กล่าวนี้ทำให้ราคาผลเพาะปลูกแพงขึ้นตามส่วนกัน

เปนต้นว่าแต่ก่อนราคาเข้าเกวียนละ ๓๐ บาท ต้องลงทุนและเสียค่าแรงค่าใช้สรอยรวมเบ็ดเสร็จแล้ว เฉลี่ยออกตกเปนค่าลงทุนทำเข้านั้นเกวียนละ ๒๐ บาท รวมทั้งค่าขนเข้าถึงตลาดด้วย หักทุนนี้ออกคงได้กำไรเกวียนละ ๑๐ บาท พอกับที่จะทำนานั้นไปได้ ภายหลังมีคนกินเข้ามากขึ้นกว่าเก่า เข้าในตลาดขึ้นราคาถึงเกวียนละ ๔๐ บาท ที่นาเก่าได้กำไรงอกขึ้นเปน ๒๐ บาท ชาวนาได้ใจก็ไปลงทุนออกแรงขยายที่ป่าทำนากว้างห่างไกลออกไปในที่กันดาร เปนต้นว่าทางไม่สดวกจะต้องเติมค่าแรงขนเข้าขึ้นถึงเกวียนละ ๗ บาท ถ้าอย่างนี้ก็ได้กำไรเกวียนละ ๑๓ บาทยังดีกว่าเก่า ๓ บาท ก็จะมีใจหักร้างถางพงขยายที่ทำนาห่างไกลออกไปอีกได้ ทีนี้จะต้องเติมค่าแรงขนเข้านั้นขึ้นถึงเกวียนละ ๑๐ บาทถ้าเปนเช่นนี้และเข้าไม่ขึ้นราคาต่อไป ก็เปนอันว่าที่นาที่จะทำพอคุ้มความลำบากเหน็ดเหนื่อยนั้น จะได้กำไรเท่าเกวียนละ ๑๐ บาทตามเดิม ถ้าขืนทำกว้างขวางต่อไปจะต้องเติมค่าแรงมากขึ้น ก็มีแต่จะได้กำไรน้อยลงเสมอไม่สมควรกับความลำบาก ที่นานั้นก็เปนอันขยายได้เพียงนี้เอง

ต่อนี้ไปจะพิจารณาว่า ถ้าจำนวนคนทำงานในบ้านเมืองมีมากขึ้น การที่คนทำงานมากขึ้นนี้จะกระทบถึงการทำผลให้เกิดเปนทรัพย์นั้นอย่างใดบ้าง

ตามธรรมดาถ้าสินค้าอย่างใดขายที่มีราคาสูงขึ้น เพราะมีผู้ต้องการสินค้าอย่างนั้นมาก ไม่ช้าก็คงมีแรงทำสินค้าอย่างนั้นเพิ่มเติมมากขึ้นเอง เพราะสินค้าอย่างนี้มีกำไรมาก ค่าแรงทำก็ต้องมีค่าจ้างมากขึ้นตามกัน คนที่ทำการอย่างอื่นซึ่งได้ค่าจ้างน้อย หรือคนที่เหลือการงานว่างเปล่าอยู่ คงจะมารับจ้างทำสินค้าอย่างนี้มากขึ้น มิฉนั้นก็ต้องไปเที่ยวจ้างคนเมืองอื่น หรือคนต่างประเทศเพิ่มเติมเข้ามา แต่การที่ต้องเพิ่มเติมแรงนี้ต้องจำเปนเพิ่มทุนสำหรับใช้ค่าจ้างแรงนั้นมากขึ้นตามกันด้วย จะถอนทุนจากการอย่างอื่นมาใช้ หรือจะกู้หนี้ยืมสินผู้อื่นมาก็ตามแต่จะสดวก และเมื่อคนทำงานทวีมากขึ้นเช่นนี้แล้ว ก็ยังเกิดเปนข้อปัณหาต่อไปว่า จะได้อาหารมาเลี้ยงคนที่มากขึ้นนั้นอย่างใด ในชั้นต้นราคาอาหารจะต้องแพงขึ้น ถ้าอาหารแพงขึ้นก็ต้องขยายที่เพาะปลูกให้กว้างขวางต่อไปอีก แต่ก่อนราคาผลเพาะปลูกถูก มาเดี๋ยวนี้ราคาแพงขึ้นจึงมีกำไรพอที่จะขยายที่ดินทำผลให้กว้างออกได้ดังที่ชี้แจงมาก่อนนั้นแล้ว ถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ที่จะต้องซื้ออาหารต่างประเทศเข้ามากิน

เปนต้นว่าในมณฑลภูเก็ตซึ่งเปนบ่อเกิดแห่งแร่ดีบุกของกรุงสยามนั้น แต่ก่อนแผ่นดินเปนป่าอยู่มาก เพราะราษฎรเบาบางการทำมาหาเลี้ยงชีพก็เปนแต่การทำไร่เข้าเปนพื้น ชั้นแต่การทำนาก็ไม่สู้จะมี ธุระใหญ่ในการทำไร่มีการตัดฟันโค่นไม้ในป่าลง แล้วจุดไฟเผาล้างผลาญไม้ที่จะใช้เปนประโยชน์ได้นั้นลงเสมอไป เมื่อเผาป่าลงราบพอมีที่ว่างจะปลูกต้นเข้าได้แล้ว ก็เจาะหลุมหยอดเมล็ดเข้าลง ไม่ต้องไถคราดอย่างใดใช้เครื่องมือแต่มีดหรือขวานเล่มเดียวก็พอ หยอดเข้าแล้วก็คอยให้ดินฟ้าอากาศทำธุระต่อไปจนเมล็ดเข้าสุกแล้ว ก็ไม่ใช้เคียวเกี่ยวอย่างที่ใช้กันอย่างข้างฝ่ายเหนือนี้ อุส่าห์ทำแกระเด็ดรวงเข้าทีละรวงเปนการเนิ่นช้าน่ารำคาญมาก แกระนั้นยังใช้กันเปนธรรมเนียมมาจนทุกวันนี้

เมื่อราษฎรในพื้นที่เปนป่าเถื่อนอยู่เช่นนี้ การปกครองก็เลวทรามตามกันอยู่เอง การรอดอันตะรายในทรัพย์สมบัติไม่สู้จะแน่นอนนัก การทำมาค้าขายไม่สดวกทางที่จะชักชวนใจให้ราษฎรอุส่าห์ประหยัดเก็บออมถนอมทรัพย์สั่งสมไว้ก็ต้องมีน้อยอยู่เอง มาภายหลังชาวต่างประเทศริอ่านทำของต่าง ๆ นานาซึ่งต้องการใช้ดีบุกมากขึ้น มีการแผ่แผ่นเหล็กให้บางแล้วละลายดีบุกทาผิว เพื่อจะกันสนิมคือเหล็กวิลาศเปนต้น ดีบุกมีราคามากขึ้น ราษฎรในชั้นต้นก็เปนแต่ทำตะแกรงไปเที่ยวร่อนหาแร่ดีบุกตามคลองน้ำและห้วยธารที่มีน้ำไหลมาจากภูเขานั้น ไปส่งผู้ที่ทำการถลุงแร่ให้หล่อหลอมเปนปึกส่งออกไปขายนอกประเทศต่อไป แรงทำงานของราษฎรเกิดผลขึ้นเปนความเจริญเปนอันมาก ไม่ช้านานสักเท่าใดความเจริญในการนี้ก็ชักโยงเอาพวกจีนเข้ามาพลอยหากินด้วยมากขึ้นทุกที การร่อนดีบุกย่อยเพียงวันละขันครึ่งขันนั้นก็กลายเปนเหมืองแร่ใหญ่โตขึ้น จีนเข้ามาทำการขุดแผ่นดินร่อนแร่นั้น จนเปนบ่อหลุมบึงบางแทบทั่วไปดังที่จะเห็นปรากฎได้ ในเมืองภูเก็ตเปนต้น ทุกวันนี้ถึงกับทำเรือขุดดินในท้องทะเลอ่าวภูเก็ตขึ้นร่อนกันแล้ว ในระหว่าง ๕๐ ปีที่ล่วงมาแล้ว ประชาชนราษฎรในเมืองนั้นทวีมากขึ้นกว่าสิบเท่า การเพาะปลูกในเกาะภูเก็ตจะขยายใหญ่โตออกไปไม่ได้ เพราะจะต้องออกแรงและลงทุนมากเกินไป อาหารนอกประเทศราคาถูกกว่าก็ต้องไปซื้อเข้ามาเจือจานไปอย่างทุกวันนี้

ตามที่ได้กล่าวมานี้ก็พอจะเห็นความได้ชัดว่า ลักษณที่ดิน แรงทำการและทุนซึ่งจะเกิดผลไพบูลย์ยิ่งขึ้นนั้น จะเกิดได้เพราะมีความต้องการผลเพาะปลูกหรือสินค้าอย่างใดที่ทำนั้นมากขึ้น และลงปลายที่สุดจะเห็นได้ว่าเขตรคั่นซึ่งจะกันไม่ให้ความเจริญถาวรยืดยืนเสมอไปนั้น จะเปนเหตุเพราะราคาอาหารแพงมากเปนสำคัญ ถ้าราคาอาหารแพงราษฎรก็ต้องยากจนค่นแค้นจะอยู่ในบ้านเมืองไม่ได้ ต้องย้ายถิ่นที่ไปหากินเลี้ยงชีพที่อื่น เช่นจีนเข้ามาอยู่ในเมืองไทยเปนต้นและเมื่อมีราษฎรน้อยลงการทำผลประโยชน์ และความจำเริญของบ้านเมืองก็ต้องตกต่ำลงตามกัน หรือจะกล่าวให้เปนหลักฐานก็คือว่า การที่ประชาราษฎรมีมากขึ้นเปนการทำให้ทรัพย์ในบ้านเมืองไพบูลย์ยิ่งขึ้น

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ