- คำนำ
- คำอธิบาย
- ตอนที่ ๑ ท้าวอินณุมาศเจ้าเมืองโกญจาได้โอรสบุญธรรม
- ตอนที่ ๒ คงคาประลัยขบถ
- ตอนที่ ๓ พราหมณ์จินดาลักพระกุมารไป ท้าวพินทุมารจับสองกุมารแล้วพาไปเลี้ยงไว้ในถ้ำ
- ตอนที่ ๔ เสนาท้าวอินณุมาศกู้เมืองได้ จึงเชิญเสด็จกลับไปครองแผ่นดิน
- ตอนที่ ๕ สิงหไกรภพลองยา แล้วหนีท้าวพินทุมารกลับบ้านเมือง
- ตอนที่ ๖ สิงหไกรภพเข้าเมืองมารัน แล้วได้พระธิดาสร้อยสุดาเป็นพระชายา
- ตอนที่ ๗ พราหมณ์จินดาตามหาสิงหไกรภพ
- ตอนที่ ๘ สิงหไกรภพหนีออกจากเมืองมารัน
- ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๐ ท้าวจัตุพักตร์ตีเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๑ รามวงศ์หลงเชื่อวิรุณพัฒพี่เลี้ยง หลอกให้เดินทางไปถึงเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๒ รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
- ตอนที่ ๑๓ ท้าวเทพาสูรตีเมืองมารันคืน
- ตอนที่ ๑๔ สิงหไกรภพ ตามหารามวงศ์
- ตอนที่ ๑๕ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
- ตอนที่ ๑๖ สิงหไกรภพให้จัดงานถวายพระเพลิงพระศพท้าวอินทณุมาศและนางจันทร
- ตอนที่ ๑๗ สิงหไกรภพต้องเสน่ห์นางเทพกินรา
- ตอนที่ ๑๘ รามวงศ์พบเจ็ดนาง พระเทวราชโอรสเจ้าเมืองวิเรน และพระอนุชา
- ตอนที่ ๑๙ รามวงศ์เข้าเมืองกาลเนตร
ตอนที่ ๙ สิงหไกรภพกลับเมืองโกญจา
๏ จะกล่าวริวิหคเจ้านกแก้ว | ตั้งแต่แคล้วคลาดมิตรขนิษฐา |
ทุกเช้าเย็นเห็นพราหมณ์นามจินดา | ค่อยร่อนรารอเรียงไปเคียงกัน |
พระแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าสลด | ระทวยทดแทบชีวาจะอาสัญ |
สงสารสุดนุชน้องเจ้าครองครรภ์ | มาจากกันกรรมสร้างแต่ปางใด |
แสนเสียดายสายสมรอาวรณ์เทวษ | นํ้าพระเนตรแดงเดือดดังเลือดไหล |
ยิ่งรำลึกตรึกตรายิ่งอาลัย | บินไม่ไหวแวะลงในดงดอน |
กลับเป็นพราหมณ์ตามกันมาพนาเวศ | ชมขอบเขตเขาเขินเนินสิงขร |
คิดคะนึงถึงสุดาให้อาวรณ์ | สะท้อนถอนฤทัยอาลัยลาญ |
พราหมณ์พี่เลี้ยงเคียงประคองพระน้องรัก | เห็นผิวพักตร์เผือดลงแสนสงสาร |
แกล้งเสสรวลชวนชื่นรื่นสำราญ | ชมห้วยธารถํ้าเขาลำเนาเนิน |
ทั้งสิงห์เสือเนื้อนกวิหคหงส์ | บ้างร่อนลงหากินบ้างบินเหิน |
หน่อกระษัตริย์ทัศนาพลอยพาเพลิน | คิดว่าเดินกับนางเหมือนอย่างเคย |
เข้าเคียงข้างพลางชี้ว่าวิหค | โน่นแน่นกโนรีเจ้าพี่เอ๋ย |
พลางหยอกเอินเดินพิศเฉียดชิดเชย | เจ้าพราหมณ์เลยเป็นนางไม่ห่างองค์ |
พระแอบอุ้มจุมพิตแล้วผิดกลิ่น | เห็นพราหมณ์ผินพักตร์เก้อละเมอหลง |
แกล้งเลยเดินเมินหมางไปกลางดง | กำสรดทรงโศกสะอื้นฝืนอารมณ์ |
เสียดุเหว่าเร่าร้องเมียงมองเรียก | ยิ่งสำเหนียกนึกว่าคู่เคยสู่สม |
ร้องขานขามาตามหรือทรามชม | เที่ยวมองก้มเงยหาด้วยอาลัย |
เห็นเจ้าพราหมณ์ถามว่าเมื่อตะกี้ | นางเทวีจรดลไปหนไหน |
พราหมณ์จินดาว่าดุเหว่าพระเศร้าใจ | ยิ่งสงสัยสอดหายุพาพาล |
เห็นเขาคู่คูนกโอ้อกเอ๋ย | เหมือนพี่เคยเคียงพักตร์สมัครสมาน |
เห็นธารนํ้ารำลึกเมื่อเล่นธาร | เริงสำราญหรือมาร้างให้ห่างกัน |
เห็นกวางทองย่องเยื้องชำเลืองหลบ | เหมือนแลพบพักตร์ยุพินเมื่อผินผัน |
หอมลูกอินกลิ่นระคนปนลูกจันทน์ | เหมือนกลิ่นขวัญเนตรรื่นชื่นอารมณ์ |
นางแย้มงามยามเยื้อนเหมือนเบือนยิ้ม | ให้เชยชิมชื่นชิดสนิทสนม |
ดอกเล็บนางอย่างเล็บพระเก็บชม | แต่ไม่คมข่วนเจ็บเหมือนเล็บนาง |
รสสุคนธ์เหมือนสุคนธ์ปนแป้งสด | มาร้างรสสุคนธ์น้องให้หมองหมาง |
อบเชยเหมือนพี่ชวนเจ้านวลนาง | ออกจากปรางค์มาในห้องหิมวันต์ |
เห็นสาวหยุดสุดคะนึงคิดถึงสาว | หอมเช้าเช้าชื่นใจเมื่อไก่ขัน |
โอ้เต่าร้างเหมือนพี่ร้างมาห่างกัน | ทุกคืนวันวายชมให้ตรมตรอม |
หอมอบเชยเหมือนเมื่อเคยเชยกลิ่นอบ | หอมตรลบอบกลิ่นไม่สิ้นหอม |
พะยอมเอ๋ยเคยใจมิใคร่ยอม | ให้ต้องออมอกชํ้าทุกคํ่าเช้า |
เห็นโศกออกดอกอร่ามเมื่อยามโศก | แสนวิโยคโศกทรวงให้ง่วงเหงา |
ถึงดอกงามยามโศกเหมือนโรคเรา | มีแต่เศร้าโศกซํ้านั้นรํ่าไป |
เห็นยมโดยโดยดิ้นถวิลโหย | เหมือนดิ้นโดยดังจะพานํ้าตาไหล |
โอ้ระกำเหมือนกรรมในนํ้าใจ | ด้วยมาไกลกลีบช้ำระกำตรม |
เห็นกลอยออกดอกดวงเป็นพวงห้อย | เหมือนกลิ่นกลอยใจคิดสนิทสนม |
เสน่หาอาวรณ์ร้อนอารมณ์ | จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ |
พอแดดร่มลมตกเป็นนกแก้ว | ขึ้นนอนแนวเนินผาหน้าไศล |
แต่คํ่าค้างกลางวันพากันไป | ประมาณได้สามเดือนไม่เคลื่อนคลาย |
ถึงโกญจากรุงไกรมไหศวรรย์ | กลับเป็นพราหมณ์ตามกันเดินผันผาย |
เข้าที่เฝ้าท้าวพระยามาทักทาย | เจ้าขรัวนายทูลท้าวเจ้าพารา ฯ |
๏ ฝ่ายปิ่นปักปัถพินอินณุมาศ | กับนางนาฏมเหสีมียศถา |
ทราบว่าพราหมณ์ตามได้หน่อไทมา | ลงจากแท่นแว่นฟ้าละล้าละลัง |
สะดุดเหล่าสาวสนมหกล้มกลิ้ง | พวกผู้หญิงวิ่งหลามมาตามหลัง |
ถึงแท่นทองสองพระองค์ดำรงวัง | เห็นพราหมณ์ทั้งโอรสยศไกร |
สไบทองรองธำมรงค์ผูก | รู้ว่าลูกมั่นคงไม่สงสัย |
เข้ากอดบุตรสุดสวาทเพียงขาดใจ | สองท้าวไททอดทบสลบลง |
พระสิงหไกรภพอภิวาท | ใจจะขาดตะลึงคิดพิศวง |
นึกแน่จิตบิตุราชมาตุรงค์ | กันแสงทรงโศกซบสลบไป ฯ |
๏ ฝ่ายข้าเฝ้าเจ้าพราหมณ์เห็นสามกระษัตริย์ | เข้านวดพัดผันแปรช่วยแก้ไข |
ชโลมสุคนธ์ปนปรุงจรุงใจ | ต่างฟื้นได้สมประดีค่อยปรีดา |
พระจูงบุตรสุดสวาทขึ้นอาสน์รัตน์ | หน่อกระษัตริย์บังคมก้มเกศา |
พระตรัสถามตามยุบลแต่ต้นมา | พระลูกยาทูลแถลงให้แจ้งความ |
ตั้งแต่ต้นจนยักษ์รบหักหาญ | แสนสงสารเสียนางกลางสนาม |
มาหยุดอยู่ภูเขาเห็นเจ้าพราหมณ์ | ได้ทราบความจอมนราฝ่าละออง ฯ |
๏ พระบิตุราชมาตุรงค์คิดสงสาร | ค่อยเบิกบานบรรเทาที่เศร้าหมอง |
เจ้ากลับมาธานีทั้งพี่น้อง | จะให้ครองเขตขัณฑ์สวรรยา |
อันพ่อแม่แก่กายจะหมายพึ่ง | ด้วยไร้ซึ่งสุริย์วงศ์เผ่าพงศา |
จะแต่งตั้งเจ้าพราหมณ์นามจินดา | เป็นฝ่ายหน้าอุปราชราชโอรส |
กรมวังทั้งหลายจงหมายบอก | สมในนอกไพร่นายมาให้หมด |
ปลูกโรงราชพิธีมีชั้นลด | ตามกำหนดตำแหน่งจัดแจงกัน |
ทั้งการเล่นเต้นรำมีสำหรับ | ให้เสร็จสรรพสารพัดเร่งจัดสรร |
ให้โหราหาฤกษ์วันสำคัญ | จะทำขวัญเษก[๑]สองครองพารา |
จัดปราสาทราชวังพร้อมทั้งสิ้น | ให้เจ้าจินดาพราหมณ์อยู่ตามประสา |
แล้วชวนหน่อวรนาถเยื้องยาตรา | ขึ้นมหาเหมราชปราสาทไชย |
ฝ่ายขุนนางต่างกรมสมในนอก | ต่างหมายบอกเรียกกันเสียงหวั่นไหว |
พวกนายเวรเกณฑ์การทหารใน | ตัดต้นไม้ปรุงปรับประดับประดา |
ปลูกโรงราชพิธีสิบสี่ห้อง | ลดชั้นช่องฉากฉายลายเลขา |
ยอดมรกตนพเก้าแก้วจินดา | มีช่อฟ้าหน้าบันบราลี |
บัลลังก์อาสน์ลาดปูยี่ภู่ผ่อง | พระแท่นทองธรรมชาติหนังราชสีห์ |
เศวตฉัตรพัดโบกวิชนี | เครื่องพิธีเทวกรรม์ขันนํ้ามนต์ |
อีกกลดสังข์ทั้งพระแสงสำหรับยุทธ์ | ทีฆาวุธอัษฎาสถาผล |
ราชวัติฉัตรรอบขอบมณฑล | ตั้งชั้นบนบังสาดดาดเพดาน |
พระลานทำสำหรับอุปราช | พระธรรมราชรจนามุกดาหาร |
ประดับดวงพวงบุปผาสุมามาลย์ | ชัชวาลชวาลาระย้ายับ |
ปลูกโรงเล่นเต้นรำทำโรงเลี้ยง | โรงทานเรียงร้านน้ำมีสำหรับ |
บายศรีแก้วบายศรีทองสองสำรับ | เครื่องคำนับเทวดาบูชายัญ |
แล้วสำเร็จเจ็ดคํ่าเป็นกำหนด | มาพร้อมหมดพูนเพิ่มเฉลิมขวัญ |
พวกโยคีชีพราหมณ์พรหมจรรย์ | มาพร้อมกันกินบวชสวดพิธี |
ทั้งห้ามแหนแสนสุรางค์นางสนม | ทุกหมู่กรมเครื่องอานพานพระศรี |
ของเก่าแก่แก้ไขเสียให้ดี | หุ้มฝาชีโหมดตาดสะอาดงาม |
บ้างอบนํ้ารํ่าผ้าหาแป้งผัด | ให้ข้าขัดขมิ้นให้ใส่ส้มมะขาม |
นุ่งผ้าไหมใส่แหวนทองแต่สองยาม | จะคอยตามเสด็จท้าวเจ้าพารา ฯ |
๏ ฝ่ายปิ่นปักปัถพินอินณุมาศ | พร้อมพระญาติสุริย์วงศ์เผ่าพงศา |
ครั้นได้ฤกษ์เบิกอรุณไขมุรธา | ให้ลูกยาสรงสนานสำราญกมล |
ทั้งรินรดกลดสังข์หลั่งนํ้าหอม | ชีพราหมณ์พร้อมสวดมหาสถาผล |
พฤฒาเฒ่าเป่าสังข์หลั่งนํ้ามนต์ | ประโคมดนตรีดังกังสดาล |
ผลัดชุบสรงทรงภูษาผ้าทิพย์ทับ | ปั้นเหน่งพับเพชรพรายสายประสาน |
ห้อยหน้ากรองฉลององค์อลงการ | สวมสังวาลบานพับประดับเพชร |
ทรงมงกุฎบุษยรัตน์ประภัสสร | กรรเจียกจรแจ่มจรัสไตรตรัสเตร็จ |
ทองกรเก้าคู่สุวรรณกัลเม็ด | สลับเพชรค่าล้วนควรนคร |
พระธำมรงค์วงพรายลายพระหัตถ์ | แจ่มจรัสแสงมณีสีสลอน |
ทรงพระขรรค์ผันผายกรีดกรายกร | มาหยุดหย่อนยอบก้มบังคมคัล |
เจ้าจินดาอ่าองค์ทรงสังข์กลด | พวกพราหมณ์รดร่ายเวทวิเศษขยัน |
แล้วทรงเครื่องเรืองระยับจับผิวพรรณ | แก้วกุดั่นดังดาวแพรวพราวพราย |
สวมชฎามาลัยดอกไม้ทัด | อร่ามเรืองเครื่องกระษัตริย์จรัสฉาย |
ขัดพระขรรค์กัลเม็ดเพชรแพรวพราย | มาถวายบังคมองค์พระทรงยศ ฯ |
๏ กรุงกระษัตริย์ตรัสสั่งให้ตั้งแห่ | ทั้งสังข์แตรพร้อมพรั่งกันทั้งหมด |
อีกจามรชอนตะวันเป็นหลั่นลด | เชิญกรรฉิ่งกลิ้งกลดให้บดบัง |
หน่อกระษัตริย์ขัตติยวงศ์ทรงยานุมาศ | อุปราชทรงเสลี่ยงเรียงตามหลัง |
กระบวนแห่แซ่สล้างไปกลางวัง | หอกดาบดั้งเขนธนูเป็นคู่เคียง |
กลองชนะประโคมเสียงโครมครึก | มโหระทึกแตรสังข์ประดังเสียง |
เดินตามทางหว่างราชวัติเรียง | ดูพร้อมเพรียงไพร่ฟ้าประชาชี |
บ้างชมหน่อวรนาถไม่คลาดเคลื่อน | ละม้ายเหมือนองค์ท้าวเจ้ากรุงศรี |
บ้างว่าคล้ายฝ่ายองค์พระชนนี | ชาวบูรีรักใคร่ต่างให้พร ฯ |
๏ จอมกระษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงเสลี่ยง | ตำรวจเรียงคู่แห่แลสลอน |
นางทรงสีวิกางามตามภูธร | พร้อมนิกรกัลยาคณานาง |
ต่างนุ่งห่มสมทรงประจงจัด | ล้วนเกณฑ์หัดทรงเครื่องยาตรเยื้องย่าง |
พึ่งรุ่นราวสาวสลวยสวยสำอาง | ไปตามทางเข้าสถิตที่พิธี |
ท้าวอินณุมาศเชิญราชโอรสนั่ง | บนแท่นตั้งฉัตรลาดหนังราชสีห์ |
อุปราชอาสน์ลดพระกลดมี | อยู่ตรงที่แท่นรัตน์กระษัตรา |
พอได้ฤกษ์เบิกพลีบายศรีขวัญ | แก้วสุวรรณพรรณรายทั้งซ้ายขวา |
ข้าราชการขานโห่เป็นโกลา | พระโหราฆาตฆ้องก้องกังวาน |
ประโคมแซ่แตรสังข์มังคลา | ปี่ชวาเสียงเอกวิเวกหวาน |
มโหระทึกกึกก้องกังสดาล | พฤฒาจารย์จุดเทียนแล้วเวียนไป |
ฆ้องระนาดพิณพาทย์เพลงเจ๋งจับปี่ | มโหรีจำเรียงส่งเสียงใส |
เสียงกลองแขกแซ่ซ้องฆาตฆ้องชัย | สนั่นในนัคเรศทั้งเขตคัน ฯ |
๏ ฝ่ายโรงงานการสมโภชพวกเล่นโขน | ฆาตกลองโยนบทพหลพลขันธ์ |
พระหริวงศ์ทรงยศทศกัณฐ์ | ยืนประจัญเจรจาพูดท้าทาย |
พวกตลกถกเขมรออกเต้นแทรก | พูกเจ๊กแขกเถียงกันขันใจหาย |
ต่างต่อยเตะเอะอะปะหยาบคาย | ทั้งหญิงชายสรวลเลเสียงเฮฮา |
ทั้งโรงหุ่นอุณรุทสุดที่รัก | นางศุภลักษณ์อุ้มสมชมอุษา |
ตลกเล่นเป็นอ้ายคุ่ยบุ้ยหน้าตา | คนดูฮาเสียงลั่นสนั่นไป |
ละครรำทำบทสุวรรณหงส์ | ถูกหอกองค์เอวสั่นหวั่นหวั่นไหว |
ทำคลุกคลีหนีหน้าถลาไป | คนร้องไห้สะอื้นขึ้นยืนฮา |
เพลงปรบไก่ใส่ช้องร้องจับปี่ | พอถึงที่ขัดทำนองร้องฉ่าฉ่า |
บ้างรำล่อล้อหลอกกลอกหน้าตา | คนดูฮาเฮยืนเสียงครื้นเครง |
พวกลั่นถันประจันงิ้วร้องซิวเสี้ยน | ล้วนหน้าเขียนขึ้งโกรธกระโดดเหยง |
เข้าจับกุมคลุมเครือเสื้อกางเกง | ตีเฉ่งเฉ่งม้าล่อเสียงซอครวญ |
มอญรำเรียงเคียงชายมือกรายกวัด | บ้างเบือนปัดกะปิปั่นผินผันผวน |
ร้องอะไรใส่จริตกระบิดกระบวน | ดูปั่นป่วนเปิงมางปึงปึงรับ |
ละครชาตรีซัดไกวกวัดแกว่ง | พลิ้วพลิกแพลงเพลงโทนโยนฉับฉับ |
ร้องพระรถเรื่องเล่นเอียงเอนทับ | ลูกคู่รับกรับส่งตรงรักแร้ |
พวกโหม่งครุ่มทุ่มกลองขึ้นป้องหน้า | ร้องอีหลัดถัดทารำร่าแต้ |
ดนตรีเล่นเป็นหมู่เที่ยวดูแล | ทั้งสาวแส้แก่หนุ่มชุมนุมกัน |
ข้าหลวงเหล่าชาววังรุงรังคิ้ว | ต่างผัดผิวผ่องดีมีสีสัน |
ติดขี้ผึ้งถึงกระเหม่าสักเก้าชั้น | อุตส่าห์กันหน้าผมให้คมคาย |
พวกหนุ่มหนุ่มรุมเกี้ยวทำเบี้ยวบิด | ดัดจริตควักค้อนงอนใจหาย |
กำดัดแดดแผดเผากระเหม่าละลาย | เมินซังตายถอยถลาทำพาเชือน |
พวกสาวสาวชาวสวนล้วนตบแต่ง | ห่มเขียวแดงเดินดูด้วยหมู่เพื่อน |
ชาวบ้านนอกขอกนาหน้าตาเฟือน | โคลนเลนเปื้อนลดเลี้ยวเดินเกี้ยวกัน |
ครั้นเวียนเทียนสำเร็จเจ็ดรอบแล้ว | รับแว่นแก้วรวมไว้ที่ในขัน |
ใบพลูดับวับหายระบายควัน | กระแจะจันทน์จรุณเฉลิมเจิมพักตรา |
ฝ่ายโยคีชีพราหมณ์รามราช | ต่างสวดศาสตร์ไสยมนตร์ดลคาถา |
พระบิตุราชมาตุรงค์องค์นรา | ทั้งเสนาสนั่นช่วยอำนวยพร |
กรุงกระษัตริย์ตรัสมอบทั้งขอบเขต | นัคเรศราชกิจอดิศร |
นางกระษัตริย์ตรัสช่วยอำนวยพร | มอบนิกรกัลยายุพาพาล |
พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ | จึงนอบนบรับสมบัติพัสถาน |
รับพระแสงแต่งตั้งรับสั่งการ | ยื่นประทานอุปราชเป็นอาชญา |
พราหมณ์คำนับรับพระแสงตำแหน่งที่ | ได้เปรมปรีดิ์ปรากฏด้วยยศถา |
ศิโรราบกราบก้มบังคมลา | กระษัตราตรัสช่วยอำนวยพร |
มาขึ้นพระเสลี่ยงตามเยี่ยงอย่าง | พวกขุนนางออกแห่แลสลอน |
ไปอยู่ยังวังหน้าสถาวร | พร้อมนิกรกัลยาเสนาใน |
พระโอรสยศยงดำรงราชย์ | ขึ้นปราสาทราชวัติจรัสไข |
สองกระษัตริย์ขัตติยาต่างคลาไคล | เสด็จไปปรางค์รัตน์ชัชวาล |
พวกเสนีชีพราหมณ์พฤฒามาตย์ | ออกจากราชนิเวศน์เขตสถาน |
บ้างเดินเที่ยวเกี้ยวชู้บ้างดูงาน | แสนสำราญจนเสร็จทั้งเจ็ดวัน ฯ |
๏ พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ | เลิศลบลือเดชทุกเขตขัณฑ์ |
สถิตแท่นแว่นฟ้าเวชายันต์[๒] | พร้อมกำนัลนักสมกรมใน |
ล้วนแน่งน้อยช้อยชดประณตนอบ | แต่ไม่ชอบกิริยาอัชฌาสัย |
เหมือนเคียงเคยเชยบุปผาสุมาลัย | มาเด็ดได้ดอกหญ้าไม่น่าชม |
พระเฉยเชือนเหมือนชังไม่รังเกียจ | มิได้เฉียดชิดสุรางค์นางสนม |
เป็นแต่เวรเกณฑ์ห้ามอยู่ตามกรม | ไม่นิยมยินดีสตรีใด |
เวลาเข้าเฝ้าสองกระษัตริย์เสร็จ | แล้วเสด็จออกพระโรงรัตน์จรัสไข |
ตรัสประภาษราชการงานกรุงไกร | แล้วเข้าในแท่นที่ศรีไสยา |
ยามบรรทมตรมฤทัยมิใคร่หลับ | ให้กระสับกระส่ายพลิกซ้ายขวา |
คิดพะวงทรงละห้อยสร้อยสุดา | เป็นเวราสิ่งไรจึงไกลกัน |
โอ้ยามนี้พี่เคยเกยก่ายกอด | กระซิบพลอดเพลินใจเมื่อไก่ขัน |
เคยหอมหวนนวลเนื้อเหมือนเจือจันทน์ | จนทรงครรภ์คราวเคราะห์จำเพาะเป็น |
โอ้สงสารป่านฉะนี้เจ้าพี่เอ๋ย | เมื่อไรเลยจึงจะได้กลับไปเห็น |
จะแลเหลียวเปลี่ยวเปล่าทุกเช้าเย็น | หรือจะเป็นโทษทัณฑ์อันตราย |
เพราะตัวพี่มิได้อยู่เป็นคู่รัก | สงสารนักนึกให้จิตใจหาย |
จะคอยข่าวเช้าเย็นไม่เว้นวาย | แสนเสียดายดวงใจจำไกลทรวง |
เหลือรำลึกดึกดื่นสะอื้นอก | เหมือนหนึ่งยกเมรุไกรไศลหลวง |
โอ้อกใครในแผ่นดินสิ้นทั้งปวง | ไม่เหมือนทรวงพี่เศร้าถึงเยาวมาลย์ |
มิเหมือนหมายสายสวาทแล้วชาตินี้ | ไม่ขอคบสตรีจนอวสาน |
จะสู้ซื่อถือสัตย์ปฏิญาณ | กว่าจะพานพบสมรเหมือนก่อนมา |
ยิ่งรำลึกตรึกตรมระทมเทวษ | ชลเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
สะอื้นอัดกลัดกลั้นตันอุรา | นิ่งนิทราตรมใจมิใคร่คลาย |
ถึงได้ชมสมบัติแต่พลัดคู่ | ไม่ชื่นชูเช่นมณีศรีสลาย |
ยิ่งอาวรณ์ร้อนรนกระวนกระวาย | แสนเสียดายสร้อยสุดานิราโรย |
พิไรรํ่าซํ้าโศกเป็นโรครัก | จนเผือดพักตร์ผ่องผิวให้หิวโหย |
ต้องต่างแดนแผ่นดินเดือดดิ้นโดย | เหมือนรักโรยแรมราให้อาดูร |
จะทูลลาฝ่าละอองสองกระษัตริย์ | ก็ข้องขัดด้วยพึ่งได้ครองไอศูรย์ |
เหมือนรักเมียเสียวงศ์พงศ์ประยูร | ยิ่งเพิ่มพูนทุกข์สะท้อนถอนฤทัย |
ยามเสวยเคยอร่อยก็ถอยรส | โศกกำสรดเศร้าหมองไม่ผ่องใส |
แสนระกำชํ้าประชวรรัญจวนใจ | จนมิได้ออกประภาษราชการ |
ฝ่ายห้ามแหนแสนสุรางค์ในปรางค์รัตน์ | เห็นกระษัตริย์ซูบลงก็สงสาร |
ไม่เอื้อนอรรถมธุรสพจมาน | ที่หมอบกรานเตรียมเฝ้าก็เปล่าดาย |
ใครเข้าไปใกล้สุวรรณบรรจถรณ์ | ก็เคืองค้อนนึกกระดากยากใจหาย |
แต่มองเมียงเคียงคอยชม้อยชม้าย | ไม่ภิปรายปราศรัยเสียใจจริง |
จนชั้นแต่แลปะพระก็ว่า | เฝ้าเล่นตาเจ้าชู้ชาติผู้หญิง |
ระวังตัวกลัวภัยไม่ไหวติง | ต้องหมอบนิ่งออกระอาทุกนารี |
ครั้นเห็นองค์ทรงยศสลดนัก | วรพักตร์ผุดผ่องก็หมองศรี |
ไปทูลพระชนกชนนี | เหมือนเข้าที่มิได้ออกนอกแท่นทอง ฯ |
๏ พระบิตุราชมาตุรงค์แสนสงสาร | ลุกลนลานจากบัลลังก์มาทั้งสอง |
ทั้งแสนสาวชาวแม่ก็แซ่ซ้อง | เข้าในห้องพระโอรสยศไกร |
เห็นลูกรักพักตร์เศร้าโลมเล้าลูบ | พ่อโศกซูบศรีหมองไม่ผ่องใส |
ให้เมื่อยเหน็บเจ็บป่วยระทวยใจ | หรืออย่างไรโรคเจ้าจงเล่าความ |
พระลดองค์ลงจากที่ชุลีหัตถ์ | ทูลฉลองสองกระษัตริย์ซึ่งตรัสถาม |
ลูกเหนื่อยอ่อนหย่อนกำลังครั้งสงคราม | ด้วยยักษ์ตามติดพันกระชั้นมา |
ถึงเจ็ดคืนเจ็ดวันโรมรันรบ | จนสลบซบอยู่ที่ภูผา |
จึงเสียนางพลางสะอื้นกลืนน้ำตา | พระบิดาว่าวิบากให้จากกัน |
จะหาไหนได้อย่างเช่นนางหญิง | ไม่ทอดทิ้งภัสดาสู้อาสัญ |
พระมารดาว่าสงสารหลานในครรภ์ | มันฆ่าตีชีวันจะบรรลัย |
พระบิดาว่าเสียดายคงวายวอด | จะได้รอดชีวีอยู่ที่ไหน |
โอรสฟังนั่งนึกรำลึกไป | สะอื้นไห้ฮักฮักซบพักตรา |
พออุปราชราชฐานคลานมาเฝ้า | ท้าวเธอเล่าตื้นลึกแล้วปรึกษา |
ไฉนเล่าเราจะได้สร้อยสุดา | ช่วยปรึกษาตรองตริดำริการ |
เจ้าพราหมณ์ฟังบังคมประนมสนอง | จำจะต้องแต่งอำมาตย์ถือราชสาร |
ไปงอนง้อขอสมาพญามาร | ตามโบราณร่วมจังหวัดปัถพี |
เผื่อจะหายคลายโกรธยกโทษให้ | ก็จะได้พระธิดามารศรี |
ข้าจะขออาสาฝ่าธุลี | นำเสนีราชทูตไปพูดจา |
แต่ทางเดินเกินกำลังเหล่ามนุษย์ | สายสมุทรขวางทางกว้างนักหนา |
จะต้องไปในทะเลด้วยเภตรา | มรคาเคยสังเกตประเทศทาง |
พระบิดาว่าเห็นดีทีจะได้ | ตามแต่ใจเจ้าจะจัดไม่ขัดขวาง |
ทั้งหน่อไทใจชื่นใคร่คืนนาง | จึงว่าทางทะเลไปได้สบาย |
ตั้งแต่ที่พี่พบกับน้องนั้น | อีกเจ็ดวันหว่างศาลประมาณหมาย |
พี่ไปถึงจงระวังฟังระคาย | ถึงยักษ์ร้ายเคืองขัดจะตัดรอน |
น้องจะทำคำสั่งเป็นหนังสือ | พี่ลอบถือไปถวายสายสมร |
แล้วให้แผ่แผ่นสุวรรณอันบวร | เขียนอักษรสั่งความตามพระทัย |
ทั้งทับทิมธำมรงค์ให้นงนุช | กับวงบุษราคัมล้วนนํ้าใส |
เจ้าพราหมณ์รับอภิวันท์แล้วครรไล | มาจัดไพร่เจนทะเลลงเภตรา |
ทั้งต้นหนคนงานทหารรบ | เลือกให้ครบคนล่ามตามภาษา |
ทั้งเสนีสี่ทูตช่างพูดจา | เครื่องบรรณาการแล้วด้วยแก้วทอง |
พวกอาลักษณ์นักปราชญ์แต่งราชสาร | จดลงลานทองคำไม่ซํ้าหมอง |
ใส่กล่องรัตน์ชัชวาลมีพานรอง | ครบสิ่งของข้าวนํ้าเป็นลำเลียง |
พอลมดีตีฆ้องฆาตกลองฤกษ์ | เอิกเกริกแตรสังข์ประดังเสียง |
ให้คลี่ใบใส่สายรอกรายเรียง | หมายเฉลียงบูรพาในสาคร |
ให้ตั้งเข็มเล็มแล่นแสนสันโดษ | เห็นแต่โขดเขาเขินเนินสิงขร |
ออกมหาสาคโรชโลธร | หมายนครอสุราเมืองมารัน ฯ |
๏ จะกล่าวเรื่องเมืองยักษ์อัคเรศ | วิสัยเพศพงศ์สุรางค์นางสวรรค์ |
ทุกคํ่าเช้าเศร้าหมองสู้ครองครรภ์ | จบถึงวันทศมาสไม่คลาดคลา |
พระอุทรคลอนเคลื่อนลมเลื่อนลด | ระทวยทดท้อจิตขนิษฐา |
ให้ป่วนปวดรวดเร้าเศร้าอุรา | ยังอุตส่าห์ทรงแรงแข็งฤทัย |
จนเหลือทนอ้นอั้นให้ปั่นป่วน | กันแสงซวนเซองค์ทรงไม่ไหว |
โอ้ครั้งนี้ชีวันจะบรรลัย | นางรํ่าไรเรียกบุตรด้วยสุดทน |
จะเกิดมาฆ่าแน่ให้แม่ม้วย | ออกมาช่วยดับเข็ญให้เป็นผล |
กันแสงพลางนางเกลือกเสือกสกนธ์ | เหมือนจะด้นดำดินสิ้นชีวัน |
เจ้าพระคุณทูลกระหม่อมของเมียแก้ว | วันนี้แล้วน้องจะลาพระอาสัญ |
กุมารดิ้นนางสะดุ้งพยุงครรภ์ | ให้ไหวหวั่นหวีดหวาดเพียงขาดใจ |
ฝ่ายแสนสาวเถ้าแก่อยู่แซ่ซ้อง | เสียงนางร้องวิ่งแร่เข้าแก้ไข |
บ้างบอกกล่าวท้าวนางพวกข้างใน | ทูลห้าวไทบิตุราชมาตุรงค์ ฯ |
๏ ฝ่ายองค์ท้าวจัตุพักตร์เคยรักใคร่ | เสด็จไปเยี่ยมประชวรนวลหง |
เห็นลูกรักพักตร์สลดกำสรดทรง | ให้แสนสงสารเสียดายสายสุดใจ |
ออกจากห้องร้องเร่งให้เรียกหมอ | วิ่งสอสอเซ็งแซ่เข้าแก้ไข |
พระชี้นิ้วกริ้วอึงคะนึงไป | ต่างหลงใหลเลอะเลือนเฟือนอารมณ์ |
เข้านวดฟั้นกันเองเสียงอึดอัด | เป่ายานัตถุ์ให้สุรางค์นางสนม |
หมอตำแยแก่กกคลานงกงม | หลงนวดข่มขรัวยายงมงายงง |
หลวงแม่เจ้าเถ้าแก่เรียกแตรสังข์ | กรมวังวิ่งไขว่เหื่อไหลหลง |
อรุณฤกษ์เบิกแสงพระสุริยง | ประสูติองค์โอรสยศไกร |
พนักงานพานทองประคองถนอม | สรงนํ้าหอมหมดละอองผุดผ่องใส |
นางโฉมยงสรงสนานสำราญใจ | ยกเตียงไฟมาตั้งเป่าสังข์แตร |
พญายักษ์รักใคร่เข้าใกล้หลาน | ประคองพานเคียงข้างไม่ห่างแห |
รูปละม้ายคล้ายพ่อจะกอแก | เห็นเหมือนแม่เพียงหน้าตั้งตาชม |
ฝ่ายพวกหมอขอสุราแทรกยาสด | นวดประณตน้อมนบประคบประหงม |
กรุงกระษัตริย์จัดพี่เลี้ยงเรียงนางนม | ล้วนงามสมศักดิ์ประทานพระหลานชาย |
กำชับเหล่าเถ้าแก่ดูแลเหวย | แม้นละเลยหลานลูกจะถูกหวาย |
เห็นนงเยาว์เข้าไฟพระทัยสบาย | ค่อยนาดกรายเยื้องย่างไปปรางค์ทอง ฯ |
๏ ฝ่ายพระนุชบุตรีมีโอรส | ค่อยเปลื้องปลดทุกข์ทนกมลหมอง |
พินิจดูกุมารในพานทอง | ผิวผุดผ่องเพ่งพิศเพียงบิดา |
คิดคะนึงถึงองค์พระทรงเดช | ชลเนตรพร่างพรายทั้งซ้ายขวา |
พระไกลกลับลับพักตร์ลักขณา | เห็นแต่หน้าหน่อนาถไม่คลาดคลาย |
โอ้ผ่านเกล้าเจ้าพระคุณทูลกระหม่อม | ไหนจะพร้อมพักตร์ได้เหมือนใจหมาย |
ยิ่งตรึกตรองหมองพระทัยไม่สบาย | ชมลูกชายก็ค่อยชื่นทุกคืนวัน |
เป็นนํ้านวลอ้วนอวบได้ขวบเศษ | ดังดวงเนตรนอนหลับเฝ้ารับขวัญ |
พาขึ้นเฝ้าเจ้าตากรุงมารัน | ท้าวกุมภัณฑ์พิศวาสราชนัดดา |
ประทานนามรามวงศ์ตามพงศ์ยักษ์ | เฝ้าฟูมฟักรักเลี้ยงไม่เดียงสา |
ค่อยสมบูรณ์พูนสวัสดิ์วัฒนา | รู้เจรจาน่าเอ็นดูพระกุมาร |
บรรทมอู่สุวรรณกำนัลเห่ | ดังเสียงเรไรร้องซ้องประสาน |
พวกเสนาข้าบาทราชการ | แต่งลูกหลานมาถวายหมายพึ่งพา ฯ |
๏ ฝ่ายสำเภาเจ้าพราหมณ์แล่นตามคลื่น | เห็นแต่พื้นภูมิทะเลกับเวหา |
ข้ามถิ่นฐานบ้านเมืองเนืองเนืองมา | พบลูกค้าจีนจามสืบถามไป |
ถึงปีเศษเขตมนุษย์ก็สุดสิ้น | ล่วงเข้าถิ่นอสุราคงคาใส |
เสียงครื้นครึกลึกสุดสมุทรไท | สมอไม่ถึงดินสุดสิ้นทาง |
ทั้งปลาร้ายสายสมุทรขึ้นผุดคลํ่า | ดูโตดำดังหนึ่งเนินเชิงเทินขวาง |
ต้องก้าวเฉียงเลี่ยงลำไปท่ามกลาง | มันโบกหางเรือหันป่วนปั่นโคลง |
ไปตามคลื่นขึ้นทางทิศอิสาน | เข้าเขตมารมารันควันโขมง |
มีหอคอยลอยเทิ่งก่อเพลิงโพลง | ตีฆ้องโหม่งโหม่งห้ามเสียงสามที |
ทอดสมอรอเรียงเข้าเคียงฝั่ง | มาคับคั่งคึกคักล้วนยักษี |
เห็นมนุษย์ทูตถามด้วยความดี | มาแต่ที่ถิ่นฐานบ้านเมืองใด |
พวกสำเภาเจ้าพราหมณ์ให้ล่ามพูด | เราเป็นทูตถือสารมาขานไข |
นี่เขตแคว้นแดนที่บูรีใด | เราจะไปนัคราเมืองมารัน |
ฝ่ายพวกยักษ์ซักถามได้ความแน่ | จึงบอกแต่ความจริงทุกสิ่งสรรพ์ |
นี่เมืองด่านชานชลากรุงมารัน | แล้วพร้อมกันรับทูตขึ้นพูดจา |
ขออ่านคำสำเนาในเค้าสาร | เห็นอ่อนหวานหวังประสงค์เป็นวงศา |
จดหมายความตามมีแล้วตีตรา | สั่งให้ม้าใช้ถือหนังสือไป |
ตรงเข้าหาข้าเฝ้ารับเอาบอก | ต่อยตราออกอ่านแจ้งแถลงไข |
เวลาเฝ้าเข้าห้องพระโรงไชย | กราบทูลให้ทราบเรื่องเมืองโกญจา |
ใช้เสนีสี่ทูตจำทูลสาร | บรรณาการกำหนดตามยศถา |
มางอนง้อขอพระราชธิดา | อสุรารู้เรื่องเคืองขบฟัน |
กูแสนแค้นแม้นรู้ว่าอยู่ไหน | จะตามไปเข่นฆ่าให้อาสัญ |
มาขอสู่กูไม่เอาเป็นเผ่าพันธุ์ | อย่าให้มันเข้ามาอยู่ในบูรี |
ฝ่ายเสนากาลสูรจึงทูลทัด | อันกระษัตริย์ทรงบำรุงซึ่งกรุงศรี |
แม้นมีทูตถือสารามาธานี | จะฆ่าตีขับไล่นั้นไม่ควร |
ทุกแดนด้าวท้าวพระยาจะว่าผิด | เสียจริตราชธรรม์หุนหันหวน |
ที่ตื้นลึกตรึกตรัสตัดสำนวน | จึงสมควรข้อความตามโบราณ |
พนาสูรฟังทูลถูกระบอบ | กลับเห็นชอบปัญญาปรีชาหาญ |
สั่งข้าเฝ้าเหล่ายักษ์พนักงาน | ให้เบิกด่านสารตรามาธานี |
เสนารับกลับมาสั่งม้าใช้ | ให้รีบไปเบิกด่านรับสารศรี |
ม้าใช้รับกลับมาฝั่งวารี | บอกเสนีโปรดให้นำไปวัง ฯ |
๏ พราหมณ์ดีใจให้เตรียมราชรถ | กรรฉิ่งกลดเกณฑ์แห่ทั้งแตรสังข์ |
พระราชสารพานสุวรรณทั้งบัลลังก์ | จัดพร้อมพรั่งรถาบรรณาการ |
แล้วเจ้าพราหมณ์สามอำมาตย์ตามราชรถ | แต่งเต็มยศเสนาโยธาหาญ |
ประโคมฆ้องกลองดังกังสดาล | เดินแห่สารแซ่เสียงมาเวียงไชย |
กลองชนะปะปึงปึงเปิงครึ่ม | ก้องกระหึ่มเภรีปี่ไฉน |
โห่สนั่นครั่นครึกพิลึกไป | หมายจะให้แจ้งกิจถึงธิดา |
พวกลูกเล็กเด็กยักษ์คึกคักวิ่ง | ทั้งชายหญิงยืนรายอยู่ซ้ายขวา |
ดูมนุษย์สุดสนุกเหมือนตุ๊กตา | อสุราตรูกระทั่งในวังเวียง |
ถึงประตูบูรีมนตรีรับ | หยุดประทับที่พระลานชานเฉลียง |
เหล่าเสนามาล้อมอยู่พร้อมเพรียง | ตั้งหมากเมี่ยงเลี้ยงทูตนั่งพูดจา ฯ |
๏ ฝ่ายนงนุชบุตรีนารีราช | อยู่ปราสาททราบเหตุว่าเชษฐา |
แต่งอำมาตย์ราชสารสมานมา | แต่กรุงแก้วโกญจาเมืองสามี |
เหมือนม้วยมอดรอดเป็นให้เห็นพักตร์ | พระยอดรักร่วมชีวามารศรี |
แม้นทรงฤทธิ์บิตุราชขาดไมตรี | จะลอบหนีไปให้พบประสบองค์ |
ออกจากห้องร้องเรียกนางสาวใช้ | ให้ลอบไปฟังความตามประสงค์ |
แล้วลีลามาปราสาทบิตุรงค์ | ค่อยแฝงองค์แอบบังฟังกิจจา ฯ |
๏ ปางพระองค์พงศ์บรมพรหมพักตร์ | พญายักษ์โสรจสรงทรงภูษา |
ทรงเครื่องเพชรเสร็จสรรพจับคทา | ออกนั่งหน้าสิงหรัตน์ชัชวาล |
พร้อมเสนาข้ารองละอองบาท | อภิวาทดาษดาตรงหน้าฉาน |
กาลสูรทูลเบิกบรรณาการ | ทั้งราชสารเสนีสี่ทูตา |
แล้วพาเฝ้าเข้ากลางขุนนางพร้อม | ประณตน้อมจัตุพักตร์ทูลยักษา |
บัดนี้ท้าวเจ้ากรุงแก้วโกญจา | เจริญราชสาราบรรณาการ |
ใช้ให้ข้ามาถวายด้วยหมายมาด | จะร่วมราชสุริย์วงศ์ดำรงสถาน |
เสร็จคำทูลขุนยักษ์พนักงาน | จึงคลี่สารอ่านตามความกิจจา |
ในลักษณ์ราชมาดสมานสารสวัสดิ์ | จอมกระษัตริย์สุริย์วงศ์สืบพงศา |
ถึงร้อยองค์พงศ์พันธุ์ถัดกันมา | บำรุงราษฎร์ศาสนาให้ถาวร |
ถวายนามตามวงศ์ดำรงราชย์ | อินณุมาศทศมิตรอดิศร |
เจริญรสพจมานสารสุนทร | ด้วยอาวรณ์หวังจะได้เป็นไมตรี |
ด้วยโอรสยศยงประสงค์สวาท | ในองค์ราชธิดามารศรี |
ได้ร่วมรักลักพาจากธานี | ให้ภูมีเคืองขัดพระอัชฌา |
ด้วยยังเยาว์เบาจิตได้ผิดพลั้ง | โปรดประทังประทานโทษโอรสา |
จะขอจัดนัดงานการวิวาห์ | ให้สืบถาวรพิพัฒน์สวัสดี |
ขอพระองค์พงศ์พรหมบรมนาถ | ประทานราชธิดามารศรี |
ให้เษกสองครองจังหวัดปัถพี | สืบไมตรีตราบสวรรคครรไล |
ทั้งสำเภาเหล่าพ่อค้าพวกพานิช | จะไค้คิดขายค้ามาอาศัย |
แม้นโปรดตรัสนัดงานการเมื่อไร | ตามพระทัยไม่ขัดพระหัทยา |
พอจบสารกรานกราบพระทราบเรื่อง | ยิ่งแค้นเคืองขึงพักตร์ท้าวยักษา |
เหวยอำมาตย์ราชทูตท้าวโกญจา | แม้นเดิมมาขอสู่กูจะยอม |
นี่ลอบเล่นเช่นชู้ทำดูถูก | แล้วลักลูกกูไปจนไผ่ผอม[๓] |
ครั้นตามพบรบรอญไม่อ่อนน้อม | กูไม่ยอมยังไม่หายไม่คลายแค้น |
มึงบอกท้าวเจ้าเมืองโกญจาว่า | แม้นโยธาที่มันตายไปหลายแสน |
ให้คืนเป็นมาได้ไม่ขาดแคลน | จะหายแค้นคบอ้ายใจบัดซบ |
ไม่คืนเป็นเช่นว่าแล้วอย่านึก | จะทำศึกสู้อีกไม่หลีกหลบ |
มึงบอกท้าวเจ้านครอย่ารอนรบ | ส่งสิงหไกรภพมาเมืองมาร |
ลักลูกกูผู้ร้ายไม่หายโกรธ | จะทำโทษตามอำนาจที่อาจหาญ |
ว่าดีดีมิส่งทั้งวงศ์วาน | จะพลอยผลาญเสียให้ม้วยไปด้วยกัน ฯ |
๏ อุปราชราชทูตทูลสนอง | พระผู้ครองโกญจามหาศวรรย์ |
มีเมืองน้อยร้อยคำนับอัพภิวันท์ | เหมือนฉัตรกั้นเกศาประชาชน |
รักโอรสอตส่าห์สามิภักดิ์ | พอสมศักดิ์สืบมหาสถาผล |
พระกริ้วตรัสตัดรอนไม่ผ่อนปรน | ใช่พวกพลม้วยมอดจะรอดมา |
ยิ่งรบสู้หมู่ทหารมารทั้งหลาย | จะซํ้าร้ายร้อนจิตทุกทิศา |
ขอพระองค์ทรงธรรม์กรรุณา[๔] | ให้ไพร่ฟ้าสองฝ่ายสบายบาน |
อันองค์พระสิงหไกรภพผิด | ก็กลับคิดสวามิภักดิ์สมัครสมาน |
ควรจะให้อภัยโทษจงโปรดปราน | ให้แต่งงานงามสง่าทั้งธาตรี |
พระฟังทูตพูดขัดจึงตรัสขับ | กูไม่รับบรรณาการทั้งสารศรี |
แม้นมิให้อ้ายผู้ร้ายถึงปลายปี | จะไปตีจับโจรเมืองโกญจา |
จงจัดแจงแต่งทัพไว้รับรบ | ไม่ขอคบขายพักตร์พวกยักษา |
เป็นอันขาดราชทูตอย่าพูดจา | แล้วลีลาจากบัลลังก์เข้าวังใน |
ฝ่ายเจ้าพราหมณ์ความคิดติดลึกลํ้า | ว่าจวนคํ่าจะขอรออาศัย |
พรุ่งนี้เช้าเราจะลาท่านคลาไคล | แล้วพาไพร่พลออกมานอกวัง ฯ |
๏ ปางพระนุชบุตรีในนิเวศน์ | คอยฟังเหตุเห็นไม่สมอารมณ์หวัง |
มาปรางค์ทองห้องสุวรรณบนบัลลังก์ | คะนึงนั่งกอดกรถอนฤทัย |
โอ้สุดคิดบิตุรงค์ไม่ทรงโปรด | ยิ่งกริ้วโกรธกรรมกรรมทำไฉน |
แสนสงสารผ่านฟ้ายังอาลัย | อุตส่าห์ให้ทูตถือหนังสือมา |
แม้นรู้ข่าวท้าวซํ้าจะทำศึก | เห็นจะนึกเศร้าสร้อยละห้อยหา |
น่าใจหายหมายเหมือนจะเคลื่อนคลา | ช่างเกิดมาอาภัพอัประมาณ |
แล้วมิหนำซํ้าบุตรสุดที่รัก | ไม่รู้จักบิตุรงค์น่าสงสาร |
สิ้นตระกูลสูญพงศ์ทั้งวงศ์วาน | กอดกุมารโศกาจนราตรี ฯ |
๏ ฝ่ายเจ้าพราหมณ์ยามคํ่าพอย่ำทุ่ม | เห็นเมฆคลุ้มคลํ้าฟ้าในราศี |
เป็นลิงน้อยลอยแฝงแสงอัคคี | มาลงที่ปรางค์ทองห้องบัญชร |
ยังแย้มแกลแลเห็นนางนงลักษณ์ | กับลูกรักร่วมสุวรรณบรรจถรณ์ |
ลอบเข้าไปใกล้ก้มประนมกร | ชูอักษรสารถวายสายสุดใจ ฯ |
๏ นางเห็นลิงนิ่งตลึงแล้วจึงว่า | นี่ท่านมาแต่ตำบลแห่งหนไหน |
ลิงแถลงแจ้งจริงทุกสิ่งไป | พระตรัสใช้มาเฝ้าเยาวมาลย์ |
แล้วหยิบเอาธำมรงค์สองวงถวาย | นางน้อมกายก้มคำนับแล้วรับสาร |
ธำมรงค์ทรงหัตถ์ชัชวาล | แล้วทรงอ่านสารศรีที่มีมา ฯ |
๏ เจริญลักษณ์อักษรบวรสวาท | แรมนิราศห่างเหเสน่หา |
มิได้ลืมปลื้มจิตวนิดา | เหมือนเสียแก้วแววตาเหลืออาลัย |
ถึงยามนั่งตั้งตรึกรำลึกถึง | เหมือนศรตรึงตรมอุรานํ้าตาไหล |
ถึงยามกินสิ้นรสสลดใจ | ด้วยอาลัยกลอยสวาทจำคลาดคลา |
ถึงยามนอนนอนเดียวเปล่าเปลี่ยวอก | แสนวิตกแต่จะให้กลับไปหา |
บิตุรงค์ทรงธรรม์กรรุณา | ให้งอนง้อขอสมาพระยามาร |
จึงสั่งความพราหมณ์พี่เลี้ยงมาเพียงนี้ | แหวนมณีค่าเมืองกับเรื่องสาร |
แม้นบุตรคลอดรอดตายไม่วายปราณ | เยาวมาลย์สวมผูกให้ลูกยา |
แม้นชาตินี้มิได้อยู่เป็นคู่ชื่น | อันหญิงอื่นเป็นขาดไม่ปรารถนา |
บิตุราชขาดเด็ดไม่เมตตา | จะอุตส่าห์สงครามชิงทรามชม |
ให้สาแค้นแม้นกายวายชีวิต | ไม่ขอคิดสักซีกกระผีกผม |
แม้นชนะพระบิดาเหมือนอารมณ์ | จะได้ชมเชยชื่นทุกคืนวัน |
จนม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร | ไม่สิ้นสุดเสน่หาจนอาสัญ |
ถึงตัวไปใจคิดเป็นนิรันดร์ | พี่รับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาย ฯ |
๏ พอจบคำนํ้าเนตรลงพรากพราก | ด้วยจำจากจำไกลจิตใจหาย |
เคลิ้มอารมณ์ลมจับแล้วกลับกลาย | สู้ทรงกายกัลยาด้วยอาวรณ์ |
จึงจุดเทียนเขียนคำแล้วสำเร็จ | กุลฑลเพชรเนาวรัตน์ประภัสสร |
เอาห่อใส่สไบทรงองค์บังอร | ฝากวานรถึงกระษัตริย์ภัสดา |
แล้วบอกนามรามวงศ์องค์โอรส | กราบประณตบทเรศพระเชษฐา |
ตัวน้องเล่าเช้าคํ่ากินนํ้าตา | จะรอใจไว้ท่าพระสามี ฯ |
๏ พราหมณ์คำนับรับสั่งกับทั้งของ | ออกจากห้องปรางค์มาศปราสาทศรี |
เหาะข้ามหมู่อสุรินด้วยยินดี | มาลงที่สำนักพักโยธา |
พอรุ่งเช้าเจ้าพราหมณ์ให้หามของ | พาพวกพ้องไพร่นายทั้งซ้ายขวา |
มาเมืองด่านชานทะเลลงเภตรา | ออกแล่นมาตามคลื่นทุกคืนวัน |
กำหนดทางกลางนทีได้ปีเศษ | ถึงนิเวศน์เวียงไชยไอศวรรย์ |
กราบทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน | ของนางนั้นถวายพระภูวไนย ฯ |
๏ พระรับของทองทรงนางนงลักษณ์ | กุณฑลปักบุษยรัตน์จรัสไข |
เคยเห็นทรงองค์นางเก็บวางไว้ | คิดสงสัยทรงอ่านสารสุดา |
ได้ทราบความนามอนงค์องค์โอรส | น้อมประณตกราบบาทนาถนาถา |
เมื่อพลัดพรากจากองค์ในคงคา | พระบิดาเคืองขัดผูกมัดไว้ |
แล้วเลิกทัพกลับหลังไปวังหลวง | แม้นไม่ห่วงลูกรักจักตักษัย |
แล้วปลดปลอดคลอดโอรสยศไกร | ฝ่ายท้าวไทช่วยรักษาพยาบาล |
จัดสุรางค์นางเคียงพี่เลี้ยงพร้อม | รักถนอมมิให้ห่างเหมือนอย่างหลาน |
อันน้องนี้มีแต่รับอัประมาณ | พอทราบสารทรงธรรม์ที่กรรุณา |
ไม่ทิ้งขว้างห่างเหเสน่ห์น้อง | พระคุณของทรงศักดิ์นั้นหนักหนา |
ถึงบิตุราชขาดเด็ดไม่เมตตา | จะอุตส่าห์ทรงสัตย์สวัสดี |
ไม่คิดครองสองชายด้วยหมายมาด | จะรอบาทบงกชบทศรี |
แม้นหน่อไทใหญ่หลวงได้ท่วงที | จะพาหนีไปประณตบทมาลย์ ฯ |
๏ พอจบคำรำลึกสะอึกสะอื้น | อุตส่าห์กลืนชลนาน่าสงสาร |
บิตุราชมาตุรงค์ทั้งวงศ์วาน | คิดรำคาญด้วยยักษ์มันจักมา |
จะลากปืนขึ้นป้อมให้พร้อมไว้ | ตระเตรียมไพร่พลนิกายทั้งซ้ายขวา |
คอยสมทบรบสู้อสุรา | มันคงมาเหมือนสั่งด้วยคั่งแค้น ฯ |
๏ พระหน่อไทได้สดับอภิวาท | ถึงแม้นมาตรรากโษสมาโกฏิแสน |
จะชิงชัยไว้ยศทำทดแทน | คิดแก้แค้นฆ่าฟันให้บรรลัย |
พราหมณ์จินดาว่าทัพมานับหมื่น | คนจะตื่นแตกห้ามปรามไม่ไหว |
รณรงค์องค์เดียวเห็นเปลี่ยวใจ | จำจะไปหาผู้ความรู้มี |
ผูกพยนต์พลรบสมทบทัพ | ไปตั้งรับรบพุ่งนอกกรุงศรี |
ข้าทราบความตามตำราในบาลี | ว่าโยคีอยู่เขาเนาวรัตน์ |
ใกล้แว่นแคว้นแดนโรมวิสัยนั้น | ทรงศีลธรรม์นับถือคนซื่อสัตย์ |
เชิญพระองค์ทรงศักดิ์จักรพรรดิ | ไปนมัสการท่านโยคี |
ขอวิชาผ้าพยนต์เวทมนตร์ไว้ | จึงชิงชัยสังหารผลาญยักษี |
แม้นละไว้ให้มาถึงธานี | ชาวบูรีราษฎรจะร้อนใจ |
หน่อกระษัตริย์ตรัสตอบว่าชอบอยู่ | ท่านผู้รู้เวทมนตร์อยู่หนไหน |
อย่าช้าทีพี่จงพาน้องคลาไคล | จะได้ไปศึกษาวิชาการ |
แล้วทูลลาพาพราหมณ์ตามลีลาศ | ออกจากราชนิเวศน์เขตสถาน |
เป็นปักษาถาโถมโพยมมาน | ไปทางบ้านเดิมพราหมณ์ตามตำรา |
ได้เดือนหนึ่งถึงเขาเนาวรัตน์ | เรืองจรัสราวกับแก้วแววเวหา |
เห็นอาศรมร่มบังครอบหลังคา | ค่อยร่อนราลอยลงในพงพี |
แล้วแปลงเป็นเช่นมนุษย์บุรุษราช | ดูผุดผาดผิวผ่องทั้งสองศรี |
ค่อยย่องเหยียบเลียบเดินเนินคีรี | เห็นโยคีนั่งแท่นแผ่นศิลา |
ชักประคำสำรวมร่ายพระเวท | ทรงเศวตพัสตร์ขาวเกล้าเกศา |
พาพี่เลี้ยงเมียงหมอบยอบกายา | มาตรงหน้านั่งประนมก้มกราบกราน ฯ |
๏ ปางโยคีปรีชาเห็นมาณพ | มาเคารพรู้เหตุประเทศสถาน |
ผู้มีบุญจุลจักรปราบยักษ์มาร | จึงหยิบลานทองตำราผ้าพยนต์ |
ยื่นให้พระสิงหไกรภพรับ | แล้วหายวับกับตาน่าฉงน |
จะแนะนำกรรมหน่อยจะพลอยปน | ไปสวดมนตร์ในถํ้าเสียสำราญ |
พระโฉมยงองค์สิงหไกรภพ | อ่านจนจบใจความตามวิตถาร |
รู้สันทัดลัทธิชำนิชำนาญ | ไม่เห็นลานหายวับไปกับตา |
ตกตะลึงจึงถามเจ้าพราหมณ์พี่ | ท่านปรานีให้พระมนตร์ดลคาถา |
เป็นไฉนไม่เห็นเจรจา | หรือโกรธาขัดขวางเป็นอย่างไร ฯ |
๏ เจ้าจินดาว่าครูผู้วิเศษ | ทรงพระเวทวิทยาอัชฌาสัย |
เรามาหาสามิภักดิ์รู้จักใจ | จึงโปรดให้วิทยาด้วยปรานี |
มิให้เห็นเป็นนิสัยมิให้อยู่ | สอนให้รู้แล้วจะได้ไปกรุงศรี |
กลัวรบกวนควรลาฝ่าธุลี | อยู่ช้าทีการจวนต้องด่วนไป |
พอฟังคำนํ้าใจมิใคร่จาก | ด้วยคิดอยากไถ่ถามตามสงสัย |
กลัวเคืองขัดวัจนาจำคลาไคล | แสนอาลัยแลหาอยู่ช้านาน |
แล้วยอกรอ่อนเกล้าคุกเข่ากราบ | ด้วยเรียบราบรํ่าว่าน่าสงสาร |
ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงญาณ | โปรดประทานทิพมนตร์ดลวิชา |
ขอประสิทธิ์ฤทธิไกรชัยชนะ | ด้วยเดชะสุจริตเป็นศิษย์หา |
ขอพระองค์ทรงสวัสดิ์วัฒนา | อยู่ตราบสิ้นดินฟ้าทั้งสากล |
มีธุระจะลาจากฝ่าเท้า | แล้วก้มเกล้ากราบงามลงสามหน |
ออกไปลับกลับกลายกายสกนธ์ | เป็นปักษินบินบนโพยมมาน |
ได้เดือนหนึ่งถึงพาราเป็นมนุษย์ | เข้ายั้งหยุดอยู่ปราสาทราชฐาน |
เกณฑ์ม้าใช้ให้ระวังฟังเหตุการณ์ | อยู่ปลายด่านธานีทั้งสี่นาย ฯ |