หมวด ๔ ว่าด้วยค่าแรง

ได้กล่าวมาแต่ก่อนว่าสิ่งซึ่งจะให้เกิดผลเปนทรัพย์อันมีค่าแลกเปลี่ยนขึ้นได้นั้นต้องอาศรัยแรงทำการช่วยประกอบ มิฉะนั้นก็จะเปนทรัพย์ไม่ได้ เมื่อเปนทรัพย์ขึ้นแล้ว ผู้ซึ่งได้ลงแรงช่วยทำก็ต้องมีบำเหน็จเปนส่วนแบ่งปันที่ต้องได้ในทรัพย์นั้นเปนธรรมดา ส่วนแบ่งปันนี้คือ ค่าแรงซึ่งคนทำงานควรจะได้แบ่งส่วนจากสิ่งของซึ่งได้ทำขึ้น หรือควรจะได้เปนค่าจ้างรายวันเปนเงินเดือนเงินปีเช่นที่เรากำหนดกันลงเปนราคาเงินเปนต้น

ลักษณค่าแรงซึ่งจะได้ชี้แจงโดยพิสตารในที่นี้ จะต้องแยกออกเปนสองชนิด ชนิดหนึ่งจะเรียกว่าค่าแรงที่จำเปนหรือค่าแรงแท้ ชนิดหนึ่งจะเรียกว่าค่าแรงตามราคาตลาด

ตามธรรมดาคนซึ่งจะลงแรงทำการได้จนสำเร็จนั้น ในชั้นต้นจำเปนจะต้องมีทุนคืออาหารเลี้ยงชีพและเครื่องนุ่งห่มใช้สรอย และสรรพสิ่งทุกอย่างที่ต้องการใช้ในการเลี้ยงชีพของตนและครอบครัวให้ดำรงอยู่ได้นั้นเสียก่อน มิฉะนั้นก็จะทำการไปไม่ได้ ส่วนแบ่งปันในทรัพย์ที่ได้พอคุ้มกันกับการเลี้ยงชีพที่จำเปนต้องใช้ดังที่กล่าวนี้ จะเรียกว่าค่าแรงแท้หรือค่าแรงที่จำเปน ค่าแรงเพียงเท่านี้ถ้าคนทำการได้น้อยไปเมื่อใด ก็เปนอันว่าคนนั้นต้องตกอยู่ในฐานที่ลำบากยากแค้นเหลือที่จะอดทนต่อไปได้ แต่เขตร์คั่นอันนี้ไม่มีเสมอกันทั่วไปทุกแห่งหน ต้องสุดแล้วแต่ความเคยและธรรมเนียมของคนชนิดต่าง ๆ กัน ผิดกันไปได้ตามภูมิ์ประเทศและตามสมัย เปนต้นว่าพลเมืองบางจำพวกถ้ามีแต่อาหารกินและผ้านุ่งห่มพอกันสัมผัสร้อนหนาว และมีกระท่อมที่อาศรัยร่มแดดฝน ถึงจะต้องนอนอยู่กับพื้นดิน หรือเพียงแต่ฟากเรือนไม้ไผ่เท่านั้นก็จะพออยู่ไปได้โดยที่ไม่สู้จะรู้สึกความคับแค้นเท่าใด เพราะได้เคยประพฤติตัวอย่างนั้นมาแต่ดั้งเดิมแล้ว แต่คนบางจำพวกเช่นชาวเมืองใหญ่อย่างในกรุงเทพฯ เปนต้น เมื่อได้เคยเห็นความศุขของผู้ที่มั่งมีบริบูรณ์กว่าโดยรอบไป ถ้าต้องตกอยู่ในฐานพลเมืองอย่างที่กล่าวมานั้น ก็คงรู้สึกเปนความตกทุกข์ได้ยากอย่างสาหัส เพราะคนที่เปนชั้นเสมอกันย่อมจะต้องมีอาหารเลือกกินได้มากอย่างต่างชนิด จะนุ่งห่มก็ต้องงดงามเรียบร้อยกว่ากัน และที่อาศรัยหลับนอนถึงจะอย่างไรก็ให้มีพื้นกระดานปู และถ้าเปนชาวเมืองประเทศหนาวก็ยังมีความจำเปนที่จะต้องการในการเลี้ยงชีพมากอย่างออกไปอีก ต้องมีฟืนผิงไฟมีถุงน่องรองเท้าและเครื่องนุ่งห่มซึ่งทำด้วยขนสัตว์เพื่อประโยชน์กันความหนาวเปนต้น เพราะฉะนั้นค่าแรงที่จำเปนจะต้องมีสำหรับเลี้ยงชีพจึงมากน้อยกว่ากัน โดยที่ต้องเปลืองทรัพย์มากน้อยกว่ากันตามภูมิ์ประเทศและตามความคุ้นเคยที่ผิดกันเปนต้น และเมื่อจะต้องคิดคำนวญค่าแรงเปนราคาเงิน แม้ว่าคนบางจำพวกได้ค่าแรงเพียงวันละ ๕๐ สตางค์จะพอมีความสุขได้ในที่แห่งหนึ่ง และถ้าบังเอินไปอยู่ในที่ซึ่งราคาอาหารแพงมากกว่า บางทีได้ค่าแรงถึงวันละบาทก็จะไม่มีความศุขเสมอกัน

ค่าแรงทำการก็เปรียบประดุจว่าเปนสินค้าอย่างหนึ่ง ในทำเลที่ใด ถ้ามีผู้ต้องการใช้แรงทำการมาก และถ้ามีคนทำงานในที่นั้นน้อย ราคาค่าแรงก็ต้องสูง ถ้าในที่ใดมีคนทำงานมาก แต่มีผู้ต้องการใช้แรงคนเหล่านั้นแต่น้อย ค่าจ้างแรงทำการในที่นั้นก็ต้องต่ำอยู่เอง ค่าแรงต้องมีราคาตลาดเช่นเดียวกันกับราคาสินค้าดังที่กล่าวมานี้ เพราะฉะนั้นจึงจะเรียกค่าแรงเช่นนี้ว่าค่าแรงตามราคาตลาดต่อไป ยังจะเรียกค่าแรงเปนค่าแรงตามราคาเงินหรือเงินค่าแรงได้อีกอย่างหนึ่ง โดยที่จะคิดไปถึงว่าเงินทองก็เปนสินค้าอย่างหนึ่งเหมือนกัน การซื้อขายสินค้าด้วยเงินทองก็คือ เอาสินค้าเงินทองไปแลกเปลี่ยนกันกับสินค้าอย่างอื่น ถ้าในเวลาใดราคาเงินทองแพงเงินทองนั้นก็แลกสินค้าได้มาก ถ้าราคาเงินทองถูก เงินทองก็แลกสินค้าได้น้อย หรือจะพูดกลับเสียว่าราคาสินค้าแพงต้องใช้เงินซื้อมากขึ้น ราคาสินค้าถูกจะใช้เงินซื้อน้อยลงเช่นนี้ก็ได้ ค่าแรงคิดเปนราคาเงินจะมีผลมากน้อยที่สุด แล้วแต่ว่าคนทำงานจะเอาเงินค่าแรงไปแลกของบริโภคได้มากหรือน้อยดังที่ได้กล่าวมาแล้วเปนต้น

ในการหัดถกรรมต่าง ๆ นานาซึ่งต้องการแรงคนทำงานที่มีฝีมือชำนิชำนาญช่ำชองต่าง ๆ กันนั้น แม้แต่จะอยู่ในเมืองเดียวกัน ค่าแรงของคนที่เปนช่างชนิดหนึ่งอาจแพงกว่าช่างชนิดอื่นตามสมัยชั่วเวลาครั้งหนึ่งคราวหนึ่งได้ เปนต้นว่าในการทอผ้านุ่ง มีช่างทอผ้าไหมพวกหนึ่ง ทอผ้าพื้นพวกหนึ่ง ถ้าบังเอินในขณะใดคนชอบนุ่งผ้าไหมมากขึ้นกว่าผ้าพื้น แต่จำนวนช่างทอผ้าไหมไม่มีมากพอที่จะทอผ้าไหมส่งได้ทันกับผู้ที่ต้องการผ้าไหม ถ้าเปนเช่นนี้ราคาผ้าไหมก็ต้องแพงขึ้น ผ้าไหมมีกำไรมาก ต่างคนต่างก็อยากจะขายผ้าไหมให้มากขึ้น แต่ช่างทอผ้าไหมมีน้อย ถ้าเปนเช่นนี้ค่าแรงช่างทอผ้าไหมก็ต้องแพงขึ้นตามกัน แพงขึ้นเพราะเหตุว่าผู้ที่ทำผ้าไหมขายนั้นจะประมูลค่าแรงขึ้นให้แก่ช่างทอ เพื่อปราถนาจะได้คนพวกนี้มาใช้ให้ทอผ้าไหมขายได้มากขึ้นกว่าเก่า เมื่อค่าจ้างช่างทอผ้าไหมแพงขึ้นแล้ว ช่างทอผ้าพื้นก็คงอยากจะไปรับจ้างทอผ้าไหม เพื่อปราถนาจะได้ค่าจ้างสูงนั้นบ้าง เหตุฉนี้อาจทำให้ราคาผ้าพื้นแพงขึ้นได้บ้าง ถ้าหากว่ายังมีผู้ต้องการผ้าพื้นอยู่ตามเดิม เพราะในชั้นนี้ผู้ทอผ้าพื้นขายก็ต้องขึ้นค่าจ้างให้ช่างทอผ้านั้นสูงขึ้นอีก มิฉะนั้นก็จะไม่มีช่างพอที่จะทำการได้อย่างเดิม เว้นเสียแต่ว่าเมื่อมีผู้ชอบนุ่งผ้าไหมมากผู้ที่ต้องนุ่งผ้าพื้นแต่ก่อนไปนุ่งผ้าไหมเสียมากแล้ว ซื้อผ้าพื้นน้อยไปราคาผ้าพื้นจะสูงขึ้นไม่ได้ ถ้าเปนเช่นนี้ผู้ทอผ้าพื้นขายก็จะขึ้นค่าจ้างให้ช่างทอไม่ได้อยู่เอง ค่าจ้างช่างทอผ้าม่วงก็จะสูงไปจนกว่าจะมีคนทำงานอย่างอื่นเข้ามาหัดทอผ้าม่วงมากขึ้น คนพวกนี้ก็คงจะต้องแข่งลดราคาค่าจ้างลงในระหว่างกันเอง ราคาผ้าม่วงอาจจะตกต่ำลงมาได้เท่าเดิมหรือยิ่งต่ำไป ถ้าหากว่ามีผู้เห็นได้กำไรดีตื่นกันมาทอผ้าม่วงขายจนมากเกินจำนวนที่จะมีผู้ซื้อ เมื่อการเปนไปถึงเพียงนี้ราคาผ้าไหมจะต้องตกต่ำลงอย่างเดิมหรือยิ่งตกต่ำหนักไป เพราะความแข่งแย่งกันขายจนผู้ทำผ้าม่วงต้องขาดทุน เปนเหตุที่จะต้องตัดค่าแรงช่างทอให้ต่ำลงอย่างที่สุดที่จะทำได้ ถ้าพวกช่างทอยังจะสู้อดทนรับจ้างทำการนั้นอยู่ได้ก็เปนอันว่าค่าจ้างนั้นพอเท่ากับค่าแรงที่จำเปน และถ้าผ้าม่วงยังจะลงราคายิ่งไป ต้องลดค่าแรงต่ำลงอีก หรือราคาอาหารเลี้ยงชีพของคนทำการแพงขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใด คนพวกนี้ต้องใช้จ่ายมากขึ้น ก็เท่ากันกับต้องถูกลดค่าจ้างเหมือนกัน เมื่อค่าจ้างนี้เลยตกต่ำไปกว่าค่าแรงที่จำเปนแน่แล้วคนพวกนี้ก็ต้องให้ความลำบากยากจนลง เพราะได้ค่าจ้างไม่พอเลี้ยงตัวและครอบครัว จะต้องไปหาการอย่างอื่นทำเพื่อจะได้ค่าแรงมากขึ้น เมื่อช่างทอผ้าม่วงลดน้อยถอยไป การทอผ้าม่วงขายก็ต้องน้อยลงตามกัน ถ้าน้อยลงจนไม่พอกับความต้องการของผู้ที่จะซื้อผ้าม่วงใช้แล้ว ราคาผ้าม่วงในตลาดก็ต้องกลับสูงขึ้นอีก เมื่อราคาสูงขึ้นเช่นนี้ ค่าแรงทอผ้าม่วงก็กลับสูงขึ้นตามกันค่าแรงตามราคาตลาดซึ่งย่อมจะขึ้น ๆ ลง ๆ ได้เปนครั้งเปนคราว ดังที่ได้ชักทำเนียบมากล่าวให้เห็นเช่นนี้ ถึงจะอย่างไรก็คงจะต้องตกอยู่ในที่บังคับซึ่งจะกระทำให้ค่าแรงตามราคาตลาดนั้นเท่าเทียมอยู่กับค่าแรงที่จำเปนเสมอ แต่ค่าแรงที่จำเปนนั้นจะตกต่ำอยู่ช้านานไม่ได้โดยเหตุที่จำนวนคนทำงานจต้องลดน้อยสูญสิ้นไป

ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าแรงทำงานต้องอาศรัยทุนซึ่งเปนเสบียงอาหาร การนุ่งห่ม และเครื่องมือเครื่องใช้ ในการทำผลประโยชน์สาระพัดอย่าง เมื่อความจริงเปนเช่นนี้จำนวนของคนทำงานในประเทศใดจะมากหรือน้อย ก็ต้องสุดแล้วแต่จำนวนทุนในบ้านเมืองซึ่งคนทำงานต้องอาศรัยนั้นจะมากหรือน้อยเหมือนกัน

จำนวนทุนในบ้านเมืองอาจจะทวีมากขึ้นและในคราวเดียวกันนั้น ราคาของทุนจะยิ่งสูงขึ้นด้วยก็จะเปนได้ คือหมายความว่าราคาทุนสูงนั้นเปนเวลาที่ทุนจะมีอำนาจซื้อหรือแลกเปลี่ยนกับของอื่นได้มาก ถ้าทุนมากขึ้นและราคาทุนก็สูงขึ้นด้วยแล้ว จะเติมอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มภาชนะใช้สรอยในบ้านเมืองให้มากยิ่งขึ้นกว่าเก่าก็ได้ เมื่อต้องเติมของเหล่านี้มากขึ้นแล้ว ก็จำเปนที่จะต้องเติมแรงคนทำงานซึ่งจะทำของเหล่านั้นให้มากยิ่งขึ้นตามกันตามส่วนจำนวนทุน และราคาทุนที่มีมากขึ้น และค่าแรงที่จำเปนที่จะต้องสูงขึ้นตามกัน เพราะเหตุที่ค่าแรงที่จำเปนนั้นต้องสุดแล้วแต่ค่าอาหารและเครื่องนุ่งห่มใช้สรอยที่รู้สึกเปนความจำเปนต้องใช้นั้นอยู่เสมอ

อีกประการหนึ่งจำนวนทุนอาจจะทวีมากขึ้น แต่ราคาทุนจะไม่สูงขึ้นตามกันหรือต่ำลงกว่าเก่าก็จะเปนได้ จะเติมอาหารการกินและเครื่องนุ่งห่มให้มากขึ้น โดยที่จะใช้ทำของเหล่านี้ด้วยแรงเครื่องจักร์กลไกที่จะไม่ต้องใช้แรงคนทำงานเพิ่มเติมขึ้นอีก หรือประหยัดลดจำนวนแรงคนทำงานให้น้อยลงเพราะใช้เครื่องจักร์แทนก็ได้ ถ้าเปนฉนี้ราคาค่าแรงที่จำเปนจะต้องคงอยู่หรือตกต่ำลง

ความที่ได้กล่าวโดยพิสดารแล้วนี้ มีเค้ามูลพอที่จะเห็นได้ชัดแจ้งแล้วว่า ค่าแรงจะสูงขึ้นหรือต่ำลงนั้น เปนเพราะเหตุสองประการ

(๑) คือค่าแรงจะสูงหรือต่ำลงก็สุดแล้วแต่จะมีผู้ต้องการใช้แรงทำการมากหรือน้อย และต้องสุดแล้วแต่ว่าแรงคนทำงานนั้นจะมีมากกว่าความต้องการ หรือน้อยกว่าความต้องการจะพูดให้ชัดแจ้งอีก จะว่าค่าแรงจะสูงหรือต่ำลง ต้องสุดแล้วแต่ส่วนทุนสำหรับเลี้ยงคนทำงานนั้น จะมากกว่าน้อยกว่าจำนวนคนทำงานอย่างใด เพราะเมื่อมีทุนมากจึงจะเลี้ยงคนทำงานได้มาก ถ้ามีทุนน้อยก็จะเลี้ยงได้น้อย และถ้าส่วนทุนมากกว่าส่วนคนทำงาน ค่าแรงก็คงจะสูงขึ้นได้ แต่ถ้าส่วนคนทำงานมีมากกว่าส่วนทุน ค่าแรงอาจตกต่ำลง หรือไม่ฉะนั้นจำนวนคนทำงานจะต้องลดน้อยถอยลง เพราะเหตุที่ค่าแรงนั้นตกต่ำลง

(๒) ค่าแรงจะสูงหรือต่ำลงต้องสุดแล้วแต่ราคาสูงต่ำของสิ่งของทั้งปวง ซึ่งคนทำงานจะเอาค่าจ้างไปจำหน่ายแลกซื้อใช้เลี้ยงชีพและบำรุงความศุขนั้นด้วย เปนต้นว่าในสมัยหนึ่งคนทำงานสามัญได้ค่าจ้างเดือนละ ๑๕ บาท ต้องซื้อเข้าเลี้ยงตัวและครอบครัวเดือนละ ๕ ถัง ราคาเข้าเวลานั้นถังละ ๖ สลึงต้องจำหน่ายเงินซื้อเข้าเดือนละ ๗ บาท ๒ สลึงจึงจะพอเลี้ยงกัน ยังเหลือเงิน ๗ บาท ๒ สลึง สำหรับจำหน่ายซื้อของอื่นบริโภคใช้สรอย มีผักปลาและเครื่องนุ่งห่มเปนต้น ครั้นต่อไปเข้าขึ้นราคาเปนถังละ ๒ บาท โดยเหตุหนึ่งเหตุใด คนทำงานและครอบครัวจะกินเข้าให้น้อยลงกว่าเดือนละ ๕ ถึงไม่ได้ ก็ต้องจำเปนซื้อเข้าถึงเดือนละ ๑๐ บาท มีเงินเดือนเหลือซื้อของบริโภคอย่างอื่นอยู่เดือนละ ๕ บาทเท่านั้น เมื่อเปนเช่นนี้ ถึงโดยว่าจำนวนเงินเดือนของคนผู้นี้ จะคงเท่าเดิมอยู่เดือนละ ๑๕ บาทก็ดี แต่ต้องจำหน่ายเงินนั้นออกซื้อเข้ามากขึ้นถึงเดือนละ ๑๐ บาท ก็ประดุจเดียวกันกับว่าค่าแรงของคนผู้นี้*154*/ตกต่ำลงเดือนละ ๑๐ สลึง อีกสถานหนึ่งถ้าเคราะห์ดีบังเอินเข้าตกราคาเปนถังละ ๑ บาท เข้า ๕ ถังเปนเงิน ๕ บาท ถ้าเปนฉะนี้ก็เท่ากับว่าได้ค่าจ้างสูงขึ้นกว่าเดิมอีกเดือนละ ๑๐ สลึง

ตามธรรมดาของโลก พลเมืองย่อมจะเกิดมากกว่าตายเสมอ ถ้าไม่มีเหตุวิบัติอย่างใดเกิดขึ้น ทุนที่ใช้ในบ้านเมืองสำหรับทำผลให้เกิดเปนทรัพย์นั้น ก็ย่อมจะทวีมากขึ้นด้วย ยิ่งเปนบ้านเมืองซึ่งจัดการปกครองเรียบร้อยดี การทำมาหากินดำเนินไปได้โดยสดวก การสร้างสมทุนในที่นั้นก็อาจทวีเกินส่วนสำมโนครัวซึ่งทวีขึ้นนั้นได้เปนอันมาก เหตุฉะนี้อาจกระทำให้ค่าอาหารการกินแพงขึ้น และกระทำให้ค่าแรงแพงขึ้นด้วย แต่ส่วนราคาอาหารซึ่งแพงขึ้นและส่วนค่าแรง ซึ่งต้องแพงขึ้นจะมากน้อยกว่ากันเพียงใดนั้น ความศุขสำราญของพลเมืองจะต้องสุดแล้วอยู่แก่ความข้อนี้เปนใหญ่ ถ้าส่วนราคาอาหารที่แพงขึ้นเกินส่วนค่าแรงที่สูงขึ้น คนทำงานก็พึงจะได้ความขัดสนหนักลง ถ้าส่วนที่ค่าแรงสูงขึ้นนั้นเปนส่วนราคาอาหารที่แพงขึ้น คนทำงานก็จะมีความศุขมากขึ้น

อีกประการหนึ่งความเจริญของบ้านเมืองซึ่งจะมีขึ้น เพราะการสร้างสมทุนในบ้านเมืองทวีมากขึ้น และถ้าทุนทวีมากขึ้นแล้ว ทุนก็อาจเลี้ยงคนทำการได้มากขึ้นนั้น ค่าแรงของคนทำการจะสูงขึ้นหรือต่ำลง ก็ต้องสุดแล้วแต่ส่วนคนทำการจะเกิดทวีมากขึ้นนั้นช้าหรือเร็วกว่าส่วนจำนวนทุน ซึ่งจะงอกมากขึ้นได้ ถ้าส่วนทุนที่งอกมากขึ้นนั้น งอกทันกันพอดีกับส่วนจำนวนคนทำงานที่เกิดมากขึ้น ค่าแรงก็จะไม่มากน้อยผิดไปกว่าเก่านัก ถ้าส่วนทุนที่งอกมากขึ้นนั้น งอกช้าไปกว่าส่วนจำนวนคนทำงานที่มีมากขึ้น ค่าแรงจำจะต้องตกต่ำลง เพราะทุนนั้นไม่พอจะเลี้ยงคนทำงาน ฐานะของคนทำงานก็ย่อมจะซุดโทรมลง แต่ถ้าส่วนทุนที่งอกนั้น งอกเร็วกว่าส่วนคนทำงานซึ่งเกิดมมากขึ้น ค่าแรงของคนทำงานก็อาจจะสูงขึ้นตามกัน คนทำงานซึ่งจะมีความศุขยิ่งขึ้น แต่การที่เปรียบจำนวนคนทำการและจำนวนทุนให้เห็นว่าค่าแรงทำงานจะสูงขึ้นหรือต่ำลงอย่างไร ในที่นี้จะต้องสมมุติเอาว่า ราคาอาหารการเลี้ยงชีพของคนทำงานคงที่อยู่เสมอ ถ้าราคาอาหารนี้ถูกลงหรือแพงขึ้น ค่าแรงทำการก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปอีก

ประเทศจีนซึ่งเชื่อกันว่า เปนประเทศที่ได้ตั้งมาได้กว่าสี่พันปีแล้ว และเปนประเทศที่เจริญรุ่งเรืองเปนเอกราชมาได้จนทุกวันนี้ ความวิบูลย์ผลซึ่งเคยงอกงามมาแต่เดิมเพราะผลของการกสิกรรมและหัดถกรรมนั้นคงจะหยุดยั้งมาเสียนานแล้ว จะหยุดยั้งมาเพราะเหตุว่าที่ดินเพาะปลูก ซึ่งจะทำการให้เกิดผลอุดมดีนั้นคงสิ้นสุดไปแล้ว โดยเหตุนี้ส่วนทุนซึ่งจะสะสมทวีมากขึ้นนั้น คงไม่เท่าทันกันกับส่วนจำนวนสำมโนครัว ซึ่งเกิดทวีมากขึ้นรวดเร็วกว่า โดยที่จะเห็นได้ว่าพลเมืองทุกวันนี้มีมากมายถึง ๓๕๗ ล้านคน เปนเพราะเหตุฉะนี้ราคาอาหารการเลี้ยงชีพในประเทศจีนจึงได้แพงนัก และโดยที่คนมากเกินส่วนทุนและส่วนที่ดินที่จะทำผลประโยชน์ได้ ค่าแรงในประเทศจีนจึงตกต่ำมากถึงกับราษฎรต้องได้ความอดอยากยากแค้นอดอาหารตายอยู่เนือง ๆ เพราะเหตุความยากจนขัดสนนี้เอง พวกจีนจึงต้องจำเปนสู้ทั้งที่เกิดเมืองเดิมไปเที่ยวหากินตามนานาประเทศทั่วไป เช่นที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยเปนอันมากนั้นเปนต้น และโดยเหตุที่จีนพวกนี้มีความอดทนมีความเพียรและความฉลาดในการหากินอย่างเข้มงวดนั้น บางประเทศเกรงว่าจีนพวกนี้จะเข้าไปแข่งแย่งหากินกับพลเมืองของเขา กระทำให้ยากจนขัดสนลงได้ จึงคอยป้องกันมิให้พวกนี้ล่วงลามเข้าไปในบ้านเมืองของเขา มีประเทศอเมริกาเหนือและประเทศออศเตรเลีย เปนต้น แผ่นดินใหม่เช่นประเทศอเมริกาเหนือและเกาะออศเตรเลียอันกว้างใหญ่เปนอันมากนั้น ชาวยุโรปมชาติอังกฤษเปนพื้นแพร่หลายกันออกไปตั้งทำมาหากินอยู่แต่ต้นมาจนถึงสมัยนี้ไม่ถึง ๕๐๐ ปี ที่ดินเกิดผลเพาะปลูกและแร่ทองกับธาตุต่าง ๆ บริบูรณ์พร้อม การกสิกรรมและหัดถกรรมก็เจริญ พลเมืองสะสมกำไรเปนทุนทวีขึ้นได้รวดเร็วอย่างใด และมีคนที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ทั้งคนต่างประเทศที่เข้าไปอยู่อาศรัยหากินจะเปนจำนวนคนมากมายขึ้นโดยรวดเร็วอย่างใด ก็ยังไม่เท่ากันกับส่วนทุนที่งอกขึ้นในบ้านเมือง เหตุที่ที่ดินเพาะปลูกผลไพบูลย์มาก เมื่อมีชาวต่างประเทศเข้าไปอาศรัยหากินมาก ก็ย่อมจะพาทุนต่างประเทศตามเข้าไปด้วย ลักษณผิดกันกับประเทศจีน เพียงที่ยกมากล่าวแต่เท่านี้ก็พอจะเห็นได้แล้วว่า เหตุใดประเทศทั้งสองที่กล่าวนี้ จึงได้มั่งมีบริบูรณ์ยิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอ ค่าแรงทำการและราคาที่ดินก็สูงอยู่ได้ เมื่อเปรียบกันดูกับแผ่นดินอังกฤษซึ่งเปนประเทศเก่าแก่ และเปนที่เกิดแห่งต้นเผ่าพันธุ์เดิมของคนสองประเทศที่กล่าวนั้นเอง ลักษณการก็ผิดกันไปตามกาละเทศะอีก แผ่นดินอังกฤษมีเนื้อที่น้อยมีพลเมืองมากผลเพาะปลูกซึ่งเกิดในแผ่นดินไม่พอจะเลี้ยงกัน แต่อาศรัยความชำนิชำนาญในการหัดถกรรมทำของขาย และการพานิชกรรมได้กำไรในทางนี้ จึงมีทุนพอที่จะซื้ออาหารต่างประเทศเข้าไปเลี้ยงคนทำงานในพื้นเมือง ถึงโดยว่าพลเมืองจะมากมายเท่าใด และมีแผ่นดินเพาะปลูกเล็กน้อยสักเพียงใดก็ดี เมื่อได้อาศรัยผลของการหัดถกรรมและพานิชกรรม มีกำไรสะสมเปนทุนเกินส่วนอยู่เสมอตราบใด ความเจริญของประเทศอังกฤษก็ย่อมจะดำเนินไปได้โดยสดวกอยู่เสมอ ในที่สุดทุนซึ่งมีใช้ในการทำผลประโยชน์ทั่วไปในโลกนี้ ได้อาศรัยทุนของชาติอังกฤษเที่ยวเจือจานแพร่หลายอยู่เปนอันมาก เมื่อตรวจดูสารบาญชีการค้าขายของประเทศอังกฤษ จะเห็นแต่เผิน ๆ ว่าพลเมืองอังกฤษจำหน่ายเงินซื้อสินค้าต่างประเทศเข้าไปใช้ในเมืองมากกว่าราคาสินค้าซึ่งทำในเมืองแล้วส่งออกไปขายต่างประเทศ น่าจะขาดทุนอยู่ทุกปีก็จริง แต่เมื่อคิดไปถึงว่าการค้าขายในโลกเช่นการเดินเรือ และกำไรในทุนกองใหญ่ที่ส่งออกไปเจือจานอยู่ทั่วโลก เปนส่วนใหญ่อยู่ในมอของชาติอังกฤษแล้ว ก็จะเข้าใจได้ว่ากำไรในการค้าขายและดอกเบี้ยที่ได้ในต้นทุนนั้นเอง คงมีส่วนมากเกินกว่าที่จะลบล้างกันกับความขาดทุนโดยที่ต้องซื้อของต่างประเทศมากกว่าที่ส่งออกไปนอกประเทศนั้นได้ อีกประการหนึ่งโดยเหตุที่ชาติอังกฤษได้เลี้ยงตัวอยู่โดยมีกำไรในการทำของส่งออกไปขายต่างประเทศเปนสิ่งสำคัญกว่าอื่นนั้น เมื่อขายของเหล่านี้ได้ทุนคืนและกำไรด้วยแล้ว ถ้าไม่เอาทุนและกำไรที่ได้นี้แลกเปลี่ยนเปนทองที่จะขนกลับเข้าไปในเมือง ก็จำเปนจะต้องแลกเอาสินค้าต่างประเทศกลับเข้าไป เมื่อพิจารณาดูตามทางที่กล่าวนี้ก็เปนอันเห็นได้ชัดว่า สินค้าเข้าเมืองอังกฤษซึ่งมีราคามากกว่าสินค้าออกนั้น คงเท่ากันกับต้นทุนของสินค้าออกรวมทั้งกำไรที่ขายได้จากสินค้านั้นด้วย ราคาสินค้าเข้าเมืองอังกฤษที่มากกว่าราคาสินค้าออกเพียงใด เปนส่วนกำไรในสิ่งของที่ชาติอังกฤษทำออกไปขายต่างประเทศ เปนต้นว่าคนอังกฤษลงทุนทำสิ่งของอย่างหนึ่งเปนราคาเงิน ๑๐๐ บาทส่งออกไปขายต่างประเทศได้กำไร60บาทรวมเปนเงิน ๑๐๐ บาทเมื่อจะเอาเงิน ๑๑๐ บาทนี้กลับคืนไปให้เจ้าของเดิมในเมืองอังกฤษก็จำจะต้องเอาเงิน ๑๑๐ บาทนั้นออกจำหน่ายซื้อสินค้าต่างประเทศส่งไปแทนตัวเงิน เพราะฉะนั้นราคาสินค้าเข้าเมืองอังกฤษจึงมากกว่าสินค้าออกเสมอ ที่แท้จริงเจตนาของการค้าขายนั้น ก็เพื่อจะแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งใช้เปนคุณประโยชน์ได้ซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช้ว่าจะมเจตนาเฉภาะจะเอาทองและเงินเปนใหญ่ เงินและทองเปนคะแนนกะและวัดราคาของซึ่งแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น

ในที่สุด เมื่อจะยกลักษณการค้าขายในระหว่างกรุงสยามกับนานาประเทศมาเปรียบเทียบกันกับประเทศอังกฤษต่อไปก็จะเห็นผลผิดเพี้ยนกันไปโดยที่มูลเหตุต่างกันนั้นออกไปอีก

ตามบาญสินค้าขาเข้าออกซึ่งกรมศุลกากรทำขึ้นไว้เปนเปนรายงานทุกบนั้นได้ความว่าในเวลานี้กรุงเทพฯ ขายสินค้าออกนอกประเทศได้เกินที่ซื้อของต่างประเทศเข้ามาใช้คิดเฉลี่ยปานกลางเปนราคาเงินราวมีละ ๒๕ ล้านบาทถ้าการพานิชกรรมและการเดินเรือและทุนซึ่งใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเหล่านั้นอยู่ในมือของไทยทั้งสิ้นแล้วจำนวนสินค้าราคาเงิน ๒๕ ล้านบาทนี้จะต้องตกอยู่ในเมืองไทยทั้งสิ้นแต่ความจริงหาเปนเช่นนั้นไม่เหตุที่การค้าขายและการเดินเรืออยู่ในมือคนต่างประเทศคือเงินและฝรั่งเปนพื้นทั้งต้องเสียค่าแรงทำการให้เขาด้วยกำไรนี้ย่อมจะเปนส่วนใหญ่อยู่ในมือคนต่างประเทศเปนธรรมดาเมื่อได้คิตประมาณกำไรในการค้าขายและค่าแรงชาวต่างประเทศ หักออกเสียจากจำนวนเงิน ๒๕ ล้านบาทนั้นแล้ว ก็คงไม่มีเงินเหลือตกอยู่ในบ้านเมืองสักเท่าใด เมื่อเปนคราวเคราะห์ร้ายทำนาได้ผลน้อยต่อเนื่องกันสักสองสามปี เรากลับจะขาดทุนเข้าเนื้อเสียอีก

อีกประการหนึ่ง เมื่อจะคิดไปตามกฎของธรรมดาที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ค่าแรงทำงานจะสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ก็ต้องสุดแล้วแต่ส่วนจำนวนทุนในบ้านเมือง ซึ่งจะเกิดพูลผลยิ่งขึ้นหรือน้อยลงกับส่วนจำนวนคนงานในบ้านเมือง ซึ่งจะเกิดมีมากขึ้นหรือน้อยลงเปนใหญ่นั้น เมื่อคิดดูถึงลักษณการในกรุงสยามในสมัยนี้ว่าที่ดินเพาะปลูกและมีมาก กำไรหากินในกรุงสยามทั่วไปคงมีเพิ่มเติมทุนเดิมสะสมมากขึ้นได้เสมอไป และโดยเหตุที่ทุนนี้มากขึ้นทุนจึงเปนกำลังที่จะเลี้ยงคนทำงานได้มากขึ้นตามส่วนนั้น ก็เปนเหตุที่จะเห็นได้อย่างหนึ่งว่า จำนวนราษฎรที่เปนคนไทยเกิดไม่มากทันกันกับทุนในเมืองที่ทวีขึ้น ทุนนั้นจึงเปนกำลังที่จะจ้างคนต่างประเทศจีนเปนต้น เข้ามาใช้เพิ่มเติมอีกได้ สำมโนครัวสยามจำเปนจะต้องงอกรวดเร็วขึ้น เพราะเหตุที่ทุนงอกมากขึ้นนี้เปนแน่ มิฉะนั้นะมีคนต่างประเทศเข้ามาไม่ได้ แต่เมื่อคิดไปว่าธรรมดาของโลก มีความจริงอยู่ว่า สัตว์น้อยต้องเปนอาหารของสัตว์ใหญ่ มนุษย์ที่มีกำลังและร่างกายและความคิดน้อยย่อมแพ้เปรียบแก่มนุษย์ที่มีกำลังมากและความคิดมาก เมื่อเปรียบกำลังชาติไทยและชาติจีนดู ก็น่าจะเห็นได้ว่าเหตุที่จีนมีกำลังกว่านั้น จีนคงจะแข่งขันชนะไทยในการหาผลประโยชน์เลี้ยงชีพอย่างนี้เสมอไปถ้าหากว่าไม่มีการป้องกันอย่างใดในความข้อนี้ไว้บ้างเมื่อต้องอาศรัยแรงทำงานของจีนมาใช้ในบ้านเมืองตั้งที่เปนอยู่เดี๋ยวนี้และโดยที่จีนจะต้องแบ่งส่วนค่าแรงที่ได้ส่งไปเมืองจีนมากบ้างน้อยบ้างเสมอไปนั้น ทุนซึ่งจะงอกสะสมในบ้านเมืองก็พึงจะงอกไม่ได้บริบูรณ์เต็มที่ เพราะเหตุที่พวกจีนแบ่งส่วนออกไป ค่าแรงจีนใหม่ที่ได้ไปนั้น เปรียบประดุจดังว่าเปนราคาสินค้าต่างประเทศอย่างหนึ่งซึ่งเราต้องซื้อเข้ามาใช้ในบ้านเมือง เปนการจำเปนที่ค่าแรงส่วนนี้จะต้องตกออกไปอยู่นอกประเทศนั้นเอง เพราะเหตุนี้และเพราะเหตุที่การค้าขายอยู่ในมือต่างประเทศ ราคาสินค้าเมืองไทยที่ออกนอกประเทศจึงมากกว่าราคาสินค้าต่างประเทศซึ่งเราแลกเปลี่ยนเข้ามาใช้ในบ้านเมือง ทุนในเมืองไทยจะงอกช้าไปกว่าที่ควรอีกอย่างหนึ่งได้ก็เพราะสิ่งของเครื่องใช้ซึ่งเกิดเปนความปราถนาของพลเมืองมากขึ้น เพราะทุนในบ้านเมืองมากขึ้น สิ่งของเหล่านั้นเปนสิ่งของที่คนต่างประเทศที่ส่งเข้ามาเสียโดยมาก เมื่อเราต้องการของต่างประเทศใช้อยู่ดังนี้และยิ่งต้องการมากอย่างต่างชนิดออกไปตามความฟุ่มเฟือยเผอเรอมากน้อยของชาติเปนต้น เราก็จำเปนจะต้องแบ่งทุนซึ่งเกิดขึ้นในบ้านเมืองนั้นออกไปใช้เปนค่าแรงสำหรับเลี้ยงคนต่างประเทศทำของส่งเข้ามาให้เราใช้นั้นมากขึ้นตามกัน ถ้าเราทำของซึ่งต้องการใช้ได้ในเมืองเองมากอย่างต่างชนิตตามความต้องการของเราที่มากขึ้น ตามส่วนที่ทุนงอกมากขึ้นแล้ว ค่าแรงในเมืองไทยก็อาจสูงขึ้นได้กว่านี้ด้วย มิฉะนั้นสำมโนครัวจำจะต้องมีมากขึ้น โดยเหตุที่จะมีคนต่างประเทศเพิ่มเติมเข้ามารับการนี้มากยิ่งขึ้น และเมื่อสำมโนครัวยิ่งมีมากขึ้นรวดเร็วเพียงใด ทรัพย์ในบ้านเมืองกอาจเกิดรวดเร็วขึ้นได้ตามกันด้วย เว้นเสียแต่จะมีคนต่างประเทศเช่นจีนเข้ามามากรวดเร็วเกินไปกว่าส่วนทุนที่งอก ถ้าฉะนั้นราษฎรที่มีกำลังน้อยเช่นไทยเราเปนต้น คงจะได้ความทุกข์ยาก เพราะค่าแรงตกต่ำลงก่อนพวกจีน และทางที่จะแก้ให้ดีขึ้นได้ก็จะมีแต่ที่จะเติมทุนในบ้านเมืองให้มากขึ้น เพื่อจะให้ราษฎรมีการทำมากขึ้นหรือคิดอ่านป้องกันคนต่างประเทศไม่ให้เข้ามาแย่งการทำมาหากินของพลเมืองได้เท่านั้น ได้ยกมูลเหตุและผลของการต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกันพอเปนเค้าเงื่อนได้แล้ว พอจะเห็นได้ว่า ค่าแรงจะสูงขึ้นหรือต่ำลงเพราะเหตุที่มีทุนในบ้านเมืองมากและน้อยอย่างหนึ่ง เพราะเหตุที่สำมโนครัวมากหรือน้อยอย่างหนึ่ง และเพราะเหตุที่ที่ดินซึ่งจะทำการกสิกรรมได้ผลดีนั้นจะสิ้นสุดลงหรือยังมีเหลืออยู่มากอย่างหนึ่ง เมื่อได้เห็นเหตุสามประการเพียงที่ได้ยกมากล่าวแต่เท่านี้แล้ว ต่อไปยังมีเรื่องที่จะพิจารณาอีกว่า ค่าจ้างค่าแรงของคนทำงานในบ้านเมืองที่ไม่เสมอกันทั่วไปนั้นมีเหตุอย่างไรบ้าง นักปราชญ์อังกฤษชื่ออาดัมสมิทได้ชี้แจงไว้ว่ามีเหตุอยู่ ๕ ประการ

(๑) เปนเพราะลักษณการซึ่งจะทำนั้นจะทำได้โดยความศุขสบายหรือความเดือดร้อน

(๒) ลักษณการที่จะทำนั้นจะฝึกหัดเล่าเรียนทำได้โดยง่ายหรือยาก หรือโดยที่จะต้องเสียเวลาและค่าเล่าเรียนฝึกหัดการนั้นมากและน้อย

(๓) ลักษณการที่จะทำนั้นจะทำอยู่ได้เสมอไปหรือจะต้องหยุด ๆ ยั้ง ๆ ทำได้แต่ชั่วครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง

(๔) เปนเพราะคนซึ่งจำเปนจะต้องเชื่อถือไว้วางใจแก่คนทำการนั้นได้มากน้อยอย่างไร

(๕) ลักษณการที่จะทำนั้นอาจจะสำเร็จได้แน่นอน หรืออาจจะพลาดพลั้งไม่สำเร็จไปได้

ในข้อหนึ่งไม่ต้องชี้แจงกพอจะเห็นได้อยู่เองแล้วว่า ธรรมดาที่จะทำการไปได้โดยความศุขสบายนั้น คงจะมีผู้อยากทำมากอยู่เสมอ มีการกุลีทำการเบาเปนต้น เพราะเหตุฉะนั้นค่าแรงในการเช่นนี้ต้องต่ำกว่าชนิดการซึ่งจะต้องทำโดยความทรกรรมลำบากและน่าเปนอันตรายมากเช่นคนทำการขุดบ่อถ่านเปนต้น คนพวกนี้ต้องทำการหนักอยู่ในใต้แผ่นดินอันเปรอะเปื้อนไปด้วยลอองถ่านและอากาศไม่บริสุทธิ์ แล้วยังมิรู้ว่าอุโมงค์ที่ขุดเข้าไปในนั้นอาจจะพังทะลายทับตัวตายได้เมื่อไรอีก ค่าแรงคนพวกนี้ต้องแพงอยู่เอง

ข้อ ๒ เปนเหตุสำคัญที่อาจจะกระทำให้ค่าจ้างค่าแรงสูงต่ำกว่ากันได้เปนอันมาก การสิ่งใดที่ต้องเสียเวลาและเสียเงินค่าเล่าเรียนฝึกหัดวิชามาก การสิ่งนั้นก็ย่อมจะมีคนทำได้น้อย การบางอย่างซึ่งต้องการความรู้วิชาอย่างสูงนั้นจะฝึกหัดเล่าเรียนได้ก็แต่บุตร์ซึ่งบิดามารดามีเงินมากพอที่จะเสียเงินค่าเล่าเรียนให้ตลอดไป เช่นกับนักเรียนซึ่งรัฐบาลต้องออกเงินส่งออกไปเรียนวิชาต่าง ๆ ในยุโรปทุกวันนี้เปนต้น นอกจากรัฐบาลและผู้ที่มีทรัพย์มากแล้ว ไม่มีใครที่จะส่งนักเรียนเช่นนั้นออกไปได้ เมื่อคนพวกนี้เรียนวิชาได้สำเร็จกลับเข้ามาทำการงานในบ้านเมืองตามวิชาความรู้ได้แล้ว ก็ควรต้องได้เงินเดือนหรือค่าแรงสูงกว่าคนสามัญอยู่เสมอ เพราะมีผู้รู้วิชาเท่านั้นน้อยตัว ผู้ชำนาญและผู้มีความรู้ที่อาจจะทำผลประโยชน์ได้มากกว่าผู้ที่ไม่มีความชำนาญและมีความรู้น้อยนั้นเสมอ

ข้อ ๓ วิชาการหากินซึ่งจะทำได้เปนครั้งเปนคราวไม่เสมอตลอดไปได้นั้นต้องได้ค่าแรงมากอยู่เอง เพราะว่าคนชนิดนั้นนาน ๆ จะได้ทำการสักครั้งหนึ่ง เมื่อได้ทำก็จำเปนจะต้องได้ค่าแรงให้มากพอกับที่จะเลี้ยงตัวคุ้มกันกับเวลาซึ่งจะต้องหยุดว่างเปล่าอยู่ไม่ได้ทำการอื่นอีก วิชาการที่จะทำไปไม่ได้เสมอเช่นนี้คงจะไม่มีผู้ชอบฝึกหัดสักเท่าใด เพราะผลที่จะได้ไม่แน่นอนนัก เมื่อมีผู้หากินในวิชาอย่างนั้นน้อยตัว ค่าแรงชนิดนั้นก็ต้องสูงอยู่เอง

ในข้อ ๔ ซึ่งต้องการไว้วางใจในคนทำงานมากนั้น ก็ย่อมจะเปนลักษณที่จะหาทำได้โดยน้อยตัวอยู่เอง เช่นการทำทองและการช่างฝังเพ็ชร์พลอยซึ่งเปนของมีราคามากเปนต้น เจ้าของการพึงจะต้องเลือกหาลูกจ้างที่ไว้วางใจได้ว่าจะเปนคนซื่อตรงแน่แล้วจึงจะมอบของมีราคาให้ไปได้ คนอย่างนี้ย่อมมีน้อยเพราะฉะนั้นค่าแรงก็ย่อมจะแพงอยู่เอง

ในความข้อ ๕ ที่ว่าจะต้องอาศรัยความแน่นอนว่าในที่สุดจะทำการนั้นไปได้สำเร็จหรือไม่นั้น ซึ่งจะมีผู้ริอ่านทดลองฝึกหัดเล่าเรียนทำน้อยตัวลงอีก เพราะสิ่งที่ไม่แน่นอนนั้น ถ้าผู้ใดทำได้สำเร็จเปนการแน่นอนขึ้น ผลของค่าแรงผู้นั้นย่อมจะได้สูงอยู่เอง เปนต้นว่าในวิชาหมยกฎหมายซึ่งต้องเล่าเรียนฝึกหัดเสียเวลาอยู่หลายปี จึงจะได้ความรู้พอที่จะเข้าทำการได้นั้น มีตัวอย่างอยู่เนือง ๆ ว่าบรรดาผู้ที่ได้ออกไปเรียนวิชานี้ถึงประเทศยุโรปแล้วกลับเข้ามานั้น น้อยตัวจะได้ตั้งหน้าทำการหากินไปแต่ทางหมอความได้ตลอด เปนเหตุที่มีผู้ไปหาให้ช่วยว่าความให้นั้นน้อยตัว จนได้ว่าธรรมเนียมไม่พอ ต้องหันไปทำการอย่างอื่นแต่ผู้ที่มีโชคดีลูกความชอบมาก ผู้นั้นก็ย่อมจะหาผลประโยชน์มีค่าแรงสูงขึ้นทุกที ในวิชาแพทย์ที่คล้ายคลึงกัน ใช่ว่าเปนแพทย์แล้วจะได้ผลประโยชน์เท่ากันทั่วไป หากเปนเพราะคนนิยมนับถือมากและประกอบทั้งความรู้รอบคอบซึ่งเปนอุปนิสัยดีของแพทย์นั้นด้วย ค่าแรงและผลประโยชน์ก็ย่อมจะได้มากอยู่เอง เพราะเหตุฉะนี้ผู้เรียนวิชาแพทย์จึงมีน้อย

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ